Day 0.5 - ลากรุงมุ่งตรัง

หนีงานกระโดดขึ้นมอ'ไซค์อย่างรวดเร็วกว่าวันทำงานปกติ เกือบ 5 โมงเย็นได้ ผมกำลังหนีจากความวุ่นวาย ของเมืองกรุงมุ่งหน้าสู่จังหวัดตรัง โชคดีที่ปฏิทินในสัปดาห์หน้ามีช่องว่าง เปิดโอกาสให้วันลาพักร้อนลงไปนอนแทรกตัว เรียงแถวยาวกับวันหยุดเดือนนี้ได้อย่างเหมาะเจาะ จาก BTS ชิดลม มุ่งหน้าสู่สถานีบางหว้า จากนั้นต่อ Taxi เพื่อมุ่งไปยังสถานีขนส่งสายใต้ เอาอีกแล้ว! ผมจำเวลาผิด รถออกทุ่มแต่มาถึงตั้งแต่ห้าโมงกว่าๆ ได้ แต่นั่งจิบกาแฟรอรถ และในที่สุดการหลับใหลอันยาวนานบนการเดินทางกว่า 13 ชั่วโมงก็เริ่มต้นขึ้น



Day 1 - โก ทู เกาะไหง

ฟ้าลืมตาอีกครั้ง... รถทัวร์พาผมมาถึงยังสถานีขนส่งจังหวัดตรังเวลา 7.40 ระหว่างทางพบกับภาพประทับใจของชาวเมืองมากมายที่พร้อมกันใส่เสื้อเหลือง ใช่ วันนี้ตรงกับวันที่ 5 วันพ่อของเราชาวไทย ไม่เว้นแต่นักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวทะเลตรัง บรรดาทัวร์น้อยใหญ่ก็ร่วมใจกันแสดงออกซึ่งความรักในวันนี้


ออกเดินทางด้วยรถตู้มาถึงท่าเรือในเวลาเกือบ 9 โมง เอาอีกแล้ว (และคงอีกหลายที) ผมเป็นพวกไม่ค่อยศึกษา หรือวางแผนเรื่องเวลาอะไรนัก เรือจะออกจากท่าเรือปากเมงก็ตอนพระอาทิตย์อยู่เหนือศีรษะพอดี สิ่งเดียวที่ทำได้ก็คือการเดินสำรวจหาด เดินแล้วเดินอีก เตะทราย ถ่ายรูป แวะร้านนั้น กินร้านนี้ จนสุดท้ายก็มานั่งพักยาวอยู่ที่ร้านข้าวร้านหนึ่ง รอเวลาเดินทางไปสู่ที่ Koh Ngai Cliff Beach Resort อันจะเป็นที่พักไปอีกตลอด 3 คืน


เตยทะเล หรือ ลำเจียก - คนแถวนี้บอกว่ากินได้ แต่อย่าเพิ่งเลยดีกว่า หุหุ

เดินไม่ระวัง เดินเรื่อยเปื่อย เดินเอื่อยเฉื่อย ระวังให้ดีนะ! ไม่รู้เป็นมิตรหรือมีพิษ


จากท่าเรือปากเมงเดินทางสู่เกาะไหงใช้เวลาประมาณ 40 นาที ระหว่างทางก็ถ่ายรูปเล่นไปเรื่อยเปื่อย


น้องบอกว่าวันนี้น้ำใสมาก ถ้าไม่กลัวดำ ก็ดำดูแนวปะการังได้ตลอดแนวหาด (คงไม่ขาวไปกว่านี้แล้วแหละ 55)


เมื่อมาถึงกระทำการเช็คอิน และชำระค่าเสียหายส่วนที่เหลือแล้ว พนักงานพาขึ้นรถกอล์ฟเพื่อไปยังห้องพัก ถ้าเดินขึ้นเองคงเหนื่อยน่าดู (แต่อีกหลายวันต่อมาก็ขึ้น-ลงเองตลอด) เพราะมันค่อนข้างชัน และไกลเสียด้วย บรรยากาศในวันนี้เงียบสงบมาก พนักงานบอกว่าถ้าอยากสงบให้มาที่นี่ แต่ถ้าอยากแสงสีก็ให้ไปเกาะไหงแฟนตาซีที่อยู่อีกฝาก (แหม่ สมชื่อเลยนะ)


Cliff Beach Resort จากมุมด้านนอก


วิวจากห้องพัก 521 (ถูกสุด)


บรรยากาศใน Cliff Beach Resort ตอนบ่าย 3


Day 2 - เกาะรอก

กองท้องต้องเดินด้วยทัพ ทัพพีใหญ่ๆ เลยจ้า มื้อเช้าฟรี จะรีรอลีลาชักช้าอยู่ทำไม กินเข้าไปเถอะ โชคดีที่ผมอยู่ในช่วงงดมื้อเย็น ทำให้ประหยัดราคาค่าข้าวไปในตัว เมื่อวานลองไปแอบเปิดเมนู เห็นราคาข้าวไข่เจียวอยู่ที่ 90 บาท ไม่ได้แพงมาก แต่ก็แพงอยู่ดี ฮ่าๆ งั้นเก็บท้องมาซัดมื้อเช้านึ้ดีกว่า

มื้อเช้า


บรรยากาศยามเช้า


ซื้อทัวร์เกาะรอกกับจาระวีทัวร์ นัดให้มารับยังที่พักเวลา 10 โมง พร้อมแล้วลุยเลย!


เกาะรอกเป็นพื้นที่ของอุทยาน ถ้าข้อมูลผมไม่มั่ว หรือจำไม่ผิด เราสามารถเข้ามายังบริเวณเกาะได้เฉพาะเสาร์-อาทิตย์ ห้องพักที่เป็นสิ่งก่อสร้างก็ต้องจองกับทางอุทยาน และมีจำนวนไม่มาก แต่จะมีเต๊นท์ให้แคมป์ปิ้งอีกหลายหลังไว้บริการ หลังจากดำน้ำจุดที่ 1 ทางทัวร์ก็พาพักกินข้าวกลางวัน เพลิดเพลินเดินเล่นกับเกาะรอกสักพัก ก่อนจะดำน้ำต่ออีก 2 จุด


กินให้อิ่ม เพราะเย็นเราต้องอด


ทรายที่นี่ละเอียดมาก


รูปใต้ท้องทะเล ถ่ายไว้เยอะมาก เพราะตั้งให้ถ่ายทุกๆ 3 วินาที สลับกับวิดีโอ ขอนำเสนอแบบภาพรวมแล้วกัน

ดำน้ำเสร็จแล้วก็เดินทางกลับที่พัก ใช้เวลาประมาณ 40 นาที แต่เป็น 40 นาทีที่โหดร้ายเหลือเกิน เมื่อสปีดโบ้ตที่นั่งมานั้นขับด้วยจังหวะ เฮฟวี่-นูล-เดธ-เมทัล-สวิงแจ๊ซ-อีดีเอ็ม ท้องไส้ป่วนปั่น ตับไตหัวใจปอด น่าจะมีสลับข้างกันบ้าง ด้วยความเร็วที่วิ่งสวนกระแสคลื่นลม ทำเอาผมเกือบไม่รอด ที่หนักสุดคงจะเป็นบั้นท้ายนี่แหละครับ ช้ำน้ำช้ำหนอง น้ำตานองกะนเลยทีเดียว พี่ๆ น้องๆ ที่นั่งอยู่หน้าเรือร่วมชะตากันเดียวกับผมก็โอดโอยไม่แพ้กัน


การเที่ยวคนเดียวยังเป็นคำถามที่คนรอบข้างถามผมเสมอ น้องคนหนึ่งบนเรือถามแทงใจดำเข้ามา "แฟนทิ้งเหรอพี่" ช้ำครับช้ำ (ช้ำเพราะไม่มีโว้ย) ฮ่าๆ แต่เอาสาระเลยดีกว่า ปกติก็เที่ยวกับเพื่อนเนี่ยแหละ ถ้าจะไปกับเพื่อนมันก็มีทริป 3-4 วัน แต่คือเป็นพวกชอบหยุดยาวๆ ไปเที่ยวที 5 วันขึ้น ไม่มีเพื่อนก๊วนไหนลายาวๆ ไปเที่ยวนานแบบนี้ เลยต้องโชว์เดี่ยวเที่ยวมันซะ


Day 3 - คีป ซัน บล๊อก

ซื้อทัวร์ที่หน้าฟรอนท์โรงแรม เป็นทัวร์ 4 เกาะ วันนี้โชคดีมากที่ได้นั่งเรือใหญ่ (ที่โชคดีเพราะไม่เคยถามข้อมูลก่อนซื้อ 55) บนเรือเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวต่างชาติ มีนักท่องเที่ยวชาวไทยแค่ผม กับผู้หญิงอีก 2 คน ก็ได้เพื่อนนั่งเม้าท์มอยกันไป


สองตัวป่วนประจำเรือ


ลงไปเล่นน้ำด้วย


ค่อยๆ เข้าถ้ำ


พอเข้ามา สัมผัสได้ถึงพลัง


คนเริ่มออก ได้เฟรมว่างๆ บ้างละ


ใครมาที่นี่ ลองทิ้งตัวลงนอนใจกลางหาด แล้วเงยหน้ามองด้วยตา มันงดงามมากจริงๆ
(เสียดายรูปที่ถ่ายมุมกว้างของกล้องอีกตัวหาย ความจริงรูปที่ถ่ายจากกล้องอีกตัวในถ้ำมรกตหายหมดเลย)


จะไปแล้วน้าาาา


จากนั้นดำน้ำต่อรัวๆ

ไม่แน่ใจนักว่าครบ 4 เกาะ หรือขาดไป 1 เพราะเรือมาส่งผมที่เกาะไหงเสียก่อน ถ้าให้เดาเอาเองในความคิดคงจะขาดเกาะม้า(มั้ง?)ไป 1 แต่ไม่เป็นไรเหนื่อยพอดี สังขารชักเริ่มไม่ไหว ได้เวลากลับห้องนอนยาวๆ เตรียมตัวมั่วต่อรุ่งเช้าในเมืองตรัง

สิ่งที่ทรมานใจการเที่ยวทะเลแบบเปลี่ยวๆ คือ การเห็นคู่รักต่างชาติหยิบครีมกันแดดผลัดกันถู ทา ไถ ไล้โลมแผ่นหลังให้กันและกันอย่างหน้าอิจฉา ยังไม่ต้องโดนแสงแดดหรอกโว้ยย สายตาตรูเนี่ยแหละ ร้อนผ่าวๆ โวยวายไปก็เท่านั้น ช่วยเหลือตัวเองไปสินะ ยังไงก็อย่าลืมครีมกันแดดด้วยนะครับ ถ้ายังไม่อยากได้ผิวสีแทน (แทนที่สีขาว) ในตอนนี้ ระวังจะมีสีผิวทูโทนเป็นที่ระลึกไปอวดเพื่อน


Day 4 - ทัวร์ อิน ทาวน์


โบกมือลาที่พักแต่เช้าตรู่ สำหรับผู้ที่รักความสงบ ผมขอแนะนำให้มาพักที่นี่ได้ ข้อเสียคือบางคนชอบหาด ที่นี่จะมีพื้นที่หาดน้อย ต้องเดินไปยังทิศใต้อาศัยชายหาดคนอื่น อีกข้อหนึ่งถ้ามาคนเดียว ผมไม่อยากแนะนำเลยเพราะราคาค่อนข้างสูง (ตอนจองเมาหมัด) แต่ถ้ามากับคู่รักน่าจะโอเค ได้สวีตกันสมใจ


ถึงแผ่นดินตรังตอนสายๆ ความฉลาดบังเกิดอีกครั้ง ขามาจ่าย 60 บาทจากท่าเรือปากเมง นี่มากับรถตู้ของโรงแรมจ้า โดนไป 200 เรือมาจอดที่ ท่าคลองสน (ถ้าเดาไม่ผิด) จากนั้นรถตู้ก็มาส่งที่สำนักงาน เดินไม่เกินร้อยก้าวเพราะโรงแรมอยู่ใกล้กับสำนักงาน ที่ไม่ห่างไกลนักจากที่พัก ซึ่งมันใกล้กับโรงแรมที่จอง อันได้แก่โรงแรมศรีตรัง (ที่,ซึ่ง,อัน มาครบ)


เช่ารถมอ'ไซค์กับทางโรงแรม ขอเป็นออโต้บ้าง ทริปผ่านๆ มา เหนื่อยกับการขี่แบบเกียร์เหลือเกิน เมื่อได้รถก็พุ่งตัวออกไปยังสถานที่แห่งแรก สวนพฤกษศาสตร์ภาคใต้ (เขาช่อง) อยู่ห่างจากตัวเมืองไม่ไกลนัก มาถึงคนแรกของวัน เงียบ สงบ แรกๆ ก็เดินชมไม้ ชมมดไปเรื่อย สักพักเริ่มไม่ไหว ยุงเยอะครับ เหมือนเมื่อคืนฝนจะตกหรืออย่างไร จากเดินชิล เริ่มเปลี่ยนสปีด ระยะทางทั้งหมดจากการเดา (อีกแล้ว) น่าจะประมาณ 2 กิโลเมตร ใครที่ชื่นชอบบรรยากาศแบบป่าๆ ลองมาเดินดูได้ครับ อ่อ มีไฮไลท์อยู่ที่ Canopy Walkway ความสูงเกือบ 40 เมตร พอให้เสียวเล็กๆ ได้


เดินตบยุงอยู่เกือบ 2 ชั่วโมง ได้เวลาหิวแล้ว หิวมากด้วย หิวจริงหัวจัง แต่ก่อนจะหาอะไรกิน ขอวนรถไปเดินชมโบสถ์คริสต์เสียหน่อย แวะจอดรถที่ร้าน Old Town Cafe (แอบเห็นตอนรถตู้มาส่ง) ก่อนที่จะเดินไปถ่ายรูป และวกกลับมาที่ร้าน #wherewhereiswherewhere (ไหนไหนก็ไหนไหน) จอดรถหน้าร้านเขาแล้ว อุดหนุนลาเต้สัก 1 แก้ว ให้ชื่นใจ


ได้เวลาหาร้านข้าวกิน เข้าพันทิปเจออยู่ร้านนึง อยากกินข้าวหมูแดงพอดี แว้นรถไปเลยจ้า ไปถึงร้านปิด ข้าวหมูแดงโกเยาว์ โกมาปิดไรวันนี้ครับ คนหิวนะคร้าบบบบบ (เที่ยวแบบติดบั๊ก เที่ยวแบบเฟลๆ ไว้ใจผม มันเริ่มต้นขึ้นแล้ว) ระหว่างทางไปร้านก็เจอวัด เจอสวนสาธารณะ เลยเข้าไปแวะเยี่ยมชม จากที่หิวๆ เลยลืมไปเลย เวลาล่วงไปจนถึงบ่าย 2 ขับรถวนๆ แถวตลาดกับโรงแรม เลี้ยวไปเจอร้านนึงแถวๆ แยกสถานี แวะกินบะหมี่เกี๊ยวไปชาม กินเสร็จเจอภาพที่ อิมแพ็คสายตาตัวเองมาก คือ ภาพที่ร้านกำลังห่อขนมจีบใส่ซึ้งเตรียมนึ่ง โอ้ยยยยติ่มซำ รอช้านก่อนเถอะแกร...


ยังไม่อิ่ม ทำไงดี ขับรถวนต่อไปที่ร้านเกาะลิบง นั่งกินโรตีแกงเนื้อ กับหลนปู แป้งโรตีกรอบดีงามมาก ส่วนหลนแม้จะรสชาติแปลกๆ แต่กินผสมกับแป้งโรตีก็อร่อยได้อยู่


กลับมานอนชาร์จแบตตัวเอง แบตกล้อง แบตมือถือ แบตไอแพด เมื่อสิ้นเสียงเพลงชาติ เสียงสตาร์ตรถดังขึ้นอีกครั้ง เป้าหมายต่อไปว่าจะขับไปวัดท่าจีน (ชอบเข้าวัด) ไปนั่งดูเขาเตะบอลกันอยู่พักนึง แสงตะวันเริ่มลับหายระหว่างทางที่ขับมาเหลือบไปเห็นงานวันเฉลิมฯ งานเดียวกันกับที่พี่เจ้าของโรงแรมแนะนำ ลักษณะงานก็เป็นตลาดนัดขายของนี่แหละครับ บวกกับงานวัด และน่าจะมีงานกาชาดจังหวัดด้วย ของกินเพียบ เดินชมเสื้อผ้า ของใช้ เดินไปมาได้ปลาไข่ และไข่ปลาทอดมากิน เดินมาเรื่อยๆ เจอเครื่องเล่นต่างๆ อยากจะขึ้นชิงช้าสวรรค์เหลือเกิน แต่อายเด็ก ฮ่าๆ นึกขึ้นได้ ได้เวลาทดสอบโหมดกล้องมือถือแล้วล่ะ (ใช้ LG G4 ทุกรูปยกเว้นภาพใต้น้ำครับ) นั่งเล็งมุม เกร็งแขน เกร็งขาอยู่นาน เอาเท่าที่ประสิทธิภาพมันทำได้ เปิดหน้าชัตเตอร์ 1 วินาที ผลลัพธ์ ที่ได้คือ ทาดา...


ถ่ายเสร็จสายฝนเริ่มโปรยปรายลงมา รีบวิ่งหนีเข้าร่ม ทันใดนั้นเองฉุกคิดขึ้นได้ว่า กระเป๋าตังค์ เป๋าตังค์ตรูไปไหน เรือหายละ! อภิมหามหึมาบั๊ก เทพเจ้าแห่งความเฟลเล่นงานอีกแล้ว คิดๆ นึกๆ ตะกี๊ซื้อปลาไข่ ก็ยังมีจ่ายอยู่ อ้อๆ จุดถ่ายรูป มุมล่าสุดไม่มี เดินวนกลับไปดูมุมแรก ขณะที่สายฝนไล่คนเดินตลาดเข้ามาในเต๊นท์ ก็มีชายหนุ่มผู้บ้าคลั่ง เดินฉ่ำดื่มด่ำสายฝนก้มหน้าก้มตาหาของ หยิบมือถือเปิดไฟฉาย ฟ้ารั่วแต่ใจคนลนยิ่งกว่า จบกันทริปนี้ตรู พ่อต้องด่า แม่ต้องบ่น เหนือสิ่งอื่นใดเงินล่ะ ATM, Credit, บัตรประชาชนที่เพิ่งทำใหม่ ชีวิตจบสิ้นแล้ว เดินเงอะๆ งะๆ อยู่สักพัก ก็ไปเรียกพี่ร้านขายของที่เขาจอดรถไว้แถวนั้น (คือเขาเห็นผมตอนแรกที่นั่งทำอะไรสักอย่างอยู่) พี่ๆ เห็นกระเป๋าตังค์ผมมั้ย นอกจากจะเป็นมนุษย์ขี้ลืม ขาดสติแบบสุดๆ แล้ว ยังเป็นมนุษย์ที่หาอะไรไม่เคยเจออีกด้วย เดินส่องไฟกับพี่เขาสักพัก (นึกว่าส่องกบ) สวรรค์เมตตา คนดีผีคุ้ม พี่เขาชี้ไปยังกระเป๋าเน่าๆ สีน้ำตาลใบหนึ่งกำลังนอนเล่นน้ำในสนามหญ้าอยู่ โอ้ยยยยยยย ขอบคุณพี่มากคร้าบบบบบ ชีวิตผมรอดแล้ววววววว


อยากจะตะโกนดังๆ กลางสายฝน ต้องหาอะไรตอบแทนตัวเองเสียแล้ว มาสะดุดอยู่ที่หน้าร้านขายน้ำร้านหนึ่ง โอ้วว ไอเดียดี หาจุดขายได้โอเค (เขามีเฟซด้วยนะ ลองไปค้นดู) จัด บลูฮาวายไปถุง พอจ่ายเงินพี่คนขายบอกก่อนดูดถ่ายรูปลงเฟซด้วยนะครับ ถ่ายรูปเหรอ ก็ได้แต่ไม่อัพนะ ทริปนี้งดเล่นโซเชียลสักพัก ระหว่างรอฝนก็เดินวนหาที่ถ่ายรูป ถ่ายยังไงดีน้า...คนเดินไปเดินมา แบคกราวนด์ไม่ได้ แสงไม่ได้ คอมโพสไม่ได้ เลยออกมายืนอยู่เกาะกลางถนน เล็งไปข้างหน้า เอ้าติด ติดพี่เขาอุ้มลูกอยู่ งั้นยกถุงขึ้นบัง เอ้าติด ซ้ายเฟรมมีคนยืนอยู่ กดรัวๆ ไปก่อนค่อยไปคัดเอา หันหลังกลับบ้าง เอาวะโล่งๆ ข้างหน้ายิงไปมีป้าย แต่ไม่เป็นไรยกถุงบัง แล้วๆๆๆๆๆ.... วินาทีนั้นชอตปา-ติ-หาน ก็บังเกิดครับ จากจิตใจอันห่อเหี่ยวเมื่อย่อหน้าครู่ วินาทีต่อมาชีวิตก็พาเราไปมีความสุข สุดยอด สำเร็จความฟินไปเลย เรื่องเล็กๆ จังหวะ โมเม้นท์ เมจิคชอต มันสร้างความสุขให้เราได้จริง (อาจไม่สวยอะไร แต่ผมชอบวินาทีที่กดถ่ายมาก เป็นเสี้ยววินาที และความน่าจะเป็นของหนึ่งในเท่าไหร่ไม่รู้ที่มันจะเกิดขึ้นถ้าไม่ใช่คิวการแสดง)


ฝนเริ่มผ่อนกำลังลง ขับรถกลับโรงแรมอย่างระมัดระวัง เอาล่ะถึงแยกเลี้ยวขวาแล้ว เห้ย ทำไมมืด คนเมืองตรังเขาดีจัง ปิดไฟกันตั้งแต่ทุ่มนึง โห ปลาบปลื้ม ขับตรงมาเรื่อยๆ ชักแปลกเริ่มไม่ใช่ละ หยุดจอดรถถามคนตรงนั้น ไฟดับปะพี่ นั่นไง ความเฟลยังไม่หมดแต่เพียงเท่านี้ ไฟดับ สมองแวบขึ้นมาได้อย่างเฉียบพลัน ไฟดับทุกอย่างมืด แสงอย่างเดียวคือไฟรถ เอาล่ะขาตั้งกล้องไม่ต้อง ผมขยับตัวเองไปยังเกาะกลางถนน นั่งยองๆ เอาแขนตั้งฉาก เกร็งข้อมือเล็กน้อย ปรับมือถือไปที่โหมดแมนวล ตั้งชัตเตอร์ที่ 4 วินาที หันหน้ากล้องไปยังสถานีรถไฟ เอาล่ะเริ่มได้ 10 รูปแล้ว 20 รูปแล้ว รถเปิดไฟวิ่งใส่บ้าง แสงจ้าไปบ้าง เป็นเส้นแล้วแต่ไม่เห็นป้ายสถานี ภาพไม่เล่าเรื่อง ไม่มีรถวิ่งผ่านบ้างล่ะ เมื่อยก็เมื่อย 30 ภาพผ่านไป เห้อออออ แขนเริ่มสั่น มือนิ่งหน่อยสิวะ และแล้ววินาทีปาฎิหาริย์ก็เกิดขึ้นอีกครั้ง ในที่สุดมือถือของช้านนนนก็ทำได้ คิดว่าภาพนี้แหละอยู่แล้ว ดีที่สุดแล้ว เพราะเมื่อถึงจุดนึงเราจะบอกตัวเองได้เองว่า... แค่ไหนที่ดีที่สุด


ไฟดับอยู่เกือบ 40 นาที ก็ได้แต่รอ ร้อ รอ รอกันไป...


Day 5 - เอกซเปค ดิ อันเอกซเปคเติด (สำเนียงไทย)


มันเริ่มต้นขึ้นตอน 7.30 สตาร์ตรถ บิดเครื่อง เป้าหมายแรกของเช้านี้คือร้านเรือนไทยติ่มซำ เมื่อถึงร้านเหล่าเมนูออร์เดิร์ฟก็พาเหรดเข้ามาให้หยิบ ด้วยอารมณ์หิวก็หยิบเพลิน เดินไปสั่งพวกติ่มซำมาอีกไม่กี่เข่ง ระหว่างรอเดินไปดูเมนูบนผนัง สั่งหมี่ซั่วแห้งปลามาอีก 1 มื้อเช้าเบาๆ ไม่คิดว่าจะบานปลายไปขนาดนี้ โดนไป 3xx บาท ค่อนไปทาง 4 ตัวหนักแต่กระเป๋าเบาเลยทีเดียว


เอาล่ะ วันนี้ผมจะมุ่งสู่ อ.ห้วยยอด ระหว่างทางก็พบกับภาพประทับใจอีกแล้ว ถึงกับต้องจอดรถลงมาถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึก คิดสภาพถ้าเป็นคนขับตอนนั้นเขาจะรู้สึกยังไง อยู่ๆ รถมันก็เอียงเหรอ เขาจะจับตรงไหนเพื่อเอาตัวออกมา คิดไปก็เท่านั้นเอาเป็นว่าพี่เขาปลอดภัยก็พอ


หวาดเสียวไป


ขับรถกินลมชมวิว สองข้างทางไม่มีอะไรนอกจากถนนกับสวนยาง อากาศเย็นสดชื่น ปล่อยตัวปล่อยใจกับบรรยากาศอันปลอดโปร่ง โล่งสบาย ทำไมชีวิตเราดีแบบนี้ การได้ขี่รถเล่นมันช่างเป็นความสุขอันเอ่อล้น พูดไปก็น้ำตาจะไหล ใครต่อใครถึงได้ชอบขับชอบขี่เล่นกันนี่เอง นอกจากจะปล่อยใจไปกับสายลมที่ตีหน้าเข้ามาอย่างเบาๆ แล้ว มือก็ค่อยๆ ปล่อยจากคันเร่ง ปล่อยให้รถมันวิ่งด้วยความเร็ว 60 km/hr พอมันเริ่มหมดแรงเราก็จะบิดมันขึ้นมาที บิดมันขึ้นมาที บิดมันขึ้นมา ค่อยๆ บิดมันขึ้นมา บิด บิด แล้ว....มันก็บิดไม่ขึ้น ไม่เอาน่ากำลังพลิ้วๆ อย่าเล่นตลกได้มั้ย จอดรถดับเครื่อง กดปุ่มรีสตาร์ต (ไม่มีสินะ) #here ย.ยักษ์ ล้านนนนตัววว #wtf รถบิดได้ เครื่องติดดี แต่ล้อไม่หมุน อะไรของชีวิตตรูเนี่ย

มองซ้ายขวามีแต่ถนนกับต้นยางพารา เทพยาดา เทวดาที่ปกปักรักษาลูกช้าง เล่นตลกอะไรกับชีวิตผมอีกเนี่ย ซวย! นึกคำอื่นไม่ออกจริงๆ นี่กลัวทริปนี้ยังไม่พีคพอใช่มั้ย ต้องการอะไรจากผมอีก ทำไงได้ต้องเข็นสิครับ เข็นรถไปฝนก็เริ่มลงเม็ด เข็นไปประมาณ 200 เมตร นึกว่าฟ้าจะประทานเป็นแค่ฝน แต่ยังประทานคนใจดีมาช่วย ลุงคนหนึ่งขับมอ'ไซค์ผ่านมา พยายามช่วยด้วยการเอาขาดันรถไปข้างหน้า แต่ว่ากำลังรถลุงมันช่างน้อยนิด (ผมรู้เพราะเคยสลับไปขี่คันลุงก่อน) มีแต่ความทุลักทุเลครับ เอาล่ะผ่านไปกี่ร้อยเมตรไม่รู้ ลุงบอกมีร้านซ่อมอยู่ ในที่สุดก็ถึง เย้ๆๆๆๆๆๆ แต่... ร้านปิดครับ จบข่าว


ความหวังพังลงต่อหน้า


ลุงบอกเข็นต่อไปก่อน แยกหน้ามี ผมก็ถีบพื้นเองไปได้สัก 50 เมตร ลุงแกวกกลับมาช่วยครับ ทีนี้แกพาไปถึงร้านแถวตัวเมืองหน่อย พารถและชีวิตมาถึงแยกอันดามัน เลี้ยวซ้ายจะมีร้านซ่อมรถอยู่ ได้แต่ขอบคุณลุงใจดีท่านนั้นที่ช่วยพาผมรอดวิกฤติมาอย่างไม่เปล่าเปลี่ยว


เกือบไม่รอด


9 โมงแก่ๆ ไปถึงสถานที่แรก ถ้ำเลเขากอบ ไปถึงเป็นคนแรกเที่ยวแรกของวัน โดนค่าเข้าถ้ำไปเต็มๆ คนเดียวไม่ต้องหาร ไม่ต้องแชร์ ภายในถ้ำเลเป็นหินงอกหินย้อยซึ่งจะมีรูปร่างรูปทรงต่างๆ ตามแต่ที่คนจะมองเห็น เส้นทางนี้ถูกค้นพบโดยชาวบ้านเมื่อนานมาแล้ว เพราะใช้เป็นเส้นทางหาปลา ไม่กี่วันก่อนน้ำขึ้นสูงมาก ไม่สามารถพานักท่องเที่ยวเข้าไปเที่ยวได้ โชคดี (ไม่ชินคำนี้) ที่วันนี้จะได้เข้าถ้ำ ระหว่างทางมีสองฝีพาย พี่คนหนึ่งทำหน้าที่เหมือนไกด์ อธิบายจุดต่างๆ ตลอดทาง เขาเล่าว่าเขาเป็นอาสาสมัครมารับจ้างพาย ก่อนจะมาถึงจุดนี้ต้องฝึกวิทยายุทธกันอยู่นาน เพราะเส้นทางต้องใช้ความชำนาญเป็นอย่างมากในการบังคับเรือ และแล้วไฮไลต์ของที่นี่ก็เกิดขึ้น เรียกว่า ลอดท้องมังกร เนื่องด้วยผมมาคนเดียว น้ำหนักที่จะกดเรือให้จมจึงมีน้อย ดังนั้นวิธีการของสองฝีพายก็ต้องคอยควบคุมระหว่างตัวเรือกับผนังถ้ำด้านบน เราสามคนเปลี่ยนจากท่านั่งเป็นเอนตัวลงนอนขนานกับเรือ ระยะห่างระหว่างหน้ากับผนังถ้ำห่างกันเพียงคืบ บางจังหวะก็ต้องไปให้เร็ว บางจังหวะก็ต้องไปอย่างช้าๆ ท่องท้องมังกรระยะทาง 600 เมตร บอกได้คำเดียวว่าฟิน สนุกกว่าเครื่องเล่นอีก ฮ่าๆ


ออกมาจากถ้ำได้ให้ติ่มซำที่ยังไม่ได้แตะ ไม่ได้ดมเอาไปฝากพี่ทั้งสอง เป็นน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ที่เป็นทิปให้พี่เขาได้ ฝนตกหนักแรงขึ้นเลยไปนั่งรอที่ร้านกาแฟ เม้าท์มอยกับคุณป้า และคุณพี่ขายกาแฟ ถามเส้นทางที่จะไปต่อ รอฝนอยู่ชั่วโมง จึงได้ออกเดินทาง


เดินเสพยาง(อาย)ให้ใบหน้า - ข อ แ บ บ ซี ด ๆ ส ไ ต ล์ สั ก ภ า พ น ะ แ ก ร


เสร็จจากลอดท้องมังกร ผมจะพาไปเยี่ยมชมวังมังกรกัน...


ไม่ไกลจากถ้ำเลเขากอบนัก ผมขับรถมายัง วังเทพทาโร เทพทาโรคืออะไร เทพทาโรหรือจวงหอม คือชื่อต้นไม้ครับ เป็นต้นไม้ที่มีมานานแล้วของไทย เทพทาโรนี่เป็นชื่อที่เรียกกันใหม่เมื่อสมัยกรุงศรีอยุธยา โชคดีที่ผมได้มีโอกาสนั่งสนทนากับ อ.จรูญ เจ้าของวังเทพแห่งนี้ อ.เล่าว่า หลายปีก่อนแกเจอกับไม้เหล่านี้ ตอนแรกแกก็จะนำมันมาทำเครื่องหอม แต่แกมารู้ว่า มันเป็นต้นไม้หายากและกำลังจะสูญพันธุ์ เพราะคนหันไปนิยมปลูกปาล์ม กับยางพารา แกจึงริเริ่มที่จะรักษาต้นไ้ม้มงคลประจำถิ่นนี้ไว้ เพราะเห็นว่าเป็นไม้คู่บ้านคู่เมือง ต่อมาเริ่มมีการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับเทพทาโร และพบว่ามันมีคุณสมบัติมากมายหลายประการ ที่เด่นๆ คือ มันเป็นไม้ที่มีกลิ่นถึง 4 กลิ่น ได้แก่ รูตเบียร์ ตะไคร้ เสม็ดขาว กลิ่นดอกไม้ผสมเครื่องเทศ แต่ละต้นก็จะมีกลิ่นประจำต้นของตัวเอง มังกรตัวแรกถือกำเนิดขึ้นเมื่อ อ.ได้ ไม้นี้มา และสังเกตเห็นว่ามันมีหน้าตาคล้ายมังกร นับจากนั้นแกจึงเริ่มงานฝีมือด้วยตัวเอง ให้กำเนิดมังกรด้วยเนื้อไม้ และรากของเทพทาโร ตัวล่าสุดที่แกสร้างสรรค์ออกมานั้น คือตัวที่ 88 ถือเป็นเลขมงคล และยังเป็นการเฉลิมพระเกียรติให้แก่องค์ในหลวงของเรา 88 พรรษาอีกด้วย



ลองดูดีๆ ครับ ผมถ่ายมาในมุมที่อาจเห็นเลข 8 ไม่ชัดนัก


นอกจากนี้ อ. ยังพาเดินชม มังกรที่เก่าแก่ที่สุด เป็นมังกรที่ได้มาจากรากของเทพทาโรมีอายุเก่าแก่ถึง 300 ปี เคยมีผู้ใหญ่ในประเทศหลายคนมาขอซื้อ แกบอกขายไม่ได้มันเป็นสมบัติของแผ่นดิน ตัวแกเองเป็นแค่คนดูแลรักษา (ข้อมูลผิดพลาดประการใด ขออภัยแทนความจำของผมไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ)


นี่คือ 1 ใน 2 ตัวครับ อ. บอก หลังๆ เริ่มมีคนมาขอพรกันด้วย (แอบคิดในใจแบบติดตลกอ. แกอย่างกับมิสเตอร์โปโป้ ในดราก้อนบอลเลย)


เคลื่อนย้ายมวลร่างกายมายังเจดีย์บัวเงินบัวทอง ภูเขาพระยอด ถ้าให้แบ่งสเตจของที่นี่ ก็แบ่งได้เป็น 4 สเตจครับ สเตจแรกไม่ยากนัก คือ องค์หลวงพ่อยอด และเจดีย์บัวเงินบัวทอง ระหว่างทางทุกทิศจะมีองค์พระตั้งอยู่ตามหมายเลขทั้งสิ้น 52 องค์ เป็นพระประจำปีเกิด วันเกิด เดือนเกิด สเตจ 2 คือ พระพุทธบาทจำลอง ต้องออกแรงนิดหน่อย สเตจที่ 3 นี่เข้าขั้นยาก และเหนื่อยมากครับ (หมดแรงติ่มซำเมื่อเช้า เผาไหม้อย่างสมบูรณ์แบบ) ขึ้นไปจะพบกับพระพุทธรูปปางประทานพร บนนั้นสามารถชมวิวของเมืองห้วยยอดได้ ส่วนสเตจที่ 4 เป็นยอดธงชาติไทย ไม่แน่ใจว่ามีองค์พระอยู่ด้วยหรือไม่ เนื่องด้วยขาขึ้นผมไม่ทราบ คิดว่าสุดทางแล้วก็เลยไม่ได้ไปต่อ ถึงบางอ้อเมื่อตอนลงมา จะให้ขึ้นไปใหม่ก็ไม่ไหว ไม่ใช่เพราะเหนื่อยแต่ยุงกัดครับ ยุงเยอะมาก

สเตจ 1


ระหว่างทางขึ้น


สเตจ 3


ฟ้าหลังฝนย่อมสดใสดั่งที่ใครกล่าวไว้สักคน ฟ้าหลังฝนที่ตรังตอนนี้มันดีมาก ขี่รถโดยที่ไม่มีแดดมาเลียผิวกวนใจ ทำให้อารมณ์ดียิ่งนัก ที่หมายต่อไปในแพลนคือ วัดภูเขาทอง แต่ถ้ามันเป็นตามแพลน มันก็ไม่ใช่ผมสิครับ ระหว่างทางเจอป้ายติดอยู่ เขียนว่า ศูนย์ศิลปะวิถี Arts for Life Center ไม่ได้เอะใจอะไร จนกระทั่งเจอสามแยก ลูกศรหันหัวไปทางขวา แต่ทางที่จะไปต้องตรง ขับเลยไปประมาณ 10 เมตรได้ แตะเบรคแล้วเลี้ยวรถกลับครับ ขับไปตามป้ายเรื่อยๆ ก็มาเจอสถานที่ดังกล่าว


จอดรถ ก้าวเท้าไปด้วยความมึน และงุนงงเช่นเคย พี่สาวคนหนึ่งเดินเข้ามาต้อนรับ พร้อมกับเล่าเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้ให้ฟัง ต้องบอกก่อนว่า ศูนย์แห่งนี้ยังไม่เปิดให้เข้าชมอย่างเป็นทางการครับ แต่มีพิธีเปิดโดยคนใหญ่คนโตอย่างเป็นทางไปแล้ว พี่เขาเล่าให้ฟังว่า ศูนย์แห่งนี้เป็นความคิดของพี่ชาย ให้ผมเดาน่าจะเป็นอาจารย์ศิลปะ หรือศิลปิน อะไรแนวๆ นี้ ที่อยากเปิดศูนย์การเรียนรู้วิถีชีวิตแบบชุมชน มาผสมผสานกับแนวคิดทางศิลปะ คือ

ผสมผสานทั้งสองอย่างไปด้วยกัน เมื่อศูนย์เสร็จก็จะมีการเปิดให้ทำเวิร์คช้อป มีการจัดแสดงผลงานทางศิลปะขึ้นมา และคงจะเป็นอีกหนึ่งแหล่งท่องเที่ยวประจำจังหวัดตรัง พี่เขาก็เดินพาผมชมทั่วเลยครับ อธิบายนั่น นู่น นี่ นอกจากจะได้ฟังเรื่องราวดีๆ แล้ว เข้าชมพรีแบบฟรีแล้ว บังเอิ้นนนบังเอิญ วันนี้มีทำขนมจีนสดกันไว้ ก็ได้มีโอกาสกินมื้อบ่ายฟรีสิครับ เอร็ดอร่อยกันไปแม้จะเผ็ดเล็กน้อย (ข้อมูลผิดพลาดประการใด ขออภัยแทนความจำของผมไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ)


อร่อยแต่เผ็ด


ต่อจากนั้นก็ถึงปลายทางเสียที วัดภูเขาทอง


พระนอนทรงเครื่องโนรา


เส้นทางกลับขับไปขับมา น่าจะเรียกว่าหลงคงได้ ไปพบกับ สวนสาธารณะกะพังสุรินทร์ (ที่ตรังนี่มีสวนสาธารณะเยอะมาก) ที่นี่ยังมีองค์พระพุทธสิหิงค์จำลองประดิษฐานอยู่ด้วย ผมเลยแวะนั่งใช้ชีวิตสโลว์ไลฟ์ แบบฮิปๆ บ้าง หลังจากฟาสท์ไลฟ์ไปกับมอ'ไซค์มาทั้งวัน บางทีชีวิตมันก็นำทางเราไปเจออะไรต่อมิอะไรไม่รู้ในแต่ละวัน การได้เดินทางถ่ายรูปเล่นทำให้ผมคิดได้ว่า กล้องที่ดีที่สุดของมนุษย์ก็คือตาคู่นี้ของเรา สวนเลนส์ที่ใช้มองมันนั้นคือทัศนะคติของแต่ละคน ขึ้นอยู่กับว่าเราจะมองมันด้วยมุมไหน ร้ายก็ดีมีก็มาก ชีวิตไม่ดับก็ยังต้องรับใช้ผลกรรมกันต่อไป แต่สิ่งที่เกิดขึ้นตลอดวันนี้มันสอนให้ผมรู้ว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นยังไง ชีวิตจะมีทางไปของมันเสมอ เราไม่รู้หรอกว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่ลองคิดวิธีที่จะรับมือกับมันยังไง แค่คิดก็สนุกแล้ว


Day 6 - พลีส เลิฟ me(ow)


วันนี้ออกช้าเพราะตื่นสาย แต่จิตใจมันใฝ่เรื่องกินอยู่ตลอด วันนี้แวะไปที่ร้านพงษ์โอชา 2 ไปถึงโต๊ะข้างในเต็ม มีแต่โต๊ะข้างนอกที่มีแดดสาดเข้ามา ลองคิดสภาพแดดแปดโมงว่ารุนแรงแค่ไหน นั่งไปสักพักดันโดนไล่ครับ โดยแดด ฮ่าๆ พนักงานให้ขยับมานั่งหน้าร้าน นั่งไปสักพักก็โดนไล่อีก โดยแดดเช่นเดิม เลยต้องมากางโต๊ะพิเศษนั่งกิน โดยรวมถ้าเปรียบกับร้านเมื่อวาน ร้านนี้จัดการไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่ว่าผมชอบหมูย่างร้านนี้มากกว่า แต่มัน

บอกอะไรไม่ได้หรอกครับ เพราะการกินหมูย่างหรือหมูกรอบ ถ้าจะตัดสินมันต้องกินหลายๆ วัน ที่ชอบมากกว่าคงเป็นเพราะหนังที่กรอบเสมอกันทั้งจาน ไม่เหนียวเลยสักชิ้น (ดวงดี) มีเมนูที่ชอบคือโจ๊กปลา แต่ขนมจีบไข่นกกระทานี่เด็ดจริง บวกน้ำขิงร้อนๆ สักแก้ว เยี่ยมไปเลย


วันนี้มีแพลนมุ่งหน้าสู่ อ.กันตัง ครับ เป็นวันที่แดดทำตัวไม่คูลเหมือนวันที่ผ่านๅ มา ตามมาตลอดทางตั้งแต่ร้านอาหารแล้ว แล้วก็ตามไปจนสุดทางครับ แวะชมสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตกันไปตามเรื่องราว จริงๆ คือจะมากินข้าวร้านโกเกี้ยครับ แต่อย่างที่คุ้นชิน อะไรที่อยากมันมักจะปิด ไม่รู้จะทำอะไรก็ขับรถเล่นแถวๆ ตัวเมืองทะลุซอยนั้น ออกซอยนี้ สนุกดีจัง


พระพุทธชัยมงคล วัดตรังคภูมิพุทธาวาส หินทรายที่ใช้สร้างองค์พระมีอายุกว่า 35,000 ปี ภายในวัดยังมีอะไรน่าสนใจอีก ลองเดินเข้าไปดูได้ครับ


พิพิธภัณฑ์พระยารัษฎานุประดิษฐ์มหิศรภักดี ท่านเป็นอดีตเจ้าเมืองตรัง ผู้นำยางพาราเข้ามาปลูกในไทย


ท่าเรือกันตัง


สถานีรถไฟกันตัง สมัยก่อนใช้เป็นเส้นทางซื้อขายสินค้าทั้งมาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย


เดิมว่าจะขับรถจากกันตังแล้วไปเที่ยวที่ถ้ำเจ้าไหมเจ้าคุณ แต่ตังค์เริ่มไม่พอกับการลงเรือ ถ้ำไปเมื่อวานแล้ว ชื่ออำเภอก็เตือนอยู่กันตังค์เอาไว้ ใจเย็นๆ นะ เปลี่ยนแผนเล็กน้อย เพราะขากลับจะไปใช้อีกเส้นทางเพื่อย้อนเข้าตัวเมือง ขี่รถกินลม ชมหาดไปเรื่อยเปื่อย ค่อยๆ ลัดเลาะ แวะไปทีละหาด ไล่จากหาดยาว หาดหยงหลิง หาดสั้น หาดเจ้าไหม หาดปากเมง พอมาถึงปากเมงปากคนเริ่มสั่น ท้องเริ่มหิว ได้กลิ่นอาหารทะเล แวะหาร้านอาหารกินสักหน่อย ผมแวะกินที่ร้านครูคิด เห็นมีคำว่าครูรู้สึกน่าเชื่อถือ (คิดเองล้วนๆ) แต่กินคนเดียวจบมาในราคาเจ็บตัวเล็กน้อย เพราะความอยากปลาล้วนๆ โดนไป 415 บาท ถือว่าราคากำลังดี ถ้ามีคนหารนะ หึหึ


อาหารสดดีครับ


ขับออกมายังถนนใหญ่เพื่อมุ่งหน้ากลับ ระหว่างทางเห็นป้ายพิพิทธภัณฑ์สัตว์น้ำ เลยแวะไปชมสักหน่อย โชคดีที่ไปถึงทันรอบการแสดงแมวน้ำพอดี (มีวันละ 2 รอบ 10.30 และ 14.30) ค่าเข้าชมผูใหญ่ 50 เด็ก 30 ราคานี้รวมค่าดูโชว์ด้วย เดินดูปลาเพลินๆ แล้วต่อด้วยดูโชว์น่ารักๆ มุ้งมิ้ง ฟรุ้งฟริ้ง กระดิ่งแมวน้ำดี อ่อ ตรงนั้นเก็บได้อีกหาด คือ หาดราชมงคล


มองไรฟระ


อยากซีดบ้าง แต่ท่าไม่ให้ 55


วันนี้ดูเหมือนอะไรจะเป็นใจ ทุกอย่างราบรื่น แต่ได้ไม่นานเท่าไหร่ ระหว่างทางขับรถกลับฝนเจ้ากรรมที่คิดถึงและร้องหาก็ดันตกมาเสียได้ แรกๆ พอขับฝ่าไปไหว แต่พอยิ่งใกล้เมืองอีกไม่กี่สิบกิโลฯ ตกหนักแบบบ้าคลั่ง มองทางไม่เห็น ข้างทางมองไปไม่มีอะไรจะหลบฝนได้เลย แฉะอยู่สักกิโลฯ ก็มาเจอสำนักงานเทศบาลตำบล จึงเลี้ยวเข้าไปหลบฝนอยู่ครึ่งชั่วโมง และเมื่อฝนซาย่อมได้เวลากลับ


ฝนตกตลอดเลย


ไฮไลท์ของวันนี้เกิดขึ้นตอนขากลับ เหลือบไปเห็นศาลเจ้า(กิวอ๋องเอี่ย) จึงเลี้ยวเข้าไปกราบไหว้ เพื่อความเป็นสิริมงคลของชีวิต ขณะที่ก้าวออกมานั้น สายตาเหลือบไปเห็นแมวตัวหนึ่ง สีสวย หน้าตาน่ารัก ดูดีมีชาติตระกูล คนรักแมวอย่างเราจะทำไรได้นอกจากเข้าไปเกาคาง ลูบขน ให้มันถูแข้งถูขา สักพักสายตาคู่เดิมเหลือบไปเห็นอีก 2 ตัวครับ เข้าไปทำความรู้จักกับพวกมัน 3 ตัวเล็กน้อย 3 พี่น้องนี้ชื่อ ทองคำ สไปเดอร์ แพนด้า แม่เป็นเปอร์เซีย จริงๆ คอกนี้มีอีกตัวแต่เจ้าของยกให้พี่สาวไปเลี้ยง ฟินเลยสิครับ ทาสแมวอย่างผม


Day 7 - ยู วิล เนเวอร์ ไรด์ อะโลน


สวัสดีเช้าวันใหม่ อันสดใส สดชื่น วันนี้โปรแกรมไม่ค่อยมีอะไรนัก เที่ยวจนเกือบครบแล้ว คงจะมีแต่น้ำตกเท่านั้นที่ไม่ได้ย่างกรายเข้าไปเลย จริงๆ ที่ตรังมีน้ำตกเยอะเลยนะครับ เพียงแต่มีความคิดว่าน้ำตกเป็นสถานที่ๆ ไม่ควรไปคนเดียว อาจจะเป็นความหลังของตัวเองตอนเด็ก ต่างจากทะเลที่ผมคิดว่ามันไปคนเดียวได้อย่างไม่เคอะเขิน แหม่... ขาดไปกิจกรรมเลย ฮ่าๆ


วันนี้ผมยังคงอาหารเช้าแบบเดิมครับ ไปสัมผัสบรรยากาศและรสชาติของร้านเลตรัง 2 ภายใน-ภายนอกร้านตกแต่งสวยงาม สำหรับผู้ชื่นชอบความชิคๆ ถ่ายรูปเกร๋ๆ แนะนำให้มานั่งร้านนี้ได้เลย บวกกับเสียงเพลงที่เปิดบรรเลงกล่อมเกลาจิตใจ มันดีเยี่ยมจริงๆ นั่งอภิรมย์ชมใจ ได้เวลากินครับ บอกสั้นๆ เลยว่า ถ้าเน้นบรรยากาศชอบการตกแต่งให้มาร้านนี้ ถ้าเน้นรสชาติส่วนตัวผมว่ายังไม่โดน ค่าเสียหายทั้งสิ้น 3xx บาท เศษไม่น่าเกิน 20-30 ตัวหมูย่างนี่แพงมาก 150 น้อยอีก อย่างที่บอกหมูมันอยู่ที่ดวง ตัดสินอะไรไม่ได้ในวันเดียว ขนมจีบงั้นๆ ผัดหมี่เฉยๆ (เห้ย เริ่มยาวละ) แอบคิดว่ากินเยอะจนไม่รับรู้ความอร่อยแล้วรึเปล่า ที่ชอบมี 2 อย่าง ซาลาเปาไส้ครีม (ของหวานอะไรก็อร่อย) อีกอย่างน้ำชาครับ เทกินจนเกือบหมด ไม่รู้ว่าชาฟรีหรือเสียตังค์ จบร้านที่ 3 ไปอย่างไม่ประทับใจนัก กินเสร็จผมเริ่มคิดนะ พรุ่งนี้จะไปกินร้านใหม่อีกดีหรือเปล่า


ในเมื่อไม่มีแพลนแน่ชัดจึงไปขับรถเล่น เดินทางจากตัวเมืองไปยัง อ.ย่านตาขาว ผ่านทาง อ.นาโยง ระหว่างทางเจอป้ายอีกแล้วครับ ถ้ำเขาช้างหาย แค่ชื่อก็น่าสนใจแล้ว เลยเลี้ยวรถออกนอกเส้นทางเพื่อแวะไปเยี่ยมชมระหว่างทางเจอกับพระนอนครับ แวะกราบไหว้เอาฤกษ์เอาชัยในวันนี้


เมื่อมาถึงถ้ำเขาช้างหาย พบกับคนเฝ้าถ้ำครับ (ไม่รู้เป็นไร เอะอะเข้าถ้ำ อยากไปจับโปเกม่อนกระมัง) ลุงแกบอกให้รอแปปนึง รอคนมาเปิดไฟ (อินี่มาคนแรกอีกแล้ว) ระหว่างรอก็อ่านตำนานเล่าขานกันไป ให้อาหารปลา ลุงอีกคนมาเปิดไฟ ลุงคนแรกยื่นไฟฉายให้ เสียอีก 20 บาท (มารู้ว่าต้องเสียเงินหลังออกถ้ำ) ได้เวลาเดินดุ่มเข้าถ้ำแล้วครับ ผมจะบอกทุกคนไว้อย่างครับเกี่ยวกับถ้ำนี้ ผมไม่สงสัยเลยว่าทำไมช้างยังหาย มันเป็นประสบการณ์เที่ยวที่น่ากลัวที่สุดในชีวิต พอเข้าไปลึกหน่อยคุณจะเริ่มได้ยินเสียงน้ำหยด เสียงค้างคาวบิน มืดไม่มากแต่วังเวงอิ๊บอ๋าย อาจจะไม่ได้ยินเสียงลมหายใจ แต่คุณจะได้ยินเสียงหัวใจเต้น ผมขอเอาหัวยันเลยครับ ว่าไม่ควรเข้าถ้ำนี้แต่เพียงผู้เดียว ไฟฉายที่ได้มานี่มีค่ายิ่งกว่าสิ่งใดในโลก คิดตลอดทาง ตลอด 15 นาทีที่อยู่ข้างใน ภาวนาอย่าให้ไฟข้างทางดับ ไม่งั้นผมกรี๊ดแน่ๆ ครับ แต่นั่นก็คุ้มค่าพอที่จะมาสัมผัสด้วยตา เมื่อมาถึงกลางถ้ำคุณๆ ท่านๆ จะได้เห็นภาพที่อลังการ ตะลึงตรึงใจ ไม่ได้เวอร์ครับ ผมรู้สึกแบบนั้นจริงๆ ธรรมชาตินี่มันช่างสร้างสรรค์อะไรที่สุดยอดอีกแล้ว


ไม่รู้จะถ่ายภาพยังไงให้มันได้ครึ่งหนึ่งของที่ตาเห็น


ออกจากถ้ำก็กลับเข้าเส้นทางเดิม ไปจนถึง อ.ย่านตาขาว เจอวัดอีกแล้ว แวะเข้าไปไหว้+ถ่ายรูปพระ (ความชอบส่วนตัวครับ) ได้เวลาเปิดกูเกิ้ลที่นี่มีอะไรมั้ย ไปสะดุดกับสถานที่แห่งหนึ่งเป็น มัสยิดกลาง อยู่ระหว่างเส้นทางกลับอีกทางนึงด้วย เลยเลี้ยวเข้าไปครับ ภาพที่เห็นคือ งง จ้าาา ยังสร้างไม่เสร็จครับ เปิดดูข่าวเกี่ยวกับที่นี่เหมือนจะมีปัญหาเล็กน้อย ผมแค่คิดว่าเมื่อมันเสร็จออกมาต้องเป็นอีกสถานที่สวยงามของชาวตรัง และพี่น้องมุสลิมด้วยครับ


ระหว่างทางกลับเมืองเจอป้ายอีกแล้วครับ 1 ใน 20 โบราณสถานเมืองตรัง (ชื่อแนวๆ นี้) ถ่ายรูปก่อนแล้วค่อยมาตามอ่านประวัติครับ สถานที่แห่งนี้ชื่อว่า บ้านตระกูลคีรีรัตน์ อยากรู้ไรเพิ่มไปค้นเอาเอง ฮ่าๆ


ประเทศนี้ถ้าไม่มีสายไฟ มันคงจะดีกว่านี้


ขี่รถกลับเข้าเมืองครับ นึกขึ้นได้ว่าจะกลับมาร่วมปั่น งาน bike for dad ถามที่โรงแรมพี่เขาบอกว่าให้ไปยืมจักรยานที่ศาลากลางได้เลย ผมเลยแวะเวียนไปแถวที่ลงทะเบียนงานครับ เดินไปสอบถามเจ้าหน้าที่ว่า พอจะมีจักรยานให้ยืมมั้ย ได้มา 2 คำตอบครับ ไม่รู้กับไม่มี ตามนั้นครับ ผมก็เลยต้องวนรถกลับไปตั้งต้นที่โรงแรมก่อนเพราะฝนเริ่มลงเม็ดอีกแล้ว งานเริ่มบ่ายสามโมงเย็น ยังไงคงพอมีเวลาบ้างแหละ ระหว่างทางข้ามแยกสถานี


(อีกไม่กี่เมตรจะถึงโรงแรม) มือขวามผมกำเบรก รถที่วิ่งมาสะบัดล้อหลังอย่างดื้อดัน มอ'ไซค์ ล้มเป็นภาพสโลว์โมชั่น ค่อยๆ เอียงลงทำมุม 30 องศา หัวผมสัมผัสกับพื้น (ดีที่สวมหมวกกันเด๊ดตลอด) ลำตัวฝั่งขวาตามมาจากช่วงบนลงไปช่วงล่าง หักครับ ขาหักคาตาผมเลย ขาแว่นที่เพิ่งซื้อมาจากตลาดรถไฟในราคา 250 หักออกจากตัวแว่นจังๆ รถยังคงถลาไถลไปกับพื้นอย่างสวยงาม ส่วนตัวผมนี่สไลด์ไปกับพื้นถนนลื่นๆ เปียกๆ เหมือนกับลูกฮอกกี้น้ำแข็ง วินาทีนั้นคิดอะไรไม่ออก ลุกขึ้นมาเก็บแว่น ยกรถขึ้น เข็นๆ ไปที่โรงแรมก่อนอันดับแรก


ไปถึงก็บอกเจ้าของโรงแรม แล้ววิ่งเข้าห้องน้ำไปล้างแผล สำรวจความเสียหาย โชคดีครับไม่ได้เป็นอะไรมากแค่ถลอกเนื้อเปิด เอวเคล็ด สะโพกช้ำ ออกมาทางโรงแรมเตรียมชุดปฐมพยาบาลเบื้องต้นไว้ให้ เริ่มทำความสะอาดแผลจากแอลกอฮอล์ ทำไปสักพักเริ่มไม่ใช่ละ บอกพี่ครับผมไปโรงพยาบาลดีกว่า พี่เขาเรียกมอ'ไซค์รับจ้างให้ไปส่งที่โรงพยาบาลวัฒนแพทย์ แต่กว่าจะถึงนี่ขับอ้อมแล้วอ้อมอีก สุดท้ายลงเดินครับ เพราะตำรวจเริ่มออกมาปิดถนน เคลียร์เส้นทางจราจรแล้ว ตอนรอทำแผลก็คิดว่าขากลับนั่งเครื่องชีวิตตรูจะรอดมั้ย เหมือนว่ามันยังมีอะไรให้พีคได้อีกทุกวัน เพิ่มดีกรีความตื่นเต้นได้ตลอด ข้อดีของการมาทำแผลครั้งนี้ ในที่สุดผมจะได้ประกันกลุ่มของออฟฟิศแล้วครับ ปกติไม่ชอบหาหมอ ไม่เคยใช้เลยสักครั้งไม่ว่าจะเปลี่ยนงานกี่ออฟฟิศสาแก่ใจแล้วล่ะ


บาดเจ็บเล็กน้อย ขออภัยสำหรับผู้ไม่ต้องการเห็นเลือด

รอไม่นานสำหรับการทำแผล บรรยากาศไม่วุ่นวาย มีผู้คนมาใช้บริการพอสมควร พยาบาลและหมอให้บริการดีเยี่ยม (นี่มาถึงจุดที่ต้องรีวิวโรงพยาบาลแล้วหรือไง) แต่สิ่งหนึ่งที่ผมมักมอง และคาดหวังจากโรงพยาบาลทุกครั้งคือของสวยๆ งามๆ ครับ นั่งรอเคลียร์ค่าใช้จ่ายอยู่นานนับครึ่งชั่วโมง และแล้วสิ่งที่ผมคาดหวังก็มาพอดีบุคคลากรทางการแพทย์ของที่นี่ยังไม่สิ้นคนหน้าตาดี พอถึงช่องรับยา เธอน่าจะเป็นเภสัชกรนะครับ บาดแผลนี่แทบจะหายทันที หึหุหุหึ หน้าตาสวยไม่มากครับ แต่มองได้เรื่อยๆ ออกแนวมินิมอล หน้าน้อง(เรียกน้องละกันเพราะหน้าเด็ก) สวยแบบคลีนๆ แต่งบางๆ หรือไม่แทบไม่แต่งเลย (นี่มาถึงจุดรีวิวคนด้วยหรือเนี่ย) พอครับพอขอจบไว้ที่ตรงนี้ละกัน พรุ่งนี้ผมจะไปทำแผลอีก หวังว่าจะได้เจอน้องเข้าใหม่ (ขำขำนะครับ)


ขากลับเดินสิครับ เดินลัดเลาะมาเรื่อยๆ ผ่านตลาดชินตา จนมาพบกับร้านๆ นึง คุ้นๆ ชื่อ จากตอนขี่กลับจากอ.ย่านตาขาว ร้านชื่อว่า ริชชี่ ครับ มีทั้งอาหารคาวหวาน ภายในร้านตกแต่งสวยงาม ต้อนรับเทศกาลคริสมาสต์ สั่งสิจะรออะไร เมนดิชเป็น ปลานึ่งผักโขมราดวาซาบิ (ชื่อผิดขออภัย) เครื่องดื่มเป็น ชาเขียวปั่นถั่วแดง ระหว่าง รอสั่งของหวานมาทานก่อน เป็นเค้กส้ม



เค้กส้มนี่ผมให้พอฟัดพอเหวี่ยงกับเค้กต้นกกที่ผมชอบเลยครับ


ขณะรอเจ้าปลา ได้เวลาเดินสำรวจร้าน ร้านนี้เป็นอีกหนึ่งร้านเก่าแก่เหมือนกันครับ เปิดมาจะ 20 ปีแล้ว (ถ้าเทียบปีไม่ผิด) ปัจจุบันมี 5 สาขา จากนั้นนิสัยเจ๊าะแจ๊ะก็เริ่มขึ้น คุณป้า/คุณน้า/คุณพี่ เรียกพี่ละกันครับ ด้วยราศีที่บ่งบอกว่าเป็นเจ้าของร้าน ผมเริ่มบทสนทนาครับ เรื่องมันมาจบตรงที่ จะขี่ไบค์ ฟอร์ แดด ใช่มั้ย เดี๋ยวพี่หาจักรยานให้ เอาแล้วไงครับ โชคชะตาเริ่มทำหน้าที่ของมันแล้ว ระหว่างรออาหารพี่เอ๋ง(ทราบนามภายหลัง) แกก็พยายามติดต่อหลายคนเลยครับ (ดูจากการยกหูถึงคนนั้นคนนี้) สุดท้ายแกบอกว่า เดี๋ยวโทรให้ลูกน้องมารับที่ร้าน เพื่อไปเอาจักรยานที่บ้าน (น่าจะญาติ) แถวตลาด เวลาเริ่มกระชั้นเข้ามา ปลายังไม่ได้ พนักงานบอกรอสักครู่ปลามันยังไม่สุก เวลาล่วงเข้าบ่ายสองโมงยี่สิบผมถึงได้กิน


เยอะมากมายมหาศาลครับ ปลากระพงสองชิ้น ตรงรูปลาจะมีผักโขมยัดอยู่ข้างใน


กินเสร็จเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ลูกน้องแกพาผมขับไปยังร้าน อย่างที่เล่าก่อนหน้า ถนนเริ่มปิดการจราจร รถห้ามวิ่ง พี่เขาก็พยายามพาผมไปครับ สุดท้ายเหมือจะหมดหวังยังไงไม่รู้ แกขับกลับมาที่ร้าน ทันใดนั้นพี่เอ๋งโทรมาครับ เหมือนมาย้ำให้พี่เขาพาผมไปส่งให้ถึง พี่เขารับสารแล้วก็พาวนไปเส้นทางอื่น ผลคือไม่รอดครับ ติดทุกเส้น ติดทุกทาง พยายามโบกพี่วิน พี่วินยังไม่ไปเลยครับ ผมเลยบอกพี่เขาว่าเอาที่ใกล้ที่สุด เดี๋ยวผมเดินไปเอง


ตอนนั้น บ่ายสองห้าสิบ เรายังคงติดอยู่บนถนน พี่เขาบอกว่าใกล้สุดคงเป็นที่ร้านริชชี่นั่นแหละ ครับแล้วมันก็ใกล้สุดจริงๆ ผมวิ่งด้วยความเร็วที่วิ่งอยู่ประจำในสวนลุม เชื่อมั้ยครับไม่ถึง 10 นาทีผมก็ถึง โถโถโถ รู้งี้เดินแต่แรกก็จบแล้ว 55 แต่ยังไงผมก็ยังต้องขอขอบคุณพี่เขาด้วย ที่พยายามหาทางมาส่ง หลายเส้นทางมากครับ แต่ถนนมันปิดหมดเลย เอาล่ะครับ สามโมงห้านาที (มั้ง) ผมถึงร้าน ดีลิช (Delish สะกดแบบนี้เปล่าหว่า) สวัสดีครับพี่ ผมมาขอยืมจักรยานที่พี่เอ๋งบอกไว้ครับ ได้จักรยานพร้อมหมวกแล้ว ต่อไป เสื้อครับเสื้อ วันนี้ผมสวมเสื้อดำด้วย ดูจะไม่เข้ากับงานเขานัก ปั่นวนหาซื้อเสื้อร้านแถวนั้น สองร้านผ่าน สามร้านผ่าน มีแต่ไซส์เด็กกับผู้หญิง ร้านสี่มีไซส์ผู้ชายแบบตัวเพรียวๆ จนกระทั่งร้านที่ห้านั่นแหละครับ ผู้ชายอกสามศอกอย่างผมถึงได้เสื้อใส่กับเขา ถอดเปลี่ยนมันตรงหน้าร้าน จากนั้นปั่นสู่หอนาฬิกาเพื่อเตรียมขบวน


รอพิธีการจากทางกรุงเทพฯ เสร็จสิ้น จากนั้นขบวนก็เริ่มทยอยเคลื่อนตัวกันออกไป ระยะทางทั้งสิ้นอยู่ที่ 29 กิโลเมตรครับ เท่ากันทุกจังหวัด สำหรับที่ตรังมีคนลงทะเบียนไว้ร่วมหกพันคน แต่เท่าที่พิธีกรบอก น่าจะมีร่วมแปดพันคนเลยครับ ระหว่างเข็นรถเข้าจุดเริ่ม ผมก็เห็นป้ายนี้


เหมือนทุกอย่างมันเฉลยเลยครับ ไม่โทษใคร ไม่รู้ย่อมไม่ผิด แต่คนที่ผิดคือเราที่ไม่รู้ ละสายตาจากป้ายนั้นหันมาเจอภาพสุดประทับใจครับ ภาพที่เห็นคือป้าแกมาพร้อมจักรยานเก่าๆ คันหนึ่ง ดูสภาพแล้วไม่น่าจะไหว แต่เมื่อมองไปดีๆ ดูที่ชื่อจักรยานสิครับ มันโดนใจเสียจริง เลยเข้าไปแซวยายแกเล็กน้อยครับ ไหวมั้ย (สำเนียงใต้) แกตอบกลับเป็นรอยยิ้มครับ วินาทีนั้นผมมองผู้คนรอบๆ ที่มาร่วมปั่นครั้งนี้ เด็ก หนุ่ม สาว ผู้ใหญ่ คนแก่ ชาวต่างชาติ ผู้พิการ วินาทีนั้นผมแยกคนเหล่านี้ไม่ได้เลยครับ เพราะมันเป็นการรวม เป็นการร่วมใจของเราทุกคนจริงๆ มีจักรยานหนึ่งคันทุกคน มีเสื้อเหลืองเหมือนกันทุกคน น้ำตาผมก็เริ่มไหลออกมาอย่างที่ไม่ได้นัดหมายแต่อย่างใด คนที่ร่วมงานนี้คงเข้าใจความรู้สึกปลาบปลื้ม อิ่มเอมใจ แบบที่ผมกำลังรู้สึกแน่ๆ


สังเกตชื่อยี่ห้อสิครับ


ระหว่างทางที่ปั่นนั้น มีชาวบ้านออกมาร่วมส่งกำลังใจ โบกไม้ โบกมือ โบกธง สวมเสื้อเหลืองส่งเสียงเชียร์กันอย่างคึกคัก มีชาวบ้านบางกลุ่มได้นำน้ำมาแจกนักปั่นกันตลอดทาง แสดงถึงความมีน้ำใจ และการมีส่วนร่วมของคนไทยทุกๆ คน แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้หงุดหงิดใจ คือ ขวดน้ำนี่แหละครับ ไทยแท้แน่นอนมาก สำหรับบางคนนะครับที่รับขวดน้ำ ดื่มเสร็จ แล้วโยนทิ้งลงข้างทาง ผมไม่รู้หรอกว่าเขาทิ้งกันได้แบบนี้เป็นปกติหรือเปล่า แต่สำหรับผมมันไม่ปกติ ตลอดทางผมบอกได้เลยว่ามีถังขยะตลอดทาง พี่จะไม่ใส่ใจกันหน่อยเหรอครับ งานนี้ชื่อปั่นเพื่อพ่อครับ ไม่ใช่ปั่นเพื่อตัวเอง มันคงจะดีกว่านี้ถ้าเราต่างมีสำนึกกว่ากันมากกว่านี้ อยากถามผู้ที่อ่านจนถึงตอนนี้บ้างว่า จังหวัดที่ท่านร่วมปั่น มีที่ไหนไม่ทำพฤติกรรมแบบนี้บ้าง


จุดสิ้นสุดคือจุดเริ่มต้น เมื่อนักปั่นทุกคนเริ่มเข้าเส้นชัยกันจำนวนหนึ่งแล้ว จากนั้นมีการร่วมร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี ถวายพรชัยมงคล นำโดยท่านผู้ว่าฯ หลังเสร็จพิธี มีเด็กน้อยคนหนึ่งมาบอกท่านผู้ว่าฯ อ่านกลอน ผู้ว่าเลยให้เด็กน้อยคนนั้นมาอ่านกลอนถวายให้กับในหลวงของเราครับ


ดีใจครับที่ได้มาเป็นส่วนหนึ่ง

ทุกความช่วยเหลือ ทุกภาพบรรยากาศในวันนี้ คงได้แต่หวังว่าคนไทยทุกคนจะสามัคคี เดินเคียงกันไป ไม่ใช่แค่การปั่นในวันนี้ เพราะทุกอย่างในวันนี้ทำให้ผมรู้แล้วว่า คุณจะไม่มีวันเที่ยวอย่างเดียวดาย (แต่ผมเด็กผีนะครับ55)

Day 8 - วิช มี ลัค


สะดุ้งตื่นตั้งแต่ หกโมงเช้า ออกเดินอ้อล้อไปยังตลาด ทำบุญใส่บาตรเพื่อความเป็นสิริมงคลของชีวิต (อีกแล้ว)เดินสำรวจตลาดพบกับร้านหมูย่างนับสิบ ของสด อาหารทะเลเพียบ มาหยุดซื้อหมูย่างที่ร้านโกชัย สั่งไป 100 ได้มากกว่าร้านเมื่อวานที่ 150 เสียอีก เอาเป็นว่าผมขอแนะนำแบบนี้ ถ้าอยากกินหมูย่าง มาเดินช้อปที่ตลาดดีกว่า คิดว่ามันวันต่อวัน กรอบกว่า สดใหม่กว่า ส่วนจะร้านไหนก็แล้วแต่จิตศรัทธาครับ (ปกติมันก็น่าจะเป็นแบบนี้ไม่ใช่หรือไง ฮ่าๆ)

เดินกลับมาแถวๆ แยกสถานีแวะกินก๋วยเตี๋ยวร้านอะไรสักอย่างไม่ทราบชื่อ แล้วก็ข้ามถนนมาที่ร้านซินจิว ร้านเดียวกับที่เคยกินก๋วยเตี๋ยวเมื่อสองสามวันก่อน สั่งกาแฟนมโบราณ (มีชื่อเรียกด้วย แต่จำไม่ได้) และปาท่องโก๋ 1 ตัว ค่าเสียหาย 19 บาทครับ ปานี่ดีงามมาก น่าจะถูกใจคนรักแป้ง นั่งกินไปด้วยความละเมียด จิบน้ำชาอย่างมีความสุข


วันนี้ตั้งใจจะใช้ชีวิตแบบนิ่งๆ ครับ รอเวลากลับอย่างเดียว


เก็บของยัดลงกระเป๋า ความจริงอย่างหนึ่งกระเป๋าเที่ยวกลับมักใหญ่กว่าเที่ยวมา คงเป็นเพราะเราได้อะไรมากมาย ความทรงจำ ความรู้สึก เรื่องราว และประสบการณ์ใหม่กลับไปทุกครั้งที่ออกเดินทาง ลงมาเช็คเอาท์โรงแรม นั่งพี่วินมาซื้อขนมเปี๊ยะ ซ.9 ดูจากปริมาณรองเท้าแล้ว คิดว่าน่าจะอร่อยสมคำร่ำลือ เข้าไปถึงคนแน่นขนัด ไม่อยากไปแซงใครจึงใช้เวลารอด้วยการชิมครับ วางไว้กี่ไส้ผมก็กินไปเรื่อย สดๆ ร้อนๆ เหมือนออกจากเตาใหม่ๆ รสชาติดีงามตามคอมเม้นท์ในพันทิป กินไปจิบน้ำชาไป เดินออกมาบอกพี่วินว่าคนเยอะ ดับเครื่องก่อน (ใช่เหรอ) จากนั้นก็เข้าไปกินอีก 55 พออยู่ท้องแล้วเกือบเปลี่ยนใจไม่ซื้อ เอาน่าอุดหนุนเขาสักนิดซื้อกลับไปเป็นของฝากสักหน่อย จัดไส้เผือกมา 2 กล่อง อันนี้ถือว่าไฮลี เรคอมเมนเด็ด จริงๆ (ชาเขียวก็เด็ดนะเออ) จ่ายเงินออกจากร้านอย่างรวดเร็ว กลัวพี่เขารอนาน มุ่งไปทำแผลต่อที่โรงพยาบาล เสียดายวันนี้ไม่เจอน้องเขา แหม่...


กลับมานั่งที่ร้าน 1952 Cafe จริงๆ เป็นร้านเจ้าของเดียวกับโรงแรมนี่แหละ เชื่อมติดกันเลย 1952 นี่คือปีที่โรงแรมก่อตั้ง ดูแลสืบทอดกันมาแล้ว 3 รุ่น เป็นอีกหนึ่งที่พักที่ประทับใจ ไปไหนสะดวก ให้บริการดี ที่เหนือกว่ามีตู้เย็นในห้อง ตู้ใหญ่เสียด้วย อยากถามพี่เจ้าของเหมือนกันว่า ไม่เปลืองไฟเหรอครับ


ความตั้งใจหนึ่งของการมาเที่ยวตรังครั้งนี้คือ จะพยายามอ่านหนังสือเล่มหนึ่งให้จบ อ่านไปแล้วครึ่งเล่ม ยังไงขอไปทำตามเป้าก่อนนะครับ ก่อนที่เครื่องจะออก ยังมีเวลาอยู่พอสมควร


ยังมีอีกหลายวัด หลายสถานที่ที่ยังไม่ได้มีโอกาสได้แวะไป หลายร้านอาหารและเมนูที่ยังไม่ได้ลอง ถ้าจะให้ไปครบคงต้องโยนตั๋วเครื่องบินทิ้ง และอยู่ต่ออีกคืน เดินทางกลับกรุงเทพฯ สว่างเช้าวันจันทร์และเข้าออฟฟิศทำงาน (ดี๊ดี) ประทับใจผู้คนที่นี่ รอยยิ้มที่ส่งไปจะได้ตอบกลับทุกคน คนที่นี่ยิ้มง่ายเห็นแล้วชื่นใจ โบกมืออำลาเมืองตรังอย่างช้าๆ ไม่สัญญาว่าชีวิตนี้จะได้กลับมาอีกรึเปล่า แต่สัญญาว่าคนขี้ลืมคนนี้จะจำไปจนวันตาย ขอบคุณผู้ร่วมเดินทางทุกท่าน หากท่านผู้อ่านได้เห็นข้อความนี้แสดงว่าผมมีชีวิตรอดปลอดภัย ลาก่อนตรัง


ป.ล. ใครแวะเวียนมาเที่ยวตรังสังเกตป้ายนี้ให้ดีครับ "ชาพะยอม" กลับถึงกรุงฯ ผมจะลองหาข้อมูลแฟรนไชส์นี้ ท่านจะเห็นร้านขายชานี้ทั่วทุกหนแห่ง เยอะจริงๆ ครับ น่าจะเป็นร้านที่มีสาขามากที่สุดในจังหวัดนี่ด้วยซ้ำ

เอกโต๋ น่ารัก

 วันพฤหัสที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2559 เวลา 16.01 น.

ความคิดเห็น