บันทึก..ธรรมชาติ ศิลปะที่ยิ่งใหญ่ จากดอกไม้สู่ขุนเขาที่อุทยานแห่งชาติป่าหินงาม

ชัยภูมิคือปลายทาง

หมอชิตจ๋าพี่มาแล้ว....

หลังจากเวลา 5 ชั่วโมงผ่านไปแล้ว และกำลังเข้าชั่วโมงที่หก และรถทัวร์ก็ยังคงแล่นอยู่บนถนนนั่นแหล่ะ มันยิ่งเร่งใจเราให้ร้อนกว่าเดิม อุทยานจะยังเปิดอยู่มั้ยนะ จะมีเต๊นท์เหลือมั้ย หรือแม้กระทั่ง จะยังเหลือรถมอเตอร์ไซค์ที่ขึ้นไปบนอุทยานมั้ยนะ

คำถามเหล่านี้ทำให้เรายิ่งใจร้อนเข้าไปใหญ่

จนในที่สุด 6 โมงนิดๆ

ก็ได้เวลาของผู้โดยสารปลายทาง “แยกบ้านไร่” อย่างเรา

ลงมาสิ่งแรกที่เราไม่มีรอตามหาก็คือมอเตอร์ไซค์รับจ้าง...

แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่เห็นจะมีพี่วินเสื้อส้มเสื้อเขียวที่เราคุ้นเคยซักคน จนต้องเข้าไปถามป้า ร้านข้างๆ ว่า มีมอเตอร์ไซค์วินวิ่งไปอุทยานมั้ย

“ป้านี่แหล่ะจ้า ไปกี่คนล่ะ”

คำตอบก็ตามนั้น ป้าแกจัดแจงรับค่ารถ 150 พร้อมทำหน้าที่ขายตั๋วขากลับให้เราด้วย (แหม่ อะไรจะ one stop ขนาดนั้นคะป้า)

หลังจากนั้นป้าแกก็ไม่รีรอ ถกผ้าถุง ขี่มอเตอร์ไซค์ พาเรามาถึงอุทยาน พร้อมกำชับนักกำชับหนา ว่า 11 โมงอย่าลืมโทรหาป้านะ เดี๋ยวมารับ อย่านั้น อย่านี้ ล่ำลากันเสร็จ ก็เดินเข้าสู่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวอุทยานแห่งชาติ ป่าหินงามกันซักที...

หัวใจแห่งอุทยานแห่งชาติป่าหินงาม

อุทยานฯ ป่าหินงามนี่อยู่ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่านายางกลัก ที่ชัยภูมิ ซึ่งเป็นอุทยานแห่งชาติลำดับที่ 105 ของประเทศ มีลักษณะภูมิประเทศเป็นเทือกเขา ประกอบไปด้วยภูเขาต่างๆ และมีเทือกเขาพังเหยที่สูงประมาณ 846 เมตร ซึ่งเป็นหินในช่วงเวลา 180-230 ล้านปี ยุคจุแลสสิกและไทรแอสสิก

และด้วยความที่เป็นที่ๆ คนมาเที่ยวกันมากในฤดูฝน การเดินทางภายในก็ง่ายแสนง่าย

เพราะที่ก็จะมีรถรางไว้ให้บริการ

ควักมา 30 ยื่นให้พนักงาน..

ก็ได้เวลาที่รถรางจะพาเราขึ้นไปชมที่ต่างๆ ของอุทยานกันซักที!

เอาล่ะ จะเล่าให้ฟังก่อนว่า รถรางเนี่ย เธอจะขึ้นตรงไหนก็ได้เลยนะ จ่ายทีเดียว เหมาทุกเที่ยว ทุกจุด ตราบใดที่เธอยังไม่ออกจากอุทยานน่ะนะ ซึ่งจุดจอดเขาก็จะเริ่มตั้งแต่ ผาสุดแผ่นดิน ทุ่งดอกกระเจียวที่สามารถเดินไปจากผาสุดแผ่นดินได้ และลานหินงามจนสุดท้ายก็ไปจอดให้หน้าอุทยานเลย...

“ผาสุดแผ่นดิน”

หรือผาที่หลายๆ คนเขาเรียกกันว่าผาสุดแผ่นดิน ดินแดน3 ภาค ที่เกิดจากการดันตัวของแผ่นดินภาคกลาง ซุกเข้าใต้ดินแดนอีสาน โดยฝั่งซ้ายเป็นสุดแผ่นดินของจังหวัดชัยภูมิ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ฝั่งขวาคือเขตอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่าซับลังกา จังหวัดลพบุรี ภาคกลาง ส่วนทางด้านหลังของเราก็คือ จังหวัดเพชรบูรณ์ ภาคเหนือ และก็ที่จุดนี้นี่แหล่ะ ที่เป็นจุดรอยต่อของทั้ง 3 จังหวัดนั่นเอง

...และป่าที่ดูอุดมสมบูรณ์ ต้นไม้เขียวๆ ขึ้นอัดแน่นกันอยู่ข้างล่าง ก็คือเขตอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่าซับลังกา ที่ๆ เค้าอพยพสัตว์ต่างๆ ไปไว้ ไม่ว่าจะเป็น เสือ ช้าง หรือสัตว์ป่าอื่นๆ ด้วย อย่างเราที่ขึ้นมาเช้าหน่อย ก็จะได้มาดูหมอกในตอนเช้า!

ที่เอ่ออ ทำให้ไม่เห็นอะไรเลย!...

แต่พอสายๆ แดดเริ่มออก หมอกเริ่มจาง ก็จะได้เห็นภาพที่สวยมากๆ อย่าง การที่ลมพัดหมอกให้เคลื่อนตัวไปเหมือนเมฆและ นอกจากจะได้ดูหมอกสวยๆ แล้ว ยังได้ยืนรับลมหนาวๆ ด้วยนะ

“ดอกกระเจียว”

สามารถพบได้ในอุทยานี้เพียงแค่ 4 สายพันธุ์ แต่ที่เราชอบสุดๆ ก็คงเป็นดอกกระเจียวขาวหรือที่เค้าเรียกกันอีกชื่อนึงว่า เทพอัปสร โดยที่รอบๆ ดอกกระเจียวนี่ก็จะมีหญ้าที่เรียกว่า หญ้าเพ็กที่น้องๆ มักคุเทศน์น้อยเค้าอธิบายให้ฟังว่า เจ้าต้นเพ็กนี่แหล่ะที่จะเป็นตัวยึดเกาะดอกกระเจียวไม่ให้นางไหลไปตามน้ำแถมยังสามารถกันหน้าดินไม่ให้พังทลายไปได้ด้วยนะ และนางจะขึ้นและบานเป็นสีชมพูอมม่วงในช่วงต้นฤดูฝนเท่านั้นนะ คือ เดือนมิถุนายนถึงเดือนสิงหาคมของทุกปีแค่นั้นเอง

“ลานหินงาม”

เป็นลานที่ประกอบไปด้วยก้อนหินขนาดใหญ่ที่มีรูปทรงแปลกๆ เต็มไปหมด โดยที่หินทรายเหล่านี้เกิดขึ้นจากการกัดเซาะของลมและน้ำเป็นเวลานับล้านปี จนทำให้เกิดเป็นประติมากรรมโขดหินรูปทรงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น หินฟีฟ่าเวิลด์คัพ หินแม่ไก่ยักษ์ หินถ้ำมอง มอหำตั้งและอีกมากมาย แต่ยังไงก็ตาม อีกอย่างนึงที่เราได้เห็นนอกจากหินสวยๆ พวกนี้คือ เออ ธรรมชาติเขาเหมือนเป็นนักศิลปะเลย หินแต่ละก้อนดูมีจินตนาการมากๆ และอีกอย่างคืน ข้างบนมันนอกจากลมจะเย็นแล้ว เรายังได้เห็นวิวที่สวย มองได้สุดลูกหูลูกตาอีกด้วยอ่ะ


เมื่อลองใส่หัวใจลงไปในหน้าฝนที่เราไม่เคยชอบ

หลายครั้งที่เรามัก stereotype ผู้คนต่างๆ หรือสิ่งรอบข้างไปเพราะเราแค่เพียงรู้สึกว่า มันเป็นแบบนั้น แบบนี้

นั่นแหล่ะ เรา “รู้สึก” ว่ามันเป็นแบบนั้น แบบนี้

หน้าฝนสำหรับเราก็เช่นกัน

เคยรู้สึกเฉอะแฉะทุกครั้งที่ฝนตก

เคยรู้สึกไม่สบายตัวทุกครั้งที่ฟ้าเริ่มทำท่าจะมืดครึ้ม

เคยด่าทอ ท้องฟ้าหลายครั้งที่เรา “กะเกณฑ์กันเอง”ว่า ฝนมันตกไม่รู้เวล่ำเวลา

และมันคงได้เวลาแล้วล่ะ ที่จะลองแกะตัวเองออกจากกรอบความเข้าใจเดิมๆ

ออกไปลองดูว่า ทำไมป่าถึงรักฝนกันดูซักที...

สิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติ

ธรรมชาติเหมือนนักศิลปะ

มันคงเป็นคำเดิมๆ ที่ตอกย้ำเข้ามาครั้งแล้วครั้งเล่า ตลอดเวลาที่อยู่ที่อุทยานนี่

สีเขียวเข้มตัดกับสีอ่อน...

แต้มสีขาวเล็กๆ ในพุ่มไม้สีเขียว

แซมด้วยหินที่มีรูปทรงอันอัศจรรย์

แอบซ่อนด้วยเสียงน้ำไหลอันสงบในลำธารเล็กๆ

พวกเขาคือความสวยงามของโลกนี้

ความสวยงามที่ไม่ต้องมีใครมาจับวาง แต่เราแค่เป็นส่วนหนึ่งแค่นั้น

ส่วนหนึ่งที่ถูกเยียวยาเมื่อเราเข้ามาและพักสงบ

และแน่นอนว่า การมาที่อุทยานแห่งชาติป่าหินงามนี่ก็ไม่ได้แค่มาเดินดูธรรมชาติหรือวิวตามจุดต่างๆ เท่านั้นหรอกนะ ที่นี่ยังมีเส้นทางที่เขาให้เราได้เดินชมธรรมชาติ ซึ่งเมื่อวันที่เราไปนี่ก็ถือว่านักท่องเที่ยวโครตเยอะ แต่คนที่มาเดินในเส้นทางเพื่อศึกษาธรรมชาตินี่น้อยมากเลยนะ น้อยชนิดที่ว่า เราเดินมาตลอดทางนี่เดินมาเจอเพื่อนร่วมทางแค่ไม่เกิน 4 คนเอง แบบ นาน น๊านนนนน นานน จะเดินผ่านซักคน ระหว่างที่เราเดินบนเส้นทางศึกษาธรรมชาตินี้มันจะทำให้เราได้อยู่กับธรรมชาติแบบของแท้เลยล่ะ ซึ่งเราก็เริ่มเดินตั้งแต่ผาสุดแผ่นดิน เลาะมาตามสันเขา ผ่านผาก่อรัก และผ่านทุ่งดอกกระเจียวที่อยู่ในป่าที่เค้าเกิดในป่า และเขาก็ใช้ชีวิตของเขาอยู่แบบนั้นตามธรรมชาติของเขา ผ่านลานหินที่สวยงามในแบบที่มันเป็น ซึ่งเราเดินไปประมาณ 1.8 กิโล หรือเกือบสองโลเห็นจะได้ แต่ระหว่างทางเราได้อยู่กับความเงียบในป่า อยู่กับเสียงแมลง บางจุดก็ได้เห็นวิวไกลสุดลูกหูลูกตาเลยนะ เราได้ใช้เวลาฟังเสียงหัวใจของตัวเองมากขึ้น จนได้พบว่า 2 ชั่วโมงที่เดินอยู่นั้น เราได้อยู่กับตัวเองมากขึ้น มองอะไรที่มากขึ้น และเข้าใจว่าธรรมชาติมันเป็นอะไรที่เราควรจะปล่อย และรักษาเขา เพื่อให้เค้าได้อยู่สร้างสีสันให้โลกนี้ต่อไปมากขึ้น เราว่าเป็น 2 ชั่วโมง ที่โครตคุ้มค่าเลย

รักเธอเข้าแล้ว ฤดูฝน

วันนี้ฉันจะบันทึกไว้ ว่าวันนี้ฉันรักฝนมากขึ้นแล้วนะ ขอบคุณที่ทำให้ใบไม้สดชื่น ขอบคุณที่ทำให้อะไรๆ ได้เติบโต โดยเฉพาะ ความรักต่อเธอในใจเรา

แล้วเจอกันปีหน้านะ

ฤดูฝน...

ด้วยรัก

#AloneNotLonely

(ฝากเพจด้วยนะคะ https://www.facebook.com/AloneNotLonelyy/ )


Been There Alone

 วันศุกร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2561 เวลา 11.49 น.

ความคิดเห็น