รีวิวนี้พิเศษหน่อยนะครับ เป็นทริปที่ไปมาหมาดๆอาทิตย์ก่อนนี้เองเป็นทริปเที่ยวในช่วงเทศกาลที่แต่ละคนคงมีจุดมุ่งหมายเป็นเชียงใหม่กันแทบทั้งนั้น ใครอยากกิน อยากเที่ยว อยากสนุกในหน้าเทศกาลสุขสันต์แบบนี้ลองติดตามพวกเรามาเที่ยวกันดูนะครับ



หยุด 3 วันหาที่เที่ยวให้สมใจ 5-7 ธันวาคมกับเมืองดีไชน์



เชียงใหม่เป็นจังหวัดที่เราเคยไปมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง แต่กลับไม่เคยอยู่ในตัวเมืองเลยสักครั้งเดียวมาที่ไรได้ออกไปชาญเมือง นอกเมือง

ขึ้นเขา ขึ้นดอยเสียหมด เอาล่ะคราวนี้ เราจะเที่ยวเมืองเชียงใหม่



อันดับแรกคงเป็นการเดินทางละนะ ได้รับคำชวนจาก nokair ให้มาลองบินกับ “นกพราว" เครื่องใหม่ๆเปิดตัวไปหมาดๆ คือเครื่อง Nokscoot โบอิ้ง 777-200 ขนาด 415 ที่นั่งที่นำมาเสริมเส้นทาง ที่คนกำลังใช้กันเยอะมาก อย่างเชียงใหม่เราเลยได้มาทดลองบิน แต่ไหนๆก็ต้องบินแล้ว เลยขอเที่ยวเชียงใหม่แบบที่ยังไม่เคยได้ลองกันสักตั้งเลย

เข้าไปภายในกว้างขวางมากประมาณนึง ที่นั่งแบ่งเป็น 3 แถว แบ่ง 3-4-3 ที่นั่งติดหน้าต่างเป็นสามที่นั่งและตรงกลางสี่ที่นั่ง ด้วยความคิดที่เราแอบคิดตอนแรกว่า ที่นั่งเราต้องเข่าชนจนเมื่อยแน่ๆ กลับไม่เป็นแบบนั้นนะ เครื่องนี้กว้างกว่าที่คิดเยอะครับ ยืดขาได้สบายๆเลย ด้วยความเพลีย ผมหลับตั้งแต่เครื่องยังไม่ขึ้นจากดอนเมืองเลยทีเดียว


ท้าวความสักหน่อย เราทำงานสายอนิเมชั่นและชอบงานดีไซน์เป็นชีวิตจิตใจเลยหละ


ประจวบเหมาะกับช่วงวันที่ 5-7 ธันวาคมนี้มีงานเทศกาลมากมายที่เชียงใหม่ จนแทบจะเรียกได้ว่าเมืองเทศกาลดีไซน์เลยก็ว่าได้



แผนการเดินเที่ยวของเรา 3 วัน ที่สนองนีดงานดีไซต์เราก็ประมาณนี้ครับ สำหรับ 3 วัน

วันแรก วันที่ 5 ธันวาคม

งานพืชสวนโลก

งานNap ตลาดดีไซน์ที่ชวนกระผมเสียเงินทองมากมาย

ไปแวะพักเดินเล่นรอดูพลุที่ เมย่า คนเชียงใหม่เค้าเรียกกันงี้น่ะนะ

เดินเที่ยวตลาดดีไซต์ Art scene Market



วันที่ 6 ธันวาคม

ส่วนวันนี้เราตั้งใจออกไปหาความสงบเบาที่วัดกันเราเลือก

วัดอุโมงค์ และทิ้งเวลากับร้านกาแฟรสกลมกล่อมที่ บ้านข้างวัด

และเราไปจบวันกับเทศกาลที่แสนจะตื่นเต้น

งานบอลลูนนานาชาติ ฮุเล่ย์ (Balloon Festival 2014)

เดินเล่นที่ถนนคนเดินวัวลาย



วันสุดท้ายวันที่ 7 ธันวา

ตะลุยแดน TCDC งานเทศกาลโชว์เคสที่จัดกันเป็นชุมชน

และวันนี้เป็นวันที่สนุกและมีเรื่องราวแสนประทับใจ พกกลับบ้านกันไปกองโต



หลังจากที่เราเดินทางมาถึงเชียงใหม่ตั้งแต่เช้า เราเข้าที่พักกันก่อน เพื่อเก็บสัมภาระอันหนักอึ้ง

เราจองที่พักแถบเส้นถนนวันลาย วัวลายซอย 2 ที่พักเป็นแบบโฮสเทลครับเป็นแชร์รูม ราคา250 บาทต่อคนต่อคืนเท่านั้นเอง ถูกมากๆครับ

ที่นี่มีห้องน้ำในตัวด้วยนะ เราเปิดห้องเข้าไปเป็นเตียง 2 ชั้น 2 หลังรวมแล้ว 4 เตียง เรามากัน 3 คนครับ มีรุ่นพี่ผม ผม และรุ่นน้องผมอีกคน

ลักษณะห้องพักแบบนี้ถ้าหากเราเข้าพักแล้วยังมีเตียงว่าง เป็นไปได้ว่าเราจะมีเพื่อนร่วมห้องเพิ่มได้ มันมีข้อดีข้อเสียนะ ถ้าพูดถึงความเป็นส่วนตัว

แต่ก็คุ้มมากเทียบกับราคา พวกเราเน้นเดินทางและออกนอกบ้านเสียมากกว่าที่พักจัดเป็นอันดับรองๆลงมาสำหรับการเดินทางของผม ตามภาพเลยครับ

หลังจากที่เราเสร็จสรรพจากภาระกิจเก็บของเราก็มุ่งหน้าไปงานพืชสวนโลกกัน


ที่เชียงใหม่หากใครมากันครั้งแรกอาจสงสัยว่าเดินทางกันอย่างไร

เรามีพี่ที่เดินทางด้วยเป็นไกด์กิตติมศักดิ์คอยช่วยเหลือผมตลอดการเดินทาง

เราเดินออกมาหน้าปากซอย แล้วเรียกรถครับ รถมี 2 สี แดงกับเหลือง (ผมพูดถึงรถนะฮ่าๆ) เราเรียกรถสีแดงวิ่งภายในเมือง และก็ต่อรองราคาเหมา จำได้ว่าราคา 200 บาท 3 คน อีกเหตุผลนึงที่เราไปงานนี้เพราะบนเครื่องบินที่เราขึ้นมากับนกแอร์ทุกๆคนจะได้บัตรเข้างานฟรีครับ



เข้ามาในงานเราก็เดินเที่ยวกันครับ ในงานจะแบ่งเป็นโซนต่างๆ โซนกล้วยไม้ โซนเศรษฐกิจพอเพียง โซนน้ำบาดาล โซนแมลง ฯลฯ เข้ามาในสวนค่อนข้างกว้างจึงมีรถรางให้บริการ เป็นตั๋วราคาเหมา 20 บาทต่อคนเท่านั่นเอง และรถแต่ละคันจะมีไกด์คนไทยคอยเล่าให้ฟังเป็นจุดๆ และให้เราลงชมโซนนั้นๆได้ รถจะมาจอดที่สถานีด้านหน้าโซนต่างๆ ทุกๆ 15 นาที เราเอาภาพมาฝากกันเยอะเลยครับ ดอกไม้ที่นี่เหมือนดอกไม้ปลอมเลยครับสวยสดมากๆ



แต่ผิดหวังนิดหน่อยกับการเดินที่นี่เราหวังกันมาเต็มที่ หนาวแน่ หนาวชัวร์ แต่กลับร้อนจนเหงื่อตก แต่อากาศแบบนี้แหละถ่ายรูปสวยนักเชียว



เราเที่ยวกันจนเพลินตั้งแต่ช่วงสายแต่ดูนาฬิกาอีกที ก็บ่ายแล้ว เราเลยตั้งใจไปหาอะไรเย็นๆกินที่ถนนเส้นดัง นิมมานนั่นเอง

555 มาถึงก็ต้องนี่เลย ร้านไอเบอรี่ของอ้ายโน๊ต ตั้งอยู่ที่นิมมานซอย…...เราแวะเข้ามากินไอติมและก็ของหวาน ที่นี่กลายเป็นแลนมาร์คสำหรับนักเดินทางทั้งไทยและเทศไปแล้ว ตอนที่เราไปมีชาวไทยเพียงแค่ 2 โต๊ะไม่รวมเรานะ ที่เหลือเป็นแขกชาวจีนแน่นขนัด ด้านหน้าจะมีตุ๊กตาตัวใหญ่สีชมพู เอาไว้ถ่ายรูปเล่นกัน สำหรับรสชาติอร่อย กลมกล่อมมีรสชาติต่างๆให้เลือกเยอะเลย (ไม่ได้ชิมทั้งหมดนะ) ส่วนเรื่องราคาก็ปรกติครับ ไม่สูงจนเกินไป ไว้ใครมาเชียงใหม่ก็ลองมาแวะชิมกันดู



หลังจากนั้นเราก็ไปเดินตลาดดีไซน์ ที่นี่จัดทุกๆปี ชื่องานว่า งานNap งานนี้ไม่ได้มีแค่คนเชียงใหม่มาออกบูธเท่านั้นนะ คนกรุงเทพ ขอแก่น ก็มากัน เป็นงานขนาดกลางแต่อุดมไปด้วยร้านค้าชวนเสียเงิน ซึ่งผมก็ไม่พ้นจ่ายไปหลายเช่นกันครับ


เราเข้าไปถึงก็ถูกใจกระเป๋าใบนี้เข้าชวนเราเสียตังค์ มันแปลว่า สู้ๆนะ


แบบนี้ก็ชวนจ่ายอีกแล้วฮืออ


ยังไม่พอหรอก มีอีกเยอะเลย เราจะอัพให้ดูเรื่อยๆนะ


ข้างๆงาน nap มีอีกงานคืองาน Art scene Marker หรือตลาดอาร์ตนั่งเองครับ อยู่ข้างๆห้างเมย่า ที่นี่มีบูธนักเขียนที่ผมชื่นชอบอยู่ด้วย เลยแวะไปพบปะขอลายเซ็นสักหน่อย


อันนี้เป็นร้านเค้กน่ารักมากกก


น่ารักดีนัก จัดสักชิ้น


บรรยากาศในงานพาผมเสียตังค์อีกแล้ววว


วันนี้เราจบวันกับพลุวันพ่อที่เมย่าครับ ที่นี่แปลกนิด ที่จุดพลุกลางเมืองเลย แต่ดันลืมหยิบขาตั้งกล้องไปมือสั่นนิดหน่อย


ตอนหน้าจะพาเที่ยวเชียงใหม่ต่อ โปรดติดตามนะครับ


และหากอยากรู้จักกันมากขึ้น ผมฝากเพจไว้หากอยากรู้จักกันเชิญนะครับ

www.facebook.com/likeone22

ติดตามกันได้นะครับ

Piyapong Chantong

 วันพฤหัสที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2558 เวลา 14.35 น.

ความคิดเห็น