ทริปครั้งนี้เริ่มต้นจากการจองข้ามปีอันยาวนาน เดิมทีเราตั้งใจจะเดินทางไปกัน 3 คน แต่แล้วก็มีเหตุการณ์ที่ทำให้ผู้ร่วมทางเหลือ 2 และต้องเสียตั๋วไป 1 ใบ ผมก็หวังเต็มที่ว่าพี่อีกคนที่จะไปด้วยนั้นจะช่วยทำให้การเดินทางครั้งนี้ของผมสบาย คือกะตามไปพี่เขาไปอย่างเดียว (เพราะเขาเคยไปมาแล้ว) แต่สำหรับครั้งแรกอย่างผม แทบจะไม่รู้อะไรเลย โดยเฉพาะระบบการเดินทางโดยรถไฟอันน่าปวดหัว เวลาเริ่มไล่หลังเรามาเรื่อยๆ โปรแกรมทั้งหลายสุดท้ายผมก็ต้องเป็นคนวางเองทั้งหมด เกรงใจพี่ที่ไปด้วยเหมือนกันไม่รู้เขาจะชอบแบบที่เราวางไว้มั้ย ความตั้งใจจะเที่ยวญี่ปุ่นปีละครั้งเริ่มต้นขึ้น หมุดแรกที่ผมเลือกคือ คันโต เรื่องราวต่อไปนี้ คือระยะเวลา เกือบ 10 วัน ที่เกิดขึ้น เล่าตามเหตุการณ์ที่บันทึกไว้เท่าที่ความขยันจะเอื้ออำนวย ฮ่าๆ


1240¥ คือจำนวนเงินของการซื้อตั๋วรถไฟจากสนามบินนาริตะไปยังนิปโปริ เพื่อเปลี่ยนสายขบวนไปยังคิตะ-เซนจุ เพื่อต่อไปยังโทบุ-นิกโกะ จุดหมายปลายทางของคืนนี้ โชคร้ายที่รถไฟวิ่งช้าเกินไป เราจึงตกรถเที่ยวสุดท้าย และยังไม่มีจุดหมาย และยังไม่มีที่นอน เอวัง


1090¥ ของราเมงชามนี้ มื้อแรกที่ได้สัมผัส รู้สึกถึงความหิวสัxขึ้นมาทันที เดินวนไปวนมาอยู่นาน จบที่ร้านตรงข้ามที่พัก คืนนี้นอนที่อูเอโนะนะ


3000¥ ราคาต่อหนึ่งคืนของโรงแรมแคปซูลในย่านอูเอโนะ ออกจากสถานีรถไฟประตูเซนทรัล เดินข้ามถนนมาจะมีย่านกินดื่มนวดอยู่ (น่าจะเป็นตลาดอะเมโยโกะ) เดินไม่ไกลจากถนนใหญ่ ตรงเข้ามาในตรอก ฟร้อนโรงแรมจะอยู่ชั้น 4 กดลิฟท์ขึ้นมาต้องถอดรองเท้าทุกคน ใส่เงินในตู้ กดจำนวนคน จำนวนคืน รอรับตั๋วเพื่อไปเอากุญเจอล็อกเกอร์เก็บของ ส่วนรองเท้าจะมีอีกกุญแจให้ เป็นตู้เก็บเฉพาะรองเท้า ในตู้ล็อกเกอร์เสื้อผ้าจะมีชุด ผ้าเช็ดตัวให้เปลี่ยน ห้องน้ำรวมมีทั้งแบบอาบขัน และฝักบัว เดินห้อยกันโตงเตงอย่างไม่มีอายกัน (เป็นโรงแรมชายล้วนนะ) อาบน้ำเสร็จมีห้องสำหรับโต๊ะเครื่องแป้ง มีไดเป่าผม ที่โกนหนวด และแปรงสีฟันที่มียาสีฟันเคลือบอยู่ในตัว ห้องนอนแคปซูลจะอยู่ที่ชั้น 3 และ 2 แบ่งซอยตามตัวเลขกันไป ขนาดแต่ละแคปซูลน่าจะยาว 2 เมตร กว้าง 1 เมตร ภายในมีทีวี กระจก และปลั๊กไฟ คืนนี้น่าจะโชคดีโรงแรมแถมฟรี คนกรนหนึ่งที่ นอนอยู่ข้างล่างนี่เอง #เง้อออออออ @Capsule and Sauna New Century Hotel


2300¥ ต่อหัว เพื่อนั่งรถโดยสารจากสถานีคิตะ-เซนจุ ไปยังสถานีโทบุ-นิกโกะ ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงเศษ โดยรถไฟโทบุ สกายไลน์ เดิมทีเที่ยวที่ตั๋วออกคือเวลา 7.45 แต่แน่นอนเราพลาดขบวนนั้น เพราะไม่รู้ว่าทางที่ขบวนขึ้นนั้นเป็นแบบลิมิเต็ดไลน์ เราจึงไปแลกตั๋วใหม่กับนายสถานี รอบที่ได้ใหม่คือ 8.12 และต้องลงที่ ชิโม-ไมชิ และเปลี่ยนขบวนอีกที กำไรที่ได้ขึ้นรถไฟหลายขบวน #เหรออออออ


310¥ เป็นค่าโดยสารจากจุดขึ้นโทบุบัสสาย 2C ไปลงยังป้าย 85 เส้นทางสาย 2C จะเป็นเส้นทางมรดกโลก ประกอบไปด้วยวัดต่างๆ ศาลเจ้าต่างๆ มากมาย โดยในแต่ละสถานที่สำคัญก็จำเป็นต้องเสียเงินเข้าชมอีก บ้างก็มีแบบเหมา 2 ที่เข้าถูกกว่า เดินชมอย่างซอกแซกจนครบใช้เวลาไม่นานเกิน 6-7 ชั่วโมง โดยบางสถานที่อยู่ในช่วงปรับปรุง บางสถานที่ห้ามถ่ายรูป ขากลับเราเลือกที่จะอ้อมกลับอีกทางเพื่อไปยังสะพานชินเคียว (ซึ่งปิดปรับปรุง) และเดินชมเมืองมาเรื่อยๆ ตั้งแต่ป้ายรถหมายเลข 9 ระหว่างทางเต็มไปด้วยร้านอาหาร และขนมหวานมากมาย เราเดินอยู่ในเมืองที่ห้าโมงเย็นเหมือนหนึ่งทุ่ม และหนึ่งทุ่มเหมือนเที่ยงคืน ความหนาวเย็นทำให้ชีวิตในเมืองนี้ดูเงียบเหงา โคตรสงบแต่เหงา เรารู้สึกว่าการเข้านอนตอนนี้เป็นเรื่องประหลาดที่สุดในค่ำคืนแรกที่นิกโกะ ความหนาวปกคลุม เวลาเช้ากว่าจะถึงยาวนานมาก จนกว่าพระอาทิตย์วันใหม่จะยิ้มให้เรา #วันนี้ฝากล้องหายถุงมือหายหนึ่งข้างตามสเต็ป


1100¥ ราคารถบัสสาย 2B จากสถานีโทบุ-นิกโกะไปยังป้ายหมายเลข 23 อะเกชิไดระ ระหว่างทางเราเห็นกลุ่มนักกีฬาวิ่งขึ้นเขา ไปสอบถามได้ความว่าพวกนี้เป็นนักกีฬาเบสบอล ขณะที่ถ่ายเราอยู่เหนือระดับน้ำทะเลที่ 15xx กิโลฯ ที่นี่เป็นเหมือนจุดจอดรถให้ผู้ปกครอง โค้ช มาให้กำลังใจ ให้น้ำ เราไม่รู้ว่าพวกเขาเริ่มต้นที่ไหน และสิ้นสุดที่ไหน รู้แต่ว่าหัวใจพวกเขาไร้ที่สิ้นสุดจริงๆ #ยอมใจ#การ์ตูนชัดๆ


730¥ ราวนด์ทริปไป-กลับของกระเช้าที่นี่ ใช้เวลาขึ้นไม่เกิน 2 นาที หมายมั่นปั้นมือจะเอากล้องแอคชั่นแคมคาดหัวถ่ายวิดีโอ แต่ก็ตามคาด... #แบตหมด


100¥ เพียงแค่หยอดเหรียญลงไป ก็จะได้เห็นภาพนี้ผ่านกล้องส่องทางไกลในระยะที่ใกล้กว่า แต่ไม่มีกล้องใดๆ จะเก็บภาพได้ดีเท่าที่ตาเห็น #แล้วส่องทำไม


550¥ ลงลิฟท์เสียเงินไประยะ 100 เมตร เพื่อเห็นน้ำตกเคกอนในระยะที่ตาสัมผัสได้ใกล้ที่สุด แหงนหน้ามองจนเมื่อยคอ ขอถ่ายระยะน้ำ...ตกลงมาแล้วกัน #มันเจาะลิฟท์ลงมาได้ไงเนี่ย


700¥ ราคาของข้าวแกงกะหรี่ร้านที่ป้าย 28 ร้านติดกับทะเลสาบชูเซนจิ ซึ่งสามารถเดินได้จากน้ำตกเคกอน ระยะทางเกือบหนึ่งกิโล แต่เราสัมผัสได้ถึงความเหงาของเมืองหลายสิบตัน บางร้านปิด บางโรงแรมเจ๊ง อยากรู้จริงๆ ว่าเพราะอะไร #เหงากว่าเมืองนี้ก็พี่แหละน้อง


110¥ แลกกับชาร้อน 1 แก้วที่ร้านค้า ณ ป้าย 38 เราลงที่ป้าย 37 และเดินตรงมาเรื่อยๆ ผ่านทุ่งเซนโจกาฮาระ ทุ่งหญ้าเปล่าๆ พื้นที่กว่า 4 ตารางกิโลเมตร #ฮิปสเตอร์ต้องเดินชมทุ่ง


1xxx¥ จากป้าย 40 กลับมายังตัวเมือง หลังจากแวะชมน้ำตกยูดากิ และเดินเล่นลัดเลาะในป่าแถวๆ นั้นระยะทางร่วม 1.4 กิโลเสร็จ ก็ได้เวลากลับที่พัก ตอนเช้าที่มาว่าเห็นคนวิ่งโหดแล้ว ขากลับเจอพวกปั่นจักรยานลงเขาที่โค้งเลขแปดเยอะพอๆ กับโตเกียวดริฟท์ แถมยังปั่นแซงรถเราอีกด้วย #ค่าพาสสองวัน2600แต่เรารวยเราเลยเสียเป็นเที่ยวๆ #หมดไปน่าจะร่วม5000¥ #ฮอลล์คูลลลลล


1360¥ เพื่อนั่งรถไฟไปอาซากุสะ โดยที่เราตกรถด่วนรอบเช้า ทำให้ต้องนั่งรถไฟหวานเย็น (ชื่อ Rapid Line แต่ขอเรียกแบบนี้ละกัน) แวะทุกสถานี แถมยังเลตเพราะหิมะตกทั่วบ้านทั่วเมืองอีก สงสารครอบครัวคนไทยที่พักด้วยเมื่อคืน จะได้ออกไปเที่ยวมั้ยเนี่ย #เช้าที่ตื่นมาแล้วพบว่าเมืองเปลี่ยนไป


จำนวนเหรียญ 2 เหรียญที่ทำบุญไป... จากอะไรๆ ที่คิดว่าจะดีต้องมาเดินตากฝน หนาวสั่นงึกๆ งักๆ #ใครว่าโตเกียวฮอต


ค่าอาหารนกที่เราไม่ได้ให้ แต่ลุงกับป้าเดินโยนให้นกมาตั้งแต่สวนสาธารณะ จนถึงท่าขึ้นเรือหน้าอควาซิตี้


กับค่านายแบบที่เราไม่ได้จ้าง


800¥ ค่าบัตรเหมาวันสำหรับไป-กลับโอไดบะ


ไม่มีค่าใช้จ่ายสำหรับสิ่งที่เราหมายตาปอง


920¥ สำหรับค่าขึ้นชิงช้าสวรรค์ยักษ์ ไปดูวิวที่เราหมายตาปองเมื่อครู่ (ถ้าจำราคาไม่ผิด)


ไม่มีค่าใช้จ่ายสำหรับการเดินขาลากไปถ่ายรูป หลังจากกลับมาจากโอไดบะ


3900¥+900¥ ก้อนแรกคือค่าเข้าชมวันพีซมิวเสียมเป็นแพคเกจพรัอมขึ้นไปดูวิวโตเกียว 360 องศา (ถ้าเข้าดูวันพีซอย่างเดียว 3200¥) ก้อนหลังคือค่าโง่ที่ทำตั๋วขึ้นไปดูหาย เลยต้องลงมาซื้อใหม่ ‪#‎ไม่มีอะไรที่ไม่เคยทำหาย‬


3710¥ ที่เราต้องเสียให้กับแพลนที่วางไว้ล้มเหลว เดิมทีตั้งใจจะนั่งรถบัสจากชินจูกุไปยังคาวากุชิโกะ แต่ด้วยเหตุผลอะไรไม่ทราบปรากฏว่าวันนี้ไม่มีรถสายนี้วิ่ง พนักงานบอกว่าเชิญไปรถไฟคร่าาา ด้วยเวลาเดินทางที่นานร่วมสองชั่วโมง และตอนนั้นเราก็สาย บวกความลน เรารีบหารถไฟต่ออย่างสับสน งุนงงกับสถานีที่สายรถเต็มไปหมด สุดท้ายเราต้องต่อเจอาชูโอไลน์ ไปลงยังโอตซึกิ และต่อรถไฟสายฟูจิเคียวเพื่อไปถึงคาวากุชิโกะ ผิดกำหนดการเราไปสองชั่วโมง พระอาทิตย์ขึ้นมายังตำแหน่งที่ทำให้ภาพย้อนแสง แต่ฟูจิก็คือฟูจิ ไม่มีอะไรทำลายความยิ่งใหญ่ของมัน ที่สะกดสายตาเราให้ยืนดูด้วยความอิ่มเอมใจ


1200¥ รถบัสเหมารวมสองวันสายสีแดง และเขียวที่คาวากุชิโกะ มีหลายป้ายที่เราอยากแวะลงไป แต่ความโชคดีที่ชอบมาหาเราก็เกิดขึ้นอีก กระเช้าและเรือล่องทะเลสาบจะปิดช่วงหน้าหนาวเพราะหิมะ ไม่เป็นไร... อีกจุดที่อยากแวะคือมิวสิค มิวเซียม เราแวะลงป้ายนั้นอย่างไม่รู้อะไรนัก ซึ่งเรามารู้ภายหลังจากกลับมายังสถานีรถไฟแล้วว่า มิวเซียมปิดปรับปรุงช่วง 18-22 มกราคม #ขอความซวยจงสถิตอยู่กับเรา


300¥ คือค่าตั๋วรถไฟที่เรายอมจ่ายก่อนตาย เพื่อให้ได้มาเห็นภาพนี้สักครั้ง เรานั่งรถไฟจากคาวากุชิโกะมาลงชิโมโยชิดะ และเดินต่อไปอีกหลายร้อยก้าว ผ่านทางเดินที่เป็นน้ำแข็งปกคลุม หนาว ตีนชา เมื่อย ทุกส่วนของร่างกายยอมทำงานหนักเพื่อตาคู่นี้ จนถึงจุดชมวิวเหนือเจดีย์แดง ชูเรโตะ อย่างที่บอกยอมตายเพื่อให้ได้ขึ้นมาเห็น ฟูจิซังยังคงทรงพลังเหมือนเดิม


108¥ สำหรับนม 1 กล่อง ในแฟมิลี่มาร์ตเพื่อเริ่มต้นเช้าวันใหม่


3200¥ สำหรับค่าเมาหมัดอยากกินปู และยังเมาหมัดกับกุ้ง หอย ปลา และสัตว์น้ำอีกหลากหลายที่ตลาดปลาซึกิจิ (วันนี้คือมาสำรวจตลาดทั้งส่วนใน ส่วนนอก เพื่อหา อินฟอร์เมชั่น เซ็นเตอร์ วางแผนที่จะไปต่อคิวดูประมูลปลาในวันพรุ่ง แต่ตี 3 คืนนั้นก็พ่ายแพ้กับความหนาวเย็น ออกไม่ไหวจริงๆ)


500¥ สำหรับการเดินขาลากเพื่อหาโฟโต้บุ๊กของ Yū Aoi ที่ชิมโบชุ ย่านที่มีหนังสือเยอะแยะเต็มไปหมด สุดท้ายหาได้แค่เล่มเดียว


2xxx¥ สำหรับแว่นตากันแดดที่ย่านชิโมคิตาซาว่า ย่านช้อปปิ้งชิคๆ ที่เต็มไปด้วยเสื้อผ้าสิ่งของมือสองมากมาย


22356¥ (2คน) สำหรับปิ้งย่างชื่อร้านโยโรคุ แห่ง โอโมเตะซานโดะ หลังจากเดินเล่นบนถนนไฮโซย่านนี้เสร็จ ก็เปิดแมปเดินหาร้านนี้ที่ลงทุนโทรจองจนเจอ ร้านอยู่ลึกลับมาก ไปถึงก็ต้องรอคิว... การกินเนื้อร้านนี้แบ่งเป็นแบบเซ็ต และอาลาคาร์ต เราสั่งเซ็ตแพงสุด โดยวิธีกินจะมีพนักงานมาคอยปิ้งให้เรา มาบอกเราว่าต้องกินยังไง อาหารในคอร์สที่เสิร์ฟมานั้น ล้วนคิดและลำดับมาให้เราหมดแล้ว เนื้อแต่ละส่วนมีวิธีกินต่างกัน บ้างก็ต้องห่อข้าว ต้องจิ้มซอส ต้องพับครึ่ง ต้องอะไรมากมาย แต่นั่นเป็นสิ่งที่ดีถึงดีที่สุด สาบานว่าเนื้อแต่ละคำที่กินนั้น เราจะได้สัมผัสถึงความอร่อยที่แตกต่าง เข้าถึงจิตวิญญาณที่มันสละชีวิตเพื่อเรา เกิดมาไม่เคยกินอาหารมื้อแพงเท่านี้มาก่อน ไม่เคยกินเนื้อที่อร่อยแบบนี้มาก่อน นี่คือเนื้อที่ทำให้เราเข้าถึงความสุดยอดของตัวละครในการ์ตูนญี่ปุ่น คุ้มค่าที่โทรจอง คุ้มค่าที่เดินเป็นกิโล คุ้มค่าที่นั่งรอ เป็นเนื้อย่างที่คนไม่กินเนื้อควรกินสักครั้งก่อนตาย ให้สมกับคำขวัญร้านที่ว่า "เนื้อดี สตรีงาม กินตามคำสั่ง ร้านดังแห่งโอโมเตะซานโดะ" #พนักงานผู้หญิงคัดหน้าตามาทำงาน #เพลินลิ้นเพลินตามาก #nicetomeatyou #ilovebeefnotbrief


730¥ สำหรับราคาก้าวขาขึ้นแท็กซี่ญี่ปุ่น เพราะกลัวจะไม่ทันรถไฟใต้ดินรอบสุดท้าย มิเตอร์ไม่ทันขยับก็ถึงพอดีเราเลยเสียเงินและเจ็บตัวแบบเบาๆ #ไม่จำเป็นอย่าขึ้น


200¥ สำหรับค่าโดยสารจากโอโมเตะซานโดะ กลับทาวารามาชิ เพราะทำตั๋วใต้ดินหาย #ซัคมายไลฟ์ #พรุ่งนัวันสุดท้ายในโตเกียวแท้ๆ #ไม่ใช่ซวยละสติล้วนๆ


คือราคาของฝากจากจิบลิมิวเซียม และทำหายที่ฮาราจุกุ รวมถึงฟิล์มที่ได้จ่าการเข้ามิวเซียม ภายในแฟนๆ อนิเมชั่นค่ายนี้คงกรี๊ด เพราะเต็มไปด้วยภาพวาดจากเรื่องต่างๆ มีฉายอนิเมชั่นสั้นพิเศษ (ไม่แน่ใจว่าเปลี่ยนไปตามรอบหรือวัน รอบที่ดูได้ดูโตโตโร่) ได้เห็นความละเอียดของการสร้างหนังอนิเมชั่นดีๆ แต่ละเรื่อง เรฟเฟอเร้น การดีไซน์ตัวละคร ฉาก อื่นๆ อีกมากมายตามภาษาอนิเมเตอร์ รวมไปถึงส่วนขายของที่น่ารักไปทุกอย่าง ไม่ห่างจากโตเกียวนัก ใครที่ชอบลองแวะมาดู (ภายในห้ามลั่นชัตเตอร์เด็ดขาด โปรดเก็บกวาดด้วยสายตา)


400¥ กับค่าขนมปังหน้าซอสแยมสับปะรดชิ้นโต และน่องไก่ทอด ที่วางขายในร้านเบเกอรี ในเมืองซาวาระ เมืองที่นักท่องเที่ยวน่าจะเที่ยวกันในฤดูร้อน


2xxx-3xxx¥ ที่ถนนโอมาเตะซานโดะของนาริตะ เส้นทัวร์ลงก่อนถึงวัดนาริตะ คือช่วงราคาของปลาไหลย่าง และหน้าข้าวปลาไหลย่าง ต่างกันที่ปริมาณชิ้นกับขนาดตัว บางร้านเช่นร้านนี้ก็จะมีทำโชว์อยู่หน้าร้านเลย คนข้างในคือคนจัดการ เริ่มจากปลาไหลเป็นๆ เอาหมุดปักหัว มีดผ่ากลางลำตัวแบ่งครึ่งออกมาจนสุดถึงหาง จากนั้นเอาเครื่องในออก และเลาะกระดูก(ก้าง)ออก หนึ่งตัวแบ่งเป็น 2 ชิ้น ให้คนอีกฝั่งเสียบไม้ เตรียมส่งต่อแผนกย่างอีกที โชคดีที่ไม่มีตังค์กิน เก็บไว้คิดวันกลับ


10,000¥ ราคามหาโหดของคันโตพาส สามวัน พรุ่งนี้จะต้องไปให้คุ้มจะเดินทางจากเหนือชิบะจรดใต้ชิบะ หมดเงินกินข้าวแล้ว


740+500¥ ก้อนแรกค่ารถบัสจากสถานีทาเทยาม่า ก้อนสองคือค่าเข้าไปชมวัดโจระคุซัง มันโทคุจิ พระปางไสยาสน์ที่ทำจากทองสัมฤทธิ์แบบกันดาระที่ใหญ่ที่สุดในโลก (ขายของ) ตำแหน่งที่ตั้งอยู่ตอนใต้ของชิบะ ไกลมาก มายาก ใจไม่รักจริงอย่ามาเลย ฮ่าๆ ‪#‎ขากลับรอรถบัสเป็นชั่วโมง‬


600¥ ค่าเข้าไปชมหลวงพ่อโต (ไดบุตสึ) องค์ใหญ่ที้สุด ที่วัดนิฮงจิ ภูเขาโนโกะงิริยามะ ความสูง 31 เมตร หนทางสำหรับผู้มีเงินควรนั่งแท็กซี่ขึ้นมาจากสถานีโฮตะ สำหรับผู้ต้องการเดินชมธรรมชาติ บ้านเรือนคนญี่ปุ่น เงินน้อย ต้องมีความอึดพอสมควร


ระหว่างทางเดินกลับไปยังสถานีรถไฟ พบเจอกับแมวญี่ปุ่นที่แสนจะหยิ่ง อยู่ในอัตรา 10 ต่อ 1 ตัว ที่จะยอมให้เราเล่น คาดว่าจะต้องคุยภาษาญี่ปุ่นกับเจ้าเหมียว


550¥ เนื้อย่างกระทะร้อน 1 ไม้ ในชีวิตวันสุดท้ายที่ญี่ปุ่น วันนี้ตั้งใจจะเดินไปวัดนาริตะอีกรอบ เพราะยังมีบางบริเวณของวัดที่ไปไม่ครบ พอได้มาตั้งแต่ตอนเช้าก็พบว่าต่างเต็มไปด้วยทัวร์นักท่องเที่ยวเต็มไปหมด ทั้งชาวจีน ไทย ฝรั่ง รวมถึงคนญี่ปุ่นเอง ร้านข้างทางที่ขายของฝากนี่ขายดีแบบสุดๆ

ปอลอ จบทริปไปอย่างประทับใจ ชอบที่ได้ไปเปิดหูเปิดตา ได้เจอคนในโตเกียวที่มีการแต่งตัวในทุกเพสทุกวัยมีความโดดเด่น เป็นตัวเองมากๆ สิ่งเหล่านี้มันจน่าจะถูกหล่อเลี้ยงมากับสังคม วัฒนธรรม แม้ในหน้าหนาวจะพบเจอแต่คนใน่ชุดดำก็เถอะ แต่รายละเอียดเล็กๆ น้อยก็บางบอกได้อย่างดีว่าเมืองนี้มีแฟชั่นที่จัดจ้านแค่ไหน ไว้เราจะกลับไปอีกภูมิภาคอื่นๆ ต่อไป

เอกโต๋ น่ารัก

 วันอังคารที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 เวลา 10.51 น.

ความคิดเห็น