ต้นฤดูฝนที่ผ่านมา ผมตั้งใจจะเดินทางไปถ่ายสารคดีชุดEXCITE WORLD : คน โลก พิศวง” ที่สปป.ลาว โดยตั้งจุดหมายปลายทางเอาไว้ที่เมืองดักจึง แขวงเซกอง ลาวใต้ ที่อยู่ติดกับชายแดนเวียดนาม ซึ่งที่นี่ไม่ค่อยมีใครเข้าไปถึง เพราะเป็นดินแดนที่ไปยากมาก ถนนหนทางโหดที่สุด และที่สำคัญ เป็นเมืองที่ทางการลาวคุมเข้มมากเรื่องนักท่องเที่ยว

การเดินทางครั้งนี้ของผม แม้ว่าจะวางแผนล่วงหน้ามาเป็นเดือน แต่ก็ผิดพลาดจนได้....

อย่างแรก ผมตั้งใจไปกันสามคน โดยให้ลูกชายไปเป็นพิธีกรร่วมด้วย แต่ลูกชายผมเขาไม่ค่อยชอบวงการบันเทิง เคยบังคับให้เล่นละครมาแล้วสองเรื่อง เขาก็เบี้ยวทั้งสองเรื่องจนผมรู้สึกอายช่อง 7 เลิกขอร้องให้เล่นอีก มาหนนี้ พ่อถามเป็นอย่างดีว่า จะไปถ่ายงานกับพ่อได้มั้ย ทีมงานเดิมที่ลูกเคยไปถ่ายโฆษณาให้การท่องเที่ยวเขมรที่เสียมเรียบ ลูกบอก ไปได้ ถ้าทีมนี้ไป แต่สุดท้ายเมื่อถึงเวลา ลูกบอกว่า “

“พ่อผมไม่ไปลาวใต้นะ กลัวไปกินต้มยำงูสิงเหมือนที่เขมรอีก ผมไม่เอาแล้ว” สรุปคือ ลูกไม่ไป เสียตั่วไปหนึ่งใบ

อย่างที่สอง ช่างภาพของผม เอาคนเก่ง หัวหน้าช้างภาพไปเลย เพราะ ให้ตามไปคนเดียว แต่ก็มาพลาด อีก พาสปอร์ตเหลืออายุ ไม่ถึง 6 เดือน ประเทศไทยขอร้องเขาให้ออกได้ แต่ประเทศลาว เขาไม่ยอมให้เข้า

สรุปงานนี้ ผมไปคนเดียว ลุยแม่งคนเดียว พร้อมกล้องสองตัวที่พกไปนั่นก็คือ Sony : a7III กับกล้องแอคชั่นแคมของโซนี่ตัวใหม่ล่าสุด ซึ่งยอมรับเลยว่า เป็นงานที่หินมาก

ผมนั่งรถทัวร์ บขส.ไปลงที่ปากเซ ที่เลือกรถทัวร์ เพราะไม่อยากนั่งเครื่องบินไปลงอุบลราชธานี และต่อรถไปปากเซให้ยุ่งยากวุ่นวาย อยากนอนไปคืนเดียวถึงเลย พอไปถึงด่านก็ส่งตัวช่างภาพกลับ ส่วนผมนั่งรถต่อไปเข้าไปปากเซ ให้รถทัวร์ไปส่งที่ บขส.ลาวที่หลัก 8 ขึ้นรถต่อไปเซกองเลย ซึ่งรถไปเซกอง จะมีวันละสองเที่ยว ผมไปถึงลาวทันเที่ยว 10.00 น.พอดี เป็นรถหวานเย็นธรรมดา

และเพิ่งรู้ว่า ถ้าขึ้นที่ ตรงอื่นจะมีรถปรับอากาศที่วิ่งมาจากเวียงจันทน์ไปอัตตะปือผ่านสามารถซื้อตั๋วได้ แต่ขึ้นรถแบบนี้แล้วทำไงได้ รถจอดเรื่อยไป แล้วแต่ว่าคนจะขึ้นลงที่ไหน ผมก็ถ่ายคลิปไป ตั้งใจเก็บวีดิโอให้มากที่สุด ทริปนี้เลยได้ภาพนิ่งมาน้อยมาก

รถแล่นผ่านปากซอง อากาศเย็นสบายมาก ฝนตกพรำๆ ปากซองสวยงามจนผมคิดว่า ผมจะกลับมานอนที่นี่สักคืน (ขากลับผมพักที่นี่หนึ่งคืน ผมเจอเด็กคนหนึ่งเป็นเด็กกำพร้าพ่อ นิสัยดีมาก เลยรับไว้เป็นบุตรบุญธรรม กำลังจะกลับไปเซ็นกับทางการเดือนหน้า แล้วจะมาเล่าให้ฟังอีกที) จากปากซอง สู่เซกอง นั่งกันนานมาก ไปถึงเซกองบ่ายโมงกว่าๆ ปรากฏว่าเมืองนี้ไม่มีรถรับจ้างเลย ซวยล่ะจะเข้าเมืองยังไง เพราะรถไปจอดที่ บขส.นอกเมือง สุดท้ายก็เลยให้รถที่โรงแรม หงส์คำ ซึ่งเป็นโรงแรมที่ดีที่สุดของที่นี่มารับ รอดตัวไป

ผมนอนที่เซกองหนึ่งคืน เพราะไม่มีรถเข้าเมืองดักจึงแล้ว สอบถามคนที่เซกองว่า ถ้าจะไปเมืองดักจึง ต้องขออนุญาตที่ไหน เขาบอกไปขอที่ดักจึงได้เลย เพราะการเข้าไปท่องเที่ยวเมืองนี้ ซึ่งเป็นเมืองต้องห้ามของลาว เราต้องขออนุญาตพิเศษ เนื่งอจากเป็นเขตควบคุม ผมก็เลยกว่าจะไปขออนุญาตที่โน่น วันนี้ เที่ยวเซองสักวันปรากกว่า พลาดเป็นอย่างที่สาม (แล้วจะเล่าตอนเข้าเมืองดักจึงแล้วว่าพลาดอย่างไร เกือบไม่ได้กลับเมืองไทย)

พักที่โรงแรมหงส์คำ เป็นโรงแรมดีพอใช้ได้สำหรับที่พักในเมืองแบบนี้ พนักงานก็บริการดี ผมเลยเช่ารถตู้ของเขาชั่วโมงละ 200 บาท ให้พาเที่ยวในเมือง ซึ่งก็เป็นเมืองเล็กๆ ไม่มีอะไร ห้างสรรพสินค้าไม่มี เหมือนอำเภอต่างจังหวัด ของบ้านเรา แต่ชาวบ้านนิสัยดีมาก เป็นมิตรกับนักท่องเที่ยวที่สุด

สำหรับแขวงเซกองนั้น มีเมืองทั้งหมด 4 เมือง คือ เมืองละมาม (ที่ตั้งตัวแขวง) ที่ผมพักอยู่ตอนนี้ เมืองดักจึงซึ่งอยู่ไกลออกไปจนติดชายแดนเวียดนาม และผมกำลังพยายามที่จะไปให้ถึง เมืองกะลึมอยู่กลางป่ากลางเขา ไปยากที่สุด และเมืองท่าแตงซึ่งผมนั่งรถผ่านมาแล้วติดกับปากซอง

อย่างที่บอกแล้วว่า แขวงเซกอง เป็นเมืองแห่งชนเผ่า เพราะที่นี่มีชนเผ่าต่างๆมากมาย ไม่ว่าจะเป็น กะตู แงะ (เกรียง) ตะโอย จะตอง ส่วย ละเวน แยะฮฺ ดักกัง ตะรีว กะเซง ละวี ฮารัก ตะเรียง ซึ่งแต่ละเผ่าก็มีภาษาพูดแบ่งออกเป็นกลุ่มๆ มีวัฒนธรรมประเพณีที่แตกต่างกัน แต่ทุกเผ่านั้นมีความเชื่อเรื่องหนึ่งที่เหมือนกัน นั่นก็คือ เรื่อง “ผี” ที่พวกเขาจะต้องมีพิธีกรรมบัดพลี บุชาผีบรรพบุรุษเป็นประจำทุกปี และความเชื่อเรื่องการ “ผิดผี” เป็นสิ่งที่จะนำความวิบัติมาให้นี่เองที่ทำให้ นักท่องเที่ยวที่จะเข้าไปต้องระวังอันตราย และทำให้ทางการลาวต้องมีข้อกำหนดกฏเกณฑ์การเข้าไปในเมืองซึ่งเป็นถิ่นชนเผ่าอย่างดักจึงเข้มงวดมาก

ที่หลักเมืองของแขวงเซกองนั้น นอกจากจะมีเสาธงขนาดใหญ่ที่เป็นสัญลักษณ์ของเมืองแล้ว ด้านหน้าทางเข้าเสาหลักเมือง ยังมีรูปปั้นต่างๆของชนเผ่าเหล่านี้เรียงรายการทั้ง 13 + 1 เผ่าคือลาวลุ่ม เพิ่อเป็นเกียรติให้กับผู้คนที่อาศัยอยู่ในเมืองซึ่งได้ฟันฝ่าอุปสรรค สร้างบ้านแปงเมืองมาด้วยกัน เคยร่วมมือกันจับอาวุธขึ้นต่อสู้ เพื่อปลดแอกให้กับประเทศมาแล้วในยุคที่ต้องต่อสู้กับฝรั่งเศสที่ยึดครองแผ่นดินลาว ดังนั้นที่นี่จึงเป็นจุดศูนย์รวมของชนเผ่า ที่ทุกคนมีสิทธิ์เท่าเทียมกัน


และที่เสาหลักเมืองแห่งนี้ ก็เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยามเย็น ที่ชาวเซกองหนุ่มสาวจะพากันมานั่งเล่นในตอนเย็นไปจนถึงค่ำๆ ซึ่งเขาบอกว่าที่นี่ไม่มีอาชญากรรม สามารถเดินเที่ยวได้ตามสบาย

การมาเที่ยวเมืองเซกองนั้น ถ้าจะให้ดี ต้องไปเที่ยวป่า เที่ยวน้ำตก ซึ่งมีอยู่มากมาย แต่สำหรับผม เมืองละมาม แขวงเซกองที่มาพักนอนอยู่นั้น เป็นแค่ทางผ่าน เพราะจุดหมายปลายทางของผมก็คือไปให้ถึง “ดักจึง” ดินแดนแห่งชนเผ่า ทบนยอดเขา กลางป่าลึกชายแดนเวียดนามครับ

**********************************************

ขอขอบคุณ

- บริษัท อินฟินิตี้ พลัสเทรดดิ้ง จำกัด

- FOTOPRO THAILAND สนับสนุนอุปกรณ์ถ่ายภาพ

อาร์ม อิสระ

 วันพุธที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2561 เวลา 00.48 น.

ความคิดเห็น