ผมยังจำบทความของนิตยสารการท่องเที่ยวเล่มหนึ่งที่บรรยายถึงเรื่องราวของสถานที่แห่งนี้

ภาพของชุมชนที่ดูเหมือนจะแออัด โดยมีฉากหลังเป็นภูผาและฉากหน้าคือผืนน้ำ

ภาพที่อาจเห็นได้โดยทั่วไป แต่มันกลับมีเสน่ห์ดึงดูดใจอย่างบอกไม่ถูก...

อีกหนึ่งพื้นที่การเดินทางในแบบฉบับของผม ม่วงมหากาฬLIFE FOR TRAVEL https://www.facebook.com/PEESAT.PANTIP


มนต์เสน่ห์ของไอหมอกที่ลอยอยู่เหนือผิวน้ำ ปกคลุมหมู่บ้านไปทั่ว

และก็เป็นภาพใบนี้ที่ทำให้ผมเดินทางมาที่นี่

บทบันทึกการเดินทางฉบับนี้เริ่มต้นที่อุทยานแห่งชาติแม่เมย จังหวัดตาก


เลาะตะเข็บชายแดนสู่เมืองแห่งขุนเขาและสายหมอก แม่ฮ่องสอน

ผมเดินทางจากภาคกลางมุ่งหน้าสู่อำเภอแม่สอด จ.ตาก


ระหว่างทางก่อนถึงแม่สอดจะพบกับตลาดมูเซอ ตลาดที่ขึ้นชื่อในเรื่องของสินค้าพื้นบ้าน

ยามนี้ในฤดูหนาวมีสตรอเบอรี่วางจำหน่ายไปทั่วตลาด


รวมไปถึงสินค้าพื้นบ้านทั้งพืชผักและของป่า ในราคาย่อมเยา

ร้านกาแฟเล็กๆ ริมทางถัดจากตลาดมูเซอออกมาไม่ไกล


กับบรรยากาศสบายๆ สมกับชื่อร้าน “มิตรภาพกลางทาง"

โดยรอบบริเวณมีมุมน่ารักๆ ให้ได้ถ่ายภาพ

รวมไปถึงวิวทิวทัศน์ในมุมสูงที่มองออกไปได้กว้างไกล


รายล้อมไปด้วยขุนเขาสลับซับซ้อนเมื่อมองลงไปด้านล่าง

จากแม่สอด ผ่านแม่ระมาด เข้าเขตท่าสองยาง


เส้นทางดูเจริญและไม่เปลี่ยวเหมือนเมื่อเกือบ 5 ปีก่อนที่ได้มาเยือน

ผมมาถึงอุทยานฯ ในช่วงเย็นย่ำ แม้วันนี้จะดูเงียบเหงา แต่ก็ยังพอมีนักท่องเที่ยวอยู่บ้าง

ที่พักในอุทยานแห่งชาติแม่เมยจะมีทั้งแบบบ้านพักและกางเต็นท์ค้างแรม


แบบบ้านพักที่ต้องจองล่วงหน้าเพราะคิวค่อนข้างแน่น

ส่วนแบบกางเต็นท์จะมีด้วยกัน 4 จุด คือ ม่อนกิ่วลมซึ่งอยู่ด้านบนสุด

ม่อนพูนสุดา ม่อนครูบาใส และบริเวณที่ทำการอุทยานฯ

สามจุดแรกห้องน้ำยังไม่สะดวกนัก แต่เปิดเต็นท์ออกมาจะเจอทะเลหมอกเลย

ส่วนบริเวณที่ทำการอุทยานฯ ห้องน้ำจะสะดวก สะอาด แต่อยู่ห่างจากจุดชมทะเลหมอกม่อนกิ่วลม 12 กิโลเมตร

ในภาพคือบริเวณที่ทำการอุทยานฯ ที่มีพื้นที่กางเต็นท์ติดกับลำธาร

ในภาพคือหนึ่งในบ้านพักอุทยานฯ

อรุณรุ่งของวันใหม่ ผมเริ่มออกเดินทางจากที่ทำการอุทยานฯ ราวตี 5 ครึ่ง


เส้นทางไปยังม่อนกิ่วลมซึ่งเป็นจุดชมทะเลหมอกที่สูงที่สุด ทางยังไม่ดีนัก มีหลุมลึกเป็นจุดๆ ไม่เหมาะกับรถเก๋ง

ราว 12 กิโลเมตรที่ขึ้นมาด้านบน กับบรรยากาศที่งดงามตระการตา


ด้านบนมีนักท่องเที่ยวมากางเต็นท์กันพอสมควรเพื่อสัมผัสลมหนาวและขุนเขาอย่างใกล้ชิด

จากม่อนกิ่วลมถัดลงมาอีกราว 2-3 กิโลเมตรบนเส้นทางสายเดิมเหมือนเมื่อตอนขึ้นมา


จะเป็นที่ตั้งของม่อนครูบาใส

เช้านี้ทะเลหมอกงดงามและคงไม่ต่างจากทุกเช้า


ทะเลหมอกสำหรับที่นี่เกิดได้ง่ายและอยู่นานคงทน

นี่คือเสน่ห์ของแม่เมยที่ใครๆ ต่างหลงใหล

ทั้งม่อนพูนสุดาและม่อนครูบาใสจะไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวมากางเต็นท์มากนัก

นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เมื่อขึ้นมาก็จะมุ่งหน้าไปกางเต็นท์ที่ม่อนกิ่วลม


เพื่อสัมผัสแสงแรก แล้วค่อยลงมาเชยชมตามม่อนต่างๆ

จากวันนั้นเมื่อ 5 ปีก่อนในช่วงปีใหม่ช่วงเวลาเดียวกันกับวันนี้


ดูเหมือนอะไรๆ จะไม่เปลี่ยนแปลงไปมากนัก

นักท่องเที่ยวยังน้อยเหมือนเดิม


ต้นไม้ที่เป็นสัญลักษณ์ของแม่เมยบนม่อนกิ่วลมยังไม่สูงไปกว่าเดิม

สภาพโดยรอบของอุทยานฯ ยังคงเดิม ทะเลหมอกยังงดงามเหมือนเดิม

จากจุดเริ่มต้นก่อนเข้าแม่สอด ถนนหนทางดูดีและกว้างกว่าแต่ก่อน


ระหว่างทางผ่านศูนย์อพยพชาวกระเหรี่ยง

รู้สึกว่ามีจำนวนประชากรเพิ่มมากขึ้นกว่าแต่ก่อน สังเกตจากจำนวนบ้านที่มากขึ้นหลายเท่าตัว

และเส้นทางไม่เปลี่ยวเหมือนเมื่อก่อน มีร้านค้า รีสอร์ท เกิดขึ้นมากมาย

บริเวณที่ทำการอุทยานฯ จะมีร้านค้าขายอาหารในราคาที่ค่อนข้างถูก


ไม่ว่าจะเป็น ไก่ย่าง ส้มตำ ปลาเผา และอาหารตามสั่งต่างๆ

ผมออกจากอุทยานแห่งชาติแม่เมยตอนสายๆ เพื่อเดินทางต่อไปยังแม่ฮ่องสอน


เส้นทางจะเลียบไปตามแม่น้ำเมย ลัดเลาะไปตามขุนเขาที่สูงชัน

เส้นทางในช่วงแรกจะค่อนข้างดี จะมีบางช่วงก่อนถึงแม่สะเรียงที่ยังทำถนน


บางช่วงยังเป็นดินแดง บางช่วงยังเป็นหลุม แต่สองข้างทางสวยงามด้วยวิวทิวทัศน์

จนมาเข้าเขตของจังหวัดแม่ฮ่องสอนที่อำเภอสบเมย ถึงจะพบหมู่บ้าน ร้านค้า


และบริเวณนี้จะเป็นที่ตั้งของอุทยานแห่งชาติแม่เงา

เขตของอุทยานแห่งชาติแม่เงาจะมีจุดชมวิวแม่น้ำสองสีที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ


คือแม่น้ำเงากับแม่น้ำยวมไหลมาบรรจบกัน

มองเห็นสีที่แตกต่างได้เด่นชัดและเรียกบริเวณนี้ว่าสบเงา

ผมมาถึงตัวเมืองแม่ฮ่องสอนในช่วงเย็น


ใช้เวลาขับรถร่วม 8 ชั่วโมงกับระยะทางที่ไม่สามารถทำความเร็วได้

เพราะทางโค้งไปโค้งมาและลาดชัน สมกับเส้นทาง 1800 กว่าโค้ง

ด้านบนของวัดพระธาตุดอยกองมูในช่วงยามเย็นที่มองลงไปเห็นตัวเมือง


โอบล้อมไปด้วยขุนเขาน้อยใหญ่ดูสวยงามไปอีกแบบ

มีความรู้สึกว่าขุนเขาของที่นี่ดูสวยงามแปลกตา


ต้นไม้ที่ขึ้นบนภูเขาดูจะสูงไร่เรี่ยและสม่ำเสมอกัน

ร้านกาแฟเล็กๆ ที่ชื่อว่า “ก่อนตะวันลับขอบฟ้า"


ตั้งอยู่บริเวณลานจอดรถของพระธาตุดอยกองมูดูสวยสะดุดตาเมื่อผ่านเข้ามา

บรรยากาศของร้านที่มีวิวทิวทัศน์งดงามในช่วงยามเย็น


ที่นั่งทุกโต๊ะเต็มหมดจนล้นออกมาด้านทางเดิน

นิยามของความสุขไม่ว่าจะแลกมาด้วยอะไร


จะเสียไปเท่าไหร่หรือได้มาด้วยความบังเอิญ

ถ้าเราอยู่ตรงนั้นแล้วสบายใจ นั่นแหละคือความสุข

คงเหมือนกับร้านกาแฟเล็กๆ แห่งนี้ที่ไม่ได้หรูหราอะไรมากมายนัก


แต่นั่งพักแล้วกลับมีความสุข ความสบายใจอย่างบอกไม่ถูก

และถ้าเวลาเป็นตัวกำหนดความสุข


เวลาแห่งความสุขในวันนี้ดูจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว “ก่อนตะวันลับขอบฟ้า"



ผมมาถึงบ้านรักไทยราว เกือบ 2 ทุ่ม กับเส้นทางขึ้นเขาที่ลาดชัน


สำหรับเช้าวันนี้เป็นของขวัญที่พิเศษที่สุดต้อนรับปีใหม่ในความรู้สึก



“บ้านรักไทย" เป็นชุมชนชาวจีนโบราณที่อาศัยอยู่โดยรอบอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่


เสน่ห์ของที่นี่คือไอหมอกที่ร่องรอยอยู่เหนือผิวน้ำและปกคลุมไปทั่วบริเวณ



มาบ้านรักไทย ก็ต้องมาเก็บภาพบรรยากาศของรีสอร์ทที่ชื่อว่าลีไวน์รักไทย



รีสอร์ทที่รูปทรงเหมือนบ้านชาวจีนโอบล้อมไปด้วยไร่ชาดูสวยงามแปลกตาดีทีเดียว



ถ้าจะมาพักที่นี่คงต้องจองล่วงหน้ากันนานพอสมควร


เพราะคิวยาวเหยียดกับราคาที่สูงพอสมควร



ตั้งแต่ก้าวย่างเข้ามาที่บ้านรักไทยมีความรู้สึกเหมือนมาดอยแม่สลอง


ด้วยบรรยากาศ ร้านค้า สินค้า และร้านอาหารที่ดูคล้ายกัน



แต่สิ่งที่พิเศษสำหรับที่นี่คือ วิถีชีวิตของชาวบ้าน


รวมไปถึงความเป็นอยู่เรียบง่ายของชุมชน



ดวงตะวันค่อยๆ โผล่พ้นขุนเขาเพิ่มความอบอุ่น


และก็เป็นช่วงเวลานี้ที่ความร้อนจะส่องกระทบไอหมอกทำให้สายหมอกเริ่มลอยตัว



เป็นรางวัลสำหรับคนตื่นเช้าก่อนตะวันจะขึ้น



ถ้ามาที่นี่แนะนำให้เดินไปรอบๆ อ่างเก็บน้ำ


จะมีทางเดินเล็กๆ สำหรับเดินเล่นเก็บเกี่ยวบรรยากาศ



นอกจากวิวทิวทัศน์ในช่วงเวลานี้ที่งดงามแล้ว


การได้เห็นวิถีชีวิตของชาวบ้านที่เริ่มกิจวัตรประจำวันก็สวยงามไม่แพ้กัน



บรรยากาศของนักท่องเที่ยวที่เริ่มมาทานอาหารเช้าตามร้านอาหารรอบอ่างเก็บน้ำ



เช้าวันนี้อุณหภูมิราว 12 องศา แต่กลับรู้สึกหนาวเย็นกว่าตัวเลข



เกือบพันกิโลเมตรที่เดินทางมาที่นี่ก็เพื่อสิ่งนี้



สายหมอกเริ่มจางทำให้มองเห็นอะไรๆ ชัดเจนขึ้น


รวมไปถึงเงาในน้ำที่ส่องกระทบดูสวยงามจับใจ



พระเริ่มเดินบิณฑบาตไปตามหมู่บ้าน


เป็นภาพที่ดูแล้วสบายใจ



นอกจากบ้านเรือนของชาวบ้านแล้ว


รอบๆ อ่างเก็บน้ำยังปลูกสร้างทำเป็นบ้านพักเอาไว้โดยรอบ



นอกเหนือจากรีสอร์ทใหญ่ๆ แล้ว ราคาที่พักในแบบธรรมดาก็ราคาแค่หลักร้อย


ที่มีให้เลือกอยู่โดยรอบอ่างเก็บน้ำ



สายวันนี้ผมแวะมาสัมผัสบรรยากาศกันที่ปางอุ๋งซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านรักไทยมากนัก



บรรยากาศของปางอุ๋งที่อาจดูผิดตาไปจากที่เคยชิน เพราะไร้ซึ่งไอหมอกเหนือผิวน้ำ



วันนี้มีนักท่องเที่ยวมากางเต็นท์ค้างแรมกันเยอะทีเดียว



เมื่อก้าวเข้ามายังสถานที่แห่งนี้มีความรู้สึกเย็นสบาย ร่มรื่นด้วยทิวสน


และอากาศที่บริสุทธิ์



เป็นครั้งแรกที่ได้มาที่นี่และรู้สึกประทับใจในบรรยากาศ


ถ้ามีโอกาสคงได้กลับมาเยือนอีกครั้งอย่างแน่นอน



เที่ยงวันนี้ผมออกเดินทางโดยใช้เส้นทางปางมะผ้า – ปาย


บ้านจ่าโบ่คือจุดหมายปลายทางกับร้านก๋วยเตี๋ยวในแบบธรรมดา



แต่เสน่ห์ของร้านนี้กลับไม่ธรรมดาด้วยวิวทิวทัศน์ที่สวยงามล้อมรอบ


สมกับชื่อก๋วยเตี๋ยวห้อยขาบ้านจ่าโบ่ที่กำลังโด่งดัง



ก๋วยเตี๋ยวชามละ 30 บาท กับวิวหลักล้าน


ถ้าเป็นในตอนเช้าอาจโชคดีได้เจอทะเลหมอกบริเวณรอบๆ ร้าน



ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านบันทึกการเดินทางของผม แล้วพบกับรีวิวต่อไปเร็วๆ นี้ครับ


อีกหนึ่งพื้นที่การเดินทางในแบบฉบับของผม ม่วงมหากาฬ LIFE FOR TRAVEL https://www.facebook.com/PEESAT.PANTIP



ม่วงมหากาฬ

 วันพฤหัสที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2559 เวลา 16.43 น.

ความคิดเห็น