ถ้าจะมีซักเรื่องราวของบทบันทึกการเดินทางที่ทำให้ผมรู้สึกตื่นเต้นและสนุก

คงต้องเป็นเรื่องราวที่กำลังจะเริ่มต้นนี้

เรื่องราวของอันซีนอีสานในแบบฉบับไทยๆ ที่ทำให้ผมได้รับประสบการณ์ใหม่ๆ ที่น่าจดจำ

อีกหนึ่งพื้นที่การเดินทางในแบบฉบับของผม ม่วงมหากาฬ LIFE FOR TRAVEL https://www.facebook.com/PEESAT.PANTIPใครบางคนเล่าถึงเรื่องราวความสวยงามของอีสาน


ผมได้แต่เฉยๆ คงเพราะไม่รู้สึกอยากไปเท่าไหร่นัก

แต่บางทีผมอาจจะคิดผิดไป...

ผมเริ่มต้นเดินทางจากภาคกลางสู่อีสานเหนือ


มันเป็นการเดินทางที่ยาวไกล

แต่แค่คิดถึงเรื่องราวของความสวยงามที่จะพบเจอก็เหมือนได้อยู่ใกล้ในความรู้สึก

ยามเช้าที่หอมกรุ่นไปด้วยข้าวจี่จากเพิงร้านค้าเล็กๆ ของชาวบ้านที่บริเวณลานจอดรถก่อนเข้าไปชมทะเลบัวแดง


ยามนี้มีผู้คนหลั่งไหลมาจากทุกสารทิศเพื่อมาชมความงดงามที่กำลังเบ่งบานเข้ากับฤดูกาล


สินค้าพื้นบ้าน อาหาร ผ้าไหม หรือแม้แต่ฝักบัว มันเผา มีจำหน่ายบริเวณร้านค้าตรงลานจอดรถ

เรือลำน้อยจากชาวบ้านจอดไว้ให้บริการอย่างมากมายในราคาย่อมเยา


เรือหางยาวลำละ 300 บาท และเรือใหญ่นั่งได้ 10 คนลำละ 500 บาท

เรือแล่นออกมาราว 2-300 เมตรสู่ดงบัวแดงที่เริ่มบาน


ความรู้สึกตื่นเต้นก็เริ่มเบ่งบานไม่ต่างจากดอกบัว

แม้จะอยู่ในช่วงที่ดอกบัวยังไม่เยอะมากมายเท่ากับเดือนมกราคมที่จะบานเต็มที่


แต่เท่านี้ก็เพียงพอให้ได้ตื่นตาตื่นใจ

นอกจากความสวยงามของบัวแดงที่บานสะพรั่งแล้ว


เม็ดเงินจากนักท่องเที่ยวก็ไหลเวียนสู่ชาวบ้านคนท้องถิ่น

ทั้งจากการขายสินค้าพื้นบ้าน


ทั้งจากการให้เช่าเรือเพื่อออกไปชมทะเลบัวแดง

เป็นอาชีพเสริมนอกเหนือจากการทำเกษตรกรรม

ในช่วงเวลาสั้นๆ เพียง 3-4 เดือน

แต่บางทีบางสิ่งบางอย่างก็ดูขัดแย้งกันบ้าง


ผมเห็นใบพัดเรือที่แล่นออกไปตัดต้นบัวอยู่หลายต้นจนขาด

ฤาจากนี้ไปบัวแดงจะลดน้อยลง...

สำหรับการเดินทางมาชมทะเลบัวแดงค่อนข้างเดินทางได้ง่าย


และควรมาในช่วงเช้าๆ เพราะบัวจะบานในช่วง 6 โมงถึง 11 โมง

เส้นทางเลยจากขอนแก่นเข้าสู่เขตอุดรธานีก็จะพบเห็นป้ายโปรโมททะเลบัวแดงเต็มสองข้างทาง


เลี้ยวเข้ามาอีก 10 กว่ากิโลเมตรจากถนนหลักผ่านหมู่บ้าน ไร่นา ทางลาดยางสองเลนค่อนข้างดี

ถ้าไม่มีรถส่วนตัวก็สามารถนั่งรถทัวร์สายอุดรธานีแล้วมาลงที่อำเภอกุมภวาปี ไม่ต้องเข้าเมือง หลังจากนั้นก็เหมารถจากในตัวอำเภอมาที่นี่ แต่ถ้าใครนั่งเครื่องบินมาก็ต้องไปลงที่ตัวเมืองอุดรธานี แล้วเหมารถมาอีกทีเช่นกัน

ทะเลบัวแดง หนองหาน อ.กุมภวาปี มีเนื้อที่กว่าสองหมื่นไร่ เป็นที่อาศัยของนกนานาชนิด


รวมไปถึงสัตว์น้ำนานาพันธุ์

นอกจากการทำเกษตรกรรม วิ่งเรือรับส่งนักท่องเที่ยวแล้ว


อาชีพอีกอย่างหนึ่งของชาวบ้านแถบนี้คือการทำการประมงในบึงหนองหานแห่งนี้

พี่ที่เป็นคนขับเรือเล่าให้ผมฟังว่าเมื่อก่อนบึงหนองหานแห่งนี้มีปล่าอนข้างชุกชุม


หากแต่ปัจจุบันจำนวนปลาได้ลดน้อยลง แต่ก็ยังพอมีให้ได้ทาน

หากเปรียบบึงหนองหานแห่งนี้เป็นดั่งสายเลือดใหญ่ที่คอยหล่อเลี้ยงผู้คน


ก็คงไม่ผิดไปนัก วิถีชีวิตที่อยู่คู่กับลำน้ำพึ่งพิงอิงแอบธรรมชาติดูไปก็งดงาม

จากลาทะเลบัวแดงในวันที่ไม่ได้สวยที่สุด แต่ก็เป็นอีกวันที่ทำให้ผมประทับใจที่สุด

จากทะเลบัวแดงผมกำลังเดินทางสู่ “วัดป่าภูก้อน"


หนึ่งในเส้นทางในฝัน...กาลครั้งหนึ่งต้องไป

วัดป่าภูก้อนในวันนี้มีนักท่องเที่ยวเยอะพอสมควร


ด้วยความสวยงามของอารามรายล้อมไปด้วยผืนป่า

จึงมีนักท่องเที่ยวเดินทางมากันอย่างไม่ขาดสาย

การเดินทางมาวัดป่าภูก้อนเมื่อมาถึงอุดรธานีให้ออกทางหลวงเส้นจังหวัดหนองคาย พอไปถึงหลักกิโลเมตรที่ 13 แยกซ้ายไป อ.บ้านผือ อ.นายูง จนถึง บ.นาคำใหญ่ จะมีทางเลี้ยวเข้าวัดป่าภูก้อน รวมระยะทางจากตัวเมืองอุดรธานีถึงวัดป่าภูก้อนราว 125 กิโลเมตร รถทุกชนิดสามารถขึ้นได้ยกเว้นรถบัสคันใหญ่ที่ต้องจอดไว้ตรงปากทางขึ้นแล้วใช้บริการรถสองแถวขึ้นไปยังวัด

ภายในพระอุโบสถจะประดิษฐานองค์พระพุทธไสยาสน์โลกนาถศาสดามหามุนีที่ทำจากหินอ่อน

โดยรอบบริเวณวัดที่ดูกว้างขวาง และสวยงามตระการตา

ผมพยายามหาจุดที่เคยเห็นจากภาพถ่ายตามสื่อต่างๆ ในมุมสูง แต่ไม่มีเลย


คาดว่าคงใช้เครื่องบินเล็กในการถ่ายภาพนั้นๆ

จากวัดป่าภูก้อนผมเดินทางมายัง อ.สังคม จ.หนองคาย


จุดประสงค์หลักคือการขึ้นไปชมความงามของภูห้วยอีสันในยามเช้า

“ปูเป้เรือนไม้รีสอร์ท" คือที่พักของผมในคืนนี้ที่จะอยู่ห่างจากภูห้วยอีสันราว 15 กิโลเมตร

ที่พักหลักร้อยวิวหลักล้านติดแม่น้ำโขงกับบรรยากาศสบายๆ

มาแถบ อ.สังคม เราจะเห็นที่พักสวยๆ ติดแม่น้ำโขงอย่างมากมายในราคาย่อมเยา

แม่น้ำโขงยามนี้ดูเหือดแห้ง บางจุดมองเห็นสันดอนดิน


แห้งแบบนี้มานานแล้ว และก็คงต้องแห้งต่อไปตราบใดที่ยังมีเขื่อนเหนือต้นน้ำ

วิถีชีวิตประจำวันที่พึ่งพิงสายน้ำยังมีให้เห็นตราบใดที่สายน้ำหยดสุดท้ายยังคงอยู่

บรรยากาศสบายๆ ของปูเป้รีสอร์ทที่มีระเบียงยื่นออกไปให้ได้นั่งเล่นถ่ายรูป

ภายในรีสอร์ทยังมีบริการร้านอาหาร


นั่งทานอาหารชมวิวริมโขงกับเมนูสารพัดปลาที่รสชาติใช้ได้ทีเดียว

นิยามของความสุขบางทีก็ไม่ต้องหรูหรา


นอนเต็นท์ได้ นอนห้องสูทได้ สิ่งสำคัญอยู่ที่ธรรมชาติที่รายล้อมตัวเราเสียมากกว่า

สำหรับที่นี่ที่อาจจะไม่หรูหรา แต่การตกแต่งจัดวางให้สอดคล้องกับธรรมชาติ


ดูทำได้อย่างลงตัวทีเดียว

บริเวณโดยรอบที่ดูปลอดโปร่งโล่งสบาย เคียงคู่กับสายน้ำโขงที่สงบนิ่ง

เช้าวันนี้เรามาจอดรถไว้ที่จุดจอดบริเวณวัดเพื่อต่อคิวนั่งรถอีแต๊กขึ้นไปยังภูห้วยอีสัน

บริเวณวัดที่มีพระอยู่เพียงสองรูป มีโบสถ์ที่ยังสร้างไม่เสร็จดีนัก


มีพระคอยจัดคิวให้กับนักท่องเที่ยวได้นั่งรถอีแต๊ก

สมัยก่อนพี่คนหนึ่งเล่าให้ฟังว่า ชาวบ้านเป็นคนจัดการเรื่องของการขึ้นภูห้วยอีสัน


ต่อมา อบต.เข้ามาจัดการ และสุดท้ายก็มาลงเอยที่วัดต้องเป็นคนจัดการ

บางทีก็ได้แง่คิดอะไรบางอย่าง

รถอีแต๊กพาพวกเราเลียบไปตามถนนริมโขงก่อนเลี้ยวไต่ระดับขึ้นสู่ภูห้วยอีสัน


ผ่านสวนยาง ป่ากล้วย เส้นทางยังไม่ดีนัก ใช้เวลาราว ครึ่งชั่วโมงก็ถึงยอดภู

ด้านบนของภูห้วยอีสันในเช้าวันนี้ไร้ซึ่งทะเลหมอกที่เป็นจุดขาย


บรรยากาศหนาวเย็น มองลงไปเห็นลำน้ำโขงที่สงบนิ่งก่อนอรุณรุ่ง

นักท่องเที่ยวขึ้นมาเยี่ยมชมด้านบนกันค่อนข้างเยอะทีเดียว


แม้จะไม่มีทะเลหมอก แต่ทุกคนก็ยิ้มแย้มอย่างมีความสุข

ดวงตะวันค่อยๆ โผล่พ้นขอบฟ้า แสงสีทองสะท้อนผืนน้ำ


เป็นความสวยงามที่ไร้ซึ่งสายหมอกแต่ก็ทำให้รู้สึกประทับใจ

เป็นครั้งแรกที่ผมมา จ.หนองคาย และก็เป็นครั้งแรกที่ได้มาภูห้วยอีสัน


ความงามของที่นี่ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าภาคเหนือในฤดูหนาวเลย

ความสุขความสวยงามอบอวลอยู่รอบตัวเรา


ไม่ว่าจะเป็นวันที่ดี หรือไม่ดี

ความรักย่อมสวยงามเสมอ

คงไม่ต่างกับธรรมชาติที่อยู่เบื้องหน้า


ไม่ว่าจะเป็นวันที่สวยที่สุด หรือวันที่ธรรมดา

ธรรมชาติย่อมมีความสวยงามในตัวของมันเองอยู่เสมอ

ภาพของผู้คนที่แสดงออกอย่างเป็นธรรมชาติบนพื้นฐานของความสุข


ดูสวยงามไม่ต่างจากวิวทิวทัศน์ที่อยู่ตรงหน้า

เป็นรอยยิ้มที่ทำให้ผมพลอยมีความสุขไปด้วย

จากจุดเริ่มต้นตั้งแต่เริ่มนั่งรถอีแต๊กจนมายืน ณ จุดนี้


เป็นประสบการณ์ที่แตกต่างออกไปจากที่เคยสัมผัสบนยอดดอย

ดอยที่ชื่อว่า ภูห้วยอีสัน ดอยที่อาจจะไม่ได้สูงเสียดฟ้า


ขุนเขาที่เต็มไปด้วยสวนยาง และสวนกล้วย

แต่สิ่งพิเศษสำหรับที่นี่คือวิวของแม่น้ำโขงที่นิ่งสงบ

สำหรับผมแล้ว..


การได้ยืนอยู่บนจุดนี้ ได้สัมผัสกับอากาศอันบริสุทธิ์

ก็เหมือนจะเพียงพอถึงรสสัมผัสของภูห้วยอีสัน..

แต่จริงแล้วนั้น จุดเด่น และเป็นประเด็นหลักของใครหลายๆ คน


ที่มาเยือนที่นี่คือทะเลหมอกสีขาวนวล

แม้ในวันนี้จะไร้ซึ่งสายหมอก


แต่ผมกลับรู้สึกว่าอิ่มความสุข

เรื่องราวของการเดินทางในครั้งนี้ คงบ่งบอกถึงมนต์เสน่ห์ของการท่องเที่ยวในแบบไทยๆ ได้เป็นอย่างดี

ขอบคุณทุกท่านที่อ่านบันทึกการเดินทางฉบับนี้ของผม แล้วพบกันใหม่ในโอกาสต่อไป สวัสดีครับ



อีกหนึ่งพื้นที่การเดินทางในแบบฉบับของผม ม่วงมหากาฬ LIFE FOR TRAVEL https://www.facebook.com/PEESAT.PANTIP

ม่วงมหากาฬ

 วันเสาร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2558 เวลา 18.58 น.

ความคิดเห็น