*ทริปนี้เดินทางเมื่อ 26-30 เมษายน 2560 นำประสบการณ์เก่าที่เคยเขียนไว้มาเล่าให้ฟัง
ปัจจุบัน สภาพแวดล้อมอาจเปลี่ยนแปลงไปบ้าง**



ทริปนี้เป็นมาแบบฉุกละหุกมาก เมื่อเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นในวันอาทิตย์ พี่ชายคนนึง มีที่ว่างสำหรับทริปขี่มอเตอร์ไซค์ลุยลาว ไม่รอช้าตอบตกลงไปในทันที เอาละสิ ได้ทำตามฝันแล้ว (ใจง่ายจังเรา ใครชวนไปไหนไปหมด) โทรนัดวันอาทิตย์ วันจันทร์ไปทำเรื่องเอกสาร วันอังคารออกเดินทาง เอิ่ม...เร็วไปไหมมมมมมม!

โดยทริปนี้ เราจะเดินทางโดยนำมอไซค์ขึ้นรถไฟไป แล้วค่อยขับเข้าด่านที่หนองคาย
ก็ถือเป็นอีกทางเลือกนึง สำหรับผู้ที่อยากเดินทางแบบไม่เหนื่อยมาก


โดยค่าขนส่งนำรถ(125cc) ขึ้น 828 บาท/คัน ส่วนค่าตั๋วโดยสารสำหรับรถชั้นสอง ตู้นอนจะแบ่งออกเป็น 2 ราคา ชั้นล่าง 688 บาท และชั้นบน 758 บาท ระหว่างรอก็รอถ่ายรูปเล่นไปพลางๆ จนรถไฟออกเดินทางในเวลา 2 ทุ่ม...

ที่นั่งตู้โดยสารเป็นแบบหันหน้าเข้า ขาจะเบียดๆกันหน่อย

รุ่งเช้าเวลา 9 โมงกว่าๆ ก็มาถึง จ.หนองคาย โดยวันนี้จะมี คุณกี้ ไบค์เกอร์สาวคนดัง เดินทางจากอุดรตามมาส่งถึงด่านที่หนองคาย ก่อนที่เราจะเดินทางเข้าสู่ สปป.ลาว โดยเราแวะนั่งทางมื้อเช้ากันที่ร้านอาหารแถบริมแม่น้ำโขง นั่งคุยกันเรื่องทริปต่อไป (บร๊ะ! ทริปนี้ยังไม่ทันจะเริ่มเลย!) ซึ่งกว่าจะออกเดินทางได้ ก็เลทไปหลายชม.จากที่ตั้งใจไว้




มาถึงด่านศุลกากรหนองคาย เอกสารที่ใช้ในการผ่านด่านหลักๆก็จะมี
สำหรับคน
- พาสปอร์ต
- ใบขับขี่สมาร์ทการ์ด
- สำเนาบัตรประชาชน
- สำเนาทะเบียนบ้าน(เผื่อไว้)

สำหรับรถ
- เล่มทะเบียนตัวจริง (รถต้องไม่ติดไฟแนนซ์นะ หากชื่อไม่ตรงกับเจ้าของรถ ต้องทำใบมอบอำนาจในการนำรถออกนอกประเทศมาด้วย ติดอากรสแตมป์ให้เรียบร้อยด้วยครับ)
- ใบแปลเล่มทะเบียน (เป็นภาษาอังกฤษ โดยสามารถไปทำได้ที่ขนส่งครับ)
เอกสารทุกอย่าง ให้ถ่ายสำเนาไว้อย่างละ 2 ชุด และเซ็นรับรองสำเนาถูกต้องไว้ด้วยครับ

เกือบจะไม่ได้ผ่าน เพราะทางฝั่งไทยแจ้งว่า ถ้ารถต่ำกว่า 250 cc เข้าที่ลาวไม่ได้นะ ต้องไปวัดดวงเอาเอง เอาละสิ! งานเข้าแล้วไหมละ ไหนๆก็มาแล้ว ก็ต้องลุยต่อ!
ขับเข้าด่านลาว ทำเรื่องเอกสาร ก็ลุ้นด้วยใจตุ้มๆต่อมๆ จะได้ไปต่อไหมนะ?

หลังจากกำหลวงพ่อที่ห้อยคอ พร้อมภาวนาในใจ ในที่สุดฟ้าก็เป็นใจ "ยินดีด้วยครับ คุณได้ไปต่อ!"
ลุ้นเหมือนประกวด The Star ไขว้คว้าหาดาว ขอบคุณทุก SMS ที่ส่งเข้ามาเป็นแรงใจด้วยนะฮะ เย้ย!


หลังผ่านด่านมาได้ ก็เดินทางต่อไปยังวังเวียง ระยะทางประมาน 150 km แต่ใช้เวลาเดินทางกว่า 5 ชม

เพราะถนนที่ลาวจะเต็มไปด้วยก้อนกรวดมากมาย ทำความเร็วไม่ค่อยได้ ประกอบกับสภาพอากาศที่ร้อนจัด ทำให้เราต้องแวะพักหาน้ำดื่มอยู่บ่อยๆ

ในที่สุด เราก็มาถึงวังเวียงซะที หลังจากที่ตะลอนหาที่พัก มาช่วงนี้ราคาขึ้นจากที่เคยค้นๆเจอ
โดยที่พักริมแม่น้ำซอง ตกคืนละ 200,000 กีบ (ประมาน 1,000 บาท)

ด้วยงบอันจำกัด เราจึงหาที่พักกันใหม่ โดยไปได้ที่โรงแรมแห่งหนึ่งในตัวเมือง ราคาคืนละ 120,000 กีบ (ประมาน 600 บาท)

ติเรื่องที่พักหน่อย จริงๆ อาจจะดวงไม่ดีเท่าไร ได้ห้องที่แอร์ไม่เย็น Wifi ไม่ถึงห้อง ต้องไปนั่งข้างนอก ใครจะไปเที่ยว ลองเช็คสัญญาณเนตดีๆนะครับ

อาบน้ำเรียบร้อยก็ออกมาวนๆหาอะไรกิน ร้านอาหารก็แทบจะหน้าตาเหมือนกันหมด ร้อยละเจ็ดสิบเป็นร้านอาหารตามสั่ง สรุปเองในใจว่านั่งร้านไหนก็เหมือนกัน(มั้ง) งั้นก็เอาที่คนไม่เยอะแล้วก็(เหนื่อยมาทั้งวันไม่อยากอึกทึก) ร้านนี้แหละ เราเลือกนาย!!!(จำชื่อร้านไม่ได้ ๕๕๕)


สรุปจานนึงประมาณหนึ่งร้อยบาทตามมาตรฐานร้านตามสั่งในสถานที่ท่องเที่ยวของ สปป.ลาว แล้วก็มาตรฐานอีกเช่นกันว่าถึงจะแพงไปหน่อยถ้าเทียบกับฝั่งไทย แต่ก็ให้เยอะ ถ้าคนกินไม่เก่งนี่มีจุก เจอร้านแบบนี้ฝากท้องไว้ที่นี่สองมื้อเลยจ้า แม่ค้าก็ใจดีพูดจาดีบริการดีมาก

จบวันแรกแบบทุลักทุเลหน่อย แต่ก็ถือว่าเริ่มต้นได้ดีกับการขี่มอเตอร์ไซค์ข้ามประเทศครั้งแรกครับ^^

เช้านี้ มากันที่บลูลากูน หาไม่ยากเท่าไร ขับตามป้ายไปเดี๋ยวก็เจอ มีค่าผ่านทาง 10,000 กีบ (50 ฿)

แวะหามื้อเช้ากินที่นี่ หน้าตาดูดี แต่รสชาติ.... ออกขมไปหน่อย

หลังจากกินมื้อเช้ากันแล้ว สรุปได้ว่าเดี๋ยวจะขึ้นถ้ำปูคำก่อน แล้วค่อยกลับมาเล่นน้ำจะดีกว่า


เดินไม่ไกลครับระหว่างทาง มีคนแก่ชาวเกาหลีเดินขึ้นกันเยอะ

เข้าไปในถ้ำ อากาศค่อนข้างเย็นสบาย บรรยากาศประมาณนี้

ได้ศักการะพระนอนในถ้ำ องค์นี้ถือว่าเป็นองค์ใหม่ เพราะตามข่าวเห็นว่าองค์แรกโดนชาวต่างชาติยกลงเหว ปัจจุบันได้มีการนำองค์ใหม่เข้ามาวางแทนที่แล้ว ถือว่าโชคดีที่รอบนี้มาได้เจอ



แล้วก็ได้เวลาลงเล่นน้ำสักที โดยต้นไม้ที่นี่จะมี 2 ระดับให้กระโดดลง ชั้นล่าง จะไม่สูงมากเท่าไร โดดแบบไม่ต้องทำใจได้เลย ถือว่าเป็นการวอร์มก่อนเข้าสู่ชั้นบน
ชั้นบน ยอมรับเลยว่ามันสูงมาก เทียบได้ก็ประมาณ 2 ชั้นครึ่ง มีหลายคนขึ้นไปได้แต่ยืนทำใจอยู่
ส่วนตัวเองก็ทำใจอยู่นานประมาณ 2 นาที กว่าจะกล้ากระโดดลงมา มาถึงที่ทั้งที ไม่โดดได้ไง!


เล่นน้ำจนอิ่ม ก็มาวิ่งหาที่พักก่อน มาเจอห้องนี้ในราคา 100,000 กีบ (500 บาท) ติดริมน้ำด้วย
มี Wifi ฟรี เก็บของเรียบร้อย ช่วงบ่ายเราก็ออกแว๊นกันต่อ โดยจุดหมายต่อไปคือ ผาตั้ง


ระหว่างทางเราได้เจอไบค์เกอร์ท่านนึงเดินทางไกลมาจากแดนมังกรกันเลย ชื่อคุณ เสี่ยวเหยา
(ถ้าออกเสียงผิดขออภัย) ได้ความว่า ขับมาจากเมืองจีนกำลังเดินทางไปหลวงพระบาง
หลังคุยทักทายเสร็จก็แยกย้ายไปต่ออวยพรให้เดินทางโดยสวัสดิภาพครับ


ระหว่างทาง เจอที่ไหนวิวดีๆ ก็พักขี่แวะจอดถ่ายรูป แช่น้ำเย็นๆให้คลายเหนื่อย โอ้ว~ฟิน

แวะกินข้าวร้านเดิมนี่แหละ รสชาติดี ปริมาณคุ้ม อิ่มจุง หลังจากนั้นแวะเข้าที่พัก เนื่องจาก พายุเข้า
ลมพัดของปลิวกันกระจาย ที่หมายมั่นไว้คืนนี้ ซากุระบาร์ มีแววจะอดซะแล้ว


หลังจากพายุสงบลง ประมาน 5 ทุ่ม เราก็ลงไปแวะดูซะหน่อย "ซากุระบาร์"


ที่นี่จะเจอแต่ชาวต่างชาติ ฝรั่ง เกาหลี นี่เพียบ! หลังจากสอดส่องสายตา คืนนี้อาหารตาอิ่มแล้ว
สักพักท้องก็เริ่มหิวอีกจึงเริ่มมองหามื้่อดึกไปเจอกับสิ่งนี้ "ชายสี่บะหมี่เกี๊ยว" จัดไปคนละชุดใหญ่
ติ่มซำเพิ่มไปอีกชุด คืนนี้ถือว่าโอเคร กินอิ่ม นอนหลับ ได้พักเต็มที่

ตื่นเช้ามาหน้าที่พัก มีตลาดสดชาวบ้านอยู่ แวะเดินชมสักหน่อย

ส่วนใหญ่ที่นี่ขายพืชผักผลไม้ และสมุนไพร ของป่า แต่ยังหาของแปลกที่ร่ำลือไม่เจอ แอบเสียดายนิดนึง ถือว่าได้มาเยี่ยมวิถีชุมชน ดูผู้คนว่าเค้าอยู่กันอย่างไร




หลังเดินเสร็จ ก็แวะหาของมื้อเช้า แล้วเราก็ได้มาเจอเมนูที่ชื่อว่า "เฝอ" เส้นจะคล้ายๆเส้นเล็กบ้านเรา
มะเขือ ต้นหอม ผักชี ทั้งหมู ทั้งเนื้อ นี่จัดเต็ม แถมราคาก็ไม่แพง น้ำซุปรสชาตกลมกล่อมใช้ได้ แถมได้ชามใหญ่ ขนาดที่ว่าผมกินจุแล้วนะยังแน่นท้องเลย ชามนี้ถือว่าสอบผ่าน ลงตัวที่สุดตั้งแต่กินมา


ก่อนกลับ ก็แวะวัดวาอาราม สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์บ้าง


จากนั้นแวะถ่ายรูปอีกที่ วัดธาตุหลวง ท่ามกลางแดดร้อนระอุบวกกับเวลาในการเดินทาง
ที่ต้องรีบไปให้ทันก่อนด่านจะปิด ทำให้เราไม่อาจเข้าไปชมภายในได้ แอบเสียดายอยู่หน่อย T^T



จบทริปเรียบร้อย สำหรับใครที่อยากขี่มอไซค์มาเที่ยว แนะนำมาช่วงอากาศเย็นๆน่าจะดีกว่า เพราะ
ถ้ามาช่วงร้อนๆ อาจมีอาการเพลียแดดได้ (ช่วงที่มาประมาน 38-40 องศา) ต้องจอดแวะพักเป็นระยะ

ส่วนถนนที่นี่ ถ้าในตัวเมืองก็สบายๆ ที่นี่วิ่งขวาไม่เหมือนบ้านเรา และต้องระวังคนขับที่เป็นมนุษย์ลุง
มนุษย์ป้า เพราะบางทีเลี้ยวตัดหน้า ไม่เปิดไฟเลี้ยว ไม่มีสัญญาณบ่งบอกเลย

ส่วนทางระหว่างจังหวัด ส่วนใหญ่เป็นทางลูกรัง มีทำถนนเป็นระยะๆ ทำความเร็วมากไม่ได้แน่ๆ
ส่วนค่าใช้จ่ายหนักๆในทริปนี้ เห็นจะเป็นพวกน้ำนี่แหละ ที่นี่ราคาราวๆ 5,000 - 7,000 กีบ

(ราวๆ 25-35 บาท) แพงกว่าเมืองไทยประมาณ 2 เท่า ก็ถือว่าเป็นทริปสำคัญ
สำหรับการขี่มอเตอร์ไซค์ข้ามประเทศครั้งแรกของผม
ถ้ามีโอกาสมาอีกครั้ง ก็ยืนยันว่ามาอีกแน่นอนครับ^^




Freeman Rider

 วันเสาร์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2561 เวลา 13.29 น.

ความคิดเห็น