สวัสดี..ปีนัง

เชื่อว่าหลายๆคน คงมีความฝัน ในชีวิตของตัวเอง

อยากใช้ชีวิตในแบบของตัวเอง อยากทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำ ผมเองก็เช่นกัน

ผมเคยคิดว่า การไปต่างประเทศคนเดียว มันเป็นสิ่งที่น่ากลัวเนอะ!!

จริงๆ ความกลัวมันติดตัวกับทุกๆคนมาตั้งแต่เราเกิดนั่นแหละ เราแค่ต้องผ่านจุดนั้นไปให้ได้

แล้วบอกกับตัวเองว่า "ความกลัวเป็นสิ่งที่เราคิดไปเอง" การเดินทางออกนอกประเทศไม่ใช่เรื่องน่ากลัวอย่างที่คิด แต่ที่น่ากลัวคือ เมื่อเราต้องไปคนเดียว ในที่ๆเราไม่สามารถสื่อสารกับเค้าได้ในภาษาของตัวเอง ต้องเอาตัวให้รอดเองโดยลำพัง มันก็เป็นเรื่องที่ท้าทายในระดับนึงเหมือนกัน

ต้องบอกตรงนี้ก่อนเลยว่า ผมไม่ได้ภาษาอังกฤษเลย ได้แค่งูๆ ปลาๆ ที่ตัดสินใจไปเพราะ ความอยากไปล้วนๆ "เพราะจริงๆแล้วผมอยากจะไปประเทศที่ เค้าไม่พูดภาษาอังกฤษกัน" แต่เราก็สามารถสื่อสารกับพวกเขาได้ในระดับนึง แต่วันนี้ขอลองประเทศ ที่เค้าสื่อสารโดยใช้ภาษาอังกฤษก่อนละกัน

และเป็นประเทศเพื่อนบ้านเรา นั่นคือ ประเทศมาเลเซีย และประเทศสิงคโปร์

การเดินทางเริ่มต้นวันที่ 11 ธ.ค. 2017 - 19 ธ.ค. 2017

จุดเริ่มต้นการเดินทางของผมนั้นเริ่มต้นที่ สถานีรถไฟ หัวลำโพง โดยผมได้ทำการซื้อตั๋วนอน

กรุงเทพ - ชท.หาดใหญ่ ในราคา 555 บาท รถไฟเริ่มล้อหมุนในเวลา 13.45 น.

โดยการเดินทางครั้งนี้ ผมได้ทำการแลกเงิน ที่ลิน exchange โดยค่าเงิน

ของมาเลเซีย 1 ริงกิต = 8บาทไทย และ 1 ดอลลาสิงคโปร์ = 25 บาทไทย

ผมแนะนำว่าควรแลกก่อนจะไป.

จากนั้นเราก็ทำการนั่งรอเพื่อ รอรถไฟออกจากสถานี จนเมื่อถึงเวลาเราก็เริ่มเดินทางกันเร๊ยยย

โดยที่นั่ง จะระบุอยู่ในตั๋ว หันหน้าเขาหากันฝั่งละ1คน

และนั่งกินลมชมวิวไป จนถึงประมาณ1ทุ่ม ก็จะเริ่มปูเตียง

ให้เราได้นอนหลับพักผ่อน ซึ่งในขบวนนี้ มีพี่จีน

กับคนมาเลเซียแทบทั้งขบวน

จะมีคนไทยก็แต่แม่ค้าขายของ คนที่นั่งตรงข้ามผมก็คือพี่จีนนั่นเอง แต่เค้าสุภาพนะ แก่แล้วแต่ยังชอบเที่ยวกันอยู่ ตลกตอนที่เค้าซื้อขนมหม้อแกงแถวเพชรบุรี แม่ค้าจะหยิบช้อนให้ แกบอกไม่ต้องๆ

แล้วแกก็ควักช้อนแสตนเลสออกมา จากกระเป๋ากางเกง 5555 คนประเภทไหน พกช้อนไปทุกที่วะเนี่ย

แล้วหันมามองเราแล้วพูดภาษาจีน ประมาณว่า เป็นช้อนนำโชคอะไรสักอย่าง

ผมนอนด้านบน เตียงด้านบนจะถูกกว่าด้านล่างเสมอ

แต่ที่สำคัญคือคุณจะไม่ถูกรบกวนจากคนที่เดินไปมา ข้อเสียคือ ต้องปีนขึ้น

และไม่มีหน้าต่างให้ดูวิว แต่จริงๆ กลางคืนแล้วก็คงไม่มีวิวให้ดูหรอกเนอะ

กำหนดเวลาถึง ชท.หาดใหญ่ คือ ตี5.45 น. แต่พอเดินทางจริง เรทไปประมาณชั่วโมงกว่า ซึ่งแผนคือ

เราจะต้องเดินทางต่อไปยังปาดังเบซาร์ ในเวลา 8.30 ซึ่งผมมาถึง หาดใหญ่ คือเวลา 7.40 ซึ่งถือว่าโชคยังเข้าข้าง เพราะถ้าไม่ทันรอบนี้ จะต้องรอไปอีกที รอบบ่าย รถไฟ หาดใหญ่-ปาดังเบซาร์ จะมี2รอบต่อวันเท่านั้น

เมื่อถึงสถานีหาดใหญ่ คือเดินไปซื้อตั๋วรถไฟ เพื่อต่อไปยังปาดังเบซาร์

ชายแดนประเทศไทยและมาเลเซีย เมื่อซื้อตั๋วเสร็จก็รีบ

เดินไปหาที่ล้างหน้าแปรงฟัน แต่เรื่องราวมันมีดังนนี้ คือมี ผญ 2

คนเดินเข้าห้องน้ำไป ห้องน้ำแยกชายหญิง แต่ติดกัน

เสียเงินค่าห้องน้ำไป10บาท จากนั้นเราก็เดินเข้าไปล้างหน้า

สังเกตุว่าน้ำมันเริ่มไหลเบาๆ คิดว่าอาจเป็นเพราะใช้น้ำพร้อมกันกับ ผญ

ที่เพิ่งเข้าไป เราก็รีบล้างให้เสร็จ แต่ยังไม่ทันไม่ทันได้แปรงฟัน พี่!

น้ำไม่ไหลอ่ะ จากนั้นพี่เจ้าของเดินเข้ามาเปิดก๊อก อ้าว ไม่ไหลได้ไงวะ

สงสัยโรงแรมข้างบนปิดวาล์วน้ำ น้องออกไปเลย น้ำไม่ไหลแล้วล่ะ จากนั้น

พี่เค้าก็เดินเอาเชือกมาขึงว่า ห้องน้ำปิดการใช้งาน แล้วก็บ่นๆ

ว่าเปิดร้านไม่ได้แล้วล่ะแบบนี้ แล้วพี่เค้าก็เดินไป

โดยที่ ผญ 2คนนั้น ยังไม่ออกมา เราได้แต่ภาวนาขอให้เขาผ่านพ้นเรื่องนี้ไปได้โดยเร็วพลัน 555

ราคาตั๋วรถไฟ ไปปาดังเบซาร์ ราคา 70 บาท จริงๆ มีวิธีการไปมาเลเซียที่ง่ายกว่านั้นคือ นั่งรถตู้จากหาดใหญ่ไปปีนังในราคา 550 บาท แต่ผมไม่เอา ชอบต่อรถเอาเองมากกว่า เพราะรู้สึกได้ถึงรสชาติการเดินทางมากกว่า

รถไฟขบวนนี้ใช้เวลาเดินทางเพียง45นาที ก็ถึงชายแดน ไทย-มาเลเซีย

หลังจากนนั้น เราจะต้องลงไปปั๊มพาสปอร์ตออกจากไทย เดินเข้าไปเลี้ยวขวา

ต่อคิว ไม่ต้องเขียนใบอะไรทั้งนั้น ใช้แสกนลายนิ้วมือพอ

จากนั้นก็เดินวนซ้ายกลับมา เพื่อปั๊มพาสปอร์ตฝั่งมาเลเซีย เพื่อเข้าประเทศมาเลเซียอย่างถูกต้อง

เมื่ออยู่ใน ตม.งดถ่ายรูปทุกอย่างนะครับ หลังจากนั้น ให้เราเดินขึ้นไปชั้น2 หาป้ายคำว่า ticket

เดินตามไป เมื่อถึงแล้วก็บอกว่า บัตเตอร์เวิธ เค้าจะบอกราคาที่เราต้องจ่ายเป็นภาษาอังกฤษมา

นั่นคือ 11.4 ริงกิต หรือ ประมาณ 90 บาทไทย จากนั้นให้เราเดินลงมารอรถไฟด้านล่าง

รถไฟออกรอบ 10 โมงครึ่ง และอย่าลืมปรับเวลาเพิ่มขึ้น1 ชม.ล่ะ

แต่โทรศัพท์ผมปรับเวลาโลกอัตโนมัติ เปลี่ยนแค่นาฬิกาข้อมือ

หลังจากข้ามประเทศมาแล้ว เครือข่ายAIS ยังมีอยู่ที่ปาดังเบซาร์

ผมได้ทำการเปลี่ยนซิม ไปเป็นซิม2fly asia roamingที่ซื้อมาและลงทะเบียนเรียบร้อยแล้วจากฝั่งไทย

จากนั้นแค่ กดโทรออกเบอร์ใครก็ได้ เป็นการเปิดการใช้งาน สมบูรณ์ โดยมีอินเตอร์เน็ตให้ใช้ จำนวน4 G 8วัน


หลังเปิดการใช้งาน จะได้รับข้อความ ตอนนั้น มันใช้อินเตอร์เน็ตไม่ได้ ก็คิดว่าคงมีปัญหาเรื่องลงทะเบียนซิมหรือเปล่า ทั้งที่อยู่ฝั่งมาเลเซียแล้ว แต่พอขึ้นรถไฟออกไปประมาณ10กิโลระบบทำการเปลี่ยนเครือข่ายอัตโนมัติ ไปเป็น My Max และสามารถใช้อินเตอร์เน็ตได้ และเร็วด้วย

รถไฟบ้านเค้า มีแอร์เหมือนรถไฟฟ้าบ้านเราเลย แต่บ้านเค้าเอาไว้วิ่งนอกเมืองด้วย ประเทศเรายังใช้แบบopen air อยู่เลยยย

ถึงสถานีบัตเตอร์เวิธ ผมก็มีเพื่อนร่วมทางเข้ามาทักผม

พี่ คนไทยรึป่าวครับ เราก็ตอบว่า ใช่ครับ ผมคนไทย คือเค้าบอกว่าเค้าเห็นเราอ่านหนังสือภาษาไทย

เลยลองเข้ามาทัก เราก็บอกเค้าว่า ผมเห็นพี่ตั้งแต่หัวลำโพงแล้ว แต่ผมนึกว่าเป็นคนมาเลเซีย

มาเที่ยวเมืองไทยแล้วกลับมาเลเซีย คุยกันไปกันมา เค้าบอกจะไป กัวลาลัมเปอร์วันนี้เลย เค้าเพิ่งกลับมาจากเกาะสมุยและมาหาเพื่อนที่กัวลาลัมเปอร์ เราเลยเดินไปซื้อตั๋วเป็นเพื่อนเค้า เพราะเราไม่รีบอยุ่แล้ว เราเลยบอกเค้าว่า ไปรถบัสราคาประมาณ300นะพี่ พี่เค้าเดินเข้าไปในห้องขายตั๋ว โดนไป380 บาท

เราก็คิดว่าแพงจังวะ เค้าบอกว่าใช้เงินไทยซื้อ เราเลยเก็ทละ

เพราะคนมาเลเซียจะรับเงินไทยเค้าจะคูณ 10 เช่น 38 ริงกิต ก็คือ380บาท ทั้งที่ความจริง 38ริงกิต = 304บาท นี่คือเหตุผลที่เราควรแลกเงินมาก่อน จากนั้นก็นั่งคุยกับพี่เค้า รอจนรถมา

คือพี่เค้าก็เดินทางคนเดียว ชื่อก้อง เป็นเจ้าของร้านอาหาร steel rose แถวบางนา เค้าบอกว่าปี2020 มีแพลนเที่ยวครั้งใหญ่ คือ เที่ยวรอบโลก1ปีเต็ม ด้วยความที่อยากไปด้วย เลยถามงบเท่าไหร่พี่

เค้าบอก7แสน เชี่ยยยย เยอะมาก แต่มันน่าสนใจมากเช่นกัน เพราะโปรแกรมพี่แก มีทั้งtreking มีทั้งดำน้ำ มีทั้งปีนเขา ไปงานเทศกาล และอีกเยอะแยะ มันเป็นชีวิตที่คุ้มมากอ่ะ

หลังจากพี่แกขึ้นรถไป เราก็ต้องไปตามทางของเรา มีการแลกไลน์ไว้ติดต่อกัน เผื่อไปเที่ยวที่กัวลาลัมเปอร์ด้วยกัน

จากนั้นผมนั่งรถบัสฟรี ต่อไปยังท่าเรือเฟอรรี่ และซื้อตั๋วข้ามไปยังเกาะปีนัง อีก1.2ริงกิต

จากนั้นเมื่อเรือมา เราก็ขึ้นเรือไปจะเห็นเกาะปีนังอยู่ลิบๆ นั่งเรือประมาณ20นาทีก็ถึง

หลังจากขึ้นเรือ ผมก็ได้เพื่อนชาวต่างชาติคนแรก เค้าเป็นคนอังกฤษ เค้าถามเราว่าอยู่ไหน เราบอกว่าไทยแลนด์ เค้าบอกว่าประเทศไทย สวยงามมาก เค้าก็เคยมาเที่ยวเมืองไทย แต่ตอนนี้เค้าอาศัยอยู่ที่ปีนังกับภรรยาของเขา เค้าก็ถามว่าบินมาหรือนั่งรถมา ราคาเท่าไหร่ ประมาณนี้ คุยกันไม่ทันจบก็ถึงเกาะปีนัง และต้องแยกย้าย เค้าก็แนะนำว่าให้เดินทางนี้ๆนะ เราก็พยักหน้าๆ 5555

หลังจาก ลงเรือ หนังชีวิตก็เริ่มขึ้น คืองง ไม่รู้จะไปทางไหน เราเลยเปิดเครื่องช่วยชีวิตคือ กูเกิลแมพ

หาที่พัก ต้องเดินไปอีก2กิโล กลางแดดร้อนๆ ตอนนั้นประมาณบ่าย2 ยังไม่ได้กินข้าวเช้า

เสือกหลวมตัวเข้าไปในร้านอาหารอินเดีย แล้วแม่งแบบเป็นแกงแดงๆน่ากินมากอ่ะ เราเลยถามว่านี่คือเนื้ออะไร เพราะเราไม่กินเนื้อวัว เนื้อแกะ อะไรแบบนี้ เค้าบอก มิกซ์ ซีฟูดส์ เราก็ถามว่าเท่าไหร่ เค้าบอก

ข้าว2ริงกิต กับ6ริงกิต ตอนนั้นก็คิดว่าน่าจะกินได้น่า มาถึงแล้ว มันต้องลองงง!!

กินไปคำแรก แทบพุ่ง คือกลิ่นมันแรงมากกอ่ะ อธิบายไม่ถูก มันฉุนกลิ่นแกงกะหรี่มากๆ

แล้วคนอินเดียที่นี่ใช้มือกินนะ แต่เราใช้ช้อน 555 ไม่ไหวๆ แล้วพ่อค้าเดินมาถามว่า ok มั๊ย

กุบอกไปเลย very good 55555 กินได้นิดเดียว ยอมแพ้เลย ไม่ไหวจริงๆ

เข็ดกับอาหารอินเดีย มื้อแรกก็ประเดิมกุแล้ววว

หลังจากเดินฝ่าดงแดดมาได้ เช็คอินเข้าโรงแรม อาบน้ำ แล้วออกไปข้างนอกทันที

เดินไปตามหาสตรีทอาร์ต หยิบแผนที่เมืองปีนังมาด้วย


ที่ปีนังจะเด่นในเรื่องของสถาปัตยกรรม และศิลปะบนสิ่งก่อสร้าง จึงทำให้ที่ปีนัง เป็นแหล่งท่องเที่ยว

เชิงสถาปัตยกรรม มีคนไทยมาเที่ยวบ้างประปราย แต่สิ่งที่ปีนัง มีดีอีกอย่างคือ สตรีท ฟู๊ด ที่นี่

นั้นดังไกลระดับโลก ด้วยความที่เข็ดกับอาหารอินเดียเป็นอย่างมาก เลือกแบบเซฟๆเลย

อาหารจีน 5555

เห็นจากหน้าตาเหมือนจะอร่อย แต่ป่าวเรยยยย จืดตามสไตล์พี่จีน แต่ก็กินได้บ้าง ราคาไม่แพงมาก

และสั่งน้ำสัปปะรดปั่นมาอีก จะบอกว่าน้ำผลไม้ปั่นที่นี่ คือผลไม้จริงๆ ไม่เจือปน ไม่เติมอะไรทั้งนั้น นอกจากน้ำแข็ง จืดมากก 55555 ถ้าเป็นไทย จะเติมหัวเชื้อผลไม้ลงไปไงเลยทำให้มีรสชาติอร่อย สดชื่น ความจริงเราต้องการแบบนั้น แต่แบบนี้ก็ถือว่าธรรมชาติดี แต่สิ่งที่เด็ดกว่านี้กำลังรอเราอยู่


ใครที่ไปปีนัง ผมแนะนำแบบดาวล้านดวง ให้ไปเบอเกอร์ร้านนี้ อร่อยมากกก มีให้เลือกเยอะแยะ

ว่าคุณจะสั่งอะไร ผมสั่งแบบเซฟๆ คือชิกเก้น + ไข่ คือมันอร่อยมากกๆๆๆๆ ราคาแล้วแต่ว่าเราสั่งอะไร

ผมโดนไป8ริงกิต ก่อนจะซื้ออะไรโปรดถามราคาก่อนทุกครั้งนะครับ อิ่มและอร่อย กลับห้องนอนสบายใจ

หลังจากตื่นเช้า อาบน้ำ กินอาหารเช้าที่โรงแรม เราก็เก็บของออกเดินทาง ไปยังที่พักอีกที่นึง

เพื่อทำการเช็คอิน และนี่คือจุดเริ่มต้น ของผมกับเพื่อนต่างชาติชาวเยอรมัน ผมเค้าพักที่goodnight cafe

พนักงานที่นี่น่ารักมาก ผมแนะนำที่พักที่นี่นะ เจ้าของเป็นคนจีน คนเฝ้าเป็นคนปากีสถาน และแม่บ้านเป็นชาวฟิลิปปินส์ แม่บ้านน่ารักมาก จุดเริ่มต้นคือ เราเดินขึ้นห้องเอาของไปเก็บ ก็เจอกับนักท่องเที่ยวต่างชาตินั่งอยู่ ต่างคนต่างทักกัน โดยที่เราเป็นคนถามก่อนว่าคุณมาจากประเทศอะไร และเริ่มคุยกันด้วยภาษาพื้นฐาน เค้าบอกว่าเคยมากรุงเทพ เชียงใหม่ ภูเก็ต เค้าพูดไทย คำว่า สวัสดีคับ ได้ด้วย

แต่ที่ฮาคือ เค้าพูดว่า มาย เพ๊ด กุก็คิดอะไรวะ มาย เพ๊ด งง สุดๆ แต่พอบอกว่า not spicy กุฮาเรย

อ๋อ ไม่เผ็ด แหม่ ทำกุงง ตั้งนาน เค้าบอกว่ากินเผ็ดได้ แต่เผ็ดของประเทศเค้า กับประเทศเราไม่เท่ากัน

แปลง่ายๆ ประเทศเราแดกเผ็ดนั่นเอง จากนั้น เค้าก็เดินออกไปเที่ยว เราก็อยู่ในห้องคนเดียว

ได้ยินเสียงกุกกักๆ เห็นเงาแว๊บๆ นึกว่าแมลงสาป พอเรานิ่งมันจะวิ่ง ถ้าเราขยับตัวมันจะไม่ออกมา

กุก็นิ่งเรยจ้า รอๆ มันออกมาก สรุปมันคือ ลูกหนู ชิบหายแล้วมีหนูอยู่ในห้อง ตอนนั้นคิดว่าจะบอกกเพื่อนดีมั๊ยว่ามีหนูอยู่ในห้อง ตัดสินใจไม่บอก เก็บของออกไปเที่ยวดีกว่า

ก็เดินออกไปขึ้นรถเมล์ในราคา2ริงกิต ไปถึงทางแยกเข้าวัด เก็ก ลก สี่ และเดินขึ้นต่อไปอีกประมาณ800เมตร หลังจากเดินเที่ยวทั่ววัด เก็ก ลก สี่แล้ว จริงๆก็เหมือนวัดจีนทั่วไป ไม่ค่อยมีอะไรเลย

เราก็เดินไปรอรถเมล์ สายเดิม แต่อากาศมันร้อนมากและ รถสายเดิมก็ไม่มาซักที

พอรถเมล์มา คราวนี้มา2คันเลย แต่ไม่มีสายเดิมสักคัน เลยตัดสินใจขึ้นมั่วๆ ขึ้นคันแรก

แต่พอมาดู กูเกิลแมพ มันต้องขึ้นคันข้างหลังนี่หว่า ซวยชิบหาย แทงหวย50/50 ยังไม่โดนเลย

ประเด็นคือแบตก็จะหมด แล้วก็ลืมเอาเพาเวอร์แบงค์มาอีก ซวยแท้ๆ เห็นฝรั่งดูกูเกิลแมพเหมือนกันเลยเข้าไปถามว่า เค้าลงที่จอร์จทาวน์รึป่าว เค้าบอกใช่ เราก็เอาวะรอดแล้วล่ะ

สรุปคือฝรั่งก็ไม่รุเหมือนกันว่ารถเนี่ย มันจะไปจอร์จทาวน์รึป่าว 555555

แล้วมึงขึ้นมาได้ไงฟระ จากนั้นคนขับรถบอกให้ฝรั่งลงตรงนี้ แต่เราไม่ลงเพราะคิดว่ามันต้องเดินไกล

เราคิดว่ามันต้องผ่านที่ไหนซักที่ ที่คุ้นตาแล้วจะลงเลย สรุปคือรถมาจอดที่สุดสายเลยจร้า

เดินไกลเรยทีนี้ ต้องกางแผนที่ที่ยัดใส่กระเป๋ามา เลยรอดมาได้ แม้จะทุลักทุเลไปหน่อยแต่ก็ดี ได้ประสปการณ์ เดินกลับห้องมาเหนื่อยๆ เห็นเพื่อน3คนอยู่ในห้อง ด้วยความหวังดีประสงค์ร้ายกะว่าให้ฝรั่ง

ตกใจไงว่ามีหนูอยู่ในห้อง เลยบอกว่า พวกยูมีหนูอยู่ในห้องนะ

แล้วทั้ง3คน มองมาที่กุแล้วทำหน้างง แล้วบอกกุว่า oh yes I know. ไอ้ห่า รุแล้วแต่เสือกไม่บอกกุ

55555 แถมบอกกุอีกว่ามี2ตัว เดือดร้อนกุเรยจร้าทีนี้ !! ต้องรีบลงไปบอกเจ้าของห้องแบบด่วนๆ

แม่บ้านบอกใจเย็นๆ กะลังออกไปซื้อกาวดักหนูอยู่ จร้า มีกุคนเดียวที่กังวลเรื่องนี้หรอเนี่ย

ฝรั่ง3คน กับหนู2ตัวในห้อง แถมนอนเล่นโทรศัพท์กันสบายใจเลยจร้า 55555

เอาของเก็บและไปเดินเล่น ที่ ชิว เจ็ตตี้

ต้องบอกเลยว่าที่นี่นั้น ชิลสมชื่อจริงๆ วิวดีมากๆ อากาศปลอดโปร่ง และดูแสงสุดท้ายได้ที่นี่

มันทำให้ลืมคิดถึงเรื่องราวในชีวิตไปเลย ลืมว่าเราเป็นใคร และกำลังทำอะไรอยู่

หลังจากที่เราสัมผัสกับอากาศ และดูพระอาทิตย์ตกแล้วนั้น ก็มืดพอดี ก็ได้เวลากลับ

หลังจากเดินออกมาข้างหน้า เห็นอาแปะ อากง กะลังนั่งคุยกันดูทีวี มันทำให้คิดถึงตอนเด็กๆ

ที่ก๋งของผม จะเอาทีวีมาตั้งแล้วให้ลูกหลานออกมาดูพร้อมๆกัน มันเป็นช่วงเวลาที่ค่อนข้างอบอุ่นนะ

แต่สมัยนี้คงไม่มีอะไรแบบนี้ให้เห็นบ่อยๆแล้วแหละ

แต่ก็ยังดีที่เรายังไม่ลืมความรู้สึกนั้น ถึงแม้มันจะผ่านมานานมากแล้วก็ตาม จากนั้นเราก็เดินกลับไปที่สตรีท ฟู๊ด วันนี้ street food อยู่ที่หน้าโรงแรมที่ผมอยู่เลยครับ

ในระหว่างเดินกลับ ผมเห็นแถวๆฟู๊ด สตรีท มีร้านน่ากินหลายร้านมาก ไปเห็นร้านนึงเป็นบะหมี่ต้มยำ สูตรคนจีน แถวๆนั้นร้านจะติดกันหมด และคนก็เต็มทุกโต๊ะ แต่ผมแอบไปเห็นโต๊ะนึง มีคนนั่งอยู่คนเดียว

ผมเลยเดินเข้าไปขอเขานั่ง เป็นชายอินเดีย เขาบอกนั่งเลยๆ ตามสบายๆ หลังจากนั้นผมกะลังจะหันไปสั่ง บะหมี่ ก็มีแม่ค้าจีนเดินเข้ามาถามถึงจะเอาเครื่องดื่มอะไร ไอ้เราคือมีน้ำอัดลมที่ซื้อจากซุปเปอร์มาร์เก็ตอยู่แล้วก็เลยบอกว่า NO เท่านั้นแหละ เจ้าของร้านขายน้ำ ที่อยู่ข้างร้านบะหมี่

แม่งโวยวายเลย เป็นภาษาจีน ชี้โน่นชี้นี่ หันมาอีกที ไอ้ชายอินเดียถือถ้วยบะหมี่เดินหนีไปเลย

คือ ไอ้ชายอินเดียเนี่ย ก็เสือกไม่ได้สั่งน้ำเค้าเหมือนกัน 55555

เรามันคนไทย ไม่เคยจะแคร์อยู่แล้วเรื่องแค่นี้ กุไม่แดกก็ได้ ลุกเลยครับ ไปกินเบอร์เกอร์สบายใจกว่า

สั่งเหมือนเดิมเป๊ะ คนขายจำเราได้จร้า บอกไปเลยเอาsame same เมื่อวาน 5555

ได้เบอเกอร์เสร็จ มานั่งกินหน้าโรงแรม สบายจายยยย กินไปแป๊ปนึงเพื่อนเยอรมันก็เดินมานั่งด้วย

ก็เริ่มคุยกัน ถึงเรื่องการเที่ยว นู่นนี่นั่น เค้าถามว่าเบอเกอร์ซื้อที่ไหน เราบอกให้ลองชิม ตอนแรกเค้าไม่เอา จนเราต้องยัดเยียด ถึงจะกิน กินคำนึงของมัน เท่ากับกุกิน3คำ 55555

คุณเคยสังเกตุฝรั่งกินเบอร์เกอร์ป่าว คือแม่งกินแบบ อ้าปากกว้างมาก คือกินแบบน่าอร่อยอ่ะ

ทำไมกุกินทุลักทุเลจังวะ เลอะซอส เลอะมือ เลอะปากหมด 5555

พอหลังจากได้ชิมไปเท่านั้นแหละ ถามหาร้านเรยจร้า ร้านขายอยู่ตรงไหน

เราก็พาไปเลย พาเดินไปซื้อเรย ทีนี้เค้าก็ให้เราชิมบ้าง แต่เราไม่ไหว อิ่มละ ทีนี้เค้าถามว่าเรากินเบียร์มั๊ย

ตอบไปเรยว่ากินสิ แหม่ แต่ต้องบอกก่อนว่าร้านเบียร์ที่นู่น เบียร์แพงมาก กระป๋องเป็นร้อยขึ้น

แต่เค้าบอกมีร้านนึง เบียร์ถูก แล้วเค้าก็พาเราเดินไป ทางโคตรเปลี่ยว

พอถึงร้าน โอ้โห ฝรั่งเต็มเรย เบียร์ตกกระป๋องละ 4 ริงกิต จร้า อย่างถูก ลืมบอกชื่อฝรั่งคนนี้เค้าชื่อfloien

อ่านยาก ออกเสียงยาก แต่ออกเสียงแบบไทยว่า ฟลุคละกัน 5555 ฟลุคเนี่ยออกค่าเบียร์ให้เราก่อนรอบแรก รอบ2เราจ่าย รอบ3เขาจ่าย รอบ4 ซื้อไปกินต่อที่โรงแรมเถอะ5555

ก็เริ่มคุยกันเรื่องการเดินทาง ฟลุคบอกว่า เค้าเป็นcapenter หรือว่าช่างไม้ เค้าเดินทางครั้งนี้8ประเทศ

กัมพูชา เวียดนาม เมียนมา ไทย สิงค์โปร์ ลาว มาเลเซีย กรีซ และกลับเยอรมัน

ผมถามว่าฟลุคมีไลน์มั๊ย ประเทศเขาไม่ใช้ไลน์กันนะครับ เขาใช้what app และ FB แค่นั้น เราเลยถามว่าIGล่ะ มีรึป่าว เค้าบอกไม่มี เพราะประเทศเขาไม่จำเป็น เราเลยบอกไทยแลนด์นี่อย่างฮิตเลยนะ

คุยไปคุยมา เขาโชว์รูปสาวไทย และแชทที่คุยกันให้ดู และให้เราพิมพ์เป็นไทยทับศัพท์คำว่าbeautiful

เราก็พิม ส่งไปว่า khun sui mak kub เท่านั้นแหละ ผู้หญิงแม่งฮาเรยยย

พิมพ์กลับมาว่า Khun na rak mak ฟลุคของเราก็งง ว่ามึงพิมไรกัน เราบอกว่า same same

Cute for you. 55555 คุยไปคุยมา ถามว่าเรามีแฟนยัง เราบอกว่าไม่มี ถามอีกว่าทำไมไม่มีล่ะ

เราบอกว่าเราชอบแบบนี้มากกว่า ฟลุคก็ไม่มีแฟนเหมือนกัน ใครสนใจก็ทักผมมาได้นะ

ข้อดี ของฝรั่งคนนี้ คือเค้าจะพยายามสื่อสาร กับเราให้เราเข้าใจ ไม่ปล่อยให้มันผ่านไป

คือบางประโยคก็ไม่รู้ว่ามันหมายความว่าอะไร เค้าก็จะพยายามยกตัวอย่างนู่นนี่ ให้เราเข้าใจ

ถึงได้สนิทกันเร็วมากๆ แล้วเค้าจะพยายามพูดช้าๆให้เราฟังทัน คือดีมากๆนะ

ฝรั่งบางคนพูดไม่รู้เรื่องแต่เสือกพูดซะเร็วเชียว

จากนั้นเราก็เดินกลับโรงแรม เราเห็นผญ.ฝรั่ง กลุ่มนึงสวยมาก เลยบอกฟลุคว่า she very beautiful

ฟลุคของเราจะเดินไป contract ให้ 5555 ต่างชาติเค้าก็มีมุมแบบนี้นะเว้ยยเห้ยยย

เดินกลับมาถึงเห็นแม่บ้าน และชายต่างชาติปากีสถานนั่งคุยกัน ก็เลยนั่งคุยกันไปอีก ต้องบอกเลยคนปากีสถาน พูดได้หลายภาษาจริงๆ พูดภาษาอังกฤษได้เร็วมาก คุยไปคุยมาเข้าเรื่องการเมืองเฉยเลย

เกี่ยวกับความมั่นคงของปากีสถาน และฮิตเลอร์ของเยอรมัน 555

จากนั้นดูเวลา ประมาณเที่ยงคืนละ ก็แยกย้ายกันไปนอน ฟลุคบอกว่าจะตื่นขึ้นมาดูบอล ทีมชาลเก้ 04

ทีมโปรดของเขา และพรุ่งนี้เช้าฟลุคต้องไปกัวลาลัมเปร์แล้ว ต้องแยกกันแล้วสินะ

เราก็แยกย้ายกันนอน แต่ก็ต้องตื่นขึ้นมากลางดึก แม่เจ้าา แอร์หนาวชิบหาย

ไอ้ฟลุค มึงขี้ร้อนขนาดนั้นเลยหรอวะ555 เห็นทุกคนแม่งคลุมโปงอย่างกะอยู่ขั้วโลกเหนือ ไม่ไหวๆ

มาดูอุณหภูมิ16องศา เร่งพัดลมแบบเต็มสปีด ตอนนั้นตี4 จะตี5ละ ฟลุคของเรายังคลุมโปงอยู่เรย

ไหนบอกมึงจะดูบอลไง ? ไปลดแอร์แบบด่วนๆ จนตอนเช้ามาเข้าใจละว่าทำไม มันเปิดแอร์ขนาดนั้น

มันนอนอยู่ใต้แอร์ไง มันเลยไม่เย็น ไอ้เราแอร์ตกพอดี เลยหนาวแบบ โคตรพ่อโคตรแม่หนาว

ตื่นเช้ามา ล้างหน้า แปรงฟัน เดินไปที่ชิว เจ็ตตี้ เพราะหวังว่าจะดูแสงในยามเช้า สูดอากาศดีๆ ริมแม่น้ำ

ตอนนั้นเป็นเวลาประมาณเกือบ7โมงเช้า ไปถึงก็มีชาวบ้านคนจีน ออกจากบ้านมาไหว้เจ้ากัน

หลังจากนั่งกินลมชมวิว กะลังจะกลับ มีคนจีน เป็นวัยกลางคน กะลังจะเอากระดาษไปเผา

หันมาบอกเราว่า นักท่องเที่ยวต้องเข้า หลัง9โมงนะ ตอนนั้นก็คิดว่า อะไรวะป้ายก็ไม่มีบอกแล้วจะรู้ได้ไง

ว่าให้เข้ากี่โมง ระหว่างเดินก็คิดไปว่าเราไม่ผิดนะเว้ย ไม่มีป้ายบอกเองงง

พอเดินมาถึงปากทาง เชี่ยยย มีป้ายตั้งอยู่ได้ไงวะ 5555 สรุป รีบเดินจนลืมดูป้าย

สตินะครับทุกคน เวลามาเที่ยวคนเดียวสิ่งที่สำคัญคือสติ เดินนี่แทบจะชนป้ายอยู่ละ แต่มองไม่เห็น

จากนั้นรีบกลับมาอาบน้ำเก็บของ และฝากสัมภาระไว้ พนักงานที่นี่น่ารักมาก ดูแลลูกค้าดีจริงๆ

ผมแนะนำให้มาพักที่นี่นะ ที่พักที่ red in ไม่ดีเลย ที่นี่ถึงจะเล็ก แต่ก็นอนสบาย แถมพนักงานยินดีต้อนรับเราด้วย

จากนั้นผมก็เดินไปที่ตึกคอมต้า ระยะทางประมาณ2กิโล ระยะทางไม่ใช่ปัญหา แต่ปัญหาคือแดดที่นี่แรงกว่าไทยมากๆ รู้สึกได้ว่ามันร้อนกว่าไทย ร้อนแบบแห้งๆ จากนั้นก็ทำการซื้อตั๋วไปกัวลาลัมเปอร์ในรอบดึก ทำไมต้องซื้อตั๋วรอบดึก เพราะเราจะได้ไม่ค้องเสียค่าโรงแรมอีก1คืนไง ไปถึงกัวลาลัมเปอร์ก็จะเช้าพอดี แต่จะค่อนข้างโหดต่อร่างกายซักหน่อย ต้องฟิตร่างกายมาดีๆ 555

ต้องบอกว่าที่นี่ของกินเริ่มจะมีปัญหากับชีวิตผมมาก เข้าไปกินKFC เลยสบายใจ

ที่นี่ขายKFC เป็นชุดเล็กๆ ราคาไม่ถึงร้อยบาทไทย แต่ซอสที่นี่จะไม่เหมือนบ้านเรา ซอสที่นี่จะฉุนๆหน่อย ไม่อร่อย และไม่มีซอสหวานสีส้มเหมือนบ้านเรา มีซอสมะเขือเทศแต่ฉุนมาก กินไม่ลง

แต่ซอสพริกกินได้ กินเสร็จ ก็เดินไปชิว เจ็ตตี้ ครั้งสุดท้ายและกลับมาเอากระเป๋า2ใบ เดินไปขึ้นรถที่คอมต้า

ในระหว่างเดินซอยมันเยอะมาก จำทางไม่ได้ กำลังจะหาซอยเลี้ยว ก็มีเพื่อนต่างชาติเข้ามาถามเราว่า

เรากำลังงจะไปไหน เราก็บอกว่าคอมต้า เค้าเลยบอกทางไปให้ เราก็ขอบคุณเค้า และขอจับมือไป1ที

แต่ความฮาอยู่ตรงนี้ คือเราก็เดินไปตามที่เค้าบอก ส่วนเค้าเดินไปอีกทางนึง สรุปมาออกทางเดียวกัน

แต่เค้าอยู่หน้าเรา เค้าไม่เห็นเราว่ากำลังเดินตามอยู่ เค้าก็ถามทางคนมาเลเหมือนกัน 55555

คิดในใจนะ แล้วที่มึงบอกกุมามันถูกมั๊ยวะเนี่ย เปิดกูเกิ้ลแมพอย่างด่วน สรุปเค้าบอกถูกนะ

คนที่เค้าให้ความรู้เรา ไม่ได้แปลว่าเค้าจะรู้ทุกสิ่งในโลกใบนี้นะครับบ มาถึงคอมต้าก็ประมาณ4ทุ่ม

แต่รถออก5ทุ่ม20นาที ระหว่างรอจะไปเข้าห้องน้ำเห็นฝรั่งคนนึง เราเลยทำทีไปคุย เค้าบอกมาจากเนเธอร์แลนด์ เราก็บอกอ๋อ ฮอลแลนด์น่ะหรอ เค้าบอกว่า ไม่ๆ เนเธอร์แลนด์ คุยไปคุยมา

เค้าบอกว่าฮอลแลนด์ กับเนเธอร์แลนด์คือประเทศเดียวกัน

ก็ใช่น่ะสิวะ กุก็เข้าใจถูกแล้วจะเถียงทำไม ฮ่าๆๆๆ พอเริ่มสนิทปุ๊ป เราขอให้เค้าช่วยดูกระเป๋าให้ทันที

เราจะไปเข้าห้องน้ำ คุณรู้กันมั๊ยว่าพวกฝรั่ง ถ้าเค้าบอกว่าจะดูแลของๆเราให้เนี่ย คือเค้าดูแลให้จริงๆ

ไม่ว่าคุณจะเป็นเพื่อน เป็นญาติ มาขอกระเป๋าเค้าจะไม่ให้นะ ต้องเป็นตัวคุณเองเท่านั้นที่จะมาเอากระเป๋า

เพราะเค้าถือว่า มันเป็นความรับผิดชอบของเขา ต่างจากคนไทย ที่ขี้เกรงใจ ต่างชาติเนี่ยไม่ได้มีนิสัย

ขี้สงสาร ขี้เกรงใจเหมือนคนไทย ถูกก็ว่าไปตามถูก ผิดก็คือผิด ผมเคยเห็นอยู่ครั้งนึง

เป็นเด็กขายดอกไม้ เข้ามาขายในร้านอาหาร เจอคนไทยจะส่ายหน้าถ้าไม่เอา แต่ส่วนใหญ่เด็กพวกนี้จะตื้อจนให้เราซื้อ แต่พวกฝรั่งคือถ้าเค้าไม่เอา เค้าจะบอก No และถ้ายังไม่หยุด เค้าจะตะคอกว่าStop

นี่คือสิ่งที่ต่างจากคนไทย

หลังจากรถมาถึง เราต้องขึ้นไปก่อน เค้าจะพาเราไปส่งที่ท่ารถ เพื่อขึ้นรถที่ถูกต้องจริงๆ ก็ได้เจอกับฝรั่ง2คนนี้ ซึ่งไปกัวลาลัมเปอร์เหมือนกันเค้างงว่า เค้าต้องขึ้นรถคันไหนกันแน่ ตอนนั้นคิดว่าเราอาจจะโดนเอามาปล่อยทิ้งไว้หรือป่าว พยายามหารถที่ตรงกับทะเบียน ที่คนขายตั๋วบอกก็ไม่มี

เวลาก็เลยมาเยอะแล้ว ตอนนั้นเที่ยงคืนกว่าแล้ว ได้แต่ปลอบใจตัวเองว่าเดี๋ยวรถก็คงมา

กุก็เดินออกไปดูปากทาง เห็นรถกะลังวิ่งเข้ามา ตรงกับทะเบียนที่คนขายบอก เราก็เดินมาบอกฝรั่งว่า

รถมาแล้วนะ ฝรั่งถามทันทีว่า แน่ใจนะ เราบอก ชัวร์ ดีใจจนแทบจะกอดผม

จริงๆกอดก็ได้นะ ผมไม่ถือ 555 ระหว่างการเดินทางเราจะเจอเพื่อนร่วมทางมากมาย

ที่เค้าก็มีจุดหมายๆคล้ายๆกันกับเรา ผมดีใจนะ ที่ในวันนี้ผมกล้าที่จะทำอะไรมากกว่าแต่ก่อนเยอะมากๆ

และก็หวังว่าทุกๆคน ก็คงอยากจะทำในสิ่งที่ตัวเองอยากจะทำกันนะครับ

หลังจากขึ้นรถได้ไม่นาน รถออกไปไม่ถึง 10 นาที ได้ยินเสียงครืดดด คนขับจอดรถลงไปดู ฝรั่ง2คนนี้

มองหน้าเหมือนจะให้เราลงไปดูสิ๊ว่าเกิดอะไรขึ้น ลงไปดู สรุปคือ กระเป๋าเดินทางล่วงออกจากรถจร้า

คนขับปิดประตูเก็บสัมภาระไม่สนิท แต่โชคยังดีที่ไม่ใช่กระเป๋าผม และของฝรั่ง2คนนั้น

ขึ้นมาเราก็บอกว่า ยู ไม่ต้อง กังวล กระเป๋าของคุณมันยังโอเค แล้วก็กลับไปนอนต่อ

เพื่อรอให้ถึงเมืองกัวลาลัมเปอร์เมืองหลวงใจกลางมาเลเซีย ในวันพรุ่งนี้.

ติดตามการเดินทางของผมในเมืองกัวลาลัมเปอร์ได้ใน CHAPTER.2

และรูปภาพสวยๆ ได้ใน IG: one_life1912

และฝากติดตามเพจการเดินทางของผมด้วยนะครับ


Art_ONE-LIFE

 วันพฤหัสที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2561 เวลา 13.40 น.

ความคิดเห็น