มีเกาะอยู่เกาะหนึ่งที่เราใฝ่ฝันอยากจะไปให้ได้
เกาะที่ใหญ่เป็นอันดับ 5 ของประเทศ
เกาะที่ได้รับการขนานนามว่า สะวันนาเมืองไทย
ทุ่งหญ้าสีทอง นกตะกรุม นกแก๊ก กวางม้า สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ยืนยันได้ดี
ว่าบนเกาะกลางทะเลอันดามันแห่งนี้สมบูรณ์มากขนาดไหน
เราจะไปที่นี่กันครับ "เกาะพระทอง" จังหวัดพังงา



ถ้ า พ ร้ อ ม แ ล้ ว ก็ แ บ ก เ ป้ อ อ ก เ ดิ น ท า ง ไ ป พ ร้ อ ม กั บ พ ว ก เ ร า กั น เ ล ย !!!!

พวกเราทั้งสี่คนมาขึ้นรถทัวร์กันที่สถานีขนส่งสายใต้ใหม่
จุดหมายปลายทางแรกเราจะต้องไปลงยังสามแยกปากทางทุ่งละออง จังหวัดพังงา
นั่งกันไปยาวๆ ครับ กว่าจะถึงฟ้าสว่างโน่นแหละ



แล้วพวกเราก็มาถึงปากทางทุ่งละออง
โทรบอกลุงเทพกันสักนิดครับ
หลายคนอาจจะสงสัยว่าลุงเค้าเป็นใครกัน
ลุงแกเป็นเจ้าของโฮมสเตย์ที่เราจะพักกันบนเกาะพระทองนี่แหละครับ
ลุงเค้าจะให้ลูกสาวลุงมารับ



ดูข้างทางสิครับ พวกเรามาถึงกันเร็วกว่าปกติ
ตี5 ครึ่ง โอ้โหแม่เจ้าบรรยากาศนี่หลอนชะมัดยาด
ลุงเทพค้าบบเมื่อไหร่จะมารับพวกผมซักทีน้อออ



รอกันไปเกือบครึ่งชั่วโมง
ลูกสาวลุงเทพก็มารับพวกเรา
จากปากทางไปยังท่าเรือนี่ระยะทางราวๆ 17 กม. ครับ



พวกเรามาถึงบ้านลูกสาวลุงเทพกันก่อน
ทันพระอาทิตย์ขึ้นพอดี
บรรยากาศรอบข้างเลยชวนให้เราผ่อนคลาย
สูดออกซิเจนกันเต็มปอด
หลังจากนั่งรถทัวร์กันมาอย่างยาวนาน



หลังจากนี้ก็รอเวลาเรื่อยๆ
นั่งถ่ายรูป นั่งชิวกันไปก่อน



หรือจะนั่งทำเอมวีก็ตามแต่จะถนัด ฮ่าๆๆ



เพราะน้ำยังขึ้นไม่เต็มที่
เรือยังไม่สามารถข้ามไปเกาะได้ครับ



ที่บ้านลูกสาวลุงเทพ

มีทั้งนกขุนทอง



มีทั้งเจ้าแมวลีโอที่หน้าตาช่างขี้อ้อนเสียจริง



อ้าวโต้งนี่หิวรึเปล่า
จะจับมันกินเหรอ ใจเย็นๆ ก่อนนะ ฮ่าๆๆ



ได้เวลาที่เราจะข้ามเกาะกันแล้วครับ

เราต้องนั่งรถไปยังท่าเทียบเรือประมง

เพื่อไปข้ามเกาะกัน

ใช้เวลาไม่นานครับ ประมาณครึ่งชั่วโมงได้



คนนี้เห็นกล้องไม่ได้
ยิ้มทันทีเลยนะเราน่ะ ฮ่าๆๆๆ



ไปขึ้นเรือกันได้แล้วววววว



คนขับเรือก็ยิ้มสู้กล้องไม่เบานะเนี่ย

ส่วนราคาเรือรับส่งไปกลับที่เกาะราคา 1,500 บาทครับ



นั่นไงมีคนมารอรับพวกเราแล้ว



ไปเกาะนี้มีความชิคตรงรถนี่ละ
ไม่เหมือนใครแน่นอน
เป็นรถคันเดียวที่วิ่งบนเกาะนี้
เจ้ารถคันนี้เหมาเที่ยวรอบเกาะราคา 2,000 บาทครับ



นอกจากนั้นก็จะมีรถอีแต็ก

ค่ารถอีแต๊กเที่ยวรอบเกาะราคา 1,500 บาท

ใครชอบรถแบบไหนก็เลือกกันตามใจชอบครับ



บรรยากาศรอบข้างก็จะออกทองๆ แห้ง ๆ หน่อย

เป็บแบบนี้แทบจะทั้งเกาะครับ



แล้วพวกเราก็มาถึงที่พักกันแล้วครับ

บ้านเทพอมรโฮมสเตย์

นั่นแหละครับป้าอมรมาออกมาต้อนรับพวกเราแล้ว



หันไปทางขวาลุงเทพคนดังบนเกาะ

ก็ออกมาต้อนรับพวกเราเช่นกัน



เราไปจัดเตรียมที่พักกันก่อนครับ

เด่วออกไปตะลุยรอบเกาะกันทั้งวัน

เดี๋ยวกลับมาจะขี้เกียจกันซะก่อน

แน่นอนครับสไตล์อย่างพวกเรา

ต้องนอนกางเต้นท์กันแน่นอน

ที่พักของพวกเราครับ



สำหรับใครที่อยากจะมาพักที่นี่

บ้านพักก็มีไว้ให้พร้อมพร้อมห้องน้ำในตัวครับ

หลังละ 400 บาทเท่านั้นครับ



ห้องน้ำห้องอาบน้ำพวกเราก็จะมาใช้กันที่นี่ครับ



ส่วนใครที่จะมากันเป็นแก็งค์

ที่นี่ก็มีให้พักเช่นกันนอนได้ 8 คน

ตกหลังละ 800 บาทต่อคืนครับ



ในเรื่องของการใช้ไฟฟ้าบนเกาะนี้

ในตอนกลางวันจะใช้ไฟจากพลังงานจากแสงอาทิตย์

หรือที่เรียกกันว่าแผงโซลาร์เซลล์นั่นเองครับ

ส่วนตอนกลางคืนจะใช้เครื่องปั่นไฟ

จะเปิดตั้งแต่เวลาหกโมงเย็นไปจนถึงตีห้าครึ่งครับ



กองทัพต้องเดินด้วยท้อง

เช้านี้ยังไม่มีอะไรต้องถึงท้องกันเลย

ซัดกันให้อิ่มครับ

จะได้ลุยกันยาวๆ



เจ้าปูดำเย็นนี้เจ้าต้องมาเป็นอาหารเย็นให้พวกเรานะ

ปูดำที่นี่ขึ้นชื่อมากครับ

ถือเป็นสัตว์เศรษฐกิจที่ทำรายได้ให้คนบนเกาะได้โดดเด่นที่สุดครับ



อิ่มกันแล้วได้เวลาออกเดินทางกันต่อครับ



ออกรถกันไปได้สักพัก

เราก็เจอนกตะกรุมกันแล้วครับ

แต่เป็นระยะไกล

เราก็หวังว่าจะได้เห็นมันใกล้ๆ

มากกว่านี้นะถ้าโชคเข้าข้างพวกเรา



รอบข้างทางบนเกาะนี้ก็จะเต็มไปด้วยป่าเสม็ด
สลับแซมไปกับทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่
พอเข้ามาในนี้แล้วอย่างกับอยู่ในป่าซาฟารียังไงยังงั้น



ป่าเสม็ดที่นี่เป็นป่าต้นเสม็ดขาว
โดยรูปทรงของต้นเสม็ดส่วนใหญ่จะดูแปลกตา หงิกงอ
ตามพื้นดินมีหญ้าต้นเตี้ยๆขึ้นแซมเต็มไปทั่วบริเวณ
นับเป็นทุ่งป่าเสม็ดที่เกิดจากการสร้างสรรค์ของธรรมชาติอย่างลงตัวสวยงาม



นี่เป็นไฮไลท์อีกหนึ่งต้นบนเกาะนี้
ลุงเทพบอกว่านี่คือโซฟาดารา
ใครมาก็ต้องถ่ายกัน



เดินไปสำรวจรอบข้าง
เราก็เจอพืชที่หาดูได้ยากอีกเช่นกัน
เจ้าต้นนี้ชื่อว่า "หยาดน้ำค้าง"
เป็นพืชที่กินแมลงโดยลำต้นของมันจะมีน้ำเหนียวๆ
เกาะอยู่ด้านบนพอแมลงมากินเข้า
ก็ติดกับดักของเจ้าต้นนี้ไปโดยปริยาย



ไปสำรวจกันต่อครับ
จุดหมายต่อไปอยู่ที่ หมู่บ้านไลออนส์



แต่ก่อนหมู่บ้านไลออนส์ได้กลายเป็นที่พึ่งพิงของผู้ประสบภัยสึนามิจากชุมชนต่างๆ
ซึ่งในปัจจุบันพอเหตุการณ์เริ่มกลับเข้าสู่สภาวะปกติ
หมู่บ้านแห่งนี้คนจึงได้ทยอยออกไปเรื่อยๆ
จนตอนนี้มีคนอาศัยอยู่ไม่ถึง 30 คน
บรรยากาศจึงเงียบเหงาแบบนี้แหละครับ



ด้วยอากาศที่ร้อนอบอ้าว
เราจึงไปหาที่กินข้าวเที่ยงกันแบบชิว ๆ ซะหน่อย
พี่ๆ พาเรามาจอดกันที่เกาะปลิง
บรรยากาศดีทีเดียวน้ำใส
ชวนให้โดดน้ำเล่นซะจริงๆ



ส่วนด้านหลังแนวโขดหินที่พวกเราเดินผ่านกันมา
ทางซ้ายมือเป็นศาลพ่อตาหินกองที่ชาวบ้านให้ความเคารพนับถือ
โดยมีการตั้งศาลไว้คู่กับต้นสน
เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สำคัญบนเกาะแห่งนี้
ไม่ได้ถ่ายเน้นตัวศาลพ่อตาหินกองมาต้องขออภัยด้วยนะครับ



หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าเมื่อปี 2546
เกาะพระทองเคยได้รับเลือกเป็นแหล่งท่องเที่ยวในโครงการ Unssen Thailand
ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
หลังจากนั้นก็มีนักท่องเที่ยวมากมายเดินทางมาไม่ขาดสาย



แต่แล้วก็มีสิ่งที่ทุกคนไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น
เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2547 คลื่นสึนามิได้ถาโถมซัดกระหน่ำ
พัดพาทุกสิ่งทุกอย่างบนเกาะจนย่อยยับ
นับแต่นั้นมาผู้คนบนเกาะก็ลดน้อยลง
พร้อมกับนักท่องเที่ยวที่บางตาลงอย่างเห็นได้ชัด



ไม่เป็นไรครับฟ้าหลังฝนยังไงก็สดใสเสมอ
ไปกินข้าวมื้อเที่ยงกันดีกว่าครับ
ข้าวผัดกุ้งใส่ไข่ดาว
น่ากินใช่มั๊ยล่ะ



อิ่มแล้วก็ไปกันต่อครับ
แต่เดี๋ยวก่อนระหว่างทาง
โชคเข้าข้างพวกเราเจอกวางม้าเข้าให้แล้ว
แม้จะเป็นตัวลูกก็เถอะ
น้อยคนนักที่จะได้สัมผัสมันใกล้ชิดขนาดนี้



แล้วไฮไลท์ในวันนี้ของเราก็มาถึง
ทุ่งหญ้าสีทองกว้างสุดสายตา
ที่นี่ได้รับการยกย่องให้เป็นอันซีนไทยแลนด์
ทุกคนรู้จักกันดีในนาม “ทุ่งสะวันนาเกาะพระทอง”
หรือบางคนก็เรียกว่า “ทุ่งหญ้าซาฟารี” ครับ



สำหรับฤดูกาลท่องเที่ยวที่เหมาะสมบนเกาะพระทอง

เริ่มต้นตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนถึงเดือนเมษายนของทุกปี

ช่วงที่เรามากลางเดือนเมษาแล้วทุ่งหญ้าอาจจะไม่ค่อยทองสักเท่าไหร่ครับ



ส่วนเวลาที่เหมาะสมแก่การท่องเที่ยวทุ่งหญ้าสะวันนาบนเกาะพระทอง

คือเวลาเช้าตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้น ประมาณ 06.00-08.00 น.

และตอนเย็นประมาณ 16.00-18.00 น. จะเห็นทุ่งหญ้าสะวันนาบนเกาะพระทอง

เป็นสีทองเหลืองอร่ามไปทั่วเลยครับ



ตกเย็นเรามานั่งชมพระอาทิตย์ตกกันที่หาดหน้าบ้าน

ใกล้ ๆ จุดที่เรากางเต้นท์ครับ เดินมาไม่ไกลมาก



ของว่างสำหรับนั่งดูพระอาทิตย์ตกครับ

ลุงเทพให้มาชิมกล้วยทอดสุดอร่อย

นั่งจิบบรรยากาศกันไปกินกล้วยทอดคลุกเคล้าตามไปด้วย

บรรยากาศมันช่างดีอะไรขนาดนี้ล่ะครับท่านผู้ชม



ก่อนจะหมดวันนี้ไป

พวกเราขอตัวไปเล่นน้ำกันให้ชุ่มปอดซะหน่อย

น้ำใสขนาดนี้ใครมาแล้วไม่เล่นนี่เหมือนมาไม่ถึงนะครับ



เข้าสู่วันที่สอง

พวกเราจะไปนั่งเรือรอบเกาะกันครับ

เราก็ไม่รู้หรอกครับว่ารอบเกาะมันจะมีอะไรน่าสนใจบ้าง

เสน่ห์มันอยู่ตรงนี้แหละครับ

มันทำให้เราอยากออกไปค้นหา อยากออกไปสำรวจ

ว่าสุดท้ายแล้วพวกเราจะได้ไปพบเจออะไรกันบ้างครับ



ไปครับขึ้นเรือเที่ยวรอบเกาะกัน



แต่ละคนอุปกรณ์พร้อมกันน่าดู



นั่งกันไปไม่นาน
เราก็มาถึงเกาะปลิงกันแล้วครับ
จุดนี้จะเป็นจุดที่ดูปะการังได้ชัดเจนที่สุด



เป็นเพราะน้ำทะเลที่มันใสมาก
ใสซะจนเรามองด้วยตาเปล่าได้เลยครับ



ที่ต่อไปที่เราจะไปกัน
มันเป็นความอยากส่วนตัวล้วนๆ
มาทะเลแล้วก็ยังไม่วายอยากจะเดินป่า
พี่ๆ เค้าก็เลยหาที่ให้ครับ
แต่พี่เค้าก็ไม่รับประกันนะว่าจะมีอะไรบ้าง



ระหว่างทางเราก็จะผ่านป่าชายเลน
รอบข้างก็จะเต็มไปด้วยต้นโกงกางเต็มไปหมดครับ



เรือมาส่งเราได้แค่นี้
ยังไม่ทันได้เข้าป่า
เราก็ต้องลุยน้ำกันก่อนแล้วครับ ฮ่าๆๆ



อั่นแน่
เจ้าปลาตีนโผล่มาทักทายเรา
ดูสายตาที่มันมองมาสิ

ยียวนกวนบาทาไม่เบา



ก็อย่างที่บอกกันไปครับ
ทริปนี้เป็นทริปสำรวจล้วนๆ
ไม่ได้คาดหวังว่าจะเจออะไรมาก



แล้วพวกเราก็ไม่เจออะไรกันจริงๆ
คงไม่โกรธกันเนอะที่ชวนมา



อย่างน้อยๆ
ก็ยังมีเห็ดรวมญาติให้พวกเราได้ดูกันนะ ฮ่าๆๆๆ



และที่ที่พวกเรายืนอยู่กันตรงนี้
เป็นที่ที่น้ำตกไหลผ่านครับ
มีชื่อว่าน้ำตกคลองโตน
แต่!!!! พวกเรามาผิดเดือน
น้ำมันเลยแห้งอย่างที่เห็นนี่แหละครับ



ไม่เป็นไรๆ
ถ่ายรูปกันไปชิวๆ แล้วกันเนอะพวกเรา
จัดรูปรวมให้อีกสักหนึ่งรูปก่อนจะไปเล่นน้ำทะเลกันต่อ



หลังจากผิดหวังจากน้ำตกที่แห้งเหือด
คราวนี้พวกเราจะไปเล่นน้ำต่อกันที่เกาะระ
รับรองว่าทุกคนจะไม่ผิดหวัง
เพราะน้ำมันใสมากกกกกกกกกกกกกก



น้ำใสๆ กับภูเขาเขียวๆ
ที่อยู่ตรงหน้ามันทำให้เราสุขใจ
จนอยากจะอยู่ตรงนี้ไปนานๆ เลยครับ



เอ้าเล่นน้ำกันให้ชุ่มปอด
เฮ้!!!!!



เล่นน้ำกันจนเหนื่อย
ได้เวลากลับที่พักกันแล้วครับ
ระหว่างทางที่กลับ
ก็จะต้องผ่านป่าชายเลนเป็นแนวยาวสองข้างทาง



พอได้มาเห็นได้มาสัมผัส
มันทำให้พวกเรารู้เลยครับว่า
เกาะพระทองแห่งนี้มีความสมบูรณ์มากขนาดไหน



นั่งชมวิวสองข้างทางกันมาเพลินๆ
พวกเราก็มาถึงฝั่งกันแล้วครับ



ก่อนจะถึงที่พัก
พวกเราโชคดีกันอีกแล้วครับ
เจอนกตะกรุมมันกำลังย่องมาเดินเล่น
เราจึงได้แต่มองมันอย่างเงียบๆ
จากระยะไกลนี้ครับ



ลุยมาทั้งวันขนาดนี้
ได้กลิ่นพี่ๆ เตรียมทำกับข้าวให้พวกเราเย็นนี้
มันก็ช่างหอมซะจนอยากกินเดี๋ยวนี้เลย



ระหว่างที่พวกพี่ ๆ ทำอาหารให้เรากิน
เราเลยอยากรู้ประวัติความเป็นมาของเกาะพระทองกันซักหน่อย
ว่าเป็นไงมาไงถึงได้ชื่อนี้มาได้
พี่เค้าเล่าให้พวกเราฟังว่า
“เกาะพระทอง” นั้นมีเรื่องเล่ากันว่า มีโจรสลัดคนหนึ่ง
ได้มาฝังพระพุทธรูปที่ปล้นมาไว้บนเกาะแห่งนี้
และนั่นก็เป็นที่มาของชื่อเกาะครับ



และสิ่งที่เราได้เห็นได้ยินมา
เป็นเรื่องที่เรารู้สึกเสียใจแทนผู้คนบนเกาะนี้
มันคงจะเป็นความสะดวกสบาย
ที่แฝงไปด้วยผลประโยชน์อะไรบางอย่าง



ใช่ครับตลอดระยะเวลาสองวันที่ผ่านมา
พวกเราเห็นเสาไฟฟ้าที่วางไว้ตลอดแนวสองข้างทาง
คงอีกไม่นานครับสองถึงสามปีข้างหน้า
อะไรหลายๆ อย่างบนเกาะนี้คงจะเปลี่ยนไป
เราก็ได้แต่หวังว่าธรรมชาติบนเกาะนี้จะยังคงสมบูรณ์อยู่เหมือนเดิม



อาหารคืนสุดท้ายของพวกเราบนเกาะครับ
ไม่ใช่ครับนี่มันเป็นเขากวาง
ซึ่งกวางมันจะผลัดเขากันปีละครั้งครับ
ชาวบ้านที่นี่เลยเก็บไว้ให้ดูเป็นกรณีศึกษาครับ



กินข้าวกันดีกว่าครับ
กินเสร็จแล้วจะได้รีบนอน
พรุ่งนี้ต้องตื่นกันแต่เช้า
พวกเราจะไปเดินส่องนกตะกรุมกันยามเช้าครับ



กิจวัตรประจำวันยามเช้าของผู้คนบนเกาะ
แทบจะไม่แตกต่างกันในแต่ละพื้นที่
ก็คือการตักบาตรนี่แหละครับ
บนเกาะนี้ไม่มีวัดพระที่นี่จะมาจากสํานักสงฆ์ครับ



ด้เวลาออกเดินทางกันต่อครับ

เช้าวันสุดท้ายของกิจกรรมที่นี่

พวกเราจะไปเดินส่องนกตะกรุมกันครับ



เดินกันไปสักครึ่งชั่วโมง

พวกเราเจอนกตะกรุมเข้าให้แล้วครับ



จากนี้ต้องค่อยๆ ย่องเข้าไปถ่ายครับ
นกจะได้ไม่ตกใจ
สำหรับนกตะกรุมที่นี่
ถือว่าเยอะที่สุด
และเป็นที่เพาะพันธุ์แหล่งสุดท้ายของประเทศไทยเราครับ



แล้วภารกิจของเราในวันนี้
ก็สำเร็จครับได้ภาพที่ออกมาโอเคเลยทีเดียว
นกตะกรุมยืนเกาะต้นไม้อย่างโดดเดี่ยว
ท่ามกลางทุ่งหญ้าสีทองอันงดงาม
แต่เอ้ยมันไม่ออกทองละนะมันออกจะน้ำตาลหน่อยๆ ฮ่าๆๆๆ



ระหว่างทางที่เราเดินผ่าน
อาชีพหลักของคนบนเกาะนี้ส่วนใหญ่ก็จะปลูกต้นมะพร้าว



แล้วก็จะมีต้นมะม่วงหิมพานต์
ชาวบ้านที่นี่ไม่ปลูกขายกันไปวันๆ นะครับ
แต่คุณภาพนั้นเข้าขั้นผลิตผลชั้นดีของอำเภอคุระบุรีเลยทีเดียว



ได้เรียนรู้ได้สำรวจอะไรหลายอย่างบนเกาะกันพอสมควร
ได้เวลาเก็บของเตรียมตัวเดินทางกลับกันแล้วครับ
เสียดายลุงเทพไม่อยู่ออกไปหาปลา
เราเลยได้ถ่ายรูปรวมกันเท่าที่มีอยู่ครับ



ได้เวลากลับกันแล้วครับ
แล้วจะกลับมาเยี่ยมเยียนกันใหม่
แหม่เวลากลับมาส่งกันทั้งครอบครัวเลยครับ
น่ารักกันซะจริงๆ



พวกเราเดินทางมายังบขส.คุระบุรีกันต่อ
แต่เราเชื่อว่าหลายคนอาจจะยังไม่รู้
ว่าด้านหลังบขส.ที่นี่
มีวิวงามๆ ให้ทุกคนได้มานั่งชิวกัน



ก่อนที่เราจะปิดท้ายด้วยเหนียวไก่บนโขดหิน
ไม่ได้กินนี่เหมือนมาไม่ถึงภาคใต้นะครับ
หรอยจังฮู้ววววว
แล้วพบกันใหม่อีกครั้งในบันทึกการเดินทางหน้าครับ



"การเดินทางหลายคนอาจจะมองว่ามันเป็นเรื่องสิ้นเปลือง
แต่สำหรับเราแล้วการเดินทางมันช่วยสร้างแรงบันดาลใจ
สร้างไฟอะไรหลายอย่างที่อยู่ในใจ
ให้มันกลับมามีชีวิตชีวาได้อีกครั้ง
เมื่อออกเดินทางมุมมองชีวิตในการมองโลกเราจะยิ่งเติบโตขึ้น"



รายละเอียดค่าใช้จ่าย

ค่ารถทัวร์ ขาไป กรุงเทพฯ-พังงา คนละ 683 บาท

ขากลับ พังงา-กรุงเทพฯ คนละ 552 บาท

ค่าเรือรับส่งไปกลับ ทั้งหมด 1,500 บาท คนละ 375 บาท

ค่ารถเที่ยวรอบเกาะ ทั้งหมด 2,000 บาท คนละ 500 บาท

ค่าเรือเที่ยวรอบเกาะ ทั้งหมด 3,000 บาท คนละ 750 บาท

ค่าที่พัก กางเต้นท์ 2 วัน ทั้งหมด 1,200 บาท คืนละ 300 บาท

ค่าเครื่องนอนรวมหมอนผ้าห่ม ทั้งหมด 400 บาท คนละ 100 บาท

ค่าอาหารและเครื่องดื่ม 7 มื้อ ทั้งหมด 3,800 บาท คนละ 950 บาท

ค่ารถไปส่งบขส.คุระบุรี ทั้งหมด 500 บาท คนละ 125 บาท

ไปกัน 4 คน รวมค่าใช้จ่ายทั้งหมดคนละ 4,335 บาท


FB : Bean Skullflied


Bean Skullflied

 วันเสาร์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2561 เวลา 13.40 น.

ความคิดเห็น