สวัสดีครับกลับมาพบกันอีกแล้ววันนี้ผมจะมาเล่าประสบการณ์เที่ยวต่างประเทศครั้งแรกของเด็กต่างจังหวัดคนหนึ่ง ซึ่งประเทศที่ไปคือประเทศเกาหลีนั้นเองโดยรอบนี้ผมไปกับทัวร์ ชื่อทัวร์ว่า Smile To Korea หัวหน้าทัวร์ชื่อว่าพี่อ้อยเป็นพี่ที่ใจดีมากเลยแหละ
ไม่อยากเสียเวลาเรามาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า
- วันนี้เป็นวันแรกและครั้งแรกของผมที่ได้เข้าสนามบินสุวรรณภูมิ เป็นสนามบินที่ใหญ่มาก ผมและเพื่อนต้องเดินทางกันเวลา ตี 1 แต่สนามบินก็ครึกครื้นตลอดเวลา อ่อ แล้ววันที่เดินทางมีดาราเกาหลี 3 คน จะกลับประเทศด้วยแหละเห็นเขาบอกว่าชื่อ ซูยอน แต่อีก 2 คนผมไม่รู้ว่าเป็นใคร หลังจากนั้นก็ถึงเวลาที่พวกผมได้ขึ้นเครื่องสักทีการเดินทางครั้งนี้ไปกับสายการบิน T-Way พอขึ้นเครื่องได้แล้วก็นั่งๆนอนๆกันไปยาวๆบนเครื่อง 6 ชั่วโมง
ถึงสนามบินอินชอนแล้วหัวหน้าทัวร์ก็จะเรียกให้ทุกคนมารวมตัวเพื่อแนะนำและตั้งเวลานาฬิกาเพราะที่นู้นเวลาจะไวกว่าประเทศไทยไป 2 ชั่วโมงพอตั้งเวลาตรงกันแล้วจากนั้นก็เดินไปยัง ตม. ของประเทศเกาหลีบอกเลยว่าตอนแรกก็หวั่นๆเพราะพาสปอร์ตของผมยังหน้าขาวเขาบอกอาจผ่านยากหน่อยแต่ถ้าเราเตรียมเอกสารไปครบไม่ต้องกลัวครับผ่านได้แน่นอน หลังจากผ่านจุดตรวจแล้วก็มุ่งหน้าไปยังสายพานเพื่อรับกระเป๋าเดินทางของเรากันเลยถึงตอนนี้หัวหน้าทัวร์จะบอกให้เราไปล้างหน้าแปรงฟันแล้วไปเจอกันหน้าสนามบิน 11.00 น. หลังจากล้างหน้าแปรงฟันกันเสร็จเรียบร้อยแล้วทุกคนก็รวมตัวกันขึ้นรถมุ่งหน้าไปทานอาหารเที่ยงเมนูแรกที่เกาหลีชื่อว่า บลูโกกิ ( คล้ายๆ สุกี้น้ำบ้านเรานี้แหละ ) แต่ที่นี้มีเครื่องเคียงให้มีสาหร่ายสด กิมจิ แล้วอะไรอีกอย่างไม่ทราบชื่อแต่อร่อยมากเหมือนปลาเส้น
- บลูโกกิ
- รสชาติคล้ายๆ สุกี้น้ำ ข้างในจะมีหมูผักเต้าหู้และเส้นไม่รู้เขาเรียกเส้นอะไรเหมือนวุ้นเส้นแต่หนากว่า
ตัวนี้แนะนำอร่อยเหมือนปลาเส้นบ้านเรา
หลังจากทานอาหารกันเสร็จเรียบร้อยแล้วก็มุ่งหน้าไปยัง
- นวัตกรรมฮุนได Hyundai Motor Studio เพราะที่เกาหลีประชาชนส่วนใหญ่จะขับรถยี่ห้อ Hyundai ( ฮุนได ) , KIA ( เกีย ) , Samsung ( ซัมซุง ) บอกได้คำเดียวครับว่ารถที่นี้สวยมากน่าจับจองจริงๆ
พอออกจากฮุนไดแล้วเราก็มุ่งหน้าไปต่อที่สถานีต่อไปกันเลยตรงนี้ใช้เวลาไม่นานมากก็ถึงที่หมาย
- One Mount " Snow Park " บอกไว้ก่อนว่าที่นี้ผมไม่ได้เข้าไปเล่นนะครับแต่ดูแล้วเป็นสถานที่ที่วัยรุ่นเกาหลีและเด็กๆมาเที่ยวกันพอควรที่นี้จะมีพวกเกมตู้ ตู้คีบตุ๊กตา และ Shop ขายของต่างๆมากมายแต่ที่เด็ดคือ ไอศกรีมเพราะโคนไอศกรีมของเขานั้นน่าจะเป็นคุกกี้รสชาติของตัวไอศกรีมนุ่มละมุนลิ้นราคาก็ไม่แพงมีให้เลือกอยู่ 4 รสชาติ คุณลุงที่ขายเขาดูบรรจงมากเวลาทำแต่ละอัน
- ไอศกรีม Couquebon
- ชาเขียว , วนิลา , ช๊อคโกแลต , โอริโอ้
- ราคาอันล่ะ 3,000 วอน ถึง 4,000 วอน
ทานไอศกรีมกันเสร็จแล้วเราก็มุ่งหน้าไปยังสวนสนุกกันเลยตรงนี้ใช้เวลาประมาณ ครึ่งชั่วโมงถึงหนึ่งชั่วโมงตรงนี้เราก็เอาเวลาว่างมานอนพักบนรถไปพลางๆ
- สวนสนุก EverLand ดินแดนแห่งความสุขเป็นสวนสนุกที่ใหญ่มากมาถึงตรงนี้ด้านในจะแบ่งเป็น 5 โซนหลักๆ มีทั้งสวนดอกไม้ สวนสัตว์ สวนสนุกของเด็ก สวนสนุกของผู้ใหญ่ เป็นต้น แต่มีสิ่งเดียวที่อยากจะเล่นเขาบอกมาว่ารถไฟเหาะรางไม้ T-Express เป็นอะไรที่คุ้มที่สุดถ้าเราได้เล่นพวกผมก็ไม่รีรอจัดสิครับที่นี้จะมีเวลาบอกว่าต้องรอคิวกี่นาทีจะถึงคิวเราตอนพวกผมไปรอคิวกันประมาณ 70 นาที เพราะคนเยอะมากวัยรุ่น เด็กๆ ก็มาเล่นกันพอถึงคิวที่พวกผมต้องขึ้นหัวใจนี้ตกไปอยู่ตาตุ่มเลยตอนนั้นก็คิดในใจว่าทำไมเราต้องมาเล่นเครื่องเล่นตัวนี้แต่มันก็ได้แค่คิดเพราะเรารู้ตัวอีกทีรถไฟเหาะก็เคลื่อนออกจากจุดจอดเเล้วตอนตัวรถไฟมันลงมาจากจุดปล่อยตัวความสูงของมันประมาณ 70 องศาได้ตอนนั้นแหละจะอธิบายยังไงดีล่ะ คือตัวเราลอยออกจากที่นั่งแล้วมีแค่เข็มขัดที่ช่วยรัดเรากับที่กั้นไม่ให้เราตกลงมาคำพูดของผมมันอาจจะอธิบายได้ไม่หมดคุณต้องไปลองเล่นสักครั้งครับเชื่อผมสิคุ้ม พอเล่นรถไฟเหาะเสร็จแล้วเราก็มุ่งหน้าไปหาของกิน ( ทริปนี้เรามาเพื่อกิน 5555 ) ไอศกรีมเม็ด ( ไอศกรีมอีกแล้ว ) จากที่ดูมาเขาบอกว่าตัวนี้ถ้ามาแล้วต้องลองกินดูก็อร่อยดีมันดูดลิ้นตอนกินแรกๆ รสชาติก็ใช้ได้ครับใครที่ไปต้องลองชิมดูครับ
- ค่าเข้าชมสำหรับ 1 วัน
- กลางวัน ผู้ใหญ่ 37,000 วอน , วัยรุ่น 31,000 วอน , เด็ก 26,000 วอน
- กลางคืน ผู้ใหญ่ 30,000 วอน , วัยรุ่น 25,000 วอน , เด็ก 22,000 วอน
T-Express รถไฟรางไม้ถ้าไม่เล่นเขาบอกมาไม่ถึง
ตัวนี้จะเป็นไอศกรีมเรนโบว์
ตัวนี้ก็จะเป็นไอศกรีมฮันนี่พิ้งบลู
- ไอศกรีม
- รสชาติมี กล้วย , ฮันนี่พิ้งบลู , ช็อตโกแลต , เรนโบว์
- ราคา 3,200 วอน
เราเล่นสนุกกันเสร็จเรียบร้อยเเล้วเราก็ลุยเดินหน้ากันต่อเพื่อไปทานข้าวเย็นมื้อเย็นวันนี้เป็นเมนูที่ชอบมาก หมูย่างคาลบี้ ( หมูย่างเกาหลี ) ขับรถออกมาไม่ไกลมากก็ถึงร้านใครที่มากับทัวร์ผมบอกไว้เลยนะครับถ้าได้มาร้านนี้ทานเยอะๆท่านไม่ต้องกลัวอ้วนเพราะค่อยกลับไปลดที่ไทยเอา หมูย่างนี้เวลาทานก็ใช้กรรไกรที่ทางร้านเตรียมไว้ให้ตัดหมูเป็นชิ้นพอดีคำปิ้งจนสุกแล้วนำไปวางบนผักสดใส่กระเทียม หัวหอม กิมจิ น้ำจิ้ม จากนั้นเข้าปากลิ้มลองรสชาติความอร่อย ( นั่งพิมไปน้ำลายไหลไป ) ที่นี้จะมียำสาหร่ายสดให้ด้วยอร่อยมากครับ อ่อลืมบอกไปว่ากระเทียมที่นี้ไม่มีกลิ่นฉุนและไม่ชาลิ้นครับ หอมหัวใหญ่ถ้าเอาไปปิ้งแล้วทานจะหวานมากส่วนใครที่กลัวจะเลี่ยนทางร้านมีชุปสาหร่ายไว้ให้ทานได้ไม่อั้นเช่นกันครับอีกอย่างคนที่นี้จะทานอาหารรสชาติจืดและไม่ใส่ผงชูรสด้วยนะครับ
หมูอร่อยนุ่มมากกระทะย่างหมูที่นี้ถ้ามันดำจะมีเปลี่ยนให้เลยเขาใส่ใจสุขภาพจริงๆ
ทานกันอิ่มเรียบร้อยแล้วเราก็นั่งรถเพื่อไปยังที่พักของเราวันนี้เราพักที่เมืองเคียงกิโด ที่โรงแรม Suwon pacific hotel เป็นโรงแรมระดับ 3 ดาวแต่ข้างในระบบดีมากพอถึงที่พักพวกผมก็จัดการอาบน้ำเปลี่ยนผ้ากันเสร็จเรียบร้อยหลายท่านอาจจะเพลียก็นอนพักแต่สำหรับพวกผมมาทั้งทีเดินเที่ยวสิครับเสพบรรยากาศยามค่ำคืนของเกาหลี
ดึกๆแบบนี้ต้องมาม่าเกาหลีกินคู่กับโซจูกลิ่นพีชเหมาะสำหรับผู้หญิงครับกินง่าย
ตัวนี้คล้ายมาม่าหมูสับบ้านเราครับแต่ไม่เค็มเท่านะอร่อยราคาไม่แพง
ขวดที่สองรสชาติโซจูคล้ายๆแอลกอฮอล์ที่ล้างแผลแต่ก็กินง่ายครับ กินไปหลับสบายเลย แต่คนเกาหลีเขาจะกินกันแบบผสมเบียร์ ใส่โซจูนิดหน่อยแล้วก็เบียร์
หลังจากเดินเล่นทานอาหารเสร็จแล้วก็เข้านอนปกติครับพรุ่งนี้ต้องใช้แรงอีกเยอะ
- สวัสดีตอนเช้ามื้อเช้าวันนี้เป็นอาหารของโรงแรมก็จะมีไส้กรอก ผัดเห็ด ข้าวผัด กับขนมปังปิ้ง อันนี้ผมไม่ได้เอากล้องลงไปด้วยเลยไม่ได้ถ่ายรูปมาด้วยเพราะรีบตื่นสายนิดหน่อย ( คงจะเป็นโซจูเมื่อคืน ) ทานข้าวกันเสร็จแล้วเก็บกระเป๋าขึ้นรถเดินทางกันต่อเลยครับ วันนี้ช่วงเช้าทางไกค์ได้พาไปที่ ศูนย์เครื่องสำอางเวชสำอาง เป็นร้านขายเครื่องสำอางที่ใช้ในศัลยกรรม ยี่ห้อ DEWINS สาวๆหลายคนอาจรู้จักยี่ห้อนี้กันดี อ่อหลังจากนี้สถานที่ต่อไปนี้เป็นความลับของทางเกาหลีเขา ผมเลยถ่ายภาพมาไม่ได้ต้องขออภัยด้วยนะครับ หลังจากช๊อปเวชสำอางกันเรียบร้อยแล้วเราก็มุ่งหน้าไปยัง ศูนย์โสมเกาหลี ไปชิมโสมเกาหลีของจริงว่ารสชาติเป็นยังไงเสร็จแล้วไปที่ พิพิธภัณฑ์สาหร่าย ไปดูการทำเมนู คิมบับ ( ข้าวห่อสาหร่ายของเกาหลี ) หลังจากทำเสร็จแล้วก็แต่งชุดฮันบกกัน
คิมบับ : ส่วนผสมก็จะมีข้าว สาหร่าย แตงกวา ไซเท้าดอง แครอท ไข่เจียว และแฮม
เสร็จแล้วน่ากินใช่ไหมล่ะทางคนสอนเขาก็ราดน้ำมันงาให้เล็กน้อยแล้วห่อให้ไปทานกันบนรถเลย
เป็นการแต่งชุดฮันบกครั้งแรกโดยที่ผมให้แฟนถ่ายภาพให้ออกมาได้แบบนี้ ( เบลอทั้งหน้าทั้งหลังเชียว )
แต่งฮันบกกันเสร็จแล้วด้านหน้าก่อนขึ้นรถจะมีร้านขายของฝากผมแนะนำนะครับใครอยากได้อะไรให้ซื้อที่ร้านนี้เลยเพราะข้างหน้าเราจะเจอราคาที่แพงกว่านี้ผมกล้ายืนยันว่าร้านนี้ราคาถูกสุดแล้วผมก็เลยจัดพวงกุญแจ ขนมต่างๆ และของฝากมากมาย ซื้อของฝากเสร็จเรียบร้อยเราก็มุ่งหน้าไปยังเกาะนามิ
- ทัคคาบี ก่อนจะไปเกาะนามิเราต้องเติมพลังกันก่อนเที่ยงนี้ขอเสนอเมนู ทัคคาบี ไก่ผัดซอสเผ็ดเกาหลีเป็นเมนูขึ้นชื่อของประเทศนี้อีก 1 เมนู
- ทัคคาบี ไก่ผัดซอสเกาหลี
- ข้างในก็จะมีผักกะหล่ำ , อกไก่ซอย จากนั้นใส่ซอสเผ็ดลงไปแล้วคลุกให้ไก่สุกพอไก่สุกดีแล้วน้ำข้าวที่มีสาหร่ายใส่ลงไปแล้วคลุกให้เข้ากันแค่นี้เป็นอันเสร็จ
- รสชาติไม่เผ็ดมาก กินกับเครื่องเคียง กิมจิ ยำสาหร่าย ( ยำสาหร่ายที่หมูย่างคาลบีอร่อยสุด ) พริกดอง และที่ขาดไม่ได้ ชุปสาหร่าย
- ทานเสร็จเราก็จะขึ้นเรือข้ามไปยังเกาะนามิ เพื่อตามรอยซีรีย์ Winter Sonata (เพลงรักในสายลมหนาว) นั้นเองเรือจอดขึ้นเกาะแล้วไกค์ทัวร์จะนำเราไปในจุดไฮไลท์ของเกาะคือจุดที่ถ่ายรูปกับต้นไม้สองข้างทางนั้นแหละ แต่เรามีทางเลือกมากกว่านั้นมันคือของกิน 5555 บอกแล้วทริปนี้มาเพื่อกิน ก็จะมี ซาลาเปาใส่ถั่วดำ ไอศกรีม ไส้กรอกอาจุมม่า ไอศกรีมเมลอน กินแหลกกันเลยทีเดียว
นั่งเรือไม่นานแค่ข้ามไปอีกฝั่งไม่เกิน 10 นาทีเราก็ถึงเกาะนามิแล้วครับ
มาถึงแล้วต้องถ่ายคู่กับรูปปั้น เบ ยองจุน และ ชเว จีวู พระเอกนางเอกซีรีย์เรื่อง Winter Sonata
ร้านนี้จะเป็นซาลาเปาใส้ถั่วดำ อร่อยครับถ้ามีชาเขียวร้อนสักแก้วจะฟินมากเลยแหละ
ตัวนี้ตอนแรกผมคิดว่าเป็นไอศกรีมยาวๆที่ไหนได้ไม่ยาวมากแต่รสชาติเข้มข้นมากรสช๊อตโกแลตนี้ถือว่าสุด
ไส้กรอกหมูอาจุมม่าตัวนี้ทีเด็ดที่ดูมาเขาบอกตัวนี้เป็นซิกเนเจอร์ของที่นี้มาแล้วต้องลองให้ได้เราเห็นร้านแล้วไม่รีรอรีบวิ่งเข้าไปสั่งเลยครับ
- ไส้กรอกอาจุมม่า
- รสชาติเนื้อหมูเต็มคำแน่นๆ มีซอสสองแบบให้เลือก
- ราคา 3,000 วอน
- ไอศกรีมเมล่อน
- รสชาติเมล่อนผสมนมไม่หวานมากกำลังดี
- ราคา 1,000 วอน
- น่าจะเป็นไอศกรีมเมล่อนแบบถุง
- รสชาติเมล่อนเพียวๆ หวานกว่าตัวที่เป็นแท่งมาก
- ราคา 1,500 วอน
เดินเล่น ถ่ายรูป และหาอะไรกินกันเสร็จเรียบร้อยแล้วก็กลับมาขึ้นเรือเพื่อจะขึ้นรถกลับไปกินมื้อค่ำของวันนี้กัน GO GO !!
แอบถ่ายโอ๊ปป้าเกาหลี คนที่ประเทศนี้บอกเลยว่าหน้าตาเป็นดาราได้ทุกคน
นั่งบนรถได้ไม่นานก็ถึงสถานที่ ที่เราจะมาทานมื้อค่ำกันตอนแรกคิดว่าจะไปทานที่ร้านธรรมดาที่ไหนได้ร้านนี้อยู่บนเรือจ้า แต่เรือไม่แล่นนะจอดนิ่งๆแถวบริเวณเรือก็จะมีคนมาตกปลากัน ปลาที่นี้ตัวใหญ่มาก วิวและสภาพอากาศดีมากเลยแหละ
- ไก่ตุ๋นโสมเกาหลี ในถ้วยก็จะมีไก่ตุ๋นโสม น้ำชุป แล้วก็เส้นขนมจีน คิดว่ามีแค่นั้นล่ะสิเปล่าเลยจ้าสิ่งที่ตื่นเต้นกำลังจะมาถึงพอเราแหวกอกไก่ออกแล้วข้างในจะมีข้าวอยู่เครื่องเทศต่างๆจะถูกยัดเข้าไปในตัวไก่มีข้าว โสมที่อายุยังไม่มาก เเละสมุนไพรต่างๆ
เครื่องเคียงที่ให้ทานส่วนมากก็จะคล้ายๆกับทุกที่แต่ที่นี้เพิ่มน้ำปลามาให้
- ไก่ตุ๋นโสม
- รสชาติจืดๆ ไม่ค่อยถูกปากหากใครไม่ชอบอะไรที่มันแฉะๆเพราะข้าวข้างใน ( สำหรับบางคนนะครับ ) ตอนกินผมคิดถึง พริกป่น น้ำส้มสายชู น้ำตาลบ้านเราเลย หรือไม่ก็มีน้ำจิ้มซีฟู้ดไว้จิ้มไก่ก็ยังดี
เหล้าโสมนะครับไม่ใช่น้ำเปล่าไม่รู้ว่าเขาให้เทใส่ในไก่หรือเปล่าแต่พวกผมกระดกเอา รสชาติมันก็เหมือนเหล้าธรรมดานั้นแหละครับใครที่คิดว่าจะมีกลิ่นโสมปนอยู่ตัวนี้ไม่มีกลิ่นครับรสชาติก็คือเหล้าปกตินั้นแหละ
ทานอาหารมื้อค่ำเสร็จกันแล้วก็ขึ้นรถเพื่อกลับโรงแรมวันนี้เราพักกันที่ กรุงโซล โรงแรม BENIKEA Seoul Hotel โรงแรมระดับสามดาว ถึงที่พักวันนี้หมดแรงกันจริงๆก็เลยอาบน้ำนอนพักเลยไม่ได้ออกไปไหน z Z
- อันยองฮาเซโย สวัสดีตอนเช้าครับวันนี้เป็นเช้าที่สดใส อาบน้ำ ล้างหน้า แปรงฟัน เเต่งตัวกันเสร็จก็ลงไปทานอาหารเช้าที่โรงแรมเตรียมไว้ให้วันนี้มี ไส้กรอก ไข่ต้ม เฟรนฟราย ขนมปังปิ้ง นมสด น้ำส้ม และชุปสาหร่าย พอทานอาหารเช้าเสร็จแล้วก็ได้เวลาล้อหมุนวันนี้ไปที่ ศูนย์น้ำมันสนเข็มแดง เช่นเดิมครับห้ามถ่ายรูปเพราะเป็นความลับของเขานะครับ เราข้ามไปเลยไปสถานที่ต่อไป
- หอคอย N Seoul Tower @ ภูเขานัมซาน + Love Rock สถานที่นี้เอาไว้สำหรับออกกำลังกายเลยก็ว่าได้เพราะทางเดินขึ้นไปนั้นชันมากแต่หนทางไม่มีปัญหากับคนที่นี้เลยคนที่นี้นั้นแข็งแรงทุกคนรวมทั้งลูกทัวร์ที่ไปกันด้วยพอขึ้นไปถึงข้างบนก็เสพบรรยากาศวิวรอบเมืองของเกาหลีหรือใครจะทำตามหนังที่เอากุญแจมาล็อคแล้วโยนลูกกุญแจทิ้งก็ทำได้ที่นี้เขามีเบียร์สดไว้คอยบริการด้วยนะ ( ที่เกาหลีดื่มเบียร์กันหนักมาก )
กุญแจที่ใช้ล็อคมีหลายแบบมากมีทั้งใหญ่และเล็ก
หลังจากถ่ายรูปชมวิวกันเสร็จแล้วก็ถึงเวลากลิ้งลงเขากัน ผ่าม !! ไม่ใช่ เดินลงเขากันตอนเดินลงมาก็ระวังกันหน่อยนะครับเพราะทางมันชันถ้าล้มขึ้นมาอาจจะเจอกันอีกทีข้างล่างเลยก็ได้ 5555 ลงจากเขามาแล้วเราก็เดินทางต่อกันเลย อ่ะ !! เดี๋ยวก่อน ก่อนจะไปต่อเราต้องเติมพลังกันก่อนเพราะเสียไปเยอะตอนเดินลงเขามื้อเที่ยงวันนี้ไกค์ของเราจะพาไปกิน ชาบู ชาบู หรือ หม้อไฟชาบู นั้นแหละ
- ชาบู ชาบู หรือ หม้อไฟชาบู ตัวนี้ก็คล้ายๆหมูต้มวันแรกที่เรากินแต่ต่างกันตรงที่วันนี้มีแต่ผักกับหมูสไลค์บางๆ เห็ดเข็มทอง เครื่องเคียงก็เหมือนเดิมไม่ต่างอะไรมาก กิมจิ ไชเท้าดอง แต่รอบนี้มีปลาเล็ก และถั่วให้
- พระราชวังมรดกโลกซังดก ที่นี้จะเป็นพระราชวังที่ใหญ่เเละเย็นส่วนมากจะเย็นตรงประตูนะตามที่ไกค์ของเราเล่าให้ฟังเขาบอกว่าที่นี้ถูกเผาทิ้งหมดเลยโดยคนญี่ปุ่นและตอนนี้ก็ได้สร้างขึ้นมาใหม่เขาก็เล่าประวัติให้ฟังพอควรทำให้รู้ว่าทำไมคนเกาหลีถึงไม่ค่อยชอบคนญี่ปุ่นซักเท่าไหร่ ( ส่วนมากจะเฉพาะคนมีอายุนะส่วนวัยรุ่นเกาหลีก็ไม่ค่อยอะไรมาก )
หลังจากเดินชมพระราชวังเสร็จแล้วเราก็ขึ้นรถมุ่งหน้าผ่านบลูเฮ้าส์ ( บ้านประธานาธิบดีของเกาหลี ) ไปหมู่บ้านพื้นเมืองพูซอนฮันนกหมู่บ้านนี้ผมไม่อยากอยู่นานเพราะบ้านแต่ละหลังจะมีคนอาศัยอยู่เราก็เกรงใจชาวบ้านเขาเพราะที่นี้ชาวบ้านต้องการความเงียบสงบแต่อย่างว่าล่ะครับที่ไหนมีนักท่องเที่ยวที่นั้นจะเสียงดังแน่นอนหลังจากเดินชมบ้านเก่าแล้วเราก็ไปที่ ดิวตี้ฟรี ตัวนี้บอกเลยครับตัวละลายเงินสำหรับสาวๆของจริง ลิปเอย ที่ปัดขนตาเอย น้ำหอมเอย เสื้อผ้าเอย ของช๊อปเยอะมาก
เราเสียเงินกันการซื้อเครื่องสำอางเสร็จแล้วต่อไปก็อาหารเย็นวันนี้อิสระครับไกค์พามาถนนแฟชั่นของเกาหลี ที่นั้นก็คือ เมียงดง นั้นเองงงงงงง ( ทำเสียงทีวีแชมป์เปี่ยน )
- เมียงดง ถนนแฟชั่นของเกาหลี ที่นี้เป็นถนนที่มีทั้งเครื่องสำอาง ของกิน เสื้อผ้า รองเท้า มีแทบทุกอย่างที่คุณต้องการและสิ่งที่เราต้องการไม่มีอะไรหรอกครับนั้นคือการกิน กิน กิน แล้วก็กินนั้นเอง
- ไก่ย่างซอสเกาหลี
- รสชาติไก่ย่างเนื้อนุ่มกับต้นหอมย่างเคลือบด้วยซอสเกาหลี
- ราคา 3,000 วอน
- เกี๊ยวซ่าเกาหลี
- รสชาติเหมือนเกี๊ยวซ่าทั่วไปไม่มีอะไรเด็ดมาก
- ราคา 3,000 วอน
- ต๊อกบกกี
- รสชาติแป้งเหนียวๆราดด้วยซอสเผ็ดแบบจืดๆ งงใช่ไหมล่ะรสชาติของมันชวนให้ค้นหายังไงไม่รู้สิถามว่าอร่อยไหม ก็กินได้ครับ
- ราคา 2,000 วอน
- โอเด้ง หรือ ลูกชิ้นปลาเสียบไม้ต้ม
- รสชาติคล้ายๆหมูยอปลา หรือ ปลาเส้นที่ใส่ในก๋วยเตี๋ยว
- ราคา 2,000 วอน
- ปลาหมึกย่าง
- รสชาติออกหวานนิดๆไม่เหนียว ตอนแรกผมคิดว่ามันจะเหม็นคาวเพราะไม่มีน้ำจิ้มให้แต่พอทานไปแล้วไม่คาวเลยสักนิดแถมอร่อยมากด้วยครับ
- ราคา 5,000 วอน
- เครันปัง
- รสชาติอร่อยแป้งขนมปังนุ่มมีไข่ทั้งลูกและมีไข่ดาวออนท๊อปอยู่ด้านบนและมีกลิ่นเนยนิดๆ เป็นขนมปังหวานๆด้านล่าง เด็กๆอาจจะชอบกินก็ได้
- ราคา 1,500 วอน
- ไอศกรีมชาเขียวแบบยาว
- รสชาติทั่วไปงั้นๆ ไม่มีอะไรพิเศษมากแต่ยาวและเยอะ
- ราคา 2,000 วอน
- ล็อบสเตอร์อบซีส
- รสชาติเนื้อมันจะออกหวานตัดกับซีสที่เค็มนิดๆตัวเนื้อนุ่มและสดมาก ตัวนี้บอกเลยว่าผมทานเข้าไปแล้วน้ำตาไหลครับไม่ใช่เพราะว่ามันแพงนะแต่เป็นเพราะรสชาติของมันจริงๆ
- ราคา 15,000 วอน
พอกินกันเสร็จแล้วเราก็กลับที่พักกันโรงแรมที่นอนก็โรงแรมเมื่อคืนนั้นล่ะครับ ถึงโรงแรมแล้วก็อาบน้ำแต่งตัวเวลากำลังดี 5 ทุ่มนิดๆอากาศที่นั้นกำลังเย็นสบายก็ได้เวลาเดินออกไปเที่ยวหาอะไรกินกันต่อเพราะวันนี้เป็นคืนสุดท้าย พวกเราก็เลยเดินออกมาไม่ไกลมากจากที่พักก็เจอร้านไก่ทอดเกาหลี
- ไก่ทอดเกาหลี
- รสชาติเหมือนไก่บอนชอน เสริฟร้อนๆ เครื่องเคียงจะเป็นแตงกวาดอง กับไชเท้าดอง ที่เด็ดที่น้ำจิ้ม รวมๆแล้วถือว่าดีเลยทีเดียว
- ราคา 26,000 วอน
- เบียร์เกาหลีเป็นเบียร์ 2 ชนิดมาผสมกัน
- รสชาติก็คล้ายๆ 037 บ้านเรานั้นล่ะแต่มันจะนุ่มกว่ากินง่ายกว่า
- ราคา 8,600 วอน
ทานไก่กับเบียร์กันเสร็จเราก็กลับที่พักเก็บของที่ไม่ได้ใช้ลงกระเป๋าเดินทางเพราะพรุ่งนี้ต้องออกจากโรงแรมแต่เช้าเลยไม่อยากให้เสียเวลาเสร็จแล้วก็นอนพักผ่อนเก็บแรงไว้เดินเที่ยวพรุ่งนี้อีก 1 วัน
- อันยองเช้าวันสุดท้ายที่เกาหลี ห๊ะ !! วันสุดท้ายแล้วหรอไวจัง วันนี้ก็เหมือนเดิมทุกเช้าเราก็อาบน้ำ แปรงฟัน เปลี่ยนผ้าลงมาทานข้าวพร้อมกระเป๋าเดินทางเพราะคนขับจะเก็บกระเป๋าของเราขึ้นรถก่อนจะได้ไวจากนั้นก็แยกย้ายกันไปทานอาหารเช้าในโรงแรมวันนี้ไม่ต่างจากเมื่อวานแต่เปลี่ยนไข่ต้มเป็นให้ทุกคนทอดไข่กันเองเราก็เลยจัดไข่เจียวเลยจ้าอันนี้ต้องบอกไว้ก่อนว่าคนเกาหลีทำไข่เจียวไม่เป็นกันเพราะตอนเอาไข่ลงกระทะเเล้วไข่ใกล้สุกเขาก็จะเอาตะหริวคนมันก็เลยกลายเป็นไข่คนแทน ทานอาหารกันเสร็จแล้วไกค์จะให้เวลาเข้าห้องน้ำบางคนก็แต่งหน้าบางคนก็ยังไม่ได้เอากระเป๋าลงมาวิ่งขึ้นไปเอากระเป๋ากันพอทุกคนมาครบกันแล้วก็นั่งรถกันต่อเพื่อไปที่ ศูนย์ฮ๊อกเก็ตนามู ( ห้ามถ่ายรูปเช่นเดิม ) ฮ๊อกเก็ตนามูตามที่ไกค์ได้บอกเราว่าคนที่นี้ดื่มกันหนักมากพอตอนเช้าก็จะไปทำงานไม่ไหวที่ประเทศนี้ก็มีเครื่องดื่มที่ผสมตัวฮ๊อกเก็ตนามูเข้าไปด้วยเพื่อที่จะได้ขับแฮลกอฮอร์ออกมาทางเหงื่อ ปัสสาวะ อะไรพวกนั้นแต่ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่าเพราะเรายังไม่เคยกิน
- พิพิธภัณฑ์ภาพวาดลวงตาสี่มิติ พิพิธภัณฑ์น้ำแข็ง พิพิธภัณฑ์แห่งรัก ตรงนี้เราจะได้ตั๋วมา 1 ใบสามารถเข้าได้ทั้ง 3 ที่เลยครับส่วนโซน VR เกมส์นั้นถ้าจะเล่นต้องเสียเงินเพิ่มส่วนภาพสามมิติที่เราจะถ่ายกันนั้นแนะนำให้ใช้กล้องมือถือถ่ายจะง่ายกว่าเอากล้องถ่ายนะครับและที่สำคัญรูปบางรูปมันเคลื่อนไหวได้แต่ต้องมีแอพ TrickEye ก่อนนะ
- พิพิธภัณฑ์ภาพวาดลวงตาสี่มิติ ในแต่ละที่จะมีจุดให้ยืนถ่ายรูปแต่มันก็จางหายไปหมดแล้วแหละเลยต้องมาหามุมถ่ายกันเองว่าจุดไหน จุดไฮไลท์ก็จะเป็นรูปปลา กับงู ล่ะมั้งครับเพราะคนถ่ายตรงนั้นเยอะพอควรแถมจุดนั้นได้รางวัลด้วยนะ
- พิพิธภัณฑ์น้ำแข็ง ตรงนี้หาไม่ยากแค่เดินไปหาป้ายที่ขึ้นบอกว่า -9 องศา นั้นแหละครับเดินเข้าไปได้เลยคุณจะได้สัมผัสความหนาวเย็นที่แท้ทรู เพราะข้างในทุกอย่างเป็นน้ำแข็งหมดครับ วันที่พวกผมเข้าไปนั้นก็ดูชุดจากรูปด้านบนเอาล่ะกันครับว่าแต่ล่ะคนเตรียมตัวมาดีแค่ไหน หึหึ
- พิพิธภัณฑ์แห่งรัก ตัวนี้จะเป็นตัวสุดท้ายก่อนจะออก จะอยู่ที่ชั้น 2 ของตึกเด็กที่อายุน้อยเข้าไม่ได้นะครับเพราะข้างในส่วนใหญ่จะเป็นรูป 20+ เห็นหมดครับ บน ล่าง
จากนั้นเราก็เดินไปที่ย่านวัยรุ่นหน้ามหาลัยฮงแดซึ่งผมก็ไม่รู้ว่ามันอยู่ตรงไหนหรือเขาไปถึงกันแล้วแต่ผมไม่ทันได้สังเกตุเลยไม่รู้ แฮ่ๆ แต่คงเป็นที่สวยๆสักที่แน่นอนไว้รอบหน้าไปใหม่ผมจะไปดูให้นะครับเสร็จแล้วเราก็ไปย่านวัยรุ่นแล้วเราก็ยืนรอรถมารับครับประมาณ 20 นาทีได้ นานมากรถมาถึงแล้วเราก็ขึ้นรถแล้วไปที่ต่อไปกันเลยที่นั้นคือ Korea Shopping Center ( OUTLET ) สิ่งนี้แหละที่รอคอย ทำไมถึงรอคอยหรอเพราะรองเท้าผมพังไงล่ะวันนี้เลยต้องใส่อีแตะเดินทั้งวันพอไปถึงที่ OUTLET แล้วผมก็ไม่รีรอรีบจ้ำไปดูรองเท้าก่อนเลยร้านแรกที่ไปดูเป็นร้าน Nike ครับแต่ลองเดินดูรองเท้าแล้วสีที่เราชอบก็มีแต่ปัญหาคือมันไม่มีไซส์เพราะที่เกาหลีคนที่นี้น่าจะเท้าเล็กผมหาไซส์ US เบอร์ 13 หายากมากแต่ผมก็ไม่ถอดใจเดินไปดูช็อปต่อไปเป็นของ Adidas เช่นเคยครับไม่มีไซส์ตอนนั้นผมนี้น้ำตาซึมเลยแต่ก็ไม่เป็นไรไปดูอีกที่ซึ่งแต่ล่ะที่มันห่างกันพอควรแล้วมีเวลาให้ 1 ชั่วโมงเพราะเราต้องไปทานข้าวเที่ยงบนเรือ สุดท้ายเราไปดูอีกที่ผมเริ่มมีรอยยิ้มเพราะถามพนักงานมีไซส์ US เบอร์ 13 ไหมพนักงานที่นี้น่ารักมากเดินวนหาไซส์รองเท้าให้แต่ผมก็ต้องเสียใจอีกครั้งเพราะไม่มี T^T ตอนนั้นผมก็คิดว่าช่างมันเถอะคงไม่มีของเราจริงๆ พอดูนาฬิกาอีกทีอ่าวจะบ่ายโมงแล้วเรือจะออกแล้วนี่หว่าผมกับแฟนก็รีบวิ่งกันไปขึ้นเรือกลัวจะไม่ทัน โชคยังดีที่เขากำลังรวมตัวกันอยู่เรือก็กำลังจอดรอ
- ครั้งแรกที่ได้กินข้าวบนเรือสำราญบอกไว้ก่อนเลยว่าเรือใหญ่มาก ( ตำรวจที่นี้หน้าเด็กกันทุกคนเลย ) พอมากันครบแล้วไกค์ของเราก็แจกตั๋วเพื่อขึ้นเรือไปทานอาหารสิ่งที่ผมคิดคืออาหารบนเรือจะเหมือนที่โรงแรมก็เลยไม่หวังอะไรมากแต่พอขึ้นไปเห็นอาหารแล้วแม่เจ้าวันนี้มีเมนูที่ไม่เคยกินมาก่อนที่นี้ ( ต้องบอกก่อนว่าตอนที่ผมไปเดินเมียงดงผมเห็นหอยย่างน่ากินมากแต่ไม่กล้าซื้อเพราะกลัวมันจะไม่อร่อย ) ผมเจอยำหอยแครงเกาหลีมั้งครับเพราะหอยตัวใหญ่มากผมนี้ซัดไปเยอะเลยแล้วก็มีชุดผักสลัดที่ตักได้ไม่อั้นอันนี้ก็บอกเลยว่าเด็ดน้ำสลัดที่นี้อร่อยและที่สำคัญวันที่กินข้าวที่โรงแรมทุกวันจะมีผักกับน้ำสลัดตัวนี้อยู่ผมพลาดไปได้ไงของอร่อยแบบนี้ หลังจากที่กินกันอิ่มแล้วโดยเฉพาะผมอิ่มสุดไกค์บอกก็ให้เราแยกย้ายกันเดินเล่นบนเรือโดยเรือจะมี 4 ชั้น ชั้นล่างสุดจะเป็นการแสดงโชว์ต่างๆ ชั้น 2 คือชั้นที่พวกผมทานข้าวกัน ส่วนชั้น 3 จะเป็นร้านขายขนมกับดนตรีสดจะมีนักดนตรีร้องเพลงให้ฟัง และสุดท้ายชั้นดาดฟ้าของเรือพวกผมก็ขึ้นไปชั้นดาดฟ้าเพื่อไปเก็บบรรยากาศข้างบนแต่ผมเอะใจอยู่อย่างหนึ่งคือตอนเรือแล่นจะมีนกบินตามตลอดแต่ก็ได้บรรยายกาศไปอีกแบบนั่งเรือแล้วมีนกตาม
บรรยากาศสองข้างทางอันนี้ถ่ายตอนเรือกำลังหันกลับทางเดิม
หลังจากยืนดูอยู่สักพักก็แอบถ่ายมาเราก็เลยรู้ว่ามีคนโยนขนมให้นกตลอดเวลานกมันก็เลยบินตามเรือ
- เวลา 13.15 น. เรือก็เข้าเทียบฝั่งเราก็ลงจากเรือแล้วเดินทางกันต่อไปที่ร้านสุดท้ายเป็นร้านละลายเงินวอนละลายยังไงบอกเลยของข้างในแพงจริงละลายจริง 5555 อย่างที่บอกข้างในจะขายพวกของฝาก สาหร่าย อะไรพวกนั้นล่ะครับ แต่บางอย่างในร้านนั้นข้างนอกก็ไม่มีขายนะครับอยู่ที่ว่าท่านอยากได้อะไรซื้อของกันเสร็จเรียบร้อยแล้วเราก็ได้เวลาอันยองฮี ( ลาก่อน ) กันแล้วขึ้นรถมุ่งหน้าไปยังสนามบินอินชอนเพื่อกลับกรุงเทพถึงสนามบินแล้วตอนนี้แหละครับร้านค้าที่อยู่ด้านล่างร้านพวกนั้นจะราคาถูกเพราะมันจะลดราคาที่สำคัญมีคนไทยขายของที่นั้นด้วยเราก็แวะซื้อของฝากหาอะไรกินแถวนั้นเลยก็ได้แต่อย่าลืมว่าเราต้องหาข้าวทานเองที่สนามบินอินชอนก่อนไม่งั้นหิวแน่ ตรงนี้สำคัญนะครับเพราะเราอยู่ได้ด้วยของกิน 5555 เราก็ได้ร่ำลาไกค์ของเราที่เป็นชาวเกาหลีกันเรียบร้อยก็ขึ้นเครื่องครับบินกลับไทยด้วยสายการบิน T-Way สายการบินเดิมที่เรามาแอร์ของสายการบินนี้น่ารักครับเดินเสริฟน้ำดื่มให้ทั้งคืนบินได้ 6-7 ชั่วโมงเราก็ถึงที่ไทยและรวมตัวกันอีกครั้งเพื่อร่ำลาคนที่ไปด้วยกันก็มีแลกเบอร์แลกไลน์กันเป็นธรรมดาเพื่อรอบหน้าจะได้ไปเที่ยวด้วยกันอีกและผมก็ต้องบอกทุกคนนะครับว่าอย่าพึ่งปิดกระทู้นี้เพราะข้างล่างจะมีช่วงพิเศษให้นิดหนึ่ง
ของแถมจ้า ! รีวิวขนมเกาหลีสั้นๆง่ายๆ
- มันฝรั่งแผ่นทอดกรอบ
- รสชาติเนยน้ำผึ่ง ตัวนี้จะหอมเนยยิ่งกินยิ่งอร่อย
- อัลมอนล์เนยน้ำผึ้ง
- รสชาติเหมือนกับมันฝรั่งทอดนั้นแหละครับแต่เปลี่ยนที่มันฝรั่งเป็นเม็ดอัลมอนล์แทนตัวนี้กินได้เรื่อยๆ กินกันเป็นสเนคได้เลย
- อัลมอนล์วาซาบิ
- รสชาติตามชื่อเลยวาซาบิไม่ฉุนมากเป็นวาซาบิแบบอ่อนๆ แต่กินแล้วก็ทำใหเราตื่นได้เหมือนกัน
- อันนี้คือมันปู
- รสชาติเค็มๆมันๆ เอาใส่ข้าวแล้วทานได้เลย แต่คนที่ไม่เคยกินรสชาติมันอาจจะไม่ค่อยถูกปากนะครับ
ก็จบแล้วนะครับสำหรับทริปกินเที่ยวที่เกาหลี ทริปหน้าจะเป็นทริปอะไรนั้นรอติดตามชมได้นะครับหรือใครอยากให้ไปลองเที่ยวที่ไหนก็บอกกันได้นะครับ
วันนี้ก็ขอลาไปก่อนคำไหนที่ใช้ผิดหรือสะกดไม่ถูกก็ต้องขอภัยด้วยนะครับ
เพื่อเป็นกำลังใจอย่าลืมช่วยกันแชร์ให้ผมด้วยนะครับ
^_^
B.Kritsada
วันศุกร์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2561 เวลา 10.21 น.