เพื่อนๆ ไปเที่ยวทะเลครั้งแรกที่ไหนกันครับ

สำหรับผม ผมได้รู้จักทะเลครั้งแรก สมัยผมเรียนชั้น ป.1 พ่อกับแม่ได้พาผมไปเที่ยว “พัทยา” พัทยาจึงเป็นทะเลแรกที่ทำให้ผมได้รู้ว่า น้ำทะเลนั้นเค็มจริงๆ ความคิดของเด็กที่ไม่เคยรู้จักทะเลอย่างผมรู้แต่เพียงว่า ทะเลที่อยู่โดยรอบประเทศไทยคือพัทยา อาจจะเป็นเพราะ สมัยนั้นพัทยาน่าจะเป็นชายทะเลที่ดังที่สุดแล้ว ผมเชื่อว่า “ครั้งแรก” ของเด็กหลายๆ คน (รวมถึงผู้ใหญ่บางคน) คงจะตื่นเต้นไม่น้อย เมื่อได้มาเที่ยวทะเล คงจะอยากพิสูจน์ว่าน้ำทะเลมันเค็มจริงๆ เหรอ

จากวันนั้น ผ่านมาจนถึงสมัยผมเรียน ม.2 ทางโรงเรียนได้จัดทัศนศึกษา พาไปเที่ยวชายทะเลที่ชะอำ ครั้งนั้นเป็นครั้งที่สอง ที่ทำให้ผมเริ่มเปิดโลกทัศน์เกี่ยวกับทะเลมากขึ้น ผ่านมาจนถึงวัยทำงาน ผมเริ่มมีกำลังที่จะไปเที่ยวไหนต่อไหนด้วยทุนทรัพย์ของตัวเอง คราวนี้ได้ไปไกลหน่อย ได้ไปรู้จักกับทะเลฝั่งอันดามัน ที่หมู่เกาะสิมิลัน การเที่ยวทะเลครั้งนั้นมันติดตาตรึงใจผมเป็นอย่างมาก น้ำทะเลที่สิมิลันใสราวกับกระจก หาดทรายนุ่มเท้า ขาวสะอาด มันช่างสวยงามกว่าชายทะเลพัทยา ชายทะเลแห่งแรกที่ทำให้ผมได้รู้จักกับคำว่าทะเล

ผมได้ข่าวของพัทยาในทางที่ไม่ค่อยดีมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นหน้าชายหาดพัทยาเหลือน้อยลง หาดพัทยาสกปรก หาดพัทยาแออัดไปด้วยนักท่องเที่ยว ด้วยข่าวที่ไม่ดีแบบนี้ ทำให้ผมไม่คิดจะกลับไปเที่ยวพัทยาอีกเลย

ผ่านมาอีกเกือบ 20 ปี สมาชิกกลุ่มเที่ยวของผม อยากที่จะไปเที่ยวชายทะเลใกล้ๆ เสียงส่วนใหญ่ปักหมุดที่พัทยา ลำพังเสียงเล็กๆ ของผมเสียงเดียวคงจะชักแม่น้ำทั้งห้า เปลี่ยนใจพี่ๆ อีก 3 คนให้เปลี่ยนจุดปักหมุดไปที่อื่นไม่สำเร็จแน่ๆ ก็คงต้องเลยต้องเลยครับ

ไหนๆ ก็หนีไม่ออกแล้ว ผมเลยเริ่มค้นหาข้อมูลแหล่งท่องเที่ยวในพัทยา ยิ่งค้นหา ยิ่งทำให้ผมอยากจะไปสัมผัส อยากจะรู้จักพัทยาในมุมมองใหม่โดยเร็ว

10 สถานที่ต่อไปนี้ คือสถานที่ที่ผมค้นคว้าหาข้อมูลและได้ไปสัมผัสด้วยตัวเอง เป็น 10 สถานที่ที่ทำให้ผมต้องล้างความคิดเดิมๆ ว่าพัทยาไม่น่าเที่ยว เป็น 10 สถานที่ที่เมื่อผมมาพัทยาเมื่อไร ผมจะไม่พลาดที่จะกลับมาเที่ยวที่สถานที่เหล่านี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า และเป็น 10 สถานที่ที่ไม่อยากให้พวกคุณพลาด เมื่อมาเที่ยวที่พัทยาครับ

1. ชายหาดพัทยา

มาเที่ยวพัทยาแล้วไม่มาเที่ยวชายหาด เท้าไม่แตะผืนทราย ถือว่ามาไม่ถึงพัทยาครับ ผมเองก็ไม่รู้หรอกว่าชายทะเลส่วนไหนเรียกว่าพัทยากันแน่ เพราะชายหาดละแวกนั้น ตั้งแต่ชายหาดนาเกลือ พัทยาเหนือ พัทยากลาง พัทยาใต้ รวมถึงชายหาดจอมเทียน จะทอดตัวเป็นแนวยาวต่อๆ กันมา ผมเลยเหมารวมว่าทั้งหมดคือชายหาดพัทยา ชายหาดพัทยาในวันนี้แทบไม่เหลือเค้าโครงของพัทยาที่ผมเคยรู้จักเมื่อเกือบ 40 ปีก่อนเลย น่าดีใจที่ความแตกต่างนั้นไปในทางบวก มีการบริหารจัดการที่ดีขึ้น ทำให้หาดทรายดูสะอาด มีกิจกรรมทางน้ำให้นักท่องเที่ยวได้ร่วมกิจกรรมมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Banana boat เจ็ตสกี นอกจากนี้ยังมีร้านอาหาร โรงแรมหรูๆ รวมถึงสถานที่ท่องเที่ยวอยู่ตลอดแนวชายหาดพัทยาด้วย เมื่อเท้าได้สัมผัสผืนทรายแล้ว ผมแนะนำว่าให้ลองไปหาจุดชมวิวพัทยามุมสูงดูนะครับ ซึ่งตรงนี้อาจจะต้องไปใช้บริการของโรงแรมที่มีตึกสูงๆ สักหน่อย ไปปล่อยใจนั่งทอดอารมณ์ มันฟินแบบบอกไม่ถูก ได้เห็นแนวชายหาดที่ทอดตัวโค้งยาวไปจนสุดลูกหูลูกตา ถ้ามาจังหวะดีๆ ก็จะเห็นพระอาทิตย์ตกด้วย มันสวยงามเกินบรรยายจริงๆ ครับ

2. ปราสาทสัจธรรม

ปราสาทสัจธรรม นับเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ทรงคุณค่ามากๆ ผมมาด้อมๆ มองๆ ปราสาทไม้แห่งนี้หลายรอบแล้ว แต่ก็ต้องตัดใจเนื่องจากค่าเข้าชมที่ถือว่าแพงเลยทีเดียว (บัตรเข้าชม 500 บาท) ผมเคยได้มานอนพักโรงแรมใกล้ๆ ปราสาทแห่งนี้ และได้แอบถ่ายรูปจากด้านนอกปราสาทรวมถึงภาพมุมสูงด้วย ภาพที่ได้มากลับทำให้ผมอยากเห็นความอลังการด้านในตัวปราสาทสัจธรรมมากๆ ครับ

มาพัทยารอบนี้ อยากทำให้ความอยากรู้อยากเห็นของตัวเองหมดลง ต่อไปจะได้ไม่มีอะไรมาค้างคาใจอีก เลยยอมกัดฟันจ่ายค่าเข้าชม เพื่อไปพิสูจน์ความอลังการของปราสาทไม้ริมทะเลครับ

ปราสาทสัจธรรมสร้างอยู่บนเนื้อที่ประมาณ 80 ไร่ ตัวปราสาทสร้างขึ้นจากไม้แกะสลักทั้งหลัง เป็นทรงไทยจตุรมุข ด้านล่างของฐานเป็นลักษณะฐานสิงห์ ห้องโถงและหน้าต่างเปิดให้ลมและแสงสว่างเข้าออกทั้ง 4 ด้าน ศิลปะตบแต่งปราสาทเป็นศิลปะแนวความคิดใหม่ที่ผสมผสานกันตั้งแต่อยุธยาตอนต้นจนถึงศิลปะรัตนโกสินทร์ หลังคาซ้อนลดหลั่นกันสี่ด้าน ยอดเป็นสัญลักษณ์พระปรางค์ ยอดสูงทั้งสี่ด้านมีรูปแกะสลักลอยตัวสัญลักษณ์ของเทพยืนบนยอดทั้ง 4 ทิศ ตัวอาคารหลักมีความสูงถึง 105 เมตร กว้างยาวจากทิศเหนือจรดทิศใต้ 100 เมตร และทิศตะวันออกจรดทิศตะวันตก 100 เมตร พื้นที่ด้านในปราสาท 2,115 ตารางเมตร

กุบกับ ๆ ...เสียงฝีเท้าม้ากระทบกับพื้นดินดังเป็นจังหวะ ลอยเข้ามาในโสตปราสาทหู ฟังแล้วได้อารมณ์เหมือนได้ย้อนกลับไปในอดีต อีกหนึ่งกิจกรรมดีๆ ที่ทางปราสาทสัจธรรมได้จัดเตรียมรถม้าไว้ให้ผู้เข้าชมที่ต้องการสัมผัสบรรยากาศอย่างลึกซึ้งครับ

เมื่อมายืนอยู่ที่ฐานของตัวปราสาท ผมรู้สึกว่าตัวผมเล็กลงไปขนัดตา ความงดงามของงานไม้แกะสลัก ผสมผสานกับความยิ่งใหญ่ของตัวปราสาทมันดูอลังการงานสร้างมากๆ ครับ

ด้านนอกว่างดงามแล้ว ด้านในยิ่งงดงามกว่าเป็นไหนๆ งานแกะสลักด้านนอกจะเน้นของชิ้นใหญ่ แต่ด้านในนี่ เน้นความละเอียด ต้องบอกเลยว่า เดินชมไป ขนลุกไป ทึ่งในความสามารถของช่างแกะสลักจริงๆ ครับ

ความงดงามของโถงห้องด้านใน จะเป็นภาพจำหลักที่แสดงถึงเรื่องการก่อกำเนิดของโลกที่ประกอบขึ้นด้วยมหาภูตะรูป หรือ ธาตุ 4 เริ่มแต่ปฐมกาล "ฟ้า (จักรวาล)" สื่อถึงธาตุลมและธาตุไฟในจักรวาล และ "ดิน" สื่อถึงธาตุน้ำและธาตุดิน เป็นสถานที่ที่เป็นแหล่งก่อกำเนิดของทุกสรรพสิ่ง เรียกว่าสังขารโลก อันไม่เที่ยงเป็นทุกข์และไม่มีตัวตนแน่นอน และยังเป็นสิ่งสมมุติขึ้น

ใจกลางปราสาท เป็นห้องโถงใหญ่มีบุษบกทรงสถูปไม้แกะสลักสง่างามสื่อถึงสัญลักษณ์แห่งการหลุดพ้น ใจกลางบุษบกเป็นที่ประดิษฐานของพระบรมสารีริกธาตุครับ หันไปทางไหนเห็นแต่ประติมากรรมไม้แกะสลักที่วิจิตรพิสดารอยู่แทบทุกจุด

ไม้ที่นำมาใช้ในการสร้างมีทั้งไม้แดง ไม้ตะเคียน ไม้พันชาด ไม้เคียมคะนอง และไม้สักทอง ซึ่งล้วนเป็นไม้เนื้อแข็งที่สามารถรองรับน้ำหนักได้เป็นพันตัน เป็นไม้ที่ได้มาจากสัมปทานประเทศเพื่อนบ้าน เสาเอกเป็นไม้ตะเคียนทองอายุ 600 ปี การเข้าไม้ของปราสาทใช้การยึดต่อไม้แบบโบราณในการเข้าเดือยตอกสลัก เข้าลิ่ม เข้าหางเหยี่ยวโดยไม่มีการใช้ตะปูครับ


ติดกับตัวปราสาทจะเป็นโรงแกะสลัก มีช่างไม้ทั้งชายและหญิงกำลังสาละวนกับการแกะสลักไม้กันอย่างเอาจริงเอาจัง แต่เท่าที่สังเกต ช่างทุกคนสั่งตรงมาจากพม่าครับ ผมว่าจริงๆ แล้วช่างไทย ฝีมือดีกว่าช่างพม่าซะอีก แต่ติดที่ว่าคนไทยมีนิสัยรักความสบาย ชอบทำงานแบบเบาๆ งานหนักๆ ร้อนๆ แบบนี้คงไม่มีคนทำครับ


ผมเดินชมความยิ่งใหญ่อลังการของปราสาทไม้ร่วม 2 ชั่วโมง พยายามจะซึมซับความอลังการของปราสาทไม้ให้ได้มากที่สุด บอกเลยว่าความอลังการอย่างนี้หาชมกันไม่ได้ง่ายนัก เดินชมจนทั่วแล้วนึกขอบคุณเจ้าของปราสาทมากๆ ที่สร้างสรรค์สิ่งดีๆ ไว้คู่เมืองไทย มาพัทยาแล้ว ยอมจ่ายเงินค่าเข้าเถอะครับ รับรองว่าคุ้มค่ากับเงินที่เสียไปอย่างแน่นอน ปราสาทสัจธรรมได้รับรางวัลประเภทรายการแหล่งท่องเที่ยวดีเด่น จากรางวัลอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย ประจำปี พ.ศ. 2551 ด้วยครับ


ทางปราสาทสัจธรรม จะเปิดให้นักท่องเที่ยวได้เดินลงไปด้านล่าง ซึ่งเป็นที่ตั้งของปราสาทเป็นรอบๆ โดยรอบแรก เริ่มเวลา 08.30 น. และรอบต่อๆ ไปจะขยับทุกๆ ครึ่งชั่วโมง และเมื่อเราลงไปด้านล่างแล้ว เราจะใช้เวลาอยู่นานแค่ไหนก็ได้ ที่บันไดขั้นสุดท้าย จะมีเจ้าหน้าที่รอแจกหมวกเซฟตี้ให้กับนักท่องเที่ยวได้ใส่เดินช่วงที่อยู่ด้านในตัวปราสาทครับ

3. Art in Paradise

จุดถ่ายรูปเก๋ๆ ที่คนชอบแชะ ชอบแชร์ภาพอวดเพื่อนๆ ไม่ควรพลาด นั่นคือพิพิธภัณฑ์ภาพจิตรกรรม 3 มิติ Art in Paradise พิพิธภัณฑ์ภาพ 3 มิติที่ใหญ่ที่สุดในโลก เราไม่ต้องบินไปถ่ายภาพเท่ห์ๆ กับต้นกำเนิดภาพสามมิติที่เกาหลีกันอีกแล้ว เพราะเจ้าของภาพ 3 มิติที่เกาหลี ได้มาเปิดพิพิธภัณฑ์ที่พัทยาครับ ผมเองก็เคยไปชมพิพิธภัณฑ์ภาพ 3 มิติต้นฉบับที่เกาหลีมาแล้ว บอกเลยว่า ที่เกาหลีสู้ Art in Paradise บ้านเราไม่ได้เลยครับ ผลงานภาพ 3 มิติใน Art in Paradise รังสรรค์จากจิตกรชาวเกาหลีถึง 12 ท่านแต่ละภาพสื่อให้ผู้พบเห็นเกิดความรู้สึกเพลิดเพลิน อยากเข้าไปมีส่วนร่วมกับภาพภาพนั้น ภายใน Art in Paradise มีห้องจัดแสดงทั้งสิ้น 10 ห้อง แต่ละห้องจะมีเรื่องราวต่างกันออกไป ประกอบด้วยห้องลวงตา ห้องใต้สมุทร ห้องสัตว์ป่า ห้องอารยธรรม ห้องไดโนเสาร์ ห้องภาพวาดศิลปินระดับโลก ห้องวิวทิวทัศน์ ห้องน้ำตก ห้องนิทรรศการศิลปะ ห้องศิลปะแนวเหนือจริง การถ่ายภาพแต่ละมุมต้องอาศัยจินตนาการในการประดิษฐ์ท่วงท่าให้สอดคล้องกับภาพ 3 มิติ แต่ถ้าหากคิดท่าไม่ออก ก็จะมีภาพตัวอย่างให้เราโพสท่าตามครับ

4. Mimosa

Mimosa แหล่งช๊อปปิ้งที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยการยกเมืองโกลมาร์ (Colmar) เมืองชนบทใกล้ชายแดนประเทศฝรั่งเศส-เยอรมัน เมืองที่ติดอันดับ 1 ใน 10 เมืองโรแมนติกของโลก มาไว้ที่พัทยาภายใต้คอนเซป “The City of Love” บรรยากาศด้านใน Mimosa มีมุมสวยๆ ให้โพสท่าถ่ายภาพมากมาย ท่ามกลางบรรยากาศร้านรวงที่สีสันแสบทรวงดังสีลูกกวาด มาที่นี่ ขาแชะ ขาช๊อป ขาชิม ชอบแน่นอนครับ นอกจากจะเป็นแหล่งช๊อปปิ้งแล้ว ด้านใน Mimosa ยังมีพื้นที่จัดแสดงภาพ 3 มิติ รวมถึงช่วงเย็นๆ จะมีการแสดงของคณะคาบาเร่ต์โชว์ด้วย แดดร่มลมตกเมื่อไร ลองมาเดินเล่นที่นี่ดูนะครับ รับรองว่าได้ภาพสวยๆ ไปอวดเพื่อนๆ แน่นอนครับ

5. วัดญาณสังวราราม

วัดญาณสังวราราม เป็นพระอารามหลวงชั้นเอกชนิดวรมหาวิหาร สังกัดธรรมยุตินิกาย มีสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เป็นองค์ประธานจัดสร้างวัด การสร้างวัดญาณสังวราราม มีจุดมุ่งหมายให้เป็นสำนักปฏิบัติ คือ เน้นทางด้านสมถและวิปัสสนาและเพื่อให้เป็นประโยชน์แก่บรรพชิตและคฤหัสถ์ในทางการศึกษาอบรมพระธรรมวินัยครับ ภายในวัดพื้นที่กว้างมากๆ ผมเลยเลือกเดินชมเฉพาะบริเวณจุดสำคัญๆ เท่านั้นครับ

เริ่มกันที่ พระบรมธาตุเจดีย์มหาจักรีพิพัฒน์ สร้างขึ้นเพื่อน้อมเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชและพระบรมราชวงศ์จักรี ภายในมีทั้งหมด 2 ชั้น ชั้นล่างเป็นห้องโถงใหญ่ ชั้นสองเป็นที่ประดิษฐานพระเจดีย์ทองบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ด้านในไม่อนุญาตให้ถ่ายรูปครับ


ใกล้ๆ กันเป็นหอไตรกลางน้ำที่สร้างแบบไทยประยุกต์ ลักษณะคล้ายหอพระไตรปิฎกวัดพระสิงห์ ตามคติโบราณนิยมสร้างหอไตรไว้กลางน้ำเพื่อเก็บรักษาพระไตรปิฎก พระอภิธรรมคัมภีร์ต่างๆ ให้รอดพ้นจากมด แมลง ที่จะกัดกินครับ


ต้นพระศรีมหาโพธิ์ครับ


พระอุโบสถแห่งนี้ดัดแปลงจากแบบพระอุโบสถเก่าวัดบวรนิเวศวิหาร ภายในเป็นที่ประดิษฐานพระประธานที่มีพระนามว่า สมเด็จพระพุทธญาณนเรศวร์ ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อน้อมเกล้าฯ ถวายสมเด็จพระนเรศวรมหาราช การเข้าไปด้านในพระอุโบสถ จะต้องคลานเข่าทั้งเข้าและออก อาจจะไม่สะดวกสำหรับผู้ที่ข้อเข่าไม่ดีครับ


จุดนี้น่าจะเป็นไฮไลท์ของวัดญาณสังวราราม กับเจดีย์พุทธคยาจำลองที่จำลองมาจากเจดีย์พุทธคยาที่ประเทศอินเดีย ซึ่งเป็น 1 ใน 4 สถานที่สำคัญทางพุทธศาสนา เป็นสถานที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าครับ บริเวณโดยรอบระเบียงด้านนอกก่อนที่จะเข้าไปในองค์เจดีย์มีการจัดแสดงนิทรรศการถาวรเรื่อง “พระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร” นอกจากนี้ยังมีประติมากรรมที่ให้แง่คิดดีๆ กับผู้เข้าชมมากมายครับ นับเป็นอีกหนึ่งจุดที่ไม่ควรพลาดจริงๆ ครับ




พระวิหารพระศรีอริยเมตไตรย ลักษณะอาคารทรงจัตุรมุข สร้างเป็นแบบศิลปไทยแท้อันประณีตบรรจง ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปทองเหลืองปางสมาธิ พระนามว่า พระพุทธศรีอริยเมตไตรย ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้รับน้อมเกล้าถวายจากคณะผู้สร้าง และทรงโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญไปประดิษฐานในพระวิหารแห่งนี้ครับ



ฝั่งตรงข้ามของพระวิหารพระศรีอริยเมตไตรย เป็นบึงบัว ช่วงที่ผมไป บัวกำลังเบ่งบานเต็มบึง สวยงามมากๆ ครับ


ศาลานานาชาติ หรือ ศาลามังกรเล่นน้ำ เป็นศาลาที่มีลักษณะทางสถาปัตยกรรมประจำชาติของแต่ละชาติ ศาลาเหล่านี้ตั้งอยู่บริเวณอ่างเก็บน้ำคลองบ้านอำเภอ มีรูปมังกรเล่นน้ำเป็นสัญลักษณ์ประจำศาลาแต่ละชาติ ศาลามังกรเล่นน้ำมีทั้งหมด 6 ชาติ รวม 7 ศาลา คือ ศาลาไทยล้านนา และศาลาไทยภาคกลาง ของชาติไทย, ศาลาจีนนอก ของสิงคโปร์, ศาลาจีนใน ของพสกนิกรชาติไทย, ศาลาญี่ปุ่น ของญี่ปุ่น, ศาลาฝรั่ง ของสวิตเซอร์แลนด์ และศาลาอินเดีย ของอินเดียครับ


ถึงแม้ว่าการมาวัดญาณสังวรารามในช่วงที่แดดร้อนมากจะทำให้ทั้งเหนื่อยและเพลีย แต่สิ่งที่ผมได้กลับไปคือความสงบ ได้ไหว้พระ ได้ทำบุญ มันรู้สึกอิ่มใจจริงๆ ครับ


ติดกับวัดญาณสังวรารามเป็นที่ตั้งของวิหารเซียนครับ

6.เขาชีจรรย์






จุดเด่นของเขาชีจรรย์อยู่ที่การสร้างพระพุทธรูปโดยวิธีแกะสลักบนหน้าผาเขาชีจรรย์ด้วยการยิงเลเซอร์ ในลักษณะพระพุทธฉายที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นพระพุทธรูปแบบประทับนั่งปางมารวิชัยเลียนแบบพระพุทธนวราชบพิตร ศิลปะสุโขทัยผสมล้านนา สร้างขึ้นเพื่อเป็นพระพุทธรูปประจำรัชกาลที่ 9 น้อมเกล้าถวายเป็นพระราชกุศลเนื่องในวโรกาสทรงครองสิริราชสมบัติปีที่ 50 ของในหลวง ร.9 ครับ

7. ไร่องุ่น Silverlake



ติดกับเขาชีจรรย์จะเป็นพื้นที่ของไร่องุ่น Silverlake ไร่องุ่นแห่งนี้เป็นของคุณสุพรรษา เนื่องภิรมย์ อดีตนางเอกชื่อดังของเมืองไทยครับ


ยืนอยู่ตรงนี้ มองเห็นเขาชีจรรย์เลยครับ รอบๆ บริเวณไร่องุ่นมีการจัดตกแต่งสวนได้อย่างสวยงาม มีซุ้มให้นักท่องเที่ยวได้นั่งเล่นด้วยครับ




ด้านในอาคารนี้เป็นที่จำหน่ายเครื่องดื่มเย็นๆ ครับ



ส่วนอาคารหลังนี้เป็นที่จำหน่ายของฝากมากมาย ไม่ว่าจะเป็น องุ่นสด หรือผลิตภัณฑ์แปรรูปจากองุ่น พื้นที่บริเวณด้านนอกนี้ เข้าชมฟรีครับ





จากบริเวณร้านจำหน่ายผลผลิต สามารถมองเห็นไร่องุ่นอยู่เบื้องหน้า กินพื้นที่กว้างขวางมากๆ ถ้าหากนักท่องเที่ยวต้องการเข้าไปสัมผัสไร่องุ่นอย่างใกล้ชิด รวมถึงเข้าไปถ่ายรูปในบริเวณที่มีการจัดสวนหย่อมด้านใน สามารถเข้าไปชมได้ แต่ต้องเสียค่าธรรมเนียมเข้าชมครับ ผมแนะนำให้มาเที่ยวที่นี่ในช่วงเช้าๆ หรือไม่ก็ช่วงสัก 5 โมงเย็นไปแล้ว จะได้ไม่ร้อนมากครับ



ฝั่งตรงข้ามลานจอดรถเป็นร้านอาหารของ Silverlake ใครมาเที่ยวแล้วติดเที่ยงหรือเย็น มาใช้บริการห้องอาหารที่นี่ได้นะครับ

8. Swiss Sheep Farm




Swiss Sheep Farm เปิดบริการทุกวัน โดยวันธรรมดาเปิดตั้งแต่ 10.00 – 19.00 น. ส่วนวันหยุดเสาร์ อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์จะเปิดเร็วขึ้น 1 ชม. คือตั้งแต่เวลา 09.00-19.00 น. ครับ


สำหรับค่าเข้าชม ผู้ใหญ่คนละ 90 บาท เด็กคนละ 50 บาท หางบัตรสามารถนำไปแลกหญ้าเพื่อเอาไปให้แกะได้ด้วยครับ

เมื่อมาถึง แอบปรึกษาสมาชิกกันว่าจะเข้าไปด้านในกันไหม เพราะไม่ค่อยเห็นมีนักท่องเที่ยวมาเที่ยว เกรงว่าจะเสียค่าเข้าชมแล้วจะไม่คุ้มค่า แต่เอ๊ะ.. แอบมองจากด้านนอก เห็นมีมุมสวยๆ ให้ถ่ายรูปเพี๊ยบ.. เป็นอันไม่รอช้า รีบควักเงินไปซื้อบัตรผ่านประตูทันทีครับ




บริเวณทางเข้าตกแต่งเป็นโรงนาขนาดใหญ่ ได้กลิ่นไอความเป็นฟาร์มแบบเก๋ไก๋มากๆ มีลาน Swiss Midway Games หรือซุ้มกิจกรรมต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นปาเป้า ปากระป๋อง ปาโป่ง ชู้ดลูกบาสเกตบอลลงห่วง เบสบอล ควบม้าพยศ ซุ้มกิจกรรมคล้ายๆ บรรยากาศงานวัดครับ












Swiss Sheep Farm ยกบรรยากาศฟาร์มสวิส ท่ามกลางหุบเขาแห่งความรักที่โอบล้อมด้วยไออุ่นสไตล์ยุโรปคันทรีฟาร์มมาไว้ที่พัทยา ต้องบอกเลยว่าถ่ายรูปกันสนุกไปเลยครับ





โซนนี้จะเป็นฟาร์มแกะ สามารถนำหางบัตรมาแลกหญ้าไว้ป้อนแกะได้ครับ





อีกหนึ่งช่วงกิจกรรมดีๆ ที่แนะนำว่าไม่ควรพลาดชมเมื่อมาที่ Swiss Sheep Farm นั่นคือ Runner Sheep แกะนักวิ่ง ไม่ใช่วิ่งทางเรียบแบบธรรมดา แต่เป็นการวิ่งผ่านสิ่งกีดขวาง เรียกเสียงเชียร์เสียงหัวเราะจากนักท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดีครับ

กิจกรรมแกะนักวิ่งจะจัดเป็นรอบๆ ผมไม่แน่ใจว่าจะมีทุกชั่วโมงหรือเปล่า แต่จะมีเจ้าหน้าที่ประกาศผ่านเครื่องขยายเสียง เชื้อเชิญให้นักท่องเที่ยวได้มาร่วมสนุกกัน โดยให้นักท่องเที่ยวทายหมายเลขแกะว่าแกะตัวใดจะวิ่งเข้าเส้นชัยเป็นลำดับที่ 1 2 และ 3 ได้ถูกต้อง คล้ายๆ กับการลุ้นล๊อตเตอรี่ 3 ตัว หนึ่งคนสามารถทายได้เพียง 1 ครั้ง แกะจะมีทั้งหมด 8 ตัว หากใครทายถูกได้ตรงทั้ง 3 ลำดับ(ถูกตรง ไม่มีโต๊ด) จะได้ตุ๊กตาแกะไปนอนกอดที่บ้านแบบฟรีๆ ครับ

หลังจากที่ปล่อยตัวแกะแล้ว คงต้องจับตากันให้ดีๆ เพราะแกะทุกตัวเหมือนรู้หน้าที่ ต่างวิ่งแข่งกันอย่างเอาจริงเอาจังเข้าสู่เส้นชัย เรียกเสียงเชียร์จากนักท่องเที่ยวกันอย่างสนุกสนาน บอกตรงๆ ผมงี้ลุ้นกันตัวโก่งเลยครับ




ภายใน Swiss Sheep Farm นอกจากจะมีมุมถ่ายรูปในบรรยากาศฟาร์มแล้ว ที่นี่ยังเป็นที่พักด้วยนะครับ โดยมีห้องพัก 14 ห้องหลากหลายสไตล์ ชั้นล่างเป็นร้านค้าขายของที่ระลึกและมีร้าน pizza ด้วยครับ

9. เกาะล้าน

เที่ยวบนฝั่งกันมามากแล้ว พาลงเกาะบ้างดีกว่า เกาะที่ว่าอยู่ไม่ไกลจากพัทยาสักเท่าไร ใช้เวลานั่งเรือประมาณ 45 นาทีก็ถึงแล้ว เกาะที่ผมจะพาไปเที่ยวคือ เกาะล้านครับ


การเดินทางไปเกาะล้าน สามารถมาซื้อตั๋วเรือและขึ้นเรือได้ที่ท่าเรือแหลมบาลีฮายครับ มีเรือให้เลือกหลายบริษัทมาก ลองดูช่วงเวลาที่เดินทางไปถึงให้เหมาะกับช่วงเวลาที่เรือจะออก จะได้ไม่เสียเวลารอนานครับ ทริปนี้ผมเลือกโดยสารกับเรือขนาดใหญ่ 2 ชั้น ใช้เวลานานหน่อยแต่ประหยัดค่าเรือถ้าเทียบกับไป Speed boat ได้เยอะครับ ค่าเรือใหญ่ 2 ชั้นแค่ 30 บาทเองครับ สำหรับเรือโดยสารที่จะพาข้ามไปยังเกาะล้าน จะจอดรับส่งผู้โดยสารที่ท่าเรือ 2 ท่า คือ ท่าเรือหน้าบ้าน และ ท่าเรือหาดตาแหวน ทริปนี้ผมเลือกลงที่หาดตาแหวนครับ




เกาะล้านอยู่ห่างจากชายฝั่งเมืองพัทยาเพียง 7 กม. ขึ้นชื่อในเรื่องความใสของน้ำทะเล บนเกาะล้านมีกิจกรรมให้นักท่องเที่ยวได้เลือกทำหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการพักผ่อนนอนเล่นชายหาด เล่นน้ำ ทำกิจกรรมทางน้ำ และการนั่งรถชมวิวรอบเกาะล้าน ซึ่งผมเลือกทำกิจกรรมข้อสุดท้ายครับ

ผมเลือกใช้การเช่ารถมอเตอร์ไซด์ เพราะเห็นว่าสะดวกสุด สามารถใช้มอเตอร์ไซด์ขี่เข้าไปยังจุดที่จะไปได้โดยง่าย หากใช้การนั่งรถสองแถว อาจเสียเวลาในการรอคอยรถ และบางจุดรถสองแถวเข้าไม่ถึง เช่น จุดชมวิวบริเวณกังหันลมครับ

เมืองพัทยา ได้เล็งเห็นถึงศักยภาพของเกาะล้านในการที่จะดึงพลังงานทางธรรมชาติมาใช้ให้เกิดประโยชน์บนเกาะ จึงได้ติดตั้งกังหันลมจำนวน 45 ต้น เพื่อนำพลังงานจากลมมาผลิตกระแสไฟฟ้าไว้ใช้บนเกาะและลดการใช้น้ำมันดีเซลในเครื่องกำเนิดไฟฟ้าแบบเดิม แต่ปัจจุบันเห็นว่าการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคได้ติดตั้งเคเบิ้ลไฟฟ้าใต้น้ำเพื่อนำกระแสไฟฟ้ามาใช้บนเกาะล้านแล้ว เมื่อคิดข้อดีข้อเสียของการใช้กังหันลม เห็นว่ามีข้อเสียเยอะกว่า อีกทั้งยังมีค่าบำรุงรักษาที่สูงกว่าการซื้อไฟจากการไฟฟ้า กังหันลมทั้ง 45 ต้นจึงหมดความจำเป็นลง

ฟาร์มกังหันลมตั้งอยู่บนเนินนมสาว ถึงแม้ฟาร์มกังหันลมจะไม่ได้ถูกใช้งานแล้ว แต่ก็ยังใช้เป็นจุดชมวิวได้นะจ๊ะ นี่ถ้าแดดไม่ร้อนแบบแผดเผานะ จะขออยู่ที่นี่นานๆ เลย บรรยากาศสวยงามอย่าบอกใครเชียว มองออกไปเห็นทะเลสีฟ้าครามเลยครับ

บิดมอเตอร์ไซด์ต่อไปที่จุดชมวิวเขาหน้ายักษ์ มองลงไปเห็นหาดแสม สีของน้ำทะเลเป็นสีฟ้าครามตัดกับสีฟ้าดูสวยงามมาก ไม่คิดเลยว่าจะได้เห็นสีน้ำทะเลแบบนี้กลางอ่าวไทย หาดทรายทอดตัวยาว ที่ปลายหาดมีอาคารอนุรักษ์พลังงานที่ออกแบบเป็นปลากระเบน เรียกได้ว่าเตะตามากๆ บนตัวปลากระเบนติดตั้งแผงโซลาเซลจำนวนมาก เพื่อใช้ในการผลิตพลังงานแสงอาทิตย์

เบื้องหน้าคือหาดตาแหวน หาดที่ผมมาลงเรือครับ สวยงามไม่แพ้หาดไหนๆ ในเกาะล้านเหมือนกัน เห็นถึงความคึกคักของนักท่องเที่ยวมากๆ ดูจากปริมาณเรือก็รู้แล้วว่าหาดนี้ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมากครับ


หาดเงียบๆ อย่างหาดทองหลาง สวยงามไปอีกแบบ


เกาะล้านสามารถเที่ยวได้แบบไปเช้าเย็นกลับ หรือหากใครมีเวลามากพอ สามารถมานอนพักค้างคืนบนเกาะได้ครับ มีที่พักให้เลือกมากมาย

10. จุดชมวิวเขาพระตำหนัก

หากใครมีกำลังทรัพย์ไม่พอที่จะขึ้นไปใช้บริการบนชั้นสูงๆ ของโรงแรมเพื่อชมวิวมุมสูงของเมืองพัทยา ผมมีจุดชมวิวมุมสูงอีกหนึ่งแห่งที่ไม่ต้องเสียค่าเข้าชมใดๆ นั่นคือจุดชมวิวบนเขาพระตำหนักครับ จุดชมวิวนี้สามารถชมวิวมุมสูงของพัทยาได้โดยรอบ แนะนำให้มาช่วงเย็นๆ ตอนแดดร่มลมตก สามารถชมพระอาทิตย์ตกก็ได้ ชมดาวบนดินก็ได้ ชมแสงสีของพัทยา แล้วคุณจะรู้ว่าพัทยาไม่เคยหลับจริงๆ ถือว่าเป็นอีกหนึ่งจุดที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาเที่ยวพัทยาครับ

เที่ยวกันมาก็มากแล้ว ไปหาอะไรอร่อยๆ ทานกันบ้างดีกว่า ผมขอแนะนำร้านอาหาร 4 ร้าน โดย 3 ร้านแรกเป็นอาหารทะเล ตามกระแสรีวิวของเพื่อนๆ ส่วนอีก 1 ร้าน เป็นห้องอาหารในโรงแรมที่ผมเข้าพักครับ

1. ร้านมุมอร่อย

ต้องบอกเลยว่า ร้านใหญ่ม๊ากก คนเยอะม๊ากกก มากี่ครั้งก็เจอแต่ลูกค้าแน่นร้านตลอด บรรยากาศในร้านก็ดีครับ ดูดีมีระดับ ยิ่งมาช่วงเย็นนี่ สุดยอดเลยจริงๆ อาหารจานใหญ่ ราคาแอบแรงนิดหน่อย แต่ก็สมเหตุสมผลกับรสชาติและปริมาณอาหารครับ ร้านมุมอร่อยตั้งอยู่ซอยนาเกลือ 4 แนะนำว่าถ้าหากจะมาทานช่วงเย็น ให้โทรมาจองที่นั่งไว้ก่อนนะครับ

2. ปรีชา ซีฟู้ด

ร้านอาหารสไตล์บ้านๆ แต่วิวไม่บ้านเลย เป็นร้านอาหารติดทะเล บรรยากาศในร้านมีทั้งแบบ indoor ในห้องแอร์และรับลมธรรมชาติ แล้วยังมีแบบ outdoor ด้วย รสชาติอาหารค่อนข้างจัดจ้าน มีวัตถุดิบสดๆ ให้เลือกอยู่ด้านหน้าร้าน ราคาอาหารไม่แพงมาก ร้านปรีชาซีฟู้ดตั้งอยู่ที่บ้านอำเภอ บางเสร่ครับ

3. เจ๊จุก 4

อาหารสไตล์เดียวกับร้านปรีชาซีฟู้ด แต่รสชาติอาจจะดรอปจากร้านปรีชาซีฟู้ดนิดหน่อย (ความคิดเห็นส่วนตัวนะครับ)รสชาติอาหารจะหนักไปทางเปรี้ยวจี๊ดจ๊าด ร้านเจ๊จุก 4 ตั้งอยู่ติดๆ กับร้านปรีชาซีฟู้ด โดยรวมแล้วผมว่าอาหารที่นี่เน้นความเปรี้ยว ใครคออาหารเปรี้ยว น่าจะถูกใจร้านเจ๊จุก 4 ครับ

4. Havana Bar & Restaurant

ทานอาหารบ้านๆ กันมาหลายมื้อแล้ว หากใครอยากจะเปลี่ยนรสชาติอาหารเป็น International บ้าง ผมขอแนะนำ Havana Bar & Restaurant ซึ่งตั้งอยู่ภายในโรงแรม Holiday Inn Pattaya ตกแต่งในสไตล์คิวบา เป็นห้องโถงสูงโปร่งขนาดใหญ่ ตกแต่งด้วยอิฐมอญสีแดง เตะตาด้วย Chandeliers สีแดงช่อใหญ่อยู่กลางห้อง ด้านในสุดมีเคาน์เตอร์บาร์ที่ยาวมากๆ ถือเป็นอีกหนึ่งห้องอาหารที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวมากๆ ครับ ทุกโต๊ะที่เข้ามาสั่งอาหารจะได้รับ appetizer เป็นขนมปัง Rustic Bread และ Stick Bread เสิร์ฟคู่กับ Olive Oil และ Balsamic จากนั้น Main Course จะเป็นอะไรก็แล้วแต่จะสั่ง ราคาอาหารค่อนข้างสูงตามสไตล์โรงแรม แต่ต้องบอกว่าคุ้มค่าสมรสชาติและคุณภาพของอาหารครับ

จบเรื่องกิน ไปต่อกันเรื่องที่พักกันบ้างครับ ที่พักในพัทยามีหลากหลายราคาให้เลือกตามกำลังทรัพย์ มีราคาตั้งแต่หลักร้อยยันหลักหมื่นกันเลยทีเดียว ผมมี 6 ที่พักที่ผมเคยเข้าพักมาแนะนำ เผื่อไว้เป็นตัวเลือกให้กับเพื่อนๆ ครับ

1. ELEVEN@JOMTIEN RESORT

ELEVEN@JOMTIEN RESORT อยู่ในซอยจอมเทียน 11 ถึงแม้รีสอร์ทจะไม่อยู่ติดทะเล แต่สามารถเดินไปหาดจอมเทียนได้ด้วยระยะทางประมาณ 100 เมตร

บริเวณ Lobby เชื่อมต่อกับห้องอาหาร ด้านหน้า Lobby มีพื้นที่ให้แขกได้นั่งพักผ่อนครับ


ภายในห้องพักค่อนข้างกว้างขวางเลยทีเดียว ในห้องจะมีเตียง 2 ขนาด เป็นเตียงใหญ่ 1 เตียง และเตียงเล็กอีก 1 เตียง มีประตูบานเลื่อนสามารถเดินออกไปสูดอากาศที่ระเบียงห้องได้ ที่ระเบียงห้องมีชุดเก้าอี้ให้นั่งเล่นด้วยครับ สำหรับอุปกรณ์อำนวยความสะดวก จะมีทีวี กาน้ำร้อน ตู้เย็น เครื่องปรับอากาศ Free wifi


บริเวณชั้น 5 ซึ่งเป็นชั้นบนสุดของโรงแรม มีสระว่ายน้ำไว้ให้บริการฟรี บนสระว่ายน้ำสามารถมองเห็นวิวของหาดจอมเทียนและพื้นที่เมืองได้อย่างสวยงาม

2. D Varee Jomtien Beach

D Varee อยู่ระหว่างซอยจอมเทียน 13-14 เป็นโรงแรมขนาดใหญ่อยู่ริมหาดจอมเทียนเลยครับ ตัวโรงแรมเป็นสีขาว ดูสะอาดตาเชียวครับ


Lobby โอ่โถงมากๆ มีพื้นที่ให้แขกได้นั่งพักผ่อนอยู่หลายจุดเหมือนกัน ที่นี่บริการ Free Wifi บริเวณด้านหน้า Lobby เท่านั้นนะครับ ทำให้พื้นที่ที่ทางโรงแรมจัดเตรียมไว้ให้นั่งพักผ่อนจึงมีแขกมาใช้บริการนั่งเล่น Wifi ค่อนข้างเยอะ แขกเข้าพักส่วนใหญ่ ดูแล้วจะเป็นกรุ๊ปทัวร์จากต่างประเทศ ฝั่งตรงข้าม Lobby มีมุมร้านกาแฟเล็กๆ ให้บริการทั้งกาแฟ เครื่องดื่ม และเบเกอรี่ครับ


ห้องค่อนข้างกว้าง แต่ดูออกจะเก่าไปสักนิด ผนังห้องติด wallpaper แต่เนื่องจากคงผ่านอายุการใช้งานมาเยอะ ทำให้ wallpaper บางจุดร่อนออกมาจากผนัง และมีรอยขูดขีดเปรอะฝาผนังเยอะพอสมควรครับ ภายในห้องมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกแบบพื้นฐานคือ ทีวี ตู้เย็น เครื่องปรับอากาศ กาน้ำร้อน ตู้นิรภัย ไดร์เป่าผม โต๊ะเขียนหนังสือ สัญญาณ Wifi มีแต่ต้องซื้อชั่วโมงที่ Lobby เอา ห้องน้ำเป็นแบบซีทรู มีอ่างอาบน้ำให้พร้อมฝักบัว ถ้าไม่ต้องการแช่น้ำ เวลาอาบน้ำต้องยืนในอ่างอาบน้ำเอาครับ แยกส่วนเปียกส่วนแห้งด้วยผ้าม่าน บริเวณโถสุขภัณฑ์มีสายฉีดชำระให้พร้อม ห้องพักที่นี่ทุกห้องเป็น Sea View ครับ


ที่นี่มีบริการสระว่ายน้ำ 2 จุด คือที่ชั้นล่างและชั้น 5 ครับ


ห้องอาหารที่นี่ถือว่ากว้างใหญ่มากๆ จะแบ่งเป็น 2 ฝั่ง ลักษณะเป็นตัว U ห้องอาหารนี้เปิดให้บริการตั้งแต่ 06.00-10.00 น. แต่ช่วงเช้าๆ แขกเยอะมากครับ ขนาดห้องอาหารที่ว่าใหญ่แล้ว ยังแทบจะไม่มีที่ให้นั่ง ส่วนใหญ่จะเป็นกรุ๊ปทัวร์ครับ เพราะหลายทัวร์จะออกจากโรงแรมพร้อมๆ กัน ทำให้ห้องอาหารช่วงเวลา 06.00-08.00 น. เนืองแน่นไปด้วยนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ แต่หลังจาก 8 โมงเช้า ก็จะเข้าสู่สภาวะปกติครับ


พื้นที่ติดถนนริมหาดจอมเทียน ทางโรงแรมจัดพื้นที่ไว้สำหรับเป็นบาร์ให้นั่ง Drink นั่งทานอาหารช่วงค่ำๆ ครับ

3. The Now

THE NOW HOTEL ตั้งอยู่ริมหาดจอมเทียน จากหน้าโรงแรมเพียงข้ามถนนก็สามารถสัมผัสกับชายหาดและน้ำทะเลได้แล้วครับ ตัวอาคารมีลักษณะเป็นปูนเปลือย เห็นแค่ภายนอกก็บ่งบอกถึงความชิคของที่นี่แล้วครับ

Lobby แบบเรียบง่าย ด้านข้างมีเก้าอี้หวายทรงกลมไว้ให้แขกได้นั่งเล่นระหว่างรอ check in / Check out ครับ


มุมเก๋ๆ ที่ผมคิดว่าใครไปใครมาคงอดใจที่จะมาถ่ายภาพตรงนี้ไม่ได้แน่นอนครับ


ZyBar อยู่ทางด้านหน้าของโรงแรมเลยครับ บริการ Cocktails ในบรรยากาศสบายๆ เคล้าคลอไปด้วยเสียงดนตรี ขอบอกว่าช่วงเย็นๆ ระหว่างพระอาทิตย์ตก บรรยากาศดีเชียวครับ


THE NOW HOTEL มีห้องพักให้เลือก 5 สไตล์ครับ รูปแบบของห้องพักจะแบ่งเป็น XS, S, M, L,XL โดยในแต่ละห้องจะมีการออกแบบที่แตกต่างกันออกไป เรียกได้ว่ามีเสน่ห์ในแต่ละแบบก็คงไม่ผิด ห้องที่ผมเข้าพักเป็นห้องแบบ M : M-ood เตียงเดี่ยว บนพื้นที่ 34 ตารางเมตรครับ ห้องแบบนี้ได้รับแรงบัลดาลใจของความต้องการของคู่รัก จึงได้นำการตกแต่งแบบปูนเปลือยมาประยุกต์เข้าสู่แนวคิดของการเปลือยตัวตนในทุกๆ ด้าน ออกแบบและตกแต่งห้องให้สะท้อนถึงการเปิดใจ ตรงไปตรงมา ภายใต้การจัดวาง Concept “Sea-thru-u” ครับ


โดยรวมแล้ว THE NOW HOTEL สำหรับผมถือว่าโอเคครับ แนวการตกแต่งห้องแต่ละห้องสุดชิคมากๆ ทำเลที่ตั้งก็สะดวก มี 7-11 อยู่ใกล้ๆ แถมติดชายหาดอีก ผมขอติอยู่เรื่องเดียวคือขนาดของเตียงเดี่ยว กับขนาดเตียง Queen Size ที่ต้องนอนด้วยกัน 2 คน ผมว่ามันอึดอัดไปสักนิดครับ


4. ADELPHI PATTAYA


โรงแรม ADELPHI PATTAYA ตั้งอยู่ที่พัทยากลาง บนถนนพัทยาสาย 3 สังเกตซอยเฉลิมพระเกียรติ 21 เลี้ยวเข้ามาประมาณ 100 เมตรก็ถึงโรงแรมครับ





Lobby แบบเรียบง่าย โรงแรมยังดูใหม่อยู่เลยครับ ทางโรงแรมจัดเตรียมพื้นที่ให้แขกได้นั่งพักผ่อนอยู่ด้านหน้า Lobby และมีมุม Internet ให้ใช้งานด้วย ติดกับพื้นที่ที่ให้แขกได้นั่งเล่น จะเป็นพื้นที่ห้องอาหาร The Café Grande ครับ








ห้องพักถือว่ากว้างขวางเลยทีเดียว ภายในห้องเน้นโทนสีครีม รวมถึงงานไม้ พื้นห้องปูไม้เทียม ดูหรูหรา เวลาเดินเท้าเปล่าในห้องทำให้ไม่รู้สึกเย็นเท้าและมีผิวสัมผัสของลายไม้ ทำให้ไม่ลื่นด้วย มีโซฟาเล็กๆ ให้แขกได้นั่งเล่นอยู่บริเวณปลายเตียง มีมุมเขียนหนังสือ ทีวี LCD 32 นิ้ว กาต้มน้ำ พร้อม free wifi เตียงขนาด King size พร้อมหมอนหนุนคนละ 2 ใบ ข้างเตียงจะเป็นระเบียงให้ออกไปนั่งเล่นสูดอากาศด้านนอก มีโต๊ะเก้าอี้ไว้ให้พร้อม พื้นที่ภายในห้องน้ำขนาดกำลังดี แยกส่วนเปียกส่วนแห้งด้วยตู้กระจก พื้นที่อาบน้ำเป็นฝักบัว ที่โถสุขภัณฑ์มีสายฉีดชำระ พร้อมไดร์เป่าผมติดตั้งอยู่บริเวณอ่างล้างหน้าครับ




บริเวณชั้น 8 เป็นสระว่ายน้ำ เปิดให้บริการตั้งแต่ 07.00-22.00 น. โดยรอบของสระว่ายน้ำจะมี Day bed ให้แขกได้มานั่งพักผ่อน และยังมี Dip ‘n’ Sip ไว้คอยบริการเครื่องดื่มเย็นๆ เช่น พันช์ Cocktail และเบียร์เย็นๆ ครับ

5. ibis Hotel

ibis Hotel อยู่ในพัทยาเหนือ ตั้งอยู่บนถนนพัทยาสายสอง ใกล้กับวงเวียนปลาโลมา ทำเลที่ตั้งถือว่าใช้ได้เลยทีเดียว เดินไม่ไกลก็ถึงทะเล แถมรายล้อมด้วยมินิมาร์ท ร้านอาหาร และแหล่งท่องเที่ยวดังๆ อย่าง ทิฟฟานี่โชว์, Art in Paradise การเดินทางไปมาก็สะดวกเนื่องจากมีรถสองแถววิ่งผ่านครับ





Lobby ขนาดกะทัดรัด แต่มีพื้นที่ให้แขกได้นั่งพัก นั่งรอระหว่าง Check in/Check out ค่อนข้างกว้างขวางเลยทีเดียว ด้านข้าง Lobby มีมุม internet ไว้ให้บริการด้วย






พื้นที่ใช้สอยในห้องพักอาจจะเล็กไปสักหน่อย แต่ก็ตามมาตรฐานของ ibis อุปกรณ์อำนวยความสะดวกมีครบตามมาตรฐานของโรงแรม ภายในห้องน้ำอาจจะดูอึดอัดไปสักนิดสำหรับคนตัวใหญ่แบบผม




ติดกับ Lobby เป็นบาร์เล็กๆ รวมถึงห้องอาหารครับ


มีสระว่ายน้ำไว้ให้บริการด้วย อยู่ติดกับห้องอาหารเลยครับ


Ibis Hotel เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่เล็งที่พักราคาประหยัดแบบสบายกระเป๋า ที่พักได้มาตรฐาน ที่สำคัญทำเลดีมากครับ

6. Holiday Inn Pattaya

Holiday Inn Pattaya อยู่ในพัทยาเหนือ ใกล้กับวงเวียนปลาโลมา ตั้งอยู่บนถนนเลียบชายหาด หันหลังชนกับ ibis Hotel ครับ Holiday Inn Pattaya จะมี 2 อาคาร คืออาคารที่อยู่ด้านหน้า เป็นอาคารเก่า (Bay Tower) ติดๆ กันเป็นอาคารหลังใหม่ (Executive Tower) ซึ่งห้องที่ผมจะแนะนำคืออาคารหลังใหม่ Executive Tower ครับ

Bay Tower ออกแบบภายใต้ Concept : Family Hotels สำหรับ Executive Tower จะตกแต่งออกดูแนวทันสมัย เหมาะกับนักธุรกิจ นักท่องเที่ยว หรือกลุ่มเพื่อนฝูง รูปแบบอาคารทั้ง 2 หลังออกแบบคล้ายก้างปลา ทำให้ทุกห้องสามารถมองเห็นวิวทะเลได้ สุดแต่ว่าจะเห็นมากเห็นน้อยเท่านั้นเอง แต่สำหรับตึก Bay Tower ผมว่าน่าจะเห็นทะเลได้กว้างกว่าตึก Executive Tower ครับ

มาดูด้านในของ Executive Tower กันครับ บริเวณ Lobby เน้นโทนสีฟ้า ให้ความรู้สึกสบายๆ ตามสไตล์อารมณ์ทะเล โดยรอบมีการจัดเตรียมที่นั่งให้แขกได้นั่งพักผ่อนกันเยอะพอสมควร นอกจากนี้ยังมี Business Center พร้อมมุมเครื่องดื่มและอาหารว่างที่ชื่อ Flow Café ไว้คอยให้บริการด้วยครับ

ภายในห้องพักเน้นโทนสีฟ้า รวมถึงงานไม้ และปูกระเบื้องขนาดใหญ่โทนสีครีม ทำให้ห้องดูสะอาดและสบายตา มีลวดลายพลิ้วไหวของผืนผ้าอยู่บนผนังด้านหัวเตียง นอกจากนี้ยังเพิ่มสีสันสดใสด้วยหมอนอิงใบใหญ่ที่วางไว้บนชุดโซฟาหวาย ให้แขกได้นั่งพักผ่อนชมวิวทะเลจากภายในห้องพัก หรือถ้าอยากจะสัมผัสกับลมทะเลเต็มๆ สามารถเปิดประตูไปนั่งสูดไอทะเลที่ระเบียงก็ได้ สำหรับห้อง Type นี้ เตียงจะหันข้างให้ทะเล หมอนจะมีให้เลือก 2 แบบ มีทั้งแบบ Soft และแบบ Firm เลือกหนุนกันได้ตามใจชอบ ที่ปลายเตียง มีมุมสำหรับให้นั่งทำงาน พร้อมโคมไฟส่องสว่างขนาดใหญ่ ให้สามารถทำงานได้อย่างสบายสายตาครับ


ในห้องน้ำถือว่ากว้างขวางเลยทีเดียว ไม่มีอ่างอาบน้ำให้ แต่มีตู้กระจกสำหรับอาบน้ำฝักบัว ทำให้น้ำไม่ไหลเลอะออกมาที่พื้นที่ด้านนอก บริเวณโถสุขภัณฑ์ก็มีสายชำระให้พร้อมครับ


East Coast Kitchen เป็นห้องอาหารของ Holiday Inn Pattaya การตกแต่งภายในเน้นโทนสีขาว เทา และเขียวอ่อน ผนังข้างหนึ่งเป็นกระจกใส ทำให้สามารถมองวิวสระว่ายน้ำเลยไปถึงทะเลพัทยาได้ ส่วนอีกข้างหนึ่งเป็นผนังทึบ ตกแต่งเป็นรูปอุปกรณ์ทำครัว เช่น หม้อนึ่ง กระทะ มองดูแล้วน่ารัก ได้อารมณ์ครัวซะจริงๆ ครับ


สระว่ายน้ำที่นี่เป็นแบบ Infinity Pool ลักษณะคล้ายสี่เหลี่ยมผืนผ้า โดยด้านยาวที่สุดของสระว่ายน้ำจะขนานไปกับทะเลพัทยา ให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าเรากำลังว่ายน้ำอยู่ในทะเล น้ำที่นี่เป็นระบบน้ำเกลือครับ บริเวณสระว่ายน้ำสามารถชมพระอาทิตย์ตกได้สวยงามมากครับ



หรือถ้าใครมีกำลังทรัพย์สักหน่อย แนะนำให้ขึ้นไปใช้บริการ Executive Club Terrace นะครับ ขึ้นไปจิบเครื่องดื่มเย็นๆ พร้อมชมพระอาทิตย์ตก คำเดียวเลยครับ “ฟิน”

เพื่อนๆ สามารถมาหาความสุขทั้งหมดทั้งมวลเหมือนที่ผมได้รับมาแล้วเมื่อครั้งมาเที่ยว “พัทยา” พัทยาไม่ได้มีดีแค่ทะเล แต่ที่นี่มีความหลากหลายของสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย มีอะไรที่เป็นที่สุดของประเทศและของโลกหลายอย่างเลยทีเดียว

เพื่อนๆ มาเที่ยวพัทยาครั้งสุดท้ายเมื่อไร?

หากคำตอบที่ตอบมา มากกว่า 5 ปี ผมแนะนำเลยว่า ให้ลองกลับมาสัมผัสพัทยาอีกสักครั้ง แล้วเพื่อนๆ จะได้เห็นพัทยาในมุมมองใหม่ มุมมองที่จะทำให้เพื่อนๆ มีความสุข สนุกทุกกิจกรรม มาชาร์จแบต เติมพลัง ที่พัทยากันดีกว่าครับ

ท้ายสุดนี้ เพื่อนๆ สามารถเข้าไปให้กำลังใจและติดตามผลงานของผมเพิ่มเติมได้ที่ https://www.facebook.com/unclegreenshirt นะครับ

ลุงเสื้อเขียว

 วันอังคารที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2561 เวลา 09.50 น.

ความคิดเห็น