***ข้อมูลต่อจากนี้เป็นเนื้อหาที่ลิ้งค์มาจากพันทิพย์เดิมค่ะในปี 2556 ค่ะ
การเดินทางครั้งนี้ ไม่มีแผน ที่แน่นอนคะ แต่เรารู้อย่างเดียวว่าเราอยากไปเส้นทางเดียวกับเราสองสามคน ซึ่งเป้าหมาย ของเราคิอทะเลทรายมุยเน่จ้า
ความเดิมตอนที่แล้ว
ตอนที่1: http://pantip.com/topic/33449287
วันที่ 1 : เดินทางจากหมอชิต – มุกดาหาร (นอนบนรถทัวร์)
วันที่ 2 : เดินทางจากมุกดาหาร- สะหวันนะเขต , สะหวันนะเขต-เว้ (นอนโรงแรมที่เว้)
วันที่ 3 : เที่ยวที่เว้ตอนเช้า ตอนบ่ายๆ เดินทางไปฮอยอัน (นอนโรงแรมที่ ฮอยอัน)
ตอนที่2: http://pantip.com/topic/33461113/comment4
วันที่ 4: เที่ยวฮอยอัน ตั้งแต่เช้ายันบ่ายๆ ตอนเย็นเดินทาง ไป ดาลัด (นอนบนรถทัวร์)
วันที่ 5: ถึงดาลัด เช่ารถมอไซด์ ขับเที่ยว รอบเมือง ตอนเย็นเดินตลาดถนนคนเดินดาลัด (นอนโฮสเทล์ที่ดาลัด)
วันที่6: เที่ยวในเมืองดาลัด
อาหารเช้าเวียดนาม ของที่พักเสริฟ์ขนมปังฝรั่งเศษพร้อมกับ ไข่เจียว และกาแฟเวียดนามคะ และวันนี้เราจะเดินทางไป มุยเน่ สามารถจองรถได้กับที่พักได้เลยคะ มีรอบบ่ายโมง ซึ่งเราจะต้อง check out ก่อน เลยวางแผนตอนเช้าไปเที่ยว กันต่ออีกสักหน่อย โดยการเช่าจักรยานสองตอน ซึ่งคนเดียวสามารถปั่นได้สองคน สามาถหาเช่าได้ตามหอนาฬิกาดาลัด ราคาไม่แพงคะ ปั่นจักรยานที่ไม่ใช่เสือภูเขา เอามาปั่นที่นี่ถือว่าเหนื่อยมากๆเลยคะ แต่สนุกดี อากาศไม่ร้อน
Dalat Church
เป็นโบสถ์ทางศาสนาคริสต์คะ สวยงามคะ สามารถชมบรรยากาศรอบๆข้าง เพราะว่าข้างบนอากศดีมากคะ เป็นสถานที่พักผ่อนทางงจิตใจของชาวดาลัดคะ จะมีผู้คนมาสวยวิงวอนขอพรจากพระแม่มารี อยู่ตลอดคะ แถมยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ชาวเวียดนามก็นิยมมาถ่ายรูปเป็นที่ระลึกเหมือนกันคะ
Dalat Market
งานของฝาก คิดอะไรไม่ออก เส้นก๋วยเตี๋ยวเวียดนามเลยจ้าไม่แพง เลือกอันที่ไม่มีในไทย ต่อราคาได้นะคะ
เป็นสถานที่เดียวกับ Night market เมื่อคืนคะ แต่ว่าตอนเช้า จะเปลี่ยนเป็นขายต้นไม้ ขายบนฟุตบาทไม่ได้ปิดถนนเหมือนเมื่อคืนคะ และด้านหลัง เป็นตลาดขายของกินคะ พวกเส้นก๋วยเตี๋ยว พวกของกิน สามารถหาซื้อฝากได้จากที่นี่เลยคะ ด้านซอยหลังวงเวียน ขับจักรยานผ่านตลาดสดมา ก็จะเจอร้านพวกนี้คะ ใครติดใจเส้นอะไร สอบถามได้เลยคะ เรียกว่ามีแถบทุกส้นทุกอย่างที่เคยกินในเวียดนามคะ อยากกินอะไรก็จดและจำดีๆ มาหาตามร้านแถวนี้ได้เลยคะ ราคาสามารถต่อรองได้ อาจไม่มาก เพราะว่าราคาไม่ได้แพงเท่าไหร่ตั้งแต่แรกคะ
รถไปดาลัดมารับเราถึงที่พักคะ รถเป็นเดียวกับขามาดาลัด นั่นคือเป็นรถ Van คะ ในรถมีทั้งนักท่องเที่ยวและ ชาวเวียดนาม อย่างครึ่งๆเลยคะ นั่งตรงไหนก็ได้ตามใจชอบคะ ขอให้เลือกตรงหน้าต่างนะคะ เพราะว่าแอร์จะไม่เย็นเลย เนื่องจากดาลัดอากาศดี แต่ว่าระยะทางที่ไปมุยเน่ อากาศจะร้อนขึ้นทันทีคะ
เรานั่งติดหน้าต่าง เลยได้ภาพมาชัดเจนว่าข้างทาง วัวเยอะขนาดไหน ที่คือ ตลอดทางคะ รถไม่ได้ติดเพราะว่า รถติดแบบบ้านเรานะคะ แต่เขาคิดเพราะว่า วัว เป็ด เป็นส่วนใหญ่คะ
ตลอดทางจะมีฝูงวัวเดินตัดหน้ารถตลอดคะ เสียงแตรก็จะดังตลอดทางเรื่อยๆ การเดินทางครั้งนี้ดูเหมือนยาวนานมาก ทั้งๆที่ไม่ได้ไกลมาก แต่ด้วยอากาศที่เปลี่ยนไป เลยทำให้ทุกคนเหนื่อยๆ ในขณะที่รถจอดพักให้ทุกคนได้พักเข้าห้องน้ำกินอาหาร เราก็เจอเรื่องอึ้งๆ อย่างหนึ่ง คือ ห้องน้ำเวียดนามคะ นักท่องเที่ยวทุกคนงง นั่นคือห้องน้ำไม่มีน้ำคะ นักท่องเที่ยว คนจีนมาบอกว่า ในห้องไม่มีน้ำนะคะ คุณป้าเวียดนามคนนึง ต่อห้องข้างๆ ต้องตักน้ำจากหน้าห้องเข้าไปใช้เอง คือทุกคนต้องตักน้ำจากหน้าห้องเข้าไปใช้เองของใครของมันคะ นักท่องเที่ยวทุกคนหันไปมองคุณป้าเวียดนามคนนั้น อย่าง เฉลยข้อสงสัย ว่า อ้อ ไอถังที่อยู่หน้าห้องน้ำนี่คือน้ำ ใช้ในห้องน้ำหรอ แล้วทุกคนที่จะเข้าต่อก็ทำป้าคนนั้นหมดคะ ถือเป็นวัฒนธรรมการเข้าห้องน้ำที่ต้องปรับสภาพคะ ส่วนอาหาร ใครสั่ง มาม่า มากิน ก็ได้ เครื่องเคียงมาด้วยคะ นักท่องเที่ยว ตะลึงอีกแล้ว นั่นคือ สั่งมาม่า นอกจากได้น้ำร้อนแบบบ้านเราแล้ว ยังได้ ผักมาจานโตมากินเป็นเครื่องเคียงกันอีกด้วย เล่นเอาอิ่มกันเลยคะ
นี่แหละคะ ลูกศรแดงที่เราชี้ไว้ คือเราต้องตักเขาไปคนละขัน ใช้ให้พอและกัน คือ สงสัยว่าเอาเข้าไปข้างใน อีกนิดนึง มันจะเป็นไรไปคะ ฝรั่ง งง ไทยงง ออสเตรเลียงง กันตามๆกันคะ ว่าเข้าใช้ห้องน้ำกันแบบนี้หรอ
นั่งกันต่อไปเรื่อยๆ เริ่มรับรู้ได้ถึงเมืองทะเลทรายว่าใกล้ถึงมุยเน่ เพราะว่าจะมีภูเขาทะเลทรายแดงๆ ตลอดทางเข้าคะ รถมาจอดตรงซอยเล็กๆ ซึ่ง งงอีกเช่นเคย เพราะว่า เราเห็นแต่ทราย ไม่เห็นคำว่ามุยเน่สักคำคะ นักท่องเที่ยวทุกคน งงๆ เดินออกมาถามกันว่า "ที่นี่คือมุยเน่แล้วใช่ไหม ? " ฟ้าก็เริ่มจะมืด เลยเดินไปเรื่อยๆ หาโรงแรม แต่ว่าละแลกที่รถจอดไม่มีโรงแรมใกล้ๆ เลยคะ ต้องเดินไปสักระยะนึง ก็เจอโรงแรมคะ ราคาไม่แพง สภาพห้อง ดี เลยตัดสินใจเอาคะ
โรงแรม เข้าของดูแลเองหมด ให้ลูกเป็นเด็กต้นรับ มีหมาน้อยเป็นยาม มีสามีเป็นพ่อบ้าน พ่อครัว ตัวเองเป็นรีเสปชั่น รับค่าห้องเป็นดอลล่าด้วยนะ ขนาดเล็กๆทำเอง แถมมีทัวร์ เช่ารถ ทุกอย่างที่เวียดนาม คือ โรงแรม ต้องเป็นทุกอย่างให้ได้หมดคะ
ตอนดึกๆ สามารถข้ามฝั่งถนนมากินอาหารทะเลได้สบายๆ ราคาไม่แพงคะ อาหารทะเลที่นี่ ขอแนะนำว่า ดูให้ดีนะคะ ว่าสดไหม ที่ไปเจอร้านนึง เจอของสดมาตั้งหน้าร้าน แต่พอทำออกมาเอาของไม่ได้สดมาทำให้ ไม่ปลื้มเลย
หมดไปไม่กี่บาทเอง แต่ถามถึงรสชาติ บอกได้เลยเมืองไทยบ้านเรารถชาติดีกว่ามากคะ
วันที่ 7: เที่ยวทะเลทรายมุยเน่
ตื่นตั้งแต่ ตี 4 เพราะว่าจะไปดูพระอาทิตย์ที่ทะเลทรายคะ เราจะไปมุยเน่ แบบไม่มีแผนที่ เพราะที่พักไม่มีแผนที่ให้ เราเช่ารถมอไซด์ขับเหมือนเดิมคะ เพราะว่า Jeep tour ที่ไปทั้งสองทะเลทราย เราอยู่ได้แปปเดียวคะ 40 นาที ซึ่งราคาเช่ารถจะแพงกว่าที่ดาลัด เพราะดูเหมือนว่าค่าครองชีพสำรับนักท่องเที่ยวดูเหมือนจะแพงกว่าที่อื่นๆนะคะ เลยทำให้ค่าเช่า หรือว่าค่ากินบางอย่างจะแพงกว่าที่อื่นที่เคยเจอคะ
การขับรถไปมุยเน่ไปยากคะ แต่ไม่มีภาษาอังกฤษ เราหลงไปหลงมาหลายรอบมาก ถามคนแถวนั้น ว่า มุยเน่ไปทางไหน เขาก็ชื้ไปซ้ายมั่ง ขวามั่ง สรุป "มุยเน่เป็นชื่อเมืองของที่นี่" ทุกที่ของที่นี่คือมุยเน่หมด เราถามกันผิดซินะ เราเลยทำท่าทะเลทราย ภาษามือคะ ทำท่าแบบภูเขา เขาก็อ้อๆ ชี้ทางไป แถมยังขับรถมาส่งให้ถูกซอยอีกคะ เพราะว่าเราหลงเข้าไป หมู่บ้านชาวประมงคะ ยันมาถึงทะเลทราย Red sand dune เราพึ่งเจอภาษาอังกฤษตัวเล็กๆ ของโรงแรมตัวเดียวคะ ที่ชี้ทางบอกว่าไปทางไหน
หากใครคิดจะขับรถ ชิดขวาสุดเข้าไว้ ปลอดภัยที่สุด และมองระวังๆ กดแตรไปมั่วๆคะ มันแปลว่าทุกอย่าง ไม่ว่าเกิดไรขึ้นถ้ากดแปลว่าเราไม่ผิด คิดเองนะคะ 55 ที่นี่กดถี่มาก ไม่มีความหมาย
คราวนี้มาถึงสถานที่อีกแห่งที่เป็น Main หลักของการเที่ยวครั้งนี้ นั่นคือทะเลทรายคะ นอกจากจะสวยงาม กิตติศัพท์เรื่องการตื้อขายของของคนที่นี่ก็ดังไม่แพงกับชื่อเสียงของทะเลทรายคะ เมื่อเข้าไปถึงย่านทะเลทราย จะมีทุกคนมาโบกรถเราให้เข้าไป ตอนแรกจะไม่เข้า แต่เขาบอกว่า ฟรีๆ เลยเข้าไป แต่ พอเข้าไป เขาบอกว่า จอดฟรี แต่ต้องกินนะ จะปลีกตัวออกมากถ่ายรูปกับประอาทิตย์ก่อน แม่ค้าก็บอกว่ากินๆ กินอะไร ลากเข้าไป สุดท้ายพระอาทิตย์ขึ้นที่ตั้งใจลอยไปกับ อาหารเช้าร้านป้าคะ ไม่อร่อยเลย กินแก้หิว เมนูที่พอประทังชีวิตได้คือ เฝอ คะ
เพียงขับรถชะลอ ก็มีหลายสายตาจับจ้องเตรียมวิ่งเข้าหาทั้ง ภาษาอังกฤษ ภาษาเวียดนาม ไลด์เดอร์ไหม? กินข้าวไหม? น้ำไหม?
เดินหอบๆ กลางทะเลทราย มันเหนื่อยกว่าพื้นดินธรรมดา สามเท่า!! บอกได้เลย ว่ากว่าจะขึ้นยอดทรายได้ มันโหดมาก แต่พอถึงยอด บอกเลย มันสวยมาก จนยอมเหนื่อยต่อไป อยากได้ภาพสวยๆ ต้องต้องยอมเหนื่อยคะ
Red sand dune ไม่เสียค่าเข้าคะ ค่าจอดรถแล้วแต่ว่าเราเข้าที่ไหนคะ ที่นี่เป็นภูเขาทะเลทราย ที่สวยงามคะ แสงส่องจะเปลี่ยนสีเป็นสีทอง ถ้าไม่มีแดดจะเป็นสีส้มๆแดงๆ ทางเข้าจะมีนักขายรุ่นเยาว์คะ มาทำหน้าที่ speak English เก่งมากเชิญชวนไปสไลด์เดอร์ หลักจากตลาดอย่างดีคะ คือเดินตามไม่ปล่อย เดินไปไหนตามหมด นี่ขนาดไม่ได้สนใจนะ ตลอดทางขึ้นเหนื่อยมากเพราะพื้นเป็นทะเลทราย เดินลำบากนิดนึงพอขึ้นไปถึงจุดสูงๆที่ทรายแน่นๆ ก็สามารถเดินได้ปกติคะ ตลอดทางจะได้ยินเสียงหัวเราะของนักท่องเที่ยว หันไปก็ถึงได้รู้คะว่า สไลด์เดอร์ ที่นี่เขาฮิตกันขนาดนี้เลยหรอ
สไลด์เดอร์กันไหมคะ?
เอาซิ กว่าจะถึงที่นี่ ไม่ใช่เรื่องที่จะกลัวเหนื่อย เดินไปให้สุดยอดบนของ ทะเลทราย แล้ว หามุมเหมาะๆ Jump ซะ
พาโน่ราม่าก็น่าลอง แต่ต้องเดินไปลึกๆเลยคะ เพราะว่าจะไม่มีคน
หาผ้า สีสดๆ ไปโบกด้วยนะ
ความประทับใจไม่ลืมคะ คือ มันสวยมาก แบบธรรมชาติสร้างมาจริงๆ อากาศที่ร้อนๆ ลืมหมดเลยคะ เพราะว่ามีลมตลอด เข้าใจหัวออกของสาวมุสลิมแถบทะเลทรายเลยคะ ว่าทำไมต้องมีผ้าปิดหน้า ก็เพราะว่า ทรายเข้าหน้าไงคะ อ้าปากพูดตอนลมพัดมานี่ สครับเข้าปากเต็มๆ นั่งอยู่เฉยๆมองวิวได้นานเป็นชั่วโมงเลยคะเพราะว่า ลมจะพัดถูเขาทะเลทรายให้เปลี่ยนรูปทรงไปตามลมคะ เราเลยตกลงกันว่า ตอนเย็นจะมาอีกรอบเพื่อดูพระอาทิตย์ตกคะ เนื่องจากตอนเช้าไม่ทัน โดนคุณป้าร้านอาหารแย่งซีนไปก่อน
เห็นแล้ว เพลงนี้แว้บมาในหัว มันสวยๆจริงๆ
ทะเลทรายยามเย็นก็สวยไปอีกแบบคะ รูปทรงภูเขาทะเลทรายก็เปลี่ยนไปตามลม ไม่เหมือนเมื่อเช้าคะ คนขายของ ก็ไม่ตอแยมากเหมือนเมื่อเช้า สามารถเดินได้ถ่ายรูปได้สบายๆ คนก็น้อยกว่าคะ
อาหารเย็น มื้อนี้เป็นมื้อที่เรียกได้ว่า ประทับใจคะ เพราะกินร้านอาหารที่เจ้าของโรงแรมที่พักเปิดอยู่ฝั่งตรงข้าม เราสั่งเมนู Mix Grill รอนานมาก แต่ผลที่ออกมากเป็นที่น่าพอใจคะ คืออาหารสด สะอาด ราคาไม่แพง กินแล้วรู้สึกว่า คุ้มกว่าร้านแรกเมื่อวานมากๆ แถมบริการดีกว่า เยอะเลยคะ เข้าของโรงแรมเดินมาถามตลอดว่าทุกอย่างเป็นยังไง คุณต้องการเอาอะไรอีกไหม เรียกว่าร้านเล็กๆ แต่บริการได้เต็มที่และคุ้มราคามากคะ ขอแนะนำเลยถ้าถ้าใครอยากกิน อาหารสดๆ
มื้อหนี้เอาให้หนำใต ก่อนกลับ
ตลอดข้างทางที่ผ่านมา ที่นี่เราจะสามารถ มองเห็นร้านเหมือนหมูกระทะบ้านเรา คนนั่งกินเยอะมากคะ แต่ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาตินะคะ และเมนูที่ นิยมอีกอย่างของที่นี่คือ Thai Hot Pot คะ เหมือนจิ้มจุ่มบ้านเรา แต่เค็มๆคะ
การเดินทางของเราเริ่มใกล้วันสุดท้าย คือเราจะต้องไปขึ้นเครื่องกลับที่โฮจิมินต์ เราตัดสินใจที่จะเดินทางตอนดึก ให้ถึงโฮจิมินจ์ตอนเช้า เพราะว่า เราไม่ได้มีที่เที่ยวที่วางแผนเอาไว้ เลยจะไปสนามบินเลย เลยจองรถจากมุยแน่ รอบ ตี 1 คะ จองกับทางโรงแรมเหมือนเดินคะ เป็นรถ sleeping bus
วันที่ 8 ถึงโฮจิมินต์
รถ sleeping bus มารับที่หน้าโรงแรมเวลา ตี 1 พอดี เจ้าของโรงแรมออกมาส่ง ให้เดินทางโดยสวัสดิภาพ จากนั้น รถก็ไปรับนักท่องเที่ยวตามโรงแรมเรื่อยๆ เท่าที่สังเกตุ ไม่ว่าจะขึ้นที่ไหน ถ้าเป็น sleeping bus ชาวเวียดนามจะได้นั่งข้างล่าง ส่วนนักท่องเที่ยวจะนั่งข้างบนซะส่วนใหญ่ รถมีแวะพักกลางทาง เช่นเดิม การเดินทางจาก มุยแน่มาโฮจิมินต์ ใช้ระยะเวลา ประมาณเกือบ 6 ชั่วโมง นักท่องเที่ยวทุกคนสามารถรับรู้ได้ทันทีว่าเข้าเขตเมืองโฮจิมินต์ โดยไม่ต้องหาป้ายมอง เพราะ เสียงแตรสนั่นลั่น จนทำให้ทั้งคันตื่น และรับรู้ได้ว่า เราถึงเขตเมืองแล้วจริงๆ รถมาจอดตรงบริเวณข้างทางละแวกวงเวียน อนุเสาวรีย์ ของโฮจิมินต์ เราสองคนไม่มีแผนที่จะเที่ยวที่โฮจิมินต์ เพียงแค่แวะมาขึ้นเครื่องกลับเท่านั้น
ที่เวียดนาม รถอยากป้ายสุดท้ายที่ไหนก็จอด นักท่องเที่ยว ยี่สิบกว่าคนในรถนอนต่อกันหมดเพราะไม่ร็ว่านี่คือท่ารถ และไม่มีใครร็ด้วยซ้ำว่านี่คือ โอจิมินต์แล้ว เพราะไม่มีใครบอกอะไรเลย จนเขาขึ้นมาไล่ ว่า GO GO ทุกคนที่หลบก็ตื่นว่านี่ป้ายสุดท้ายหรอ
เมื่อรถจอดสนิท ไม่มีการประกาศหรือว่าสัญญาณใดๆ ว่านี่คือท่ารถที่ทุกคนจะต้องลง นักท่องเที่ยวทุกคนเข้าใจว่า เป็นการส่ง ชาวเวียดนามกลางทางเท่านั้น เพราะไม่มีสถานีหรืออะไรที่บ่งบอกว่าที่นี่คือท่ารถ พอนักท่องเที่ยวหลายคนเห็นรถไม่ไปสักที ก็เริ่มมีคนไปถามว่า นี่คือท่ารถของโฮจิมินต์หรอ คนขัยถึงกับบางอ้อ และตะโกนขึ้นมาบอกนักท่องเที่ยวทุกคนว่า ที่นี่ป้ายสุดท้ายของ โฮจิมินต์ ทุกคนเลยยอมลุก พอลงจากรถ ก็เช่นเดิมคะ การบริการมาเต็มที่ โรงแรม แท็กซี่ ไม่มีใครจับต้นชนปลายถูกกว่าตอนนี้ เราจะต้องเริ่มยังไง แต่เรากับเพื่อนมีปลายทางที่แน่นอน ว่าเราจะต้องไปสนามบิน
เจ้าหน้าที่แท็กซี่ ได้เข้ามาคุย ใส่ยุนิฟอร์มดีไม่เหมือนตัวเมืองอื่น แถมมีหัวหน้า ที่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ ว่าจะไปไหน แถมรถรายละเอียด ว่าคนขับเรารับไปไหน และสามารถจ่ายเงินเป็นดอลล่าได้ด้วยคะ ถือว่า โอเค เป็นอันตกลง ราคา ขึ้นอยู่กับระยะทางนะคะ คนขับ พูดภาษาอังกฤษได้ และสุดภาพ ไม่โกงคะ ถ้าทุกคนไปแนะนำให้ดูรถแท็กซี่ สีเขียวๆนะคะ เราว่า บริการดีและ เป็นสากลมากคะ
จบทริปด้วยการบินกลับ อย่างสบายๆ จ้า
Mallibell
วันอาทิตย์ที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2567 เวลา 23.47 น.