สวัสดีครับเพื่อนๆทุกคน


วันนี้มีทริปดีๆอีกทริปอยากมาเล่าให้ฟัง กับจังหวัดที่หากเอ่ยปากออกมาก็แสนจะที่จะคุ้นเคย อย่าง “กระบี่" จังหวัดทางใต้ที่อยู่ในกลุ่มแถวๆปลายด้ามขวานของไทยเรา



ทริบนี้เราได้รับคำชักชวนจาก ททท.จังหวัดกระบี่ที่ชวนพวกเรามาพิสูจน์ ที่เที่ยวสวยงามในช่วงกรีนซีซั่น ที่ใครจะรู้ว่า จริงๆแล้วกระบี่ ยังมีที่เที่ยวอีกมากมายที่คุณๆสามารถเที่ยวกันได้ตลอดทั้งปีไม่จำเป็นต้องรอช่วง High Season อย่างเดียว

ทริปนี้ ผมจึงมีความสุขและยินดีอย่างมากที่จะได้พาคุณๆ เที่ยวในช่วงเวลาที่ใครหลายคน อาจจะตั้งคำถามอยู่บ่อยๆว่ามันจะเที่ยวได้ไหม เอาว่าเรา มาพิสูจน์กันดีกว่ากระบี่ในช่วงนี้เที่ยวไหนกันได้บ้าง มาครับตามผมมาเลย…

ทริบนี้เริ่มต้นจากกรุงเทพฯบินตรงจากสนามบินสุวรรณภูมิ เรามีโอกาสได้ขึ้นสายการบิน บูทีค แอร์ไลน์ อีกครั้ง กับ “บางกอกแอร์เวย์"

เผลอๆไม่ถึง 1 ชั่วโมงเศษๆเรามาถึงท่าอากาศยานจังหวัดกระบี่กันแล้วละครับ

มาถึงกองทัพต้องเดินด้วยท้อง เราเริ่มทริบกันที่ร้านเด่นร้านดังของจังหวัด “ร้านเรือนไม้“


ผมเคยมาทานที่นี่ครั้งนึงเมือตอนมาทริบกระบี่ปีที่ผ่านมาประทับใจร้านนี้พอสมควร


ทั้งการตกแต่งร้าน และรสชาติของอาหาร มาดูกันสิมีอะไรทานกันมั่ง


เปิดด้วยหมูสามชั้นผัดสะตอ มาใต้ไม่กินสะตอเค้าว่ามาไม่ถึง ต้องลองๆ อันนี้ถ้าคนกินสะตอได้อยากบอกว่าเมนูแนะนำเลยทีเดียว


ต่อกันด้วย ใบเหลียงกุ้งต้มกะทิ อันนี้ผมยังไม่เคยกินมาก่อน รสชาติกลมกล่อม มากต้มมาพร้อมๆกับน้ำกะทิคั้นสด อร่อยนะครับ


อีกเมนูที่ขาดไม่ได้ไปร้านไหนทางใต้ ผมต้องขอสั่งมาพิสูจน์คือแกงส้มยอดมะพร้าวอ่อนครับ รสชาติถึงใจมาก ร้านนี้


และเมนูนางเอกสำหรับผม คือตัวน้ำพริกกุ้งเสียบ เสริพพร้อมผักต่างๆที่มีปลูกกันมากที่ภาคใต้ ผักบางตัวไม่รู้ชื่อแต่เราก็ทานได้อร่อยดีครับ


เสริพจนผมต้องสั่งเพิ่มคือสาหร่ายสาย เป็นสาหร่ายที่หาทานได้ทั่วไปในภาคใต้แต่ในภาคอื่นๆอาจจะหายากหน่อยมีเฉพาะในกระบี่ พังงาและจังหวัดใกล้ๆกันเท่านั้นถือเป็นสมบัติในทะเลของภาคใต้โดยแท้ครับ คือทานแล้วเหมือนเราอยู่ในทะเลเลยรสชาติเป็นสาหร่ายทางทะเลมาก สมาชิกที่ไปด้วยกันยังเอ่ยปากราชาติเค็มๆมันๆอร่อยครับ


มาถึงพระเอกของร้านสำหรับผมคือหอย ครับ หอยชักตีนเนี่ยละ อร่อยมาก อาจจะดูตัวเล็กซักหน่อยแต่รสชาติยังเหมือนเดิมทุกอย่าง มาคราวก่อนถึงขั้นต้องแย่งกันเองกับเพื่อนเลย จิ้มกับน้ำจิ้มแซ่บๆด้วยแล้ว หร่อยจังหู้เลย 55

และเมนูตบท้ายปิดที่ข้ามเหนียวทุเรียน ของที่นี่พิเศษที่ใช้ข้าวเหนียวกล้องมาทำอร่อยมากเลยครับเห็นแล้วอยากจัดอีกซักถ้วยเลย

อิ่มกันยังครับ งั้นไปออกกำลังเบาๆหลังอาหารกันดีกว่า หลังจัดหนักขนาดนี้ บ่ายๆกันง่วง เราเลยแวะไปเที่ยวชมธรรมชาติที่แอบซ่อนอยู่ในป่าชายเลน งที่บ้านท่าเลนกัน ที่นี้เคยได้รับรางวัลโลกสีเขียว จากททท. ในเรื่องการรักษาสิ่งแวดล้อมดีเด่นมาแล้วด้วย เป็นไงมาเที่ยวกันครับ



การมาพายคายัคจะมีสองรอบคือ ตั้งแต่ 8.00- 12.00 น

และรอบบ่ายตั้งแต่ 13.00-16.00 น

เปิดทุกวันไม่มีวันหยุด

ธรรมชาติโดยรอบของที่นี่ ถือเป็นป่าชายเลน สำคัญของสัตว์ทางทะเลทั้งหลาย อย่าง ที่ “อ่าวท่าเลน" ที่นี่ถือเป็นจุดสำคัญที่ใครอยากมาพายเรือคายัค ต้องมาที่นี่เลย เอาล่ะไปพายเรือกันดีกว่า


มาถึงเราก็เลือกเรือกันก่อนก่อนเรือจะเป็นสำหรับสองคน เป็นเรือไฟเบอร์สีสันสดใส เพราะทำด้วยไฟเบอร์น้ำหนักจึงเบา ใช้แรงไม่เยอะมากสนุกกำลังดี แถมยังพบกับธรรมชาติโดยรอบด้วยแล้วยิ่งสร้างความเพลิดเพลิน และออกกำลังกายได้เป็นอย่างดีทีเดียวครับ


ที่อ่าวนี้ถือเป็นที่ๆเหมาะสมทุกอย่าง สำหรับการมาพายเรือายัคชมธรรมชาติ เพราะมีทั้ง ป่าชายเลนที่มีความอุดมสมบูรณ์ สภาพแวดล้อม ด้วยภูเขาหินปูนโอบล้อม ดูสวยงาม มีสัตว์ต่างๆที่พบเห็นได้ง่ายตลอดสองข้างทาง เช่น ลิงแสม ปลา ปู ที่อยู่ตามโคลนดิน ที่หากเมื่อน้ำลดจะเห็นพวกเขาออก


มาหากิน สามารถมองเห็นได้อย่างใกล้ชิด

พายไปชมธรรมชาติไปถือเป็นเส้นทางเที่ยวธรรมชาติที่สวยงามจากหินปูนพายลึกเข้าไปเรื่อยๆก็จะเจอป่าโกงกางโอบล้อมไว้


ธรรมชาติดีๆมีให้หากคุณแค่ก้าวออกไปจริงๆครับ
พายได้ไม่นานไกด์ก็พาเราวกกลับทางเดิม ว่าไปก็เหมือนได้กำไรเพราะมีโอกาสได้ชมธรรมชาติที่สวยงามอีกครั้ง ถือเป็นทริบพายเรือคายัคที่ให้ความสุขมากๆอีกทริบตั้งแต่ ผมเคยพายมา แนะนำเลยสำหรับที่นี่หากใครจะมาพายควรมาช่วงเช้าๆเลย หรือไม่ก็เป็นบ่ายๆหลัง 4 โมงไปจะดีกว่าเพราะไม่ร้อนเกินไป แต่ถ้าอยากได้เหงื่อเยอะๆ กลางวันได้แน่ๆจ๊ะ

กลับเข้าถึงฝั่ง วันนี้เราปรึกษากันว่าจะหาที่ถ่ายพระอาทิตย์ตกสวยๆซักที่ก่อนจะกลับเข้าที่พัก สรุปว่าเรามากันที่นี่ครับ หาดที่ได้ชื่อว่าสวยและสงบ เหมาะแก่การมาชมพระอาทิตย์ตกอีกที่ของกระบี่“หาดนพรัตน์ธารา" จึงเป็นที่สุดท้ายที่จะขอปิดทริบวันแรกของพวกเรากัน



หาดนพรัตน์ธารา เป็นหาดที่อยู่ภายใต้การดูแลของ อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพีตั้งอยู่ในท้องที่อำเภอเมือง จังหวัดกระบี่ ครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ในทะเลอันดามันด้านทิศตะวันตกของภาคใต้ เป็นอุทยานแห่งชาติทางทะเลที่มีลักษณะสวยงามตามธรรมชาติ รอบ ๆ เกาะมีปะการัง กัลปังหา ทิวทัศน์ใต้ทะเลที่งดงาม และเอกลักษณ์ทางธรรมชาติคือภูเขาหินปูนที่มีหน้าผาเป็นชั้น ๆ ถ้ำที่สวยงาม ตลอดจนชายหาดยาวสะอาด


ตัวหาดตั้งอยู่ในเขตท้องที่อำเภอเมืองจังหวัดกระบี่นี่เองครับหากไปในช่วงเวลาเย็นๆแบบนี้ตั้งแต่หลัง 4 โมงไป หาดจะน้ำลดเผยให้เห็นพื้นทรายที่ยาวเหยียดไปไกลสุดสายตา โดยมีเขาหินปูนน้อยใหญ่ขั้นกลางอ่าวนางอีกฟากนึงของชายหาด ที่นี่แต่เดิม ชาวบ้านจะเรียกหาดนี้ว่า“หาดคลองแห้ง" เพราะในช่วงเวลาน้ำลง น้ำคลองที่ไหลลงมาจากภูเขาทางด้านทิศเหนือ ซึ่งมีลักษณะเป็นน้ำจืดจะแห้งขอด จนทำให้เราสามารถมองเห็นหาดทรายขาวยาวเหยียดอย่างที่เห็นอยู่นี่ได้เลย


เราเก็บภาพประทับใจวันสุดท้ายที่หาดนี้จนค่ำมืดกันเลย หมดแสงสุดท้ายลับขอบฟ้า ก่อนจะไปหามื้อค่ำดีๆกัน

ค่ำนี้เรามาทานอาหารกันบนเขาครับ มาไกลแต่คุ้มค่าการเดินทาง ร้านนี้อยู่ที่เขาทอง ชื่อ “เขาทอง เทอเรซ"


ทีอยู่ 135 หมู่2 ตำบลเขาทอง อำเภอเมืองกระบี่ กระบี่ 81000

เบอร์ติดต่อ 0831074400

เปิดทุกวัน เวลา 11.00 – 22.00 น

ร้านนี้อยู่บนเขามองไปเห็นวิวป่าเกาะทางทะเลของกระบี่อยู่ไม่ไกล หากมาช่วงเวลาพระอาทิตย์ตกจะได้ชิมทั้งอาหารเคล้าวิวสวยๆกันเลย เสียดายเรามาช้าไปหน่อย แต่ยังไงบรรยากาศร้านก็น่ารักและเป็นกันเองมากเลยครับ



อาหารที่นี่เน้นผัก จากสวนครัวของร้าน จะปลูกเพื่อทำให้แขกทานที่สำคัญไม่ใช้ยาแต่อย่างใด ถือเป็นพืชผักเกษตรอินทรีย์ โดยแท้ทีเดียว มาดูอาหารกันดีกว่า เริ่มที่ หมี่แกงกะทิปู เสริฟพร้อมเนื้อปูแน่นๆทีเดียว


ต่อด้วยลาบปลากระพงขาว รสชาติแซ่บแต่ไม่ได้เผ็ดแบบทางใต้แท้ๆนะครับร้านนี้เน้นรสชาติกลมกล่อมกำลังดี


มีแกงกะทิไก่หยวกกล้วย พี่เจ้าของลงมาดูแลด้วยตัวเองเดินทักทายแขกทุกคน แวะมาที่โต๊ะเราเลยเล่าว่าผักทุกชนิดเราปลูกกันเอง อย่างหยวกกล้วยนี้ก็ใช่นะครับ


มีที่ผมติดใจทีสุดคือสลัด ใช่ครับสลัดเนี่ยละตัวผักสดแล้วมาเจอน้ำสลัดทำเองอร่อยมากกก รสชาติอย่าหาว่าอวยเลยนะครับ สลัดที่กรุงเทพฯที่เคยทานยังชิดซ้ายเลย


อีกเมนูคือกุ้งย่างน้ำแจ่ว สูตรน้ำแจ่วเป็นของร้านอีกเช่นกันเมนูนี้รสชาติถือว่าจัดจ้านกำลังดีไม่เผ็ดมากครับ

ที่ผมยกให้เลยว่าเป็นเมนูเฉพาะท้องถิ่นอีกเช่นกันและไม่เคยรู้ว่ามันมีอยู่ด้วยคือ หลนเห็นแครง รสชาติหอมกะทิมาก ตัวเห็ดมีรสชาติว่าไปคล้ายๆหมูแบบไม่น่าเชื่อครับ เห็ดชนิดนี้จะมีเฉพาะทางใต้อีกเช่นกันเพราะเป็นเห็ดที่เกิดขึ้นบนไม้ยางพาราเท่านั้น ถือว่าเป็นอาหารแปลกที่อร่อยสำหรับพวกเรามากที่สุดเลย

คืนนั้นเรียกว่ากลับที่พักกันมืดแบบอิ่มหน่ำกันมากครับ ร้านทุกร้านที่ไปถือเป็นร้านแนะนำของจังหวัดทีเดียว ที่พักเราคืนนี้เป็นที่ “ปกาสัย รีสอร์ท" บูทีครีสอร์ท อยู่ที่อ่าวนาง อ่าวที่ใครๆก็น่าจะรู้จักดีที่สุดของกระบี่เลย ที่พักจะอยู่บนเนินนะครับ


บริเวณล็อบบี้รับแขก ตอนเรามาได้ Welcome Drink เป็น น้ำผลไม้ผสมกับน้ำหวานเฮลบูลบอยหอมหวานชื่นใจดีครับ


บริเวณล็อบบี้ไม่กว้างมากนะครับแต่ก็ดูแปลกตาดีด้วยการเอาเรือมาตกแต่ง


สีสันยามใกล้ๆค่ำสวยงามทีเดียวครับ


ถัดมาดูห้องพักกันห้องเราเป็น Type Superior ครับมีเตียง King Size อยู่กลางห้อง


ห้องมีอ่างอาบน้ำอยู่ตรงเฉลียงด้วย เดินทางมาเหนื่อยๆนอนแช่น้ำอุ่นนี้สุขสุดๆเลย


ห้องพักขนาดกว้างใช้ได้เลยครับ


ห้องน้ำแยกเป็นสัดส่วนกันก็ตกแต่งสไตล์ Modern


มาดูแถวๆห้องอาหารกันบ้าง ที่นี่ใช้เรือในการตกแต่งโดยรอบก็เก๋ดีครับ


บริเวณโดยรอบก็ตกแต่งรมรื่นดีนะครับ มีสวนอยู่ในบริเวณห้องอาหาร ตอนเช้ามานั่งทานอาหารที่นี่ก็ดูสวน(จริงๆ)เพลินๆดีครับ

ไลน์อาหารโดยรวมผมว่าใช้ได้มาตรฐาน 4 ดาว รสชาติโอเคนะครับ แต่ที่นี่ไม่เน้นหมูนะอาจจะเพราะในพื้นที่เป็นชาวมุสลิมเยอะก็ใช่นะครับ

สระมรกต


ท้องอิ่มก็ได้เวลาเดินทางกันแล้ว วันนี้เรามาเริ่มกันที่สระมรกตครับ ที่ๆฮิตอีกแห่งของกระบี่ใครไปใครมาก็ต้องแวะมาเที่ยวเพื่อชมสระมรกตกันสัก ครั้ง ซึ่งจริงๆแล้วที่นี่สามารถเที่ยวได้ทั้งปี
ก่อนถึงตัวสระมรกตหากเราเดินทางปรกติจะเป็นระยะทางตามป้าย แต่หากอยากรู้จักธรรมชาติรอบๆตัวให้ดีกว่านี้ตรงทางเดินเส้นตรงก่อนไปจะมีเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติทีนา โจลิฟฟ์ (ทุ่งเตียว) ซึ่งตั้งชื่อตามคุณทีนา โจลิฟฟ์ ชาวอังกฤษ ผู้ริเริ่มความคิดที่จะรักษาอนุรักษ์ป่าดิบชื้นผืนนี้ไว้ไม่ให้ถูกทำลาย เพื่อเป็นการระลึกถึงความตั้งใจและเป็นอนุสรณ์สำหรับคุณทีนา จึงตั้งชื่อเส้นทางศึกษาธรรมชาติเส้นนี้ว่า เส้นทางศึกษาธรรมชาติทีนา โจลิฟฟ์ (ทุ่งเตียว) เส้นทางเดินศึกษานี้มีระยะทาง ๒.๗ กิโลเมตร ตลอดเส้นทางจะมีป้ายสื่อความหมายที่จะคอยบอกเล่าถึงเรื่องราวต่างๆ บอกชื่อต้นไม้นานาพรรณให้รู้จักที่อยู่ในป่าให้นักเดินทางได้ศึกษาหาความรู้ได้ด้วยตนเอง



นัก ท่องเที่ยวสามารถมาเที่ยวที่นี่ได้ แต่จะต้องเสียค่าธรรมเนียมการเข้าชมสำหรับคนไทย 20 บาท และชาวต่างชาติ 200 บาท ซึ่งทางเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฯ จะเปิดบริการให้นักท่องเที่ยวเข้าชมพื้นที่ได้ในเวลา 8.30 น. – 17.00 น. ของทุกวัน

สระมรกตสมชื่อมากๆ สีเขียวเทอควอย์ ยังคงน่าตื่นตาเสมอผมมาที่นี่เป็นครั้งที่สองแล้ว ยังประทับใจเลย


ความเป็นมา ด้วยแหล่งกำเนิดที่มาจากธารน้ำอุ่น ในผืนป่าที่ราบต่ำ เป็นน้ำพุร้อนที่มีลักษณะเป็นสระน้ำร้อน 3 สระ ที่มีความกว้างของสระประมาณ 20 เมตร ยาว 25 เมตร ลึกประมาณ 1.5 – 1.8 เมตร และมีอุณหภูมิของน้ำประมาณ 30-50 องศาเซลเซียสน้ำใสเป็นสีเขียวมรกตรอบๆ บริเวณเป็นป่าร่มรื่นเขียวครึ้ม คาดกันว่าสาเหตุที่ทำให้น้ำใสและเป็นสีเขียวใสมรกตแบบนี้ จากข้อมูลที่เป็นป้ายบอกไว้โดยรอบนั้น เนื่องมาจากของเหลวที่อยู่ใต้ชั้นหินก้นสระรวมแร่ธาตุต่างๆไว้มากโดยเฉพาะแร่ที่เรียกว่าแมกม่า (Magma) ระเหยความร้อนขึ้นมานั่นเองเหตุผลที่ทำให้น้ำในสระแห่งนี้ มีสีเขียวใสราวมรกตได้ก็เพราะ ในน้ำมีธาตุหินปูนหรือแคลเซี่ยมคาร์บอเนตผสมอยู่มาก ซึ่งธาตุหินปูนนี้จะทำให้สิ่งที่ปะปนอยู่ในน้ำตกตะกอนได้เร็วขึ้นดังนั้นเมื่อโดนแสงอาทิตย์จึงทำให้น้ำในสระเปลี่ยนกลายเป็นสีเขียวมรกตดั่งที่เราได้ เห็นกันอยู่นั่นเอง


สายน้ำจากตาน้ำธรรมชาติ สิ่งที่ธรรมชาติประทานมาให้เรา ใครมาเล่นน้ำที่นี่อย่าลืมปฎิบัติตนเป็นนักท่องเที่ยวที่ดีนะครับ ไม่เก็บหัก กิ่งไม้ หรือทิ้งขยะลงไปในที่ห้าม แล้วเราจะมีธรรมชาติดีๆให้ได้ชื่นชมกัน


มีข้อควรระวังสำหรับผู้ที่มาเล่นน้ำในสระแห่งนี้ก็คือ งดดื่มหรือกินน้ำจากสระมรกตแห่งนี้ อย่างที่บอกไว้ด้านบน น้ำในสระมรกตจะมีส่วนประกอบของธาตุหินปูนปะปนอยู่เป็นจำนวนมาก จนอาจทำให้ผู้ที่ดื่มเข้าไปอาจจะทำให้เป็นนิ่วได้

มาแล้วก็ต้องไปแวะชมตาน้ำ หรือที่เค้าเรียกกันว่า “สระน้ำผุด" ถือเป็นแหล่งก่อให้เกิดลำธารและสายน้ำสระมรกตแห่งนี้


สระน้ำผุดถือเป็นตาน้ำที่พบจากแหล่งธรรมชาติแท้ๆ น้ำจะมีอุณหภมิที่สูงเกินกว่า 50 องศาเซลเซียสในบางช่วง จึงไม่เหมาะที่จะลงเล่น และทางอุทยานเองก็ไม่อนุญาติให้ลงเล่นได้เช่นกัน

แบบนี้ละที่เรียกว่ามหัศจรรย์เมืองไทย เพราะสีของน้ำสวยและงดงามมาก เป็นอีกแหล่งธรรมชาติที่ดีๆที่ต้องช่วยกันอนุรักษ์เอาไว้ครับ

มาต่อกันที่ “น้ำตกร้อนคลองท่อม"


ค่าเข้าชม คนไทย เด็ก 10 บาท ผู้ใหญ่ 20 บาท ต่างชาติ เด็ก 100 บาท ผู้ใหญ่ 200 บาท



เปิดให้เข้าชมตั้งแต่ 08.30 น. ถึง 17.00 น. ทุกวัน



น้ำตกนี้อยู่ไม่ไกลกันนัก ที่น้ำตกร้อนแห่งนี้ถือเป็น น้ำพุร้อนที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติอีกเช่นกันน้ำจะไม่ร้อนมาก มีอุณหภูมิประมาณ 40-50 องศาเซลเซียส เป็นน้ำร้อนที่ซึมขึ้นมาจากผิวดินซึ่งมีป่าละเมาะปกคลุมร่มรื่น สายน้ำไหลไปรวมกันตามความลาดเอียงของพื้นที่ บางช่วงมีควันกรุ่นและคราบหินปูนธรรมชาติพอกอยู่เป็นชั้นหนาทำให้เกิดทัศนียภาพสวยงามแปลกตา โดยเฉพาะบริเวณที่ธารน้ำร้อนไหลลงสู่คลองท่อมลดระดับเกิดเป็นลักษณะคล้ายชั้นน้ำตกเล็กๆ

เสร็จจากการไปชมแหล่งท่องเที่ยวที่ถือเป็น Unsseen Thailand แล้วเราแวะมาชมและสำรวจแหล่งท่องเที่ยวและถือเป็นที่พักไปพร้อมๆกันด้วย เป็นรีสอร์ทที่ดูจะเน้น เพือสุขภาพ ที่นี่คือ วารีรัก ฮอทสปริง รีทรีต รีสอร์ทเดียวที่มีบ่อน้ำพุร้อนอยู่ใกล้ๆน้ำตกร้อนคลองท่อม เรียกว่าแทบจะใช้รั้วกั้นเดียวกันเลยครับ


ที่นี่ถือเป็นรีสอร์ทและสปา เปิดให้บริการสปาบำบัดด้วยน้ำพุร้อนจากธรรมชาติ ทางรีสอร์ท ได้นำ Concept การใช้ วารีบำบัด มาผสมผลานการทำสปา และนวดไทยไว้ด้วนกัน


วันที่เราเข้าไปทางรีสอร์ทได้เตรียมการ สาธิต การดูแลและบำบัดสุขภาพแบบคอร์สครึ่งวันให้เราได้ชมด้วย ป่ะไปดูกันว่าเค้าบำบัดกันยังไงบ้าง เริ่มกันที่ก่อนจะลงแช่ตัวน้ำพุร้อน จะมีการขัดผิดเพื่อทำให้ผิวหนังตื่นตัวแลซึมซับแร่ธาตุต่างๆเข้าสู่ผิวกายเราได้



ชุดทุกอย่างทางรีสอร์ทเตรียมไว้ให้แขกที่เข้าพักทุกคน บริการทุกอย่างจะเป็น All include คือ เค้าจะมีเป็น package ให้เราเลือกได้เลย เช่น รวม สปาวารีบำบัด และอาหาร และหากอยากพักผ่อนแบบแนบชิดธรรมชาติก็จะมีที่พักไว้รองรับ ขึ้นอยู่กับเราที่จะเลือก Package แบบไหนนั้นเอง



พอขัดผิดเรียบร้อยก็ได้เวลาลงแช่น้ำพุร้อนกันแล้วครับ ตอนเริ่มจะให้เริ่มกันที่บ่อนำอุ่นกันก่อน อุณหภูมิจะถูกควบคุมไว้ไม่เกิน 30 องศาเซลเซียส


แช่บ่อแรกไม่ควรเกิน 15-20 นาทีจากนั้นไปบ่อหลักที่ควบคุมอุณหภูมิไว้ที่ 40-50 องศาอีก15 นาที เวลาโดยประมาณนี้ทุกบ่อ แต่หากใครจะแช่นานขึ้นก็ทำได้แต่ก็ควรจะเป็น Step ขั้นตอนการแช่ตามลำดับที่เจ้าหน้าที่เค้าแนะนำไว้



และหากใครยังไหวสามารถไปแช่ที่บ่อแรกที่ถือเป็นจุดพักน้ำพุร้อนอุณหภูมิจะสูงเกิน 50 องศาเซลเซียส และเมื่อแช่กันครบแล้ว ก่อนจะขึ้นเราจำเป็นต้องแช่น้ำเย็นก่อนเพื่อปรับอุณหภูมิของร่างกายให้กลับสู่ปรกติ ไม่งั้นอาจจะรู้สึกเพลียเกินไปได้ อันนี้จะมีเจ้าหน้าที่ของรีสอร์ทคอยให้คำแนะนำ และที่นี่ค่อนข้างสงวนความเป็นส่วนตัวของแขก บ่อไหนที่แขกแช่อยู่จะไม่อนุญาติให้เข้าไปชมได้ ซึ่งผมก็ว่าดีเพราะเวลาแช่น้ำควรเป็นเวลาพักผ่อนของแขกจริงๆครับ

หมดจากแช่น้ำร้อนยังมานวดไทยกันต่อได้ ดูๆไปคอร์สวารีบำบัดที่นี่ก็เหมาะกับคนที่สนใจ อยากพักผ่อน และผ่อนคลายร่างกาย ให้ธรรมชาติเป็นตัวช่วยบำบัดให้เราได้ ส่วนตัวผมลองทุกอย่างด้วยตัวเองดูแล้วก็ประทับใจนะครับ รู้สึกร่างกายเรา Fresh ขึ้นและสดชื่นมากๆทีเดียวละ

ครึ่งวันแรกเราจบที่อาหารสำหรับสุขภาพอีกเช่นกัน จะอยู่ใน Set ที่เราเลือกไว้ อาหารที่นี่รสชาติกลางๆครับไม่ปรุงจัดจ้านเหมือนร้านวันแรกๆที่เราไปชิมกันมา ถือเป็นมื้อเที่ยงอร่อยและสุขภาพดีใช้ได้เลย

มาดูห้องพักสักหน่อยครับ ที่พักที่นี่คง Concept พักผ่อนจริงๆ ห้องพักจะมีสิ่งอำนวยความสะดวกทุกอย่างยกเว้น “ทีวี"เพราะงั้นใครติดละครทีวีทั้งหลายคงต้องงดชั่วคราวนะครับ มาดูห้องแรกกันก่อน บ้านไม้ไผ่ห้องพักก็สะอาดสะอ้านดีครับห้องนี้ไม่ติดแอร์นะครับ มีทั้งแบบเตียงเดี่ยวและเตียงคู่สามารถเลือกได้



บ้านอีกแบบจะสะดวกสบายขึ้นมีแอร์ให้ จะเป็นแบบบ้านบนอาคารครับ


มีอ่างอาบน้ำให้นอนแช่ได้และวิวต้นไม้ก็สวยดีด้วยนะ

อิ่มกันดีแล้วก็ได้เวลาไปหาที่เที่ยวใหม่ๆกันต่อ ตลอดทริบนี้ถือว่าโชคดีที่เราเจอฝนน้อยมาก อย่างมากก็ครึ้มๆแต่ก็ไม่ได้ตกสาดลงมาแต่อย่างใด ทำให้การเดินทางค่อนข้างไม่พบอุปสรรค์ใดๆครับ และวันนี้เรามาปิดวันกันที่ หาดเขากวาง กัน หาดนี้ถือเป็นชายหาดเศรษฐกิจของจังหวัดในด้านอุตสาหกรรมการถลุงและขนส่งแร่ยิบซัม


แต่ที่เราสนใจกันจริงๆก็ตรงวิวตรงสะพานท่าเรือน้ำลึกที่สวยและแปลกตาจนต้องจอดรถกันเลย วิวแบบนี้หาไม่ได้ง่ายๆเลยใครจะรู้ว่ากระบี่มีท่าขนส่งแร่สำคัญของจังหวัดทางภาคใต้ไว้อยู่ที่นี่ด้วย ชาวบ้านแถวๆนั้นเล่าว่าทุกๆวันที่มีการขนส่งแร่กัน รถบรรทุกนับสิบคันจะเทียววิ่งเข้าวิ่งออกย่านนี้กันตลอดทั้งวันไปจนถึงมืดค่ำในบางวันกันเลย ชายหาดที่นี่บางจุดไม่เหมาะจะเล่นน้ำนะครับ เพราะมีโขดหินอยู่เยอะหากคุณอยากแวะมาถ่ายภาพสะพานขนส่งแร่นี้ มาตอนช่วงใกล้ๆค่ำแบบเราจะได้ภาพพระอาทิตย์ตกไปพร้อมๆกันจะสวยงามและแปลกตามากทีเดียว



ชีวิตผู้คนโดยรอบอยู่กันแบบชาวบ้านแต่ก็ดูมีความสุขกันดีภาพพ่อลูกช่วยกันแกะหอยปลา ปูออกจากแหน่าจะบอกเล่าเรื่องราววิถีชีวิตผู้คนย่านนี้กันได้ และวันนี้เราก็มาปิดทริบกันที่นี่นั้นเอง

เที่ยวกันมาทั้งวันสุดท้ายเรามาตบท้ายมื้อค่ำตรงแถวใกล้ๆที่พักเราเองครับ มื้อนี้มาที่ร้าน Lae Lay Grill Restaurant อ่าวนาง


ร้านนี้จะอยู่บนเขา ทำให้ได้เห็นวิวทะเลและ ละแวกใกล้ๆอ่าวนางไว้ มาวันที่พระจันทร์เต็มดวงจะสวยเป็นพิเศษ การตกแต่งจะสไตล์ Modern ให้สีสันร้อนแรงทีเดียว


มาดูอาหารกันบ้าง ร้านนี้จะรสชาติจัดจ้านแบบไทยๆเลยแม้สไตล์อาหารจะดูเป็นอาหารสไตล์ฟิวชั่นผสมผสานหลากหลายชาติก็ตาม เริ่มที่ กุ้งล็อปเตอร์ครับ สดจริงๆสดจนไม่อยากบีบมะนามที่ให้มาใส่เข้าไปเดี๋ยวเสียรสชาติ 55


ต่อด้วยแกงเผ็ดเป็ดย่างครับอันนี้อร่อยจริง รสชาติถึงเครื่องใช้ได้เลยนะ


ปอเปี๊ยครับ อันนี้เสริฟเป็นจานแรกๆเลยอร่อยดี

หมูฮ้อง ครับจากนี้จะคล้ายๆกับขาหมูเหมือนกันแต่เนื้อจะออหวานกว่านะครับเสริฟมาพร้อมมันเป็นแผ่นๆในจานอร่อยดีนะผมว่า


เป็นอีกมื้อที่จัดเต็มอีกเช่นกัน

วันที่สาม วันสุดท้ายแล้ว


วันนี้ทริบเราตั้งใจจะไปให้ได้สองที่และหนึ่งในนั้นคือ ทะเลแหวกครับ สุดยอด Unseen Thailand ตลอดกาลของทะเลกระบี่ การไปเที่ยวทะเลแหวกเดี๋ยวนี้ไปง่ายมาก เพราะทางจังหวัดกระบี่จัดระเบียบ เรือหางยาวแบบ Taxi ทำเป็นราคากลางติดป้ายให้เห็นชัดเจนทั้งเส้นทางและราคาแบบ เรือหางยาวพาเที่ยวให้เราเลือกได้ และคนเรือทุกคนจะมีเครื่องแบบใส่ให้ทราบว่าเป็นคนเรือเพื่อให้นักท่องเที่ยวทั้งไทยทั้งเทศเที่ยวได้อย่างสบายใจและปลอดภัย สนนราคาตามนี้เลย ราคาเหมาสำหรับครึ่งวัน 1,700 บาท เที่ยวได้ หลายจุดหากจะไปเป็นจุดๆก็ดูราคาตามป้ายได้เลย สบายใจดีครับ หรือหากอยากทัวร์เต็ม 1 วัน โดยทั่วไปมักนิยมเที่ยวกันทั้ง หมด 4 เกาะคือ เกาะไก่ เกาะหม้อ เกาะทับ และเกาะปอดะ ราคาก็ไมได้แพงอะไรนะครับหากไปกันหลายๆคน



มาถึงทะเลแหวกกันบ้างทะเลแหวก เกิดจากแนวซึ่งเป็นสันทรายสีขาวละเอียดนวลตา ที่เกิดในช่วงน้ำลง เชื่อมเกาะไก่ เกาะทับ และเกาะหม้อ เข้าวด้วยกัน เป็นปรากฎการณ์ธรรมชาติที่จะเกิดขึ้นในช่วงน้ำลดนำขึ้นซึ่งจะแปรผลันไปตามเวลาข้างขึ้นข้างแรม



หากคุณมาช่วงเวลาตอนข้างขึ้นหรือข้างแรมไม่เกิน 7 ค่ำ จะต้องมาช่วงเช้าๆมากพอยิ่งไม่เกิน 9 โมงเช้าได้ยิ่งดีคุณจะเจอแนวสันทรายยาวทีเดียว หรือหากมาช่วง เลย 15 ค่ำไปแล้วจนถึง 1-2 ค่ำ ทั้งข้างขึ้นและข้างแรม ก็ควรจะมาช่วงหลัง 4 โมงเย็นไปแล้วถึงจะได้เจอปรกฎการณ์นี้ได้ เพราะงั้นวันที่เดินทางมาเที่ยวหากอยากเห็นปรากฎการณ์นี้อย่างเต็มตาดูช่วงเวลามากันให้ดีนะครับ


ตอนออกเรืออากาศยังไม่เป็นใจเท่าไหร่ นั่งเรือไปเสียวเจอฝนไปแต่สุดท้ายไปถึงแดดดีเชียวล่ะ


บ้านริมหาดน่าจะเป็นของอุทยานเอง ดูแล้วได้อารมณ์ทะเลต่างประเทศดีเหมือนกันนะครับ สวยๆ

กิจกรรมบนเกาะเราเลือกกันได้ตามอัธยาศัย แต่ที่นิยมคงไม่พ้นถ่ายรูปกันเอง เราเก็บสาวๆมาฝากด้วยนะครับ ^_^

เกาะถัดมาที่เราแวะกันคือ “เกาะปอดะ" เกาะอีกเกาะที่สวยงาม มีหาดสีขาวสวยนวลตาอยู่แทบจะติดกันกับเกาะทับเลย หากคุณมาจากฝั่งจะถึงก่อนด้วยซ้ำแต่โดยปรกติคนเรือจะพาแวะก่อนกลับซะมากกว่า



แถวๆจุดถ่ายภาพของเกาะเห็นวิวเกาะหินปูนสวยๆเป็น Background



เกาะนี้ขนาดเล็กๆ เดินแป๊บๆก็รอบเกาะแล้วครับ จุดเด่นอยู่ตรงชายหาดเม็ดละเอียดตรงหน้าหาด หากมาในฤดูร้อนแล้วน้ำจะใสแบบ เห็นเรือลอยจนไม่มีเงากันทีเดียว



หมดครึ่งวันแล้วครับเรากลับมาเข้าฝั่งเพื่อเก็บของ Check Out จากโรงแรมโดยฝากของทั้งไว้ในรถ แล้วตัวพวกเราทั้งหมดมุ่งหน้าไปที่สุดท้าย ของทริบกันแล้ว ก่อนจะไปต้องมาเก็บสัญลักษณ์ประจำเกาะปูดำตรงท่าเรือ

เป้าหมายสุดท้ายของเราคือที่ “เกาะกลาง" เกาะที่อยู่ใกล้ท่าเรือและชายฝั่งกระบี่มากที่สุด เรานั่งเรือกันไม่ถึง 15 นาทีก็มาถึงแล้วครับ


การเดินทางจากท่าเรือมายังเกาะกลาง


สามารถ นั่งเรือหางยาวข้ามฟาก จากฝั่งมายังเกาะกลาง โดยใช้บริการได้ 2 ท่า คือท่าเรือสวนสาธารณะธารา มายัง ท่าเรือท่าเล โดยใช้เวลา 5 นาที และจากท่าเรือเจ้าฟ้า มายัง ท่าเรือท่าหิน ใช้เวลา 15 นาที เรือจะให้บริการตั้งแต่ 6 โมงเช้าถึง 3 ทุ่ม บริเวณท่าเรือท่าเล จะมีรถจักรยานให้เช่าปั่นเที่ยวรอบเกาะได้หรือจะเหมาะรถสามล้อก็ติดต่อกัน ได้ที่ท่าเรือได้เลย ระยะทางรอบเกาะประมาณ 11 กิโลเมตร

วิถีชีวิตชาวบ้านเกาะกลาง…เรียบๆง่ายๆ


ขึ้นมาเราแวะมาทานอาหารกันที่โป๊ะริมคลองที่โป๊ะของ “บ้านมะหญิง" ที่เกาะนี้เป็นประชากรเป็นชุมชนชาวมุสลิมแบบ 100% คนบนเกาะประกอปอาชีพประมง ทำสวน เป็นหลัก และยังใช้ชีวิตยึดหลักกินอยู่อย่างพอเพียงกันอย่างเหนียวแน่น

มาที่นี่นอกจากจะเป็นร้านอาหารแล้วเค้ายังมีโชว์ให้อาหารปลาในกระชังที่เลี้ยงไว้เพื่อให้นักท่องเที่ยวดูกันด้วย นับเป็นกิจกรรมระหว่างรอทานอาหารได้อย่างดีทีเดียว


อาหารมาแล้ว ที่นี่อาหารทะเลทุกอย่างสดมากๆเริ่มกันที่เนื้อปลากระพงก่อน


ต่อด้วยกุ้งซอสมะขาม อันนี้ Recommended ครับ ใครมาต้องสั่งกันนะ


แกงส้ม เชื่อแล้วครับว่าร้านอาหารดีๆที่นี่ทำแกงส้มมะพร้าวอ่อนกันอร่อยทุกเจ้าเลย อย่างของมะหญิงนี้รสชาติเข้มข้นไม่แพ้เจ้าไหนๆเหมือนกัน

หอยตลับผ้ดพริกเผาโรยด้วยกระเทียเจียวกรอบๆ อร่อยครับ จานนี้สำหรับผมอาจจะติดหวานนิดหน่อย แต่ก็เข้มข้นดีทุกอย่าง

อิ่มกันดีทุกอย่างได้เวลาออกไปสำรวจแหล่งท่องเที่ยวบนเกาะกันแล้ว สำหรับการเดินทางเที่ยวบนเกาะจะเหมาะที่สุดก็คงเป็น การนั่งสามล้อพ่วง หรือไม่ถ้าอยากช้ากว่านั้นก็ควรจะปั่นจักรยานกัน ตรงท่าเรือจะมีรถจักรยานให้เช่าปั่นชมเที่ยวบนเกาะได้ หรือหากไม่อยากปั่นก็ใช้บริการรถสามล้อ ที่เค้ามีให้เหมาะพาเที่ยวรอบเกาะกันได้ เส้นทางรอบเกาะมีระยะทางอยู่ราว 11 กิโลเมตรเท่านั้น


การเที่ยวบนเกาะกลางจะเป็นการเที่ยวชมวิถีชีวิตและวัฒนธรรมการเป็นอยู่ของผู้คนที่เหมือนจะยังคงใช้ชีวิตตามบรรพบุรุษแต่ดั้งแต่เดิมกันมานาน เป็นวิถีชีวิตที่เรียบง่าย แต่เคารพธรรมชาติอย่างสูง ที่แรกที่เรามาแวะทำความรู้จักกันคือ ที่ตำบลคลองประสงค์ ที่ๆมีการทำนาปลูกข้าวบนเกาะในแบบข้าวเกษตรอินทรีย์ จะเป็นไงไปดูกันครับ


เรามาเพื่อเจอกับเกษตรกรดีเด่น บังประวัติ คลองรั้ว ผู้ริเริ่มปลูกข้าวอินทรีย์ขึ้นเป็นคนแรกของเกาะกลาง บังประวัติเล่าให้เราฟังว่า แต่ก่อนยังไม่มีการปลูกข้าวกัน จะกินข้าวกันทีต้องใช้วิธีการแลก คือจับปลาแล้วเอาไปแลก กันที่ตลาด ใช้วิธีนี้กันมาตั้งแต่รุ่นทวดแต่พอบังเป็นคนแรกที่ริเริ่มสมัยเริ่มต้นแรกปลูกอะไรไม่ขึ้น จนมาพบกับ “ข้าวสังฆ์หยดเหนียว"


ข้าวพันธ์นี้เป็นข้าวเหนียวที่ได้พันธ์ทดลองมาจากศูนย์เพาะพันธ์ข้าวจังหวัดพัทลุง การจะได้รับการรับรองว่าเป็นเกาตรอินทรีย์แท้จริงจะต้องมีการตรวจสอบจากกรมการข้าว เท่านั้นหากไม่มีการรับรองดังกล่าวแม้จะปลูกจริงแต่ก็ถือว่าไม่นับได้ ต้องบอกว่าที่นี่ให้ความสำคัญกับเกษตรอินทรีย์จริงๆครับ ที่สำคัญที่นี่จะปลูกข้าวกันปีละครั้งเท่านั้นเริ่มว่านกันเดือนแม่(สิงหาคม) เก็บเกี่ยวเดือนพ่อ (ธันวาคม) จนตอนนี้ที่ต.คลองประสงค์เป็น ต.ที่ปลูกข้าวกันหมดแล้ว โดยชาวบ้านจะปลูกข้าวไว้แบ่งขายครึ่งนึง เก็บกินเองครึ้งนึง เป็นวิถีชีวิตชุมชมที่ยึดหลักการอย่างเหนียวแน่นมากๆ ผมเองอยากซื้อกลับมาลองกินเองยังไม่มีขายเลย เสียดายครับ ในภาพเป็นข้าวพันธ์นี้แต่เป็นของชาวบ้านจากตำบลอื่นนะครับ

จุดต่อมาเรามาที่ชุมชนกลุ่มประกอปเรือหัวโทง เรามาพบกับผู้ริเริ่มเกิดเป็นธุรกิจในตำบลจนได้รับรางวัลประจำจังหวัดถือเป็นสัญลักษณ์ประจำจังหวัดกระบี่ เป็นสินค้า Otop ทีเชิดหน้าชูตาจังหวัดเสมอมา


เรามาพบกับผู้ก่อตั้งกลุ่มประกอบเรือหัวโทงกันครับ “บังสมบูรณ์ หมั่นค้า" ประวัติเรือหัวโทงคือในสมัยโบราณเรือหัวโทงใช้กันมากในทะเลกระบี่เป็นเรือแจว เรือพาย สำหรับข้ามฟากไปมาระหว่างเกาะและฝั่ง แหล่งที่ต่อเรือเยอะที่สุดก็คือกระบี่นี่เอง และขยายออกไปยังจังหวัดใกล้เคียงกันอย่าง ตรัง ระนอง พังงา ภูเก็ต สตูล 6 จังหวัด และทำกันมาตั้งแต่รุ่นพ่อ

จนภายหลังค่อยๆหายไปตามกาลเวลาเพราะการทำเรือหัวโทงจำเป็นต้องใช้ไม้ทั้งท่อนมาขุดจนกลายเป็นเรือ ในภายหลังเปลี่ยนจากการขุดเป็นการประกอปและยังมีใช้กันอยู่แต่นำมาติดตั้งประกอปเครื่องยนต์แทนการพายหรือแจว


สำหรับการทำโมเดลจำลองเรือหัวโทง บังเริ่มต้นเมื่อปี 2542 และมาประสพความสำเร็จได้ขึ้นเป็นสินค้า Otop ของจังหวัดกระบี่ในปี 2547


ตัวเรือหัวโทงทำจากไม้เนื้ออ่อน จำพวกไม้ตีนเป็ด ไม้หว้า ไม้กระท้อน ราคาขายเริ่มต้นตั้งแต่ 300 บาท ไปจนถึง 100,000บาทก็ยังมี ขึ้นอยู๋กับขนาดเป็นสำคัญ สำหรับเรือของจริง ราคาซื้อขายในปัจจุบันจะอยู่ที่ 100,000-300,000บาท ยังไม่รวมเครื่องยนต์ครับ



มาถึงของแปลกอีกอย่าง ในมือพี่เค้าเรียกว่าไฟตบ หรือภาษากลางบ้านเราคือไฟแช็คนั้นเองครับ โดยเค้าใช้ปลายแหลมของเขาควาย ในการจุดไฟเป็นการเอาเยื่อต้นเตาร้าง มาตากแดด ให้แห้งจนมันยุ่ยเป็นขุ่ยๆเกาะกันอย่างที่พี่เค้าถือจากนั้นนำไปบรรจุเข้าไปในเขาควาย และใช้แท่งไม้ที่เห็นนั้นล่ะครับตบเข้าไป พอดึงออกมาไฟจะติด เป็นภูมิปัญญาชาวบ้านโดยแท้ ภูมิปัญญาแบบนี้ละครับที่จะค่อยๆหายไปตามความสะดวกสบายที่เข้ามาแทน

ที่สุดท้ายที่เราแวะมาชมกัน คือ “การทำผ้าปาเต๊ะ" จากชุมชนเกาะกลาง เป็นกลุ่มแม่บ้านที่ใช้เวลาว่างทำเป็นอาชีพเสริมแต่พอได้รับความนิยมจนเริ่มรวมกลุ่มกันเป็นกลุ่มทำผ้าปาเต๊ะเกาะกลาง


วิธีการทำผ้าปาเต๊ะยังถือเป็นวิธีดังเดิมคือมีแม่พิมพ์ลายที่แกะสลับจากเหล็กและใช้เทียนเป็นตัวทำลายทั้งหมด


โดยผสมผสานกันระหว่างการทำผ้าปาเต๊ะของชาวมาเลย์ กับการทำผ้าบาติค ที่มีสีสันและลวดลายที่ออกมามีสีสันงดงาม


การทำลายผ้าหลังปั้มลงไปที่ผ้า ไม่กี่นาทีก็สามารถนำมาลงสีได้แล้ว


ผ้าหลังลงสีออกมาสีสันสดใสอย่างนี้เลย


ที่ตากผ้าในร่มหลังจากลงสีทำลายไว้เรียบร้อยแล้ว

ถือเป็นงานฝีมือที่ชาวบ้านร่วมแรงร่วมใจกันทำจนเป็นอาชีพอีกหนึ่งอย่างบนเกาะที่ส่งขายในเมืองได้เลย

จากนี้เราก็ได้เวลากลับแล้วครับ เรากลับมาขึ้นเรือที่ โป๊ะของมะหญิง และตรงกลับเข้าฝั่งกันเลย


และแล้วก็ได้เวลากลับเข้าฝั่งแล้วคร้าบบและก็ได้เวลากลับบ้านกันแล้ว



ทริบนี้ถือเป็นอีกทริบที่ได้รับประสพการณ์ที่แปลกใหม่ ได้มารู้จักกระบี่ ในมุมมองใหม่ ในฤดูที่ใครๆคิดว่าไม่น่าจะสามารถท่องเที่ยวกันได้

อ่อลืมไปทริบกระบี่นี้เราเดินทางด้วยโปรโมชั่น บินดีอยู่ดีกับสายการบิน บางกอกแอร์เวย์ ที่จัดโปรโมชั่นราคาดีๆ มาร่วมกับที่พักที่เราได้พักแบบ 3 วัน 2 คืนที่เรามาทริบนี้นั้นเอง


ข้อดีที่ผมชอบเวลาบินของสายการบินนี้คือ ทุกๆสนามบินที่มีบินลงจะมี Lounge ไว้คอยต้อนรับลูกเรือทุกคน และของกระบี่นี้ก็ถือว่าเป็น Louge ที่สวยงามทีเดียว ผมมาถึงก่อนเครื่องขึ้น 1 ชั่วโมงเศษๆ มีขนม ของกิน น้ำผลไม้ให้กินไม่ขาด

ตอนมาถึงคนยังน้อยมาก แทบยึดเป็นที่ของตัวเองได้เลย


มีโอกาสวันหน้าจะมาบินด้วยไหมครับ



สรุปกันซักนิด



ทริบกระบี่นี้ต้องขอขอบคุณการท่องเที่ยวประจำจังหวัดกระบี่ ที่ชวนพวกเราลงมาเปิดแหล่งท่องเที่ยวจังหวัดกระบี่ในช่วง กรีนซีซั่น ให้เราได้รู้ ได้เห็น และได้พบรักกระบี่ ในวันเวลาที่แสนสดชื่น พบเจอสถานที่แปลกใหม่ ได้สัมผัสได้เรียนรู้ สถานที่สวยงาม วิถีชีวิตที่หาได้ไม่ยาก หากไม่เปิดตาและเปิดใจ ที่จะเดินเข้าไปทำความรู้จัก เรียนรู้ ท้ายนี้หวังว่ารีวิว กระบี่…ที่คิดถึงนี้จะช่วยพาคุณๆเที่ยวไปพร้อมๆกันได้และหวังขึ้นไปอีกว่าคุณๆจะมีความสุขไปพร้อมๆกันกับพวกเรา

รีวิวนี้ตั้งใจทำมากทุกๆภาพใช้เวลารอคอยและบันทึกในช่วงเวลาที่พิเศษกันเพื่อนำมาฝากทุกๆคนได้เที่ยวเมืองไทยมุมมองใหม่

ไม่หวังใดๆมากมายนอกจากแค่คุณๆก้าวเท้าออกจากบ้านและเดินทางท่องไปในโลกสีฟ้าใบนี้ได้เราก็ดีใจแล้วครับ



จนกว่าจะพบกันใหม่ทริปหน้า ทริปนี้ล่ากันตรงนี้นะครับ สวัสดีครับ

ความคิดเห็น