ทักทายกันจ้านักอ่านรีวิวทุกๆท่านทั้งหลาย วันนี้เราก็อยากมาอวดรีวิวตอนไปเที่ยวต่างประเทศคนเดียวมาให้ทุกคนได้อ่านกันนั่นก็คือ ประเทศเวียดนาม!! ประเทศนี้ถือว่าเป็นที่สุดฮิตของนักเที่ยวมือใหม่ทั้งหลายได้มาลองของชิมลางกับประสบการณ์การเดินทางไปเยือนที่นั่น และเราก็เป็นมือใหม่หัดเที่ยว และแกะรอยการเดินทางของใครหลายๆที่เคยเขียนบทความเพื่อเป็นลายแทงให้เราได้มีโอกาสไปเยือนที่แห่งนี้เช่นกัน และด้วยความเป็นมือใหม่หัดเที่ยวและด้วยการเดินทางเพียงคนเดียวอาจทำให้รูปภาพที่ถ่ายออกมาดูธรรมดาๆไปหน่อยยังไงก็ติชมกันได้จ้า
รอบนี้เราเริ่มออกเดินทางในวันที่24 ตุลาคม 2560 เมื่อปลายปีที่ผ่านมานี่ เอง ขาไปเราเดินทางด้วยสายการบินไทยไลอ้อนแอร์บินตอนตี5ถึงเกือบ7โมงเช้า และขากลับโดยสารการบินนกแอร์เที่ยว2ทุ่ม45ถึงกรุงเทพก็ราวๆ4ทุ่มโดยประมาณ ราคาทั้งหมดตอนนั้นไปกลับ 3259 บาท ราคานี้ดีงาม แต่บางคนเคยเห็นได้ราคาดีกว่านี้นะเออ ไปกันดีกว่าบินโล้ดด
ถึงสนามบินเติณเซิณเญิ้ต ที่นครโฮจิมินห์แล้วด้วยความง่วงเลยลืมถ่ายบรรยากาศในสนามบินมาอวด55555!!! อ้อ! ลืมบอกไปเข้าประเทศเวียดนามไม่ต้องเขียนใบขอเข้าเมืองนะจ๊ะ สะดวกมากๆรอจ๊อบพาสปอตแล้วออกมาลั้ลลาหาซื้อซิมการ์ด และก็แลกเงินที่สนามบินได้เลย จ้า ซิมที่นี่ดีงามเนตแรงเวอร์ 150,000ดอง จ้าเป็นเงินเท่าไหร่บ้านเราลองไปคิดคำนวนดูน้าา เราแลกเงินดอลล่าห์ติดมาแค่150ดอลล่าห์ เออ อย่าลืมแลกเงินดอลล่าที่บ้านเรามาก่อนนะจ๊ะ เงินไทยแลกที่นี่ไม่มีนะ หายากมากๆ และพอออกมานอกสนามบินจุดหมายแรกที่เราต้องไปนั่นก็คือ!!! ถนนฟามงูหลาว การเดินทางก็ไม่ยากจ้าเพียงเดินออกมาจากสนามบินปุ๊บมองไปที่ฝั่งตรงข้ามเราจะเห็นรถเมล์สายสีเขียวจอดรอเรียงแถวอยู่และสายที่เราต้องขึ้นก็คือ 152 ป้ะๆๆ ไปกันเถอะ ค่ารถแค่ 5,000 ดองเองจ้าบอกกระเป๋าว่า ฟาร์มงูหลาวๆๆๆ แล้วนั่งไปเรื่อยๆยาวจ้าา
ถ้าไม่แน่ใจก็สังเกตุนักท่องเที่ยวพวกฝรั่งแล้วก็หาแนวร่วมได้เลยงานนี้ประสบการณ์การเอาตัวรอดต้องได้ใช้แน่ๆหุๆๆ ตื่นเต้นวนไปสิจ๊ะงานนี้
และแล้วเสียงลือเสียงเล่าอ้างก็เกิดขึ้น!!! ภาพที่เห็นและเสียงที่ได้ยิน ปี๊นน!!! เสียงแตรดังเวอร์วังมากมาย คือประหลาดใจมากกับประชาการที่เมืองแห่งนี้ OMG!!!! เหมือนว่าคนพวกนี้มีวิชาตัวเบา คนที่ข้ามถนนเมืองนี้ใครจะข้ามคือคงต้องมีสกิลค่อนข้างสูงเอาเรื่อง แต่สิ่งที่เห็นคือ แม่มข้ามถนนในขณะที่รถวิ่งผ่านหน้าไปอีกแค่ระห่างไม่ถึงครึ่งเมตรละแล้วพวกเทอเหล่าก็เดินข้ามผ่านรถที่วิ่งผ่านไปประหนึ่งว่าไม่มีรถอยู่บนท้องถนน เรากก็ได้แต่ตื่นเต้นและก็ถอนหายใจเมื่อฉุกคิดได้ว่า เอ่มม นี่เราต้องกลับมาใช้ชีวิตที่นี่อีก3วันจ้าา จิเป็นลม!!
และแล้วก็มาถึงจุดหมายซะทีถนนย่านศูนย์กลางการคมนาคม ฟาร์มงูหลาว ใครจะเดินทางไปเมืองอื่นๆก็ต้องมาซื้อตั๋วรถที่นี่
และบริษัทยอดฮิตตามรีวิวต่างๆที่ชอบแนะนำก็คือที่นี่ เราจะซื้อตั๋วกันตรงนี้เพื่อเดินทางข้ามเมืองด้วยรถนอนปรับอากาศไปจุดหมายแรกของวันนี้เพื่อเข้าที่พักนั่นคือหมุยเน่ใช้เวลาเดินทางประมาน4ชั่วโมงมีแวะพักทานข้าวระหว่างทาง ราคาตั๋วก็แค่ 130,000 เองจ้า อ๊ะๆบอกไว้ก่อนจ้าออฟฟิตของบริษัทรถปรับอากาศนี้จะมีสองฝั่ง ฝั่งแรกคือตามภาพเราต้องมาติดต่อสอบถามเรื่องตารางรถไปที่ต่างๆที่ฝั่งนี้และซื้อตั๋วให้เสร็จสรรพ หลังจากนั้นเราจะข้ามฝั่งไปอีกฝั่งหนึ่งตามภาพ
เราจะข้ามฝั่งไปเพื่อรอรถตู้ของบริษัทเพื่อนำพาเราไปที่จุดรับส่งผู้โดยสารที่อยู่นอกเมือง และเราจะได้ขึ้นรถนอนปรับอากาศกันที่นั่น
และหน้าตารถนอนปรับอากาศ 5555!!! พอไหวนะ ได้อรรถรสการเดินทางมากๆ ตอนแรกเราคิดว่ายุ่งยาก แต่ตอนนี้เริ่มเข้าใจและเริ่มปรับตัวได้แล้ว อิอิอิ แล้วพบกันที่หมุยเน่
ถึงแล้วโรงแรมที่หมุยเน่คืนนี้เราจะนอนกันที่นี่ รร หมุยเน่ฮิล เราจองผ่านแอ๊ปบุ๊คกิ้งดอทคอม 2 คืนในราคา 800 บาท ถูกมั้ยล่าา แต่จะบอกว่ามีคนจองได้ถูกกว่านี้แต่ราคานี้กับบรรยากาศแบบนี้ก็ถือว่าคุ้มสุดๆใครมาเที่ยวหมุยเน่แนะนำที่นี่เลย รร ดีงาม
มีสระว่ายน้ำด้วยแหละมาถึงตอนเยนๆคนยังไม่ค่อยปรากฎตัวแต่ตอนค่ำๆโพล้เพล้นี่ อู้ววว มาจากไหนกัน ที่นี่เค้ามีช่วงวันจัดปาร์ตี้ด้วยนะเออ แต่เรามาไม่ตรงวันที่เค้ามีปาร์ตี้ แต่ได้คนเพื่อนร่วมทริปทัวทะเลทรายตอนเช้าวันรุ่งขึ้นละเป็นฝรั่ง
มาเยือนถิ่นเค้าต้องจัดซะหน่อย
บรรยากาศช่วงเย็นๆของที่นี่ก็โรแมนติกดีนะ เสียดายอยู่ลึกๆว่ามาคนเดียว ถ้ามีคนมาด้วยนี่ฟินสุดเบย คิๆๆๆ
ร้านค้าของที่ระลึกต่างๆก็มีให้เลือกเยอะแยะมากมาย อย่างเช่นร้านนี้สายเมาสายดื่มแวะมาเลือกซื้อไวน์ไปดื่มกันได้ราคาก็เอาเรื่องอยู่ ส่วนเราเก็บตังไว้กินเบียร์คืนนี้ที่ รร ดีกว่า มีโปรแนะนำด้วยแหละหุๆๆ
ไหนๆมาถึงที่แล้วก็จัดหน่อยจัดจนลืมว่าต้องตื่นตี3ครึ่งเพราะเราซื้อทัวร์ตอนเช้าไปทะเลทรายดูพระอาทิตย์ขึ้น
กลางคืนก็เริ่มมีฝรั่งมาเล่นน้ำ ไปจอยกันสนุกนะ เราเหรอจะปล่อยให้ช่วงเวลานี้หลุดรอด หุๆ ตู้มมม!! คืนนี้ปิดท้ายด้วยวิวบรรยากาศรอบๆ รร ไปก่อนนะ แล้วเดี๋ยวเราไปทะเลทรายกันวันรุ่งขึ้น
บรรยากาศเมื่อตอนถ่ายริมระเบียงห้องพักลมเยนๆ วิวสวยๆดีสุดๆ
อ้อลืมบอกไปว่าทาง รร แรมเค้าจะแนะนำแพคเกจทัวให้เราเลือกตัดสินใจซื้อตามความชอบและความเหมาสมของเรานะตอนที่เราไปเชคอินเข้าที่พัก ในส่วนนี้เราเลยเลือก ทัวทะเลทรายครึ่งวันโดยมีรถมินิบัสพาเราไปในที่ๆจัดให้ซึ่งเราต้องไปร่วมทริปกับแขกคนอื่นๆและแน่นอนเพื่อนร่วมทริปเรา ฝรั่งทั้งคัน และมีเราเป็นคนไทยคนเดียวแป่ววว
เช้าวันที่25 ก็เริ่มขึ้นในตอนช่วงเช้ามืด รถมินิบัสมารับจากโรงแรมเพื่อที่จะไปชมพระอาทิตย์ขึ้นที่เนินทรายขาว ทริปนี้ ราคาทั้งหมด 80,000ดอง เราจ่ายตั้งแต่วันมาถึงโรงแรมเลย
เริ่มทัวตอนเช้ามืดอากาศก็จะเย็นๆหน่อย เมื่อมาถึงทะเลทรายเราเลือกที่จะเดินขึ้นไปให้ถึงจุดยอดเข้าเพื่อถ่ายภาพ เพราะว่าเช่ารถ มันแพงมาก เดินดีกว่า
ฟ้าเริ่มสางแล้วเริ่มมองเห็นทัศนียภาพ
และเราก็หามุมถ่ายสิจ๊ะรอไร
ทุกคนเริ่มหามุมดีๆที่เหมาะๆวิวตอนพระอาทิตย์ขึ้นนี้ดีงามนะ แต่เราไม่เห็นดวงอาทิตย์เลยอ่า
ไกล้ถึงจุดสุดยอดแล่วว
แล้วเราก็มองชมพระอาทิตย์ขึ้น เอ่อ ไหนอ้ะพระอาทิตย์
ยังไม่เห็นพระอาทิตย์เบย
เอาวะไหนๆก็ไม่เห็นพระอาทิตย์ขึ้น ก็ถ่ายรูปวนๆไปจ้า ทรายขาวสีสวยมาก
ขอมุมเท่ๆบ้าง คิๆๆๆ
กว่าจะถึงขาลากกันเลยทีเดียว เอาวะ เท่านี้ก็คุ้มละ ราคาทัว 80,000 ดอง ตรงนี้คือเนินทรายขาวจะเป็นจุดแรกที่เค้าจะพาเรามาชมพระอาทิตย์ขึ้น มันคือภูเขาดีๆนี่เอง แต่เป็นภูเขาที่พื้นดินเป็นทราย ก็ไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้ยังงัย เดี๋ยวที่ต่อไปที่จะไปชมคือทะเลยทรายสีแดง ไปกันเล้ยย!
หลังจากที่ใช้เวลาสักพักบนเนินทรายขาว เรียกว่าเนินทรายละกันนะ เราก็ขึ้นรถมาที่เนินทรายแดง ว่าแล้วก็ได้เวลาปลดปล่อย มันมีให้เช่า บร์อด สไลเดอร์ เล่นด้วยแหละ แต่ ขอถ่ายรูปดีกว่า
ใครชอบเล่นสไลเดอร์ก็ต้องลองนะ แต่ระวังเรื่องราคาเด้อ แม่ค้าที่นี่ โหดมาก หึๆๆ
มองเห็นทะเล
ดูเอาว่าต้องใช้ความอดทนเบอร์ไหน หุๆๆ
บรรยากาศบนรถมินิบัสพาทัวร์ ก็ดูโอเคสำหรับเรานะ เพราะมันถูกมากๆ แล้วไปที่ๆสำคัญยอดอิตได้ครบ เดี๋ยวไปต่อกันเล้ยให้ภาพเล่าเรื่อง
นี่เป็นหมู่บ้านชาวประมง มาชมวิถีชีวิตชาวประมงของคนที่นี่ เราก็จะเป็นเรือหน้าตาแปลกมีลักษณะเป็นเหมือนกะละมังใบใหญ่ๆลอยตุ๊บป่องๆอยู่บนทะเลและ คว่ำๆหงายแถวๆริมหาด ใครอยากซื้ออาหารทะเลราคาถูกๆสดๆต้องมาที่นี่
กิโลละ350บาทไทย ดีงามมาก เค้าว่างั้น อิอิไม่ได้ซื้ออ้ะ
นี่ไงมินิบัสของ รร เราที่พาเรามาถึงที่นี่ เราใช้เวลาที่นี่ไม่นานนัก เราก็จะขึ้นรถต่อไปที่สุดท้ายแล้ว นั่นก็คือ
แฟรี่สตรีม ธารน้ำสีแดง ป้ะๆๆๆ
ทางเข้าลำธารสีแดง เมื่อเข้าไปถึงแล้วก็เสียค่าเข้าคนละ1000ดอง น้อยมากๆ
ลำธารแห่งนี้มีน้ำเป็นสีแดง สีสวยน่ากินเชียวแหละ แต่อย่าเผลอไปกินล่ะ จริงๆมันก็ไม่มีไรมากมายนะ อารมณ์ก็คล้ายๆแพะเมืองผี บ้านเรา ที่มันเป็นลำธารลัดเลาะตามซอกเขา เดินๆไปถ่ายภาพสวยๆไปเรื่อยๆแล้วก็เดินกลับ ในส่วนของข้อมูลลักษณะทางธรรมชาติเราก็ไม่ได้ศึกษามาด้วยสิว่ามันเกิดขึ้นได้ยังงัย เอาเป็นว่ามีแค่ภาพความประทับใจมาอวดก็แล้วกันเนาะ
สาวๆจากสวีเดน ดูมีความสุขเราโชคดีที่ได้มากับกลุ่มนี้ เทอคุยสนุกมากๆ
ขอซักมุมนะ มัวแต่เพลินเมมเต็มเฉยไม่ได้ถ่ายภาพรวมกะเค้าอันนี้ทำใจ5555!!!
เดินเล่นๆซักพักถ่ายรูปจนพอแล้วก็ได้เวลากลับขึ้นรถเข้าโรงแรมกันแล้ว วันนี้ความรู้สึกเหนื่อยหายไปเป็นปลิดทิ้ง เที่ยวถูกแล้วก็คุ้มค่ากับประสบการณ์การเดินทางคนเดียวจริงๆ ทริปนี้เสร็จสิ้นที่เวลา10โมงเช้าโดยประมาณ ถึง โรงแรมเราก็ทานอาหารกับเพื่อนๆร่วมทริปในแก๊งของเราก่อนแยกย้ายไปทำภาระกิจส่วนตัว เราก็นัดกันดื่มปาร์ตี้ที่ ริมสระที่โรงแรมเป็นการอำลากันในคืนนี้แล้วพรุ่งนี้เราจะต้องไปดาลัดต่อแล้วพบกันที่เมืองตากอากาศ ดาลัดจ้า
อ้อๆๆ เกือบลืมตอนเชคอินที่โรงแรมวันแรกที่เราซื้อทัวร์วันนั้น เราสามารถให้โรงแรมจองรถเพื่อที่จะพาเราเดินทางไปดาลัดได้เลยเจ้าหน้าที่โรงแรมจะจัดการเรื่องตารางรถให้เราเลือกว่าเราจะเลือกช่วงเวลาไหนและก็จ่ายเงินให้เสร็จเรียบร้อยเป็นการผลักภาระงบประมาณตรงนั้นไปซึ่งแน่นอนเราเลือกตอนเวลาเช้าคือ10.00 ไปถึงดาลัดตอน4.โมงเย็น
เช้าวันที่26 เตรียมตัวออกเดินทางไปดาลัด
ตื่นเช้ามาระหว่างรอรถมารับก็ขอถ่ายอีกซักหน่อยกับร้านขายกาแฟ เวียดนามนี่ กาแฟดังเหมือนกันแฮะ และเดี๋ยวพอรถมาเราก็จะเอาภาพบรรยากาศระหว่างทางมาให้ชมกันไปกันจ้าขึ้นรถละน้า
รอบนี้เป็นรถมินิบัสแอร์เย็นฉ่ำมากไวไฟฟรี ดีงาม พาแวะจุดพักรถระหว่างทางเพื่อทานข้าวตอนนี้เราอยู่นอกเมืองหมุยเน่มาได้ไกลมากๆเรียกได้ว่าครึ่งทางแล้วระหว่างทางรายล้อมไปด้วยภูเขาและแม่น้ำวิวธรรมชาติที่นี่สวยงามมากๆ
จุดแวะทานข้าวพักรถก็จะเป็นร้านเพิงเล็กๆ ที่มีแค่ที่นี่ทีเดียวในละแวกนี้ ลืมถ่ายอาหารอิอิ มัวแต่ถ่ายรูปภูเขาเพลิน เสร็จจากตรงนี้เราก็ต้องไปกันต่อ ชมบรรยากาศตารายทางบนเขากันดีกว่า
ถ่ายจากในรถมินิบัสขอบคุณกล้องวีโว่ ชัดแจ๋วเล้ยยย นี่ถ้าเกิดแวะจอดให้ได้ถ่ายรูปซักแป๊บนึงจะฟินกว่านี้ แต่ได้แค่กดชัตเตอร์ผ่านๆได้ภาพนี้มาสำหรับเราถือว่าโอเคมากๆ
เห็นบรรยากาศเริ่มค่อยเปลี่่ยนไปทีละนิดและความเย็นเริ่มเข้ามาแล้วทำให้เดาได้เลยว่าไกล้ถึงดาลัดแล้วฝนก็จะตกปรอยๆ ตกๆหยุดๆแบบนี้ไปตลอดทาง
ถึงซะทีดาลัดฝนตกๆหยุดที่นี่เป็นเรื่องปกติมากๆ อากาศเย๊นเย็น คืนนี้ต้องหาซื้อเสื้อกันหนาวซะแล้ว
โรงแรมนี้เป็นเราเลือกเป็นห้องรวมเตียงนอนดูสะอาดและมีความเป็นส่วนตัวปลอดภัยเจ้าของใจดีด้วย จองผ่านทราเวลโลก้า 3 คืนในราคา338บาทไทย หุๆๆ
ดูเลอค่ามากๆใครอยากดูสภาพห้องแบบเต็มๆกดค้นหาตามชื่อโรงแรมที่ให้ไว้เลยจ้า ผ้าห่มเป็นผ้านวมอุ่นมากๆ เมืองนี้บ้านทุกๆบ้านไม่ติดเครื่องปรับอากาศนะจ๊ะ เพราะเย็นตลอดปี กลางคืนนี่ หนาวฝุดๆ
เย้ทำไมเราไม่ให้คนถ่ายเค้าเอากล้องที่ห้อยคอไปถ่ายให้หว่า พลาดมากๆ มุมนี้คนชอบมาถ่ายรูปกันและเป็นตลาดกลางคืนที่มีคนของกินของฝากเป็นถนนคนเดิน
ทะเลสาปยามค่ำคืน
อาหารท้องถิ่นลองแล้วก็พอให้หายหิวได้บ้าง
ดาลัดเมืองนี้ขึ้นชื่อเรื่องโยเกิร์ต เราลองแล้วรสชาติดีมาก คืนนี้เราฝากท้องด้วยอาหารพื้นเมืองของที่นี่ รสชาติก็ไม่เลวนะ ใครมาไม่ได้ลองถือว่ามาไม่ถึงเมืองดาลัด วันรุ่งขึ้นเราจะตระเวณถ่ายรูปเดินไปเรื่อยๆสูดอากาศ
เช้าวันที่27 มื้อนี้ฝากท้องด้วยเมนูอาหารเช้า รสชาติไม่เลวกินได้ๆๆๆ
...................................มื้อนี้50,000ดอง
ตื่นตอนเช้ามาแวะถ่ายรูปสวยๆเก็บไว้ อากาศยามเช้าดีจุงหากาแฟซักแก้วนั่งจิบเบาๆทำให้ชีวิตดูมีชีวิตชีวามากๆ
มุมนี้คนมาถ่ายก็ค่อนข้างเยอะมากๆ
บรรยากาศทะเลสาปในตอนเช้าๆ
มุมนี้เป็นอีกมุมยอดฮิตเลยเชียวแหละที่นักท่องเที่ยวชอบมาถ่ายรูปกัน
มีน้องหมาด้วย น่าฟัดจุง
เอาซะหน่อย น้องไ่ม่ดื้อด้วย น่ารักมากๆ อิอิอิ
ปิดท้ายของวันนี้หลังจากที่เดินตระเวณถ่ายภาพก็ได้กาแฟดีๆบรรยากาศดีๆมาฝากกัน คืนนี้คงมีแค่หาร้านนั่งดื่มชิวๆและเดินสำรวจของฝากแถวตลาดกลางคืนตามภาพ
ปิดท้ายของค่ำคืนนี้ด้วยกาแฟบดจากดาลัดของฝากกลับบ้าน และวันรุ่งขึ้นเราจะไปสวนดอกไม้เมืองหนาวกัน
เช้าวันที่28 หลังจากทำภาระกิจเรียบร้อยแล้ว ก็เริ่มออกเดินทางไปแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ สวนดอกไม้เมืองหนาว ที่นี่มีดอกไม้สวยๆและมุมสวยไว้รองรับนักท่องเที่ยวได้ถ่ายรูปกันมากมาย คนมีคู่ต้องไม่พลาดที่นี่ เรามาคนเดียว งือออ การเดินทางครั้งนี้เราเลือกแทกซี่มิเตอร์ โชคดีมากได้คนขับดีๆ ประชากรเมืองนี้อัทยาศัยต่อนักท่องเที่ยวชาวไทยค่อนข้างดีเท่าที่เห็น แต่ใครที่โชคร้ายก็แชร์ประสบการณ์กันนะ แต่เราไม่โดน เย้ๆๆๆ
มุมนี้ตรงไกล้ทางเข้า
วิวจากมุมสูง พื้นที่กว้างมากๆ
ทะเลสาป
ปิดท้ายด้วยภาพของวันนี้ เวลาที่เหลือเราก็คงแค่ไปหาร้านกาแฟนั่งเพลินๆต่อ มันยังมีสถานที่อีกหลายที่ที่รอบนี้ไม่ได้ไปแวะ เช่นนั่งกระเช้าวัดตักลัม นั่งรถรางที่น้ำตกดาตัลลา พระราชวังเบ๋าได๋ ถ้าคราวหน้ามาอีกคงไม่พลาดคราวนี้เอาเท่านี้ก่อนละกัน เริ่มรู้สึกเหงานิด เพราะว่าเที่ยวคนเดียว อิอิอิอิ เริ่มคิดถึงบ้าน หุๆๆๆ
และเราจะปิดท้ายด้วยภาพการเดินตระเวณซื้อของฝากกันค่ำคืนนี้ที่ตลาดกลางคืนกันอีกซักเล็กน้อยก่อนที่เราจะเข้าเมืองโฮจิมินห์ในวันรุ่งขึ้น
อร่อยนะ เหมือนเต้าฮวยบ้านเราเลยแต่ละมุนกว่า ชอบมาก
ตุ๊กตาที่ระลึก
จัดไปฝากเพื่อนซักสองสามตัว แพงเอาเรื่องอยู่นะ แต่ที่น่าเจ็บใจก็คือ ไปเดินสำเพ็ง มีเหมือนกันเบยย
ปิดท้ายด้วยเครื่องดื่มแบบชงน้ำร้อน อาติโช ได้มาห่อนึง ชิมแล้วรสชาติดีมาก เค้าว่าดีต่อตับ
ราคาโรงแรมนี้พัก3คืน เป็นห้องพักรวม ค่าใช้จ่ายทั้งหมด 339 บาท แล้วพบกันที่โฮจิมินห์ซิตี้จ้า ค่าเดินทางโดยรถนอนปรับอากาศ บริษัท ฟูต้าบัส ราคาจาก ดาลัดสู่โฮจิมินห์ ทั้งหมด 120,000 ดอง ติดต่อจองตั๋วที่โรงแรมที่เราพักได้เลย วันรุ่งขึ้นเค้าจะมีรถตู้จาก บขส มารับถึงโรงแรมแล้วไปจ่ายเงินที่หน้าเค้าเตอร์ตั๋วได้เลย
เช้าวันที่29เดินทางเข้าสู่โฮจิมินห์ เราเดินทางมาถึงประมาณบ่ายสี่โมงเย็น อารมณ์ความวุ่นวายของคนเมืองนี้ก็เริ่มเห็นได้ชัดเจนขึ้น ตอนนี้ เราก็ไม่ได้คิดว่าจะมีอะไรเป็นพิเศษที่เมืองนี้ เพราะไม่ได้โฟกัสว่าจะไปสถานที่ที่สำคัญ เพราะเพิ่งรู้ว่า พิพิธภัณฑ์ลุงโฮ ปิดปรับปรุง เราก็แค่ได้แต่เดินดูของฝากตลาดเบนถันนั่งดริ๊งเบาๆแถวฟาร์มงูหลาว
คืนนี้เราพักโฮสเทลแบบแคปซูล ดูไฮเทคมากๆ ราคา2คืน 494 บาท จองผ่านทราลเวลโลก้าจ้า ที่ดาลัดเราก็จองผ่านทราเวลโลก้าเช่นเดียวกัน ถูกและดีมากๆ วันรุ่งขึ้น เราจะไปเดินหาประสบการณ์แปลกๆฮ่าๆๆๆๆ
วันที่30ได้เวลาออกไปหาไรกินแล้วก็เดินสำรวจกันหน่อย
มื้อนี้รองท้องก่อนเดิน เพราะเราต้องเดินและตั้งใจว่าจะไม่ใช้รถโดยสารหรือแทกซี่ เราจะเดินๆใครที่ไม่ชอบลุยๆแนะนำโหลดแกรปเอาไว้ หรือศึกษา สายรถเมลล์ เอาไว้ นะจ๊ะ อิ่มแล้วไปกันต่อจ้า
มุมนี้เราเดินจนจำได้วนไปวนมาคือหลงทางบ่อยมาก เลยถ่ายไว้กันเหนียว ด้านหน้า๖ึกซ้ายมือคือตลาดเบนถัน ในนั้นมีอาหารและของฝาก แต่เราไม่ค่อยชอบเพราะว่าแม่ค้าที่นั่นวีรกรรมการปิดการขายเลื่องชื่อสุดๆเพราะเราเคยไปมาเมื่อปีก่อนแล้วเราเลยข้ามตรงนี้ไป
เดินมาเรื่อยๆก็ถึงพิพิธภัณฑ์ ขอแค่ถ่ายรูปข้างนอกก็พอนะ
เย่! มาถึงแล้วที่ๆคนชอบมาถ่ายและฝั่งตรงข้ามคือพิพิธภัณฑ์ไปรษณีย์ของเมืองโฮจิมินห์
เดี๋ยวเราจะเข้าไปชมด้านในกัน เหมือนภาพในรีวิวคนอื่นๆที่เคยมาเลยอ่าา รูปทุกรูปเราถ่ายเองน้าาา
ผู้คนเยอะมากๆบ้างก็มาถ่ายภาพหรือซื้อหาโปสการ์ดกลับไปฝากเพื่อนๆ ที่นี่ยังมีอีกหลายที่และกิจกรรมอื่นอีกเยอะมากๆที่เราตั้งใจจะมาเก็บเกี่ยวประสบการณ์อีกซึ่งรอบนี้ลองสำรวจคร่าวๆไปก่อนเด้อ
และแล้ววีรกรรมการโดนหลอกก็เกิดขึ้น รูปนี้มีเรื่องราวอยู่ว่า คุณลุงพ่อค้าหาบมะพร้าวขายแกเห็นเราเดินถือกล้อง แกก็เดินตรี่มาหาเราแบบประชิดตัวไวมาก แล้วการเสนอตัวให้เราได้ถ่ายรูปแปลกด้วยการให้เราทำเป็นพ่อค้าในเมืองนี้ก็เกิดขึ้น ตามที่เห็น และที่มันพี้คคคคคคคค ไปอีกคือ พอวางหาบปุ๊บ ลุงแกก็จัดการเฉาะมะพร้าวยื่นให้แล้วแบบมัดมือชกเบ็ดเสร็จจ้า มะพร้าว1ลูก 150,000ดอง 200บาทไทย สุดยอดไปเล้ยยย บทเรียนราคาแพงนี้สอนให้เรารู้ว่าอย่าสบตาคนพวกนี้เป็นอันขาด ได้ครั้งนี้ครั้งเดียวนะจ๊ะ ไม่เป็นไรถือว่าเราโง่เอง หึๆๆๆๆ
ย่านขายหนังสือ
มีหนังสือขายเยอะแยะเลย หนังสือภาษาอังกฤษ
เดินมาอีกก็เจอพิพิธภัณฑ์สงคราม
ปิดท้ายของภาพวันนี้ด้วยมนสเน่ห์ของเมืองที่รถยนต์และมอเตอร์ไซค์ที่วิ่งกันแบบมีทักษะในการขับขี่สูง เวลาข้ามถนนต้องมีวิชาตัวเบานะจ๊ะ ไม่งั้นไม่ได้ข้ามจ้า คืนนี้ก็คงเหมือนเดิมนะหาไรกินดื่มนิดหน่อย แล้ววันพรุ่งมีเวลาทั้งวันก่อนจาก อำลาด้วยภาพบางส่วนจ้า
วันที่31แล้ว วันนี้ก็ครบแล้วสำหรับ8วันที่ดำรงชีวิตในเวียดนามใต้แบบอยู่รอดปลอดภัยถือว่าคุ้มค่ามากๆสำหรับการมาเยือนต่างถิ่นและใช้ชีวิตเองเอาตัวรอดเองคนเดียว มานั่งนึกดูบอกกับตัวเอง เห้ยย เรานี่ก็ไม่ธรรมดานี่นะ มาจนถึงนี่ได้ไง
ก่อนกลับก็ขอสำรวจอีกซักหน่อย ตอนแรกตั้งใจจะไปตึก ไปเทคโก้ แต่เห็นราคาแล้ว ไม่เอาดีกว่า งบเราเหลือไม่มากนัก เลยตัดตรงนี้ไป
ขอซักหน่อยนะ
สภาพหลังจาก7วันที่ผ่านมาก็จะโทรมๆหน่อย
เหลือเท่านี้ เราจะเก็บไว้ไปหาไรกินและซื้อของฝากเพิ่มในสนามบินตอนขากลับ
หลังจากเชคเอ๊าแล้วก็เตรียมตัวไปสนามบินนั่งรถสายเดิมคือ152โอ้โห รถเต็มถนนเล้ยย
คงพอประทังความหิวไปได้บ้างกลับถึง กทมเมื่อไหร่จัดหนักแน่นอน
บรรยากาศตอนถึงสนามบินเพื่อรอไฟล์กลับ กทม
บทส่งท้าย เนื่องจากการเดินทางครั้งนี้ไปเพียงลำพังและสถานที่ๆไปบางที่เราก็ไม่ได้ไปครบทุกๆที่เหมือนในหลายๆรีวิว แต่เราอยากบอกว่า เพื่อนๆคนไหนที่อยากลองไปเที่ยวเอง ไปใช้ชีวิตด้วยตัวเองในต่างแดน เรามองว่าเวียดนามใต้คือที่ๆที่เหมาะมากสำหรับมือใหม่ ต่อให้เราไปเยือนสถานที่สำคัญไม่หมดเราก็ยังรู้สึกว่ามันเป็นการท่องเที่ยวที่ดูแล้วอิ่มเอมมากๆ ลองออกไปผจญภัยดูนะครับ แล้วคุณจะเสพติดการท่องเที่ยว การใช้ชีวิตของเราจะเริ่มเปลี่ยนไปทีละน้อยเพราะในหัวสมองเริ่มคิดแต่จะวางแผนไปหาสถานที่ต่างไว้พักผ่อนและถ่ายรูปมาอวดกัน ใครไปมาแล้วก็ถ่ายรูปมาอวดกันนะครับ ขอบพระคุณเพื่อนๆทุกๆท่านที่เสียสละเวลามานั่งอ่านกันน้า รอบหน้าไปที่ไหน คอยติดตามกันคร้าบบ สำหรับรอบนี้ บ๊ายบายโฮจิมินห์ จ้าาาา
.................................................................................................................................................
มนชัย บุญมา
วันศุกร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2561 เวลา 17.10 น.