ถ้าพูดถึง’มาเก๊า’ใครหลายๆคนอาจจะคิดถึงคาสิโนแต่จริงๆแล้วมาเก๊ามีสิ่งที่น่าสนใจหลายอย่างเลยนะ และยังเป็นเมืองที่ผสมผสานไปด้วยวัฒนธรรมตะวันตกและตะวันออกอย่างลงตัวและเป็นที่ท่องเที่ยวที่ไม่ไกลจากบ้านเรามากนัก

มาเที่ยวคราวนี้เราได้ไปเที่ยวหลายที่เลยไม่ว่าจะเป็น ประตูโบสถ์เซ็นต์ปอล,วัดอาม่า, หมู่บ้านโคโลอานเวเนเชี่ยนคาสิโน, เซนาโด้แสควร์, หมู่บ้านวัฒนธรรมเทพอาม่า, วัดนาชา, โบสถ์เซนต์ฟรานซิสซาเวียร์,แมนดารินเฮ้าส์, ป้อมปราการเม้าท์, โบสถ์เซนต์โดมินิก,เทศบาลมาเก๊า, จัตุรัสเซนต์ออกัสติน, โรงละครดอม เปโดรที่ห้า, หอสมุดเซอร์โรเบิร์ต โฮ ตุง,โบสถ์เซนต์ลอเรนซ์...บลาๆๆ

และที่สำคัญทริปนี้เราไปกัน 2คน ค่าใช้จ่ายไม่รวมตั๋วเครื่องบินหมดไปคนละประมาณ 6000บาทเองนะ กับทริป 3วัน 2คืนจะสนุกแค่ไหนไปดูกัน:)

"ติดตามภาพถ่ายอื่นๆได้ที่^^

เพจ>>https://www.facebook.com/wejourneys

Instagram>> https://www.instagram.com/ou.wejourney

Day1

เราเดินทางถึงสนามบินมาเก๊าประมาณ 15.25น. เวลาท้องถิ่นที่มาเก๊าจะเร็วกว่าไทยประมาณ1ชั่วโมง

ทริปนี้เราไปกันสองคนค่ะเราแลกเงินมาจากไทยเรียบร้อยแล้ว และที่นี่ไม่ต้องกรอกใบตม.สามารถยื่นพาสปอร์ตได้เลย

หลังจากผ่านตม.เรียบร้อยแล้ว เดินตรงไปตามป้ายเพื่อที่จะไปขึ้น Shuttle bus free ของเวเนเชี่ยนคาสิโน

เพราะว่าเราแพลนจะไปเดินเล่นที่เวเนเชี่ยนกันก่อนค่ะ นั่งรถประมาณ 15 นาทีจากสนามบินมาเก๊าก็มาถึงเวเนเชี่ยนคาสิโน (Venatian Casino) รถจะมาจอดที่ main Lobby เลย สำหรับคนที่อยากสะดวกในการเดินเที่ยวในเวเนเชี่ยน เราสามารถฝากกระเป๋าที่ Main Lobby แล้วแจ้งเค้าว่าเราจะไปรับกระเป๋าที่ West Lobby ได้ค่ะ เนื่องจากเราจะไปขึ้นรถที่นั่นเพื่อต่อไปยังโรงแรม

ค่าฝากกระเป๋าชิ้นละ 10 HKD เค้าจะให้ใบนี้เพื่อไปยื่นตอนรับกระเป๋าที่ฝั่ง west Lobby ค่ะ

หลังจากฝากกระเป๋าแล้ว เราก็เข้าไปเดินเล่นกันในเวเนเชี่ยนกัน ที่นี่เป็นคาสิโนชื่อดังที่จำลองบรรยากาศคลองเวนิส ประเทศอิตาลีมาไว้ในคาสิโนและสองข้างทางของคลองเวนิสจำลองจะมีร้านค้ามากมาย ทั้งสินค้าแบรนด์เนม เสื้อผ้าราคาแพง ร้านขายของที่ระลึก

และที่พลาดไม่ได้คือร้านทาร์ตไข่ชื่อดัง ‘Lord Strow’s Bakery & Cafe’ขนมทาร์ตไข่จะขายเป็นชิ้น ชิ้นละ 10 MOP รสชาติอร่อยมากต้องลอง!

หลังจากเราเดินเล่นกินขนมกันแล้ว เราก็ไปรับกระเป๋าที่ฝั่ง West Lobby แล้วเดินออกไปประตูด้านข้างจะเป็นท่ารถเราเรียกแท็กซี่จากตรงนั้นให้ไปส่งที่โรงแรมเลย

เราหมดค่าแท็กซี่ไปประมาณ 119HKD ใช้เวลาประมาณ30นาทีก็ถึงที่พักค่ะแต่ถ้ารถติดอาจจะนานหน่อย วันที่เรามามีรถติดบ้างบางช่วงแถวสะพานข้ามแม่น้ำ

เราจองโรงแรม Happy Family hotel ราคา2,695บาทต่อคืน(ไม่รวมอาหารเช้า) จองผ่านแอพ Agoda ห้องอาจจะเล็กไปหน่อยแต่ทำเลของโรงแรมดีมากเลยสามารถเดินไปแหล่งท่องเที่ยวได้หลายที่

หลังจากเช็คอินเรียบร้อยแล้ว เราก็ไปเดินเล่นหาอะไรกินแถว ‘Senado Square’ จากที่พักเดินไปประมาณ 5 นาที ที่นี่ตอนเย็นคนเยอะมาก มีของขายเพียบ

เราเดินเล่นรอบๆหา local food กินกัน ร้านส่วนใหญ่ที่นี่โดยเฉพาะย่านสตรีทฟู้ด อาหารจะมีส่วนผสมของซอสแกงกะหรี่ทั้งลูกชิ้น โอเด้ง และเนื้อตุ๋น รสชาติหอมเครื่องเทศอร่อยดี

จากนั้นเราเดินต่อไปที่ ตึก’คาสิโนลิสบัว(Casino Lisboa)’ ด้านในแสดงงานศิลปะ ของโบราณ ไม่ว่าจะเป็นงานแกะสลักทองคำ งานแกะสลักไม้ฯลฯ งานจริงละเอียด และสวยงามมาก


หลังจากเราเดินเล่นดูรอบๆแล้ว ก็ออกไปถ่ายแสงสียามค่ำคืนกันบริเวณด้านหน้าหน้าโรงแรมกันช่วงนี้อากาศดีมากค่ะประมาณ18-22องศาเดินเล่นสบายเลย จากนั้นก็กลับที่พักค่ะ

Day2

เราตื่นกันตั้งแต่6โมงเช้า เพราะว่าวันนี้แพลนเราแน่นเอี๊ยด55 มื้อเช้าเราซื้ออาหารที่เซเว่นมากินกันที่ห้องเพราะตอนเช้าๆที่นี่ร้านข้าวยังไม่ค่อยเปิด กินข้าวกันเสร็จแล้ว ที่แรกที่เราไปกันคือ ‘ประตูโบสถ์เซ็นต์ปอล(Ruins of St.Paul)’เดินจากที่พักมาประมาณ10นาทีก็ถึง ที่นี่เป็นเหมือนสัญลักษ์ของมาเก๊าเราตั้งใจจะมาเช้าๆหน่อยเพราะจะได้ถ่ายรูปไม่ติดคนมากนัก แต่ก็ไม่ทันเนื่องจากยังมีคนตื่นเช้ากว่าเรา55



โบสถ์นี้สร้างขึ้นเมื่อต้นปี คศ. 1700 เป็นสถานที่สำคัญแห่งหนึ่งของมาเก๊า โบสถ์แห่งนี้เคยเป็นโรงเรียนสอนศาสนาที่ชาวตะวันตกนำเข้ามาเผยแผ่ในเอเชีย ต่อมาในปี ค.ศ. 1835 โบสถ์เซนต์ปอลถูกไฟไหม้จนเหลือแต่หน้าประตูโบสถ์ จึงได้มีการบูรณะขึ้นใหม่ ในปี ค.ศ. 1991 ส่วนซากที่ถูกไฟไหม้ก็มีการเก็บรวบรวมทำเป็นพิพิธภัณฑ์อยู่หลังประตูโบสถ์


หลังจากถ่ายรูปเสร็จเราเดินเข้าไปทางด้านซ้ายของประตูโบสถ์จะเป็น ‘วัดนาชา’(Na Tcha Temple) เป็นที่ที่ผสมผสสานระหว่างวัฒนธรรมจีนและวัฒนธรรมตะวันตกอย่างลงตัว ตัวของวัดเป็นอาคารเล็กๆแบบจีนโบราณ ตั้งอยู่ติดกับรั้วกำแพงโบราณของโบสถ์เซ็นต์ปอลเป็นกำแพงที่ทำจากดินเหนียว ทราย ฟางข้าว หินบด เปลือกหอย จากวัสดุที่หาได้ง่าย

ภายในวัดวันนี้คนไม่ค่อยเยอะมากบรรยากาศดูเงียบสงบดีค่ะ


หลังจากนั่งพักเหนื่อยกันแล้วเราเดินต่อไปทางด้านขวาของประตูโบสถ์เซนต์ปอล จะมีทางขึ้นไปยัง ป้อมปราการเม้าท์ (Mount Fortress) และพิพิธภัณฑ์มาเก๊า เราไม่ได้เข้าไปดูด้านในพิพิธภัณฑ์เพราะว่าเรามาเช้ามากที่นี่ยังไม่เปิดค่ะ

ด้านบนป้อมปราการ สามารถชมทัศนียภาพของมาเก๊าได้ 360 องศา

บรรยากาศรอบๆจะมีชาวบ้านมานั่งเล่นพักผ่อนและออกกำลังกายตอนเช้าๆ

หลังจากถ่ายรูปที่ป้อมปราการเสร็จแล้วเราเดินไปตามถนนเล็กๆด้านหน้าซากประตูโบสถ์เซนต์ปอล เพื่อมุ่งหน้าไปยัง ‘เซนาโด้แสควร์(Senado Square)’ ระหว่างทางจะเป็นถนนคนเดินที่รวบรวมขนมชื่อดังของเกาะมาเก๊าเอาไว้ เราเดินเล่นซื้อของฝากกันเพลินเลย

เดินตามถนนคนเดินไม่นานก็มาถึง ‘เซนาโด้แสควร์(Senado Square)’ ตรงนี้จะเป็นจะจุดนัดพบใจกลางเมืองของมาเก๊าปกติคนก็เยอะอยู่แล้วแต่เรามาวันเสาร์อาทิตย์ยิ่งเยอะกว่าเดิมอีก55

บริเวณรอบๆจะเป็นอาคารเก่าแก่ที่สร้างจากสถาปัตยกรรมแบบนีโอคลาสสิค และยังเป็นศูนย์รวมร้านจำหน่ายเครื่องประดับ ร้านเสื้อผ้าแฟชั่นและร้านอาหารอีกด้วย

ถัดจากเซเนโด้จะเป็น ‘โบสถ์เซนต์โดมินิก(St.Dominic’s Church)’ ที่นี่ได้รับการยกย่องว่าเป็นโบสถ์ที่มีความสวยงามทางศิลปกรรมทางศาสนามากที่สุด

เราสามารถเดินเข้าไปถ่ายรูปด้านในโบสถ์ได้ค่ะ แต่ต้องสำรวมนิดนึงเพราะมีเจ้าหน้าที่คอยดูความเรียบร้อยอยู่


เดินต่อมาตรงข้ามเซนาโด้จะเป็นที่ตั้งของ ‘เทศบาลมาเก๊า(Civic and Municipal Affairs Bureau)’

เราเดินเข้าไปด้านในอาคารมีการตกแต่งอาคารและสวนอย่างสวยงามสไตล์ยุโรป

ออกจากอาคารสำนักเทศบาลมาเก๊า เรามาแวะกินข้าวที่ร้าน ‘Hou Keng Fan Tim’ ร้านอยู่แถวๆ senado

ร้านนี้จะขึ้นชื่อเรื่องการหมักหมูแดงได้อร่อยมาก แต่เราได้กินข้าวหมูกรอบกับข้าวหน้าเป็ด55 พอดีว่าคุณลุงที่ร้าน พูดภาษาอังกฤษไม่ได้เราเลยชี้เอาที่เมนู แล้วคุณลุงทำมาผิดแต่ไม่เป็นไรค่ะข้าวหมูกรอบกับข้าวหน้าเป็ดก็อร่อยใช้ได้เหมือนกัน

เรากินกันเสร็จแล้ว ก็ออกเดินเที่ยวกันต่อเลยที่ต่อมาคือ ‘จัตุรัสเซนต์ออกัสติน (St.Augustine Square)’

จัตุรัสที่รายล้อมด้วยที่สำคัญๆไม่ว่าจะเป็น โรงละครดอม เปโดรที่ห้า (Dom Pedro V Theatre) เป็นโรงละครแบบตะวันตกแห่งแรกของจีน

ภายในโรงละครมีทั้งห้องหนังสือ ห้องบอลรูมและยังใช้เป็นที่จัดการแสดงการเต้นรำและดนตรีต่างๆ มีการตั้งเป็นโรงละครภาพยนตร์มาเก๊า


โรงเรียนสอนศาสนาเซนต์โจเซฟ (St. Joseph’s Seminary and Church)

ใกล้ๆกันจะเป็น 'หอสมุดเซอร์โรเบิร์ต โฮ ตุง (Sir Robert Ho Tung Library)' ชื่อของหอสมุดนี้มาจากเซอร์โรเบิร์ต โฮ ตุง นักธุรกิจชาวฮ่องกง หลังจากท่านเสียชีวิตได้ยกบ้านหลังนี้ให้แก่รัฐบาลมาเก๊า เพื่อใช้เป็นห้องสมุดสาธารณะ

ที่นี่สร้างได้สวยงามมากเลยรอบๆก็ดูร่มรื่นเหมาะแก่การนั่งอ่านหนังสือมากๆ

โบสถ์เซนต์ออกัสติน (St.Augustine’s Church)วันที่เราไปโบสถ์กำลังซ่อมแซมอยู่ค่ะ หลังจากนั้นเราเดินไปขึ้นรถเมล์สาย26A ฝั่งเดียวกันกับSenado เพื่อไปยัง หมู่บ้านวัฒนธรรมเทพอาม่า(A-Ma Cultural Village) ที่เป็นที่ตั้งของ ’รูปปั้นเทพธิดาอาม่า (statue of the goddess A-Ma)’ เราสามารถดูสายรถได้ที่ป้ายรถเมล์นะคะ ค่ารถ 6.4HKD

ระหว่างทางสามารถมองเห็น Macau tower ด้วย

นั่งรถมาประมาณ 1ชั่วโมง 20 นาที เรากดดูตาม GPS ในมือถือให้ลงป้ายรถเมล์ก่อนถึงทางขึ้นหมู่บ้าน ตรงนั้นจะมีจุดจอดรถมินิบัสขึ้นไปด้านบนตรงองค์รูปปั้นอาม่า ขึ้นฟรี รถจะมาทุกๆ 15-20 นาที แต่กว่าจะได้ขึ้นไปก็นานหน่อยเพราะเค้าจะต้องรอคนเต็มก่อน

ระยะทางขึ้นไปด้านบน1.9กม.แต่ไม่แนะนำให้เดินขึ้นไปนะเพราะทางชันมาก

เมื่อเรามาถึงด้านบนจะเจอกับ หมู่บ้านวัฒนธรรมเทพอาม่า ที่มีสถาปัตยกรรมแบบจีนตกแต่งไว้อย่างสวยงาม

เราเดินชมรอบๆเสร็จแล้ว เดินขึ้นเขาไปประมาณ10นาที จะเป็นที่ตั้งขององค์รูปปั้นอาม่าทำจากหินอ่อน ออกแบบโดยช่างหินท้องถิ่น มีความสูง 19.99 เมตร ด้านบนนี้เป็นจุดชมวิวที่สามารถมองเห็นได้โดยรอบ 360 องศา

ขากลับเรากลับมารอรถมินิบัสตรงลานจอดรถที่เดิมเพื่อลงไปด้านล่าง จากนั้นเรานั่งรถเมล์สาย50 ไปเที่ยวหมู่บ้านโคโลอานต่อ ค่ารถ 2.8 HKD นั่งรถมาไม่นาน

หมู่บ้านโคโลอาน(Coloane village)เป็นหมู่บ้านเล็กๆริมทะเล บ้านเรือนต่างๆเป็นบ้านเก่าสไตล์โปรตุเกส

เรานั่งรถมาถึงนี่ก็เย็นแล้ว ที่นี่มีร้านค้า ร้านอาหาร และขนมต่างๆ ให้ชิมกันอยู่หลายร้าน โดยเฉพาะร้านทาร์ตไข่ชื่อดังของมาเก๊า ‘Lord Stow Bakery’ ซึ่งเป็นร้านต้นตำรับอยู่ที่นี่ เราแวะกินข้าวกันที่ร้านนี้

หลังจากกินข้าวกันเสร็จแล้ว เราก็เดินเล่นมาเรื่อยๆจนถึง ‘โบสถ์เซนต์ฟรานซิสซาเวียร์(Chapel of St. Francis Xavier)’

โบสถ์นี้ถูกสร้างขึ้นในปี 1928 เพื่ออุทิศให้กับนักบุญชาวสเปน เซนต์ฟรานซิส ซาเวียร์ เป็นโบสถ์สีเหลืองสวยงามมาก มีคนบอกว่าที่นี่เคยเป็นที่ถ่ายซีรีย์เกาหลีเรื่องเจ้าหญิงวุ่นวายกับเจ้าชายเย็นชาด้วยนะ

เราเดินเล่นรอบหมู่บ้านกันสักพัก ขากลับเราเดินกลับไปขึ้นรถที่เดิมแถววงเวียนให้สังเกตุที่ป้ายรถเมล์จะมีขวดแฟนต้าขนาดใหญ่ตั้งอยู่ เราขึ้นรถสาย 26A ไปลงแถวๆ senedo แวะเดินเล่นกันนิดหน่อยก่อนกลับที่พัก

Day3

วันนี้เราตื่นกันตั้งแต่ 7 โมง กินข้าวกันที่ห้องเหมือนเดิม หลังจากเช็คเอาท์เรียบร้อยแล้ววันนี้เรามีแพลนที่จะเที่ยวกัน 3 ที่ เพราะเราต้องไปขึ้นเครื่องที่สนามบินประมาณ 3 โมงเย็น ที่แรกที่เราไปคือ ‘โบสถ์เซนต์ลอเรนซ์ (St. Lawrence’s Church)

โบสถ์นี้เป็น 1 ใน 3 โบสถ์ที่มีความเก่าแก่ที่สุดในมาเก๊า ภายในตกแต่งสวยงามและเงียบสงบมากเลยค่ะ เราเข้าไปถ่ายรูปไม่นานเพราะมีชาวบ้านทะยอยเข้ามาสวดมนต์กันเรื่อยๆ เพราะวันนี้เป็นวันอาทิตย์คนจะเยอะหน่อย

จากโบสถ์เราเดินต่อมาเรื่อยๆตามป้ายบอกทางไม่นานก็ถึง แมนดารินเฮ้าส์ (Mandarin House) บ้านสไตล์จีนโบราณ ก่อสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1881 โดยนักประพันธ์จีนผู้ยิ่งใหญ่นามว่า เฉิง กวนยิ่ง

ภายในบริเวณบ้านจะประกอบด้วยเรือนหลายหลัง มีลานตรงกลางที่ใช้ร่วมกัน โดยผสมผสานรายละเอียดต่างๆในแบบจีนดั้งเดิมและตะวันตก ที่นี่เปิดให้เข้าชม10โมงค่ะ

ด้านในมีช่างไม้กำลังทำงานฝีมือกันอยู่

และที่นี่ยังมีร้านขายของที่ระลึกด้วยนะคะ

จากตรงนี้เราเดินต่อไปที่ ’วัดอาม่า(A-Ma Temple)’กันค่ะ ซึ่งอยูไม่ไกลกันมากเดินมาประมาณ10นาที


วัดอาม่า เป็นวัดที่มีอยู่มายาวนาน ภายในวัดมีจุดกราบไหว้ขอพรอยู่หลายจุด ซึ่งแต่ละจุดจะอยู่บนเนินเขา ต้องเดินขึ้นบันไดไป ในแต่ละชั้นก็จะมีทั้งศาลเจ้า, ศาลา, ประตูโบราณ, สิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆให้เราได้ขอพร สถาปัตยกรรมภายในวัดนั้นงดงามเป็นสไตล์จีนโบราณ บรรยากาศที่นี่ดูคึกคักมากมีผู้คนเข้ามากราบไหว้ขอพรกันอยู่ตลอด

บริเวณด้านหน้าวัดมีสวนสาธารณะสำหรับพักผ่อนหย่อนใจ

ขากลับเราเดินไปนั่งรถเมล์ฝั่งเดียวกับ senedo สาย 26A ไปลง venetian ค่ารถ 6.4 HKD และไปต่อรถ Shuttle bus free ของvenetian ที่ main Lobby เพื่อไปสนามบินค่ะ

สรุปค่าใช้จ่าย 3วัน 2คืน(ไม่รวมตั๋วเครื่องบิน)
-รร.Happy Family Hotel 2 คืน 5390฿หาร2= 2,695 บาท
– ค่าอาหาร = 1,745 บาท
– ค่ารถเมล์ในมาเก๊า =88บาท
– ค่า Taxi หาร2 = 244บาท
-ค่า simโทรศัพท์(ซื้อที่ไทย)= 399บาท
= รวม 5,171 บาท ต่อคน

::::ขอบคุณทุกคนที่ติดตามการเดินทางและภาพถ่ายของเรานะคะ◡̈แล้วเจอกันใหม่ทริปหน้าค่ะ:::

we journey

 วันศุกร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561 เวลา 13.34 น.

ความคิดเห็น