สวัสดีครับเพื่อนๆ ทุกท่าน ผมกลับมาอีกแล้วครับ หากจำกันได้ เมื่อไม่นานมานี้ผมได้ลงกระทู้ หัวข้อเรื่องที่ชื่อว่า 30 วัน 3 ประเทศ ตอนประเทศจอร์เจีย โดยครั้งนี้ ตอนต่อไปผมจะรีวิวตอนที่ 2 นั้นก็คือประเทศ ตุรกี นั้นเองครับ หากใครยังไมไ่ด้อ่าน และสนใจเชิญไปอ่านได้เลยครับ



[ Twin Traveller ] 30 วัน 3 ประเทศ ตอนที่ 1 " เดินทางเพื่อทำตามความฝันในดินแดน จอร์เจีย “GEORGIA"

http://pantip.com/topic/34332822



เพื่อน ๆ สามารถแวะไปทักทายหรือดูรีวิวสถานที่อื่นๆของพวกเราเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ



https://www.facebook.com/TwinTraveller

http://twintravellerblog.com

โดยการเดินทางในประเทศตุรกีนั้น จะใช้เวลาทั้งหมด 15 วัน เดินทางโดยรถยนต์ เช่าขับเอง โดยรายชื่อเมืองทั้งหมดที่เราเดินทางนั้นตามนี้เลยครับ ( Trabzon – Erzurum - Dogubeyazıt - Van - Mardin - Cappadocia - Antalya - Pamukale - Bodrum - izmir - Ephesus - Istanbul ) รีวิวนี้จะบอกเส้นทางอย่างละเอียด ข้อควรรู้ต่างๆ เผือเพื่อนๆ สนใจอยากตามรอยกัน หากพร้อมแล้ว เดินทางไปด้วยกันกับพวกเราเลยครับ



DAY1



หลังจากที่พวกเราจัดการทุกอย่างที่ ด่านตรวจคนเข้าเมืองชื่อว่า Garanti Sarp Sınır Kapısı Bağlı Şubesi ที่ชายแดนตุรกี จอร์เจีย เรียบร้อยแล้ว ก็ยกกระเป๋า หารถที่เราขึ้นคันเดิม เพื่อเดินทางต่อไปยังจุดหมาย นั้นก็คือเมือง Trabzon นั้นเอง วิวระหว่างทางเราจะเห็น ทะเลดำ (ฺBlack Sea) ที่กว้างใหญ่และสวยงามมากๆ บรรยากาศเงียบสงบ ขับมาเกือบสามชั่วโมง เราก็ถึงจุดหมายของพวกเรา พวกเราเพิ่งจำได้ว่า เราได้เช่ารถที่เมืองแห่งนี้ ที่สนามบิน เราเลยบอกพี่คนขับว่า ให้ไปส่งที่สนามบินเลย พอขับไปถึง ก็จัดกระเป๋าลงแล้ว เดินเข้าสนามบิน ลงไปชั้นล่าง จะเป็นโซนสำหรับรถเช่า ในจุดนี้จะมีบริษัทรถเช่าเยอะแยะมากมายเลย ให้เลือก แต่เราจองผ่านอินเตอเน็ตล่วงหน้ามาเรียบร้อยแล้ว เลยไปยื่นใบจองกับแก่เจ้าหน้าที่ ทำเรื่องให้ แล้วพาพวกเรามาส่งที่ส่งกัน คุยกัน ตกลงเรื่องประกัน คืนรถที่เมือง Izmir เรียบร้อยแล้ว ก็เดินทางมุ่งสู่ จุดหมายแรกของเราเลย สำหรับวันนี้ วันแรกของประเทศตุรกี



Lake Uzungol



ก่อนจะไปสถานที่แรกของเรานั้น เราติดปัญหาตรง GPS ของรถเลยต้องขับเข้าเมือง หาชื้อซิมโทรศัพท์ และหาที่แลกเงิน ในเมืองก่อน ซึ่งกว่าจะหาเจอ ใช้เวลานานมาก กว่าจะเสร็จก็ปาไป 4 โมงกว่าๆ ถึงจะได้ออกจากเมือง เพื่อไปยังทะเลสาบ ขับไปไม่นาน ประมาณ ชั่วโมงครึ่งก็ถึง จุดหมายแรกของเรา แสงเย็นหมดเรียบร้อยแล้ว มาไม่ทัน เลยขับเข้าที่พักเพื่อเก็บของเลย พอแสงเริ่มหมด แสงไฟจากบ้านเรือนเริ่มเปิด เราก็เริ่มขับรถเพื่อหามุม ถ่ายรูปมุมสูงจากภูเขา เพื่อถ่ายรูปแสงไฟกลางคืนเมืองนี้กัน



ขับรถขึ้นเขาไปเรือยๆ ไม่นานนักก็ถึงจุดชมวิวที่สามารถถ่ายรูปได้ เป็นช่องต้นไม้ ที่มองออกไป จะเห็นตัวเมือง และโบสถ์ตั้งอยู่ริมทะเลสาบ สวยงาม และยิ่งมองจากด้านบนภูเขาอีกฝั่ง จะเห็นเป็นเมืองที่ล้อมรอบทะเลสาบ และหุบเขาสีเขียว แสงสีจากเมืองตอนกลางคืนช่วยให้สถานที่แห่งนี้สวยงามขึ้นอีกDAY2



เราตื่นเช้าตั้งแต่ ตี 5 เพื่อมาถ่ายภาพแสงเช้าเมืองแห่งนี้กัน ตื่นมางัวเงีย ออกมาจากห้องตรงระเบียงทางเดินของที่พัก เห็นหมอกเยอะแยะเต็มไปหมด หากขึ้น จุดชมวิวตอนนี้ คงมองไม่เห็นเมืองแน่นอน เลยเข้าไปหลับต่อ กะเวลาสักประมาณ 6 โมงกว่าๆ พระอาทิตย์น่าจะโผล่ออกมาจากหุบเขา และสาดส่องเข้าทะเลสาป พอถึงเวลาปุ้บ เราก็รีบขึ้นไปยัง จุดชมวิวเลย ภาพที่เห็นตอนเช้า สวยไม่แพ้กับตอนกลางคืนของเมือวานเลย อากาศตอนเช้าเย็นสบาย บริสุทธิ์มาก เพราะจุดนี้ อยู่กลางหุบเขาลมพัดเย็นสบาย สมแล้วที่ สถานที่แห่งนี้เป็นจุดยอดนิยม ของชาวตุรดีที่จะเดินทางมาผักผ่อน เหมือนสถานีตากอากาศ รีสอร์ทหรูๆ ร้านอาหารดีๆ มีเต็มไปหมด ในสถานที่แห่งนี้



Uzungöl Cami



สถานที่แห่งนี้เสมือนเป็น มุก ของทะเลดำ โบสถ์แห่งนี้เปรียบเป็นสัญลักษณ์ของเมืองแห่งนี้ ซึ่งไม่ว่าใครจะมาเที่ยวที่นี้ ต้องแวะมา ชมความงามภายในของโบสถ์ และสถานทีที่ตั้งที่ตั้งอยู่ริมทะเลสาป สวยงามมากกว่า โบสถ์ใดๆ ในเมืองแห่งนี้ พวกเราประทับใจมาก ในบรรยากาศที่ร่มเย็นของหุบเขาและธรรมชาติแห่งนี้



" Yakutiye Medresesi "


Erzurum, Turkey

ตกบ่ายเราก็เดินทางมายังเมือง Erzurum ต่อ ใช้เวลาเดินทางจาก Lake Uzungul ประมาณ 3 ชั่วโมง จริงๆในแผนของเรานั้น เมืองนี้จะเป้นเมืองผ่านเราจะไม่แวะ แต่เวลาเราเหลือเยอะ เลยตัดสินใจแวะก็ได้ เพราะมีสิ่งที่น่าสนใจอยู่เหมือนกัน เมืองแห่งนี้เป็นเมืองที่นักท่องเที่ยวน้อยคนนักจะแวะมาเที่ยว ที่เห็นคนมาเที่ยวส่วนใหญ่จะเป็นชาวตุรกีเองมากกว่า เพราะฉะนั้นอารมณ์ของการเดินเที่ยวที่นี้ จะแปลกมากก็คือไม่ว่าจะทำอะไร เดินไปไหน ชาวเมืองที่นี้จะมองเป็นตาเดียวกันหมด คงมีคนเอเชียน้อยคนจะมาเที่ยวมั่ง เลยแปลกตาสำหรับพวกเขา



สถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ศึกษา อาคารมีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่มีลานล้อมรอบ ตกแต่งด้วยหินแกะสลักและสุเหร่ากับการตกแต่งทางเรขาคณิต ซึ่งในปัจจุบันเปิดเป็นเป็นพิพิธภัณฑ์ที่ทุ่มเทให้กับกลุ่มชาติพันธุ์และศิลปะตุรกีและอิสลาม



" Ishak Pasha Palace "


Doğubeyazıt, Turkey.



เดินทาง 3 ชั่วโมง มายังภาคตะวันออกของประเทศตุรกี หากติดตามข่าวสารจะรู้ว่าก่อนที่พวกเราจะเดินทางมานั้น ดินแดนส่วนนี้มีกบฏ PKK อาศัยอยู่ทั่วไปหมด ในภาคตะวันออก มีข่าวจี้รถ ลักพาตัวเกิดขึ้นบ่อย หรือจะเป็นการลอบโจมตี ทหาร ตำรวจ บาดเจ็บเสียชีวิตก็เคยมีมาแล้ว หลายราย ก่อนเดินทางเราได้ทำการบ้านมาพอสมควรเรื่องเส้นทาง เราเคยขับรถตามเส้นทางหลวง ด้วยความเร็วที่สูงพอสมควรเพื่อไม่ให้ตกเป็นเป้าหมายของพวกนั้น ระหว่างทาง มีป้อมทหารเป็นช่วงๆ ให้เห็นอยู่ตลอด เพื่อรักษาการณ์ เพราะ เส้นทางที่เราเดินทางนั้น ติดกับชายแดน อาร์เมเนีย และ อิหร่าน พวกเราเดินทางอย่างระมัดระวัง จนไปถึงเมืองจุดหมายของพวกเรา ตอนเย็น เรารีบไปยังจุดหมายสถานที่ที่เราจะถ่ายรุปกัน ท้องฟ้าแจ่มใส มีเมฆบางส่วน อากาศดีไม่ร้อนไม่หนาว เราจะรอถึงช่วงพระอาทิตย์ตกดินเลย



พอเราถ่ายรุปไปสักพักนึง ก็มีรถคันหนึ่งขับเข้ามาจอด ณ จุดชมวิว ที่ที่พวกเรากำลังถ่ายรุปกันอยู่ กลุ่มนี้ลงจากรถ เดินมาทักทายพวกเราทั้ง 4 คน ถามว่าพวกเรามาจากไหนกัน เดินทางมาที่นี้ได้อย่างไร พวกเราก็บอกว่า ขับรถมาจาก Erzurum กัน พอกลุ่มพวกเค้าได้ยินว่าพวกเรามาจากทางนั้น ต่างตกใจ และบอกกับพวกเราว่า สำหรับนักท่องเที่ยวการเดินทางโดยขับรถ ในส่วนของตะวันออก ในตุรกีนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ควรอย่างยิ่ง เพราะอันตรายจากกบฏ PKK เพราะเมือไม่นานมานี้ มีข่าวนักท่องเที่ยวโดนดักจี้รถกลางทาง และโดนลักพาตัวไป ที่จริงพวกเราทราบข่าวพวกนั้นดี แต่รถพวกเราได้จองไว้หมดแล้ว เลยต้องทำตามแผนที่ตั้งใจไว้ เพราะหากเปลื่ยนเส้นทาง เราจะเสียค่าใช้จ่ายสูงขึ้น เพราะโรงแรมพวกเราได้จองล่วงกันหมดเรียบร้อยแล้ว พวกเราเลยถามเขาไปว่า หากจากที่นี้ ไปยังเมือง Mardin จะปลอดภัยมั้ย ? พวกเขาทั้งหมดส่ายหัว และแนะนำว่า ทางที่ดีการเดินทางที่ปลอดภัยที่สุดนั้นก็คือ การนั่งเครื่องบินในประเทศจะเป็นทางออกที่ดีกว่า การขับรถ พวกเราต่างเครียด เมื่อได้รับคำตอบเหล่านั้น จากคนเหล่านั้น พวกเราคุยได้สักระยะนึง พวกเค้าก็ขอตัวกลับก่อน และบอกกับพวกเราว่า " หวังว่าพวกคุณเดินทางปลอดภัยนะ ขอให้โชดดี "



" ไม่ว่าทางเดินข้างหน้าจะเป็นอย่างไร พวกเราจะเดินทางทำตามแผนที่ตั้งใจไว้ "DAY3



" Breakfast Turkey "



อาหารเช้าสไตล์ตุรกี ผักที่มีส่วนใหญ่ก็จะเป็นแตงกวา กับ มะเขือเทสสดๆ มีซีสหลากหลายชนิดให้เลือก มีไข่ต้ม และซุปมะเขือเทศรสเริ่ด และขนมปังให้ทานคู่กัน อร่อยมากเลย อาหารเช้ามื้อนั้นเป็นแบบบุปเฟ่ต์เลยเดินไปเติมหลายรอบเลยทีเดียว พออิ่มแล้วเราจะเดินทางไปยังเมือง Van กัน เพื่อไปชมทะเลสาบที่มีชื่อเสียงที่สุดกัน



ขับรถจาก Doğubeyazıt มายังเมืองริมทะเลสาป Van ประมาณ 3 ชั่วโมงกว่าก็ถึงแล้ว เมืองนี้มีประวัติเราจะขอเล่าคร่าวๆ ว่าผู้คนที่อาศัยในเมืองนี้ส่วนใหญ่เป็นชาวตุรกี เชื้อสายเคิร์ก แล้วตอนที่เราไปมีข่าวเรื่องโจรลักพาตัวนักท่องเที่ยว หรือเรื่องโจมตีรถทหารจนมีทหารเสียชีวิตถึง 10 กว่าคน นั้นเป็นฝืมือจากกบฏเคิร์ก PKK พอเราทราบข่าวปุ้บ ก็กลัวสิครับ หากเราบอกว่าเป็นชาวไทย มันจะจับพวกเราเป็นตัวประกันหรือปล่าว? เมืองนี้ได้อารมณ์ชายแดนมาก ขนาดสถานีตำรวจยังวางกระสอบทราย วางลวดหนาม ล้อมรอบสถานีเลยทีเดียว มีป้อมปืนกล มีรถถังครบเลย เป็นการต้อนรับที่อบอุ่นมาก น่ากลัวดี เมืองนี้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติไม่มีเลยสักคน มีแต่ชาวเอเชียนั้นก็คือพวกเราเท่านั้น ช่างมันอย่าไปคิดอะไรเยอะ ไปยังจุดถ่ายรุปของพวกเราเลยดีกว่า เjavascript:void(0);ดินทางไปยังท่าเรือเพื่อนั่งไปยัง Akdamar Island กัน โดยใช้เวลนั่งเรือข้ามไปยังเกาะนั้นเพียง 20 กว่านาทีเท่านั้น" Armenian Cathedral of the Holy Cross "


Akdamar Island, Lake Van



สถานที่นี้ในสมัยก่อนเป็นของกษัตริย์ อาร์เมเนีย สร้างพระราชวังแห่งนี้ขึ้นเพื่อเป็นที่ลี้ภัย ตอนสงคราม เพราะเป็นพื้นที่เกาะ และมีทะเลรายล้อม จึงยากต่อการยึดครอง



หากต้องการถ่ายรุปมุมนี้ ต้องเดินขึ้นเขามาเท่านั้น ทางเดินขึ้นไม่ยากเลย ชันเล็กน้อย แนะนำเลยหากมาที่นี่ต้องขึ้นมาชมวิวจากด้านบนให้ได้ แต่เหนือยเอาการเลยนะ 555 หลังจากที่ได้รูปมุมนี้สำเร็จแล้ว เราต้องรีบนั่งเรือกลับ เพราะเรือรอบสุดท้ายมัน 5 โมงเย็น ต้องรีบกลับไปยังที่พัก เพื่อพักผ่อน เพราะพวกเราต้องตื่นอีกทีตอน 4 ทุ่มแล้ว ขับรถ 7 ชั่วโมง ไปยังเมือง Mardin ต่อ.....DAY4


เหตุผลที่พวกเราต้องเดินทางตั้งแต่ 4 ทุ่มนั้นก็เพราะว่า เรากลัวเรื่องความปลอดภัย ในการเดินทาง หากพวกเราเดินทางในตอนเช้ามืด หรือ กลางวัน เราจะโดนจ้องมองได้ง่ายๆ ไม่รู้ว่าคิดมากไปรึเปล่านะ แต่เพื่อความชัว เราขับตอนกลางคืนเลยดีกว่า เพราะคงไม่มีใครมาดักปล้น ดักจี้ตอน ตี 1 หรอกก พวกเราเลยขับรถจากเมือง Van โดยใช้ถนนเส้นหลวง ไฮเวย์ เลยทำความเร็วได้มากพอสมควร ตอนกลางคืนนั้น รถน้อยมาก ไม่เจอใครเลย คืนนั้นเองเรานอนไม่หลับ เพราะกลัว และเมือง Mardin เป็นเมืองที่ไม่ว่าใครต่าง บอกเป็นเสียงเดียวว่า อันตรายในช่วงนี้ ทั้งเรื่อง ISIS และ กบฏ PKK ที่อาศัยอยู่ในส่วนของภาคตะวันออกของประเทศตุรกีเป็นส่วนมาก ยิ่งรู้เรื่องเยอะขนาดนี้ พวกเรายิ่งต้องระมัดระวังตัวเองให้มากขึ้น ไม่ให้เป็นที่สนใจของคนที่นี้ พวกเราขับรถไปเรือยๆ จนถึง 6 โมงเช้า พระอาทิตเริ่มขึ้นให้พวกเราได้เย็นแสงสว่างที่เส้นขอบฟ้า พวกเราขับรถมาถึงตอนเช้าพอดี..... ณ เมือง Mardin เมืองเก่าสวรรค์บนดิน ดินแดนแห่งประวัติศาสตร์โลก ในที่สุดพวกเราก็มาถึง



บ้านเมืองสร้างขึ้นด้วยหินที่นำมาวางซ้อนกันตกแต่งอย่างสวยงาม เมืองที่ยังอนุรักษ์สิ่งเก่าๆ ที่เก็บสะสมไว้เป็นพันๆปี เมืองนี้เป็น ไฮไลท์ของทริปตุรกีเลยทีเดียว เป็นที่ที่ตั้งใจว่าจะต้องมาให้ได้ !!



บ้านเมืองก่อสร้างตามสันภูเขา ไต่ขึ้นมาเรือยๆ สูงขึ้นสูงขึ้น ดูแปลกตาดี ถนนที่นี่เป็นวันเวย์นะ หากขับรถมาเอง สำรวจเส้นทางดีๆ หากขับรถเข้าซอยผิด ต้องลงจากเขา ไปกลับรถขึ้นเขาวนมาใหม่อีกรอบ ต้องศึกษาดีๆ ก่อนมาที่นี้

อูลุจามี Ulu Camii เป็นมัสยิดเก่าแก่และยิ่งใหญ่ที่สุดในมาร์ดิน Mardin ตั้งอยู่บนที่ราบสูงเมโสโปเตเมีย Mesopotamia ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศตุรกี เป็นเมืองโบราณที่มีอายุประมาณ 4,000 ปี ก่อนคริสตกาล ทางด้านซ้ายมือเป็นที่ราบอันกว้างใหญ่ทอดยาวไปจดชายแดนของประเทศซีเรียซึ่งห่างจากมาร์ดินเพียง 20 กม.



ชาวเมืองมาร์ดินยิ้มแย้มแจ่มใส ให้กับพวกเราเลยขอถ่ายรุปเก็บเป็นที่ละลึก พวกเขาถามเราว่า มาจากที่ไหนกัน พวกเราก็บอกไปว่า " Thailand " เขามองหน้าเรา และก็ยิ้มแล้วบอกว่า "Welcome" คนที่นี้เป็นมิตรกับพวกเรามาก ผิดคาดกับที่คิดตอนแรก 5555



จากจุดนี่เราสามารถ มองไปยังนอกเมืองซึ่งสวยงามมากๆเลย

เราพักที่นี่ 1 คืน แต่เหมือนเดิม เราต้องออกจากที่นี่ตอน 3 ทุ่ม เพื่อไปยัง Mount Nemrut หุบเขาเทพเจ้า เพื่อไปยังบนยอดเขาเนมรุต (Mt.Nemrut) ระยะเวลาในการเดินทาง เกือบ 5 กิโล น่าจะถึงที่นั่น ประมาณ ตี 2 กว่าๆ จะได้ถ่ายดาวตอนกลางคืน บนยอดเขากัน หากท้องฟ้าเปิดDAY 5



ประเทศตุรกี ไม่ได้มีแค่อิสตัลบูลที่น่าสนใจ แต่ยังมีสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กัน สักครั้งในชีวิตต้องไปให้ได้ นั้นก็คือ หุบเขาเทพเจ้า "Mt.Nemrut" เป็นแหล่งกำเนิดอารยธรรมโลกเมโสโปเตเมีย และถูกจัดตั้ง สถานที่แห่งนี้เป็น มรดกโลก (Unesco) อีกด้วยช่วงเวลาที่ควรค่าแก่การมานั้นก็คือ ก่อนพระอาทิตย์ขึ้นครับ ประมาณ ตี 5 กำลังดีเลย เพราะเมื่อเรายืนอยู่ บนยอดเขาสูง 2,150 เมตรแห่งนี้เป็นซึ่งที่ตั้งของสุสานกษัตริย์แห่งอาณาจักรโคมายานา (Commagene Kingdom) ตอนเช้ามืดแล้ว นอกจากจะได้รับความหนาวเย็นและลมบนยอดภูเขาแห่งนี้แล้ว เพื่อนๆจะเห็นดวงดาวหลายล้านดวง ที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า (ถ้าฟ้าเปิดนะ) ทั้งสวยงาม และน่าพิศวงมาก ณ เวลาในตอนนั้น สำหรับใครที่เดินทางมาตุรกี สถานที่นี้เป็นสถานที่นึงที่ควรค่าแก่การมาเลยทีเดียวเลยหละ

เสียดายเวลานั้นตอนตี 2 อากาศข้างบนหนาวมาก และยิ่งมีลมอีก เย็นสุดขั๋วเลย และเรามาตอนตี 2 ด้วย ต้องรออีกหลายชั่วโมงเลย กว่าจะเช้าแย่แน่ และตอนนั้นเมฆเยอะ มีฝนตกนิดหน่อยด้วย เลยถ่ายดาวได้ไม่เต็มที่ มีโผล่มาบ้างแต่น้อยมากๆ เสียดาย ถ่ายไปได้สักระยะ เมฆปิดดาวหมด พวกเราเลยถอดใจ พักผ่อน นั่งหลับมันบนเขาเลย หาหินก้อนใหญ่ๆ บังลม เราหลับๆ ตื่นๆ จนถึงเช้าเลย ประมาณตี 5 กว่าๆ ก่อนเช้า มีเสียงคนเดินขึ้นมา เป็นพวกทัวร์ที่ขึ้นมาชม พระอาทิตย์ขึ้น เขาคง งง พวกนี้มานอนไรกันตรงนี้ ไม่เข้าใจ ฮ่าๆ คนเริ่มมากันแล้ว คงใกล้เวลาที่พระอาทิตย์จะขึ้น



พระอาทิตย์ส่องแสงสาดลอดออกมาจากก้อนเมฆ เมฆเริ่มกระจายตัว แสงเริ่มสว่าง....



เนืองด้วยท้องฟ้าตอนเช้า เมฆเยอะมาก แสงเลยหุบๆโผล่ๆ เราต้องรอข้างบนสักพัก ให้แสงแดดลอดออกมา จะได้สาดส่องเข้าภูเขา เราจะได้รูปที่สวยงามยิ่งขึ้น



สภาพของรูปปั้น เริ่มแตกแล้ว บางตัวต้องมีที่ครอบเป็นกรงไว้เลย เพื่อป้องกันอะไรสักอย่างมาทำให้เสียหาย ระหว่างที่พวกเราถ่ายรุปรอบๆเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็เตรียมตัวลงไปข้างล่างเลย เราต้องรีบไปที่อื่นต่อเลย



ภาพที่เห็น เป็นทางที่เราขึ้นมาครับ ขึ้นและลงทางเดียวกัน ทางปลอดภัยไม่อันตราย แค่ตอนขึ้นตอนเช้า อากาศจะเย็นมากๆ เพราะมีลมพัดมาเป็นระยะเลย

พวกเราเดินทางกันต่อเลย ขับรถอีก 7 ชั่วโมงเดินทางไปยัง Cappadocia ระหว่างทางนั้นวิวตลอดเส้นทางสวยงามมากๆ หากไม่บอกว่า ตุรกี ก็คงเดาเป็นที่อื่นแน่นอนเลย



ภูมิประเทศเริ่มต่างขึ้นเรือยๆ บ้างก็เป็นภูเขา บ้างก็เป็นพื้นที่กว้างๆ โล่งๆ ไม่มีภูเขาสักลูกเลย ดูโล่งตาสบายตามาก



ภาพที่เห็นคือ ยอดภูเขาไฟอีร์เจเยส ERCIYES DAGI ตั้งอยู่ก่อนถึงเมือง Kayseri มีความสูง 2770เมตร สามารถขึ้นไปได้ มีกิจกรรมสำหรับคนที่ชอบ Trekking เพื่อพิชิตยอดเขาที่ระดับความสูง 3917เมตรCappadocia



คับปาโดเกีย (Cappadocia) มีความสำคัญมาแต่โบราณกาลเพราะเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางสายไหมเส้นทางค้าขายแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมที่ทอดยาวจากตุรกีไปจนประเทศจีน เป็นพื้นที่พิเศษที่เกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟ ทับถมเป็นแผ่นดินชั้นใหม่ขึ้นมา จนเกิดเป็นภูมิประเทศประหลาดแปลกตาน่าพิศวง ที่เต็มไปด้วยหินรูปแท่งกรวยเยอะแยะมากมายHot Air Balloon in Cappadocia



นอกจากภูมิประเทศที่สวยแปลกตาแล้ว ยังมีกิจกรรมยอดฮิตที่น่าสนใจ ซึ่งใครมาเมืองแห่งนี้แล้ว ต้องขึ้นให้ได้ นั้นก็คือ การขึ้นบอลลูน เพื่อขึ้นไปชม ทัศนียภาพที่สวยงามตอนพระอาทิตย์ขึ้น ชมความยิ่งใหญ่ที่ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน อย่าพลาดกับช่วงเวลาแห่งความประทับใจ และประสบการณ์ที่ดีในชีวิตนะครับ



วิธีการจองบอลลูน



วิธีที่จะสะดวกและง่ายที่สุดในการจองบอลลูน ก็คือ จองกับโรงแรม ที่พัก สอบถามเขาว่า มีบริการจองบอลลูนให้มั้ย หากมีก็ตกลงราคา บริษัท เวลา ให้เรีอบร้อย ตอนเราไป เราไปช่วงหยุดยาวของชาวตุรกี คิวเต็มหมด โชดดีที่เราอยู่ที่นี้ 3 คืน เลยเลือกวันถัดไป โดยโดนราคาต่อคน 150 ยูโร แหนะ ต้องยอมตกลงไป เพราะอยากขึ้นมา เดินเข้าไปหาทัวร์บอลลูนในเมืองก็ไม่มีเต็มหมด เลยต้องยอมราคานี้ไปครับ



พอนัดแนะวันเวลาขึ้นเรียบร้อยแล้ว เช้าวันถัดไป จะมีรถตู้มินิบัส มารับหน้าโรงแรมครับ แล้วขับรถต่อไปยังสถานีนึงเพื่อไปรวมตัวกันก่อน ที่บ้านหลังนึง จะเพื่อให้รับประทานอาหารเช้ากัน อาหารเช้าก็จะเป็น ขนมปัง 2 3 ชนิด ชา และ กาแฟ ให้ชงกันตามสบายเลย กินเบาๆก่อนขึ้นบอลลูนกัน



พอฟ้าใกล้ๆสว่างก็จะเรียกรวมพลกัน ขึ้นรถ และขับไปยังจุดปล่อยบอลลูนกัน เขาก็จะโชว์การจัดเตรียมบอลลูนกัน น่าตื่นตามากๆ วันที่เราขึ้นฟ้าดี ลมไม่แรงเลยครับ โชดดีสุดๆ เมื่อเตรียมความพร้อมเสร็จแล้วก็จะสาธิตวิธีการขึ้น ลง ว่าเราควรจะวางตัวกันอย่างไรเวลาอยู่บนบอลลูน จะได้ปลอดภัยกัน เมื่อทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว เวลาที่ทุกคนต่างรอคอยก็มาถึง นั้นก็คือ การปล่อยบอลลูนขึ้นฟ้าครับ !!!



ตอนแรกก็กล้าๆกลัว ว่าจะขึ้นดีมั้ย เพราะเคยมีข่าวว่า บอลลูนที่นี้เคยตกครั้งนึง แต่เอาน่ะ อย่าไปกลัว ครั้งนึงในชีวิตก็ต้องทำให้ได้ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด แต่พอบอลลูนค่อยๆ ขึ้น ความรู้สึกกลัวก็หายไป ความรู้สึกตื่นเต้นมาแทน ความรู้สึกที่สุดยอดมากๆ เพราะเรากำลังขึ้นไปเรือยๆ สูงขึ้น สูงขึ้น ยิ่งขึ้นตอนช่วงพระอาทิตย์ขึ้นเนี้ย สวยสุดยอดมากๆเลยครับ เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตสำหรับการเดินทางเลยทีเดียว ฟินมากๆ



ลอยขึ้นสูงเรือยๆ เราจะเห็นภูมิประเทศที่แปลกมากขึ้นเรือยๆ ครับ พื้นที่พิเศษที่เกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟนี่ น่าตื่นตาจริงๆ ไม่เคยเห็นมาก่อน



บอลลูนมีจำนวนเยอะมากๆมีมากมายหลากหลายบริษัท จนบางทีก็กลัวว่าจะชนกัน แต่ไม่ต้องกังวลครับ กัปตันบังคับดีมาก ไม่มีโดนกันเลย.....



พอครบ 40 นาทีแล้ว กัปตันก็บังคับบอลลูนลงอย่างสวยงาม และเรียกพวกเรามาดื่มแซมเปญกัน เพื่อฉลองกันครับ ฮ่าๆViewpoint of Cappadocia



Nightlife in Göreme ( GPS : 38.642331, 34.833300 )



หลังจากที่พากันไปขึ้นบอลลูนกันเรียบร้อยแล้วก็จะพาไปชมจุดชมวิวกันครับ อยากจะแนะนำจุดนี้มากๆเลย เพราะโดยส่วนตัวผมแล้ว ประทับใจมากๆ เที่ยวมาเหนือยๆแล้ว เรามาพักผ่อนนั่งดูพระอาทิตย์ตกดินดีกว่า ผ่อนคลายกับบรรยากาศจนถึงยามค่ำคืน ดูแสงไฟเมืองที่เปิดแข่งกันอย่างสวยงาม



Üçhisar Kalesi ( GPS : 38.629810, 34.805369 )



ในสมัยก่อนได้มีการขุดภูเขา เป็นห้องที่อยู่อาศัย ขุดเจาะหน้าต่าง ตามผาหินต่างๆ การทำแบบนี้ช่วยให้ผู้อยู่อาศัยปลอดภัย จากอากาศร้อน เพราะอุณหภูมิคงที่ตลอด เมื่ออยุ่ในถ้ำ อากาศเย็นสบาย กันแสงแดด เชื่อว่าในสมัยก่อนคงมีผู้คนอาศัยถึง 1000 คนเลยทีเดียว แหม ในสมัยก่อนคนเราเก่งเนอะ สร้างสิ่งสหัสจรรค์ให้แก่โลกของพวกเรา ให้พวกเราในยุคปัจจุบันให้ชมกัน



หลังจากถ่ายรูปที่ Capadocia ช่วงตอนเช้าเสร็จ เราก็กลับมายังที่พักของเรา เพื่อรับประทานอาหารเช้ากัน อาหารเช้าของโรงแรมที่พักเราหน้าตาน่ากินมากกก อร่อยด้วย ด้านขวาจำชื่อไมไ่ด้แต่ เป็นไข่ผสมซีสด้วย รสชาติดีเลยทีเดียว สมแล้วที่ทางเจ้าของที่พักเป็นคนแนะนำ ให้เลือกเมนูนี้ ถูกใจจริงๆ หลังจากที่รับประทานอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้วก็เก็บของ ขึ้นรถไปยังเมืองอื่นกันต่อเลยAntalya



ผมว่าเหมาะสมแลัวที่เค้าจะจัดว่าน่าเที่ยวรองจากอิสตัลบูล เพราะบรรยากาศมันได้มากๆ น้ำทะเลสีสวยสุดๆ น้ำเงินสดมากกก แลัวร้านที่ขายของที่ระลึก หรือร้านอาหาร พวกท้องถิ่น บาร์ นี่จัดได้หรูหรามาก ถนนหนทางดูดี ต่างจากหลายๆเมืองที่ผ่านมา นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะเป็นฝรั่ง เอเซียน้อยมากกก ซึ่งกลุ่มพวกเราก็เด่นอีกตามเคย(มีมาขอถ่ายรูปคู่ด้วยอะ!!) ถ้าให้สรุปเมืองนี้น่าเดินเที่ยวสบายๆ พักผ่อนมาก เมืองสะอาด ผู้คนเป็นมิตรมาก



ยามค่ำคืนก็สวยไม่แพ้กัน แสงสีเปิดไฟกันอย่างอลังการ ยามค่ำคืนตามร้านอาหาร ผับ บาร์จะเปิดเพลงเสียงดัง ทำให้บรรยากาศรอบๆสนุกสนานกันมาก เป็นมืองที่ไม่หลับไหลจริงๆRoman Theatre



ก่อนจะมาเที่ยว ปราสาทปุยฝ้ายระหว่างทางเดิน เรามาชมโรงละครโรมัน Roman Theatre ตั้งอยู่ในเมืองปามุคคาเล่ Pamukkale กันดีกว่า วิธีการสร้างน่าสนใจมาก สร้างโดยการสกัดเข้าไปในไหล่เขาเพื่อให้เป็นที่นั่งสำหรับคนนั่งชมการแสดง



ซึ่งสถานที่แห่งนี้สามารถบรรจุคนได้มากกว่า 12,000 คน เลยทีเดียว สภาพสถานที่ยังคงมีการบำรุงซ่อมแซมอยู่สม่ำเสมอ ยังคงความสวยงามให้แก่ผู้เยื่ยมชมให้เห็นอยู่ตลอดครับ พอไปถึงแล้ว อย่าลิมลงไปอยู่ตรงกลางด้านล่าง แล้ว ตบมือดังๆนะครับ เสียงจะท้อนไปทั่วบริเวณเลย เป็นการกระจายเสียง ที่น่าทึงมากๆ คนสมัยก่อน เก่งจริงๆ



นี่คือสภาพภายนอกครับ พอเดินเข้าประตูมาปุ้บ เดินไปเรือยๆ ตามทาง จะเห็นอยู่ด้านขวามือ ไกลๆ เดินเข้าไปเลยครับ



ตอนแรกที่เห็นก็นึกไม่ถึง ว่าจะเป็นโรงละครเลยครับ ต้องเดินขึ้นไปยังบนเขาอีก ถึงจะดูออก ฮ่าๆ ครับPamukkale



หรือที่คุ้นชื่อกันว่า " ปราสาทปุยฝ้าย " เป็นน้ำตกหินปูนสีขาวที่เกิดขึ้นจากธารน้ำใต้ดินที่มีอุณหภูมิประมาณ 35 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นที่มีแร่หินปูน (แคลเซียมออกไซด์) ผสมอยู่ในปริมาณที่สูงมากไหล ไหลรินลงมาจากภูเขา “คาลดากึ" ที่ตั้งอยู่ห่างออกไปทางทิศเหนือ รินเอ่อท้นขึ้นมาเหนือผิวดิน และทำปฏิกิริยาจับตัวแข็งเกาะกันเป็นริ้ว เป็นแอ่ง เป็นชั้น ลดหลั่นกันไปตามภูมิประเทศ เกิดเป็นประติมากรรมธรรมชาติ อันสวยงามแปลกตาที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ยากจะหาที่ใดเหมือน



เป็นสถานที่ที่นักท่องเที่ยวนิยมเดินทางมาชมมากที่สุด ด้วยความงาม และความแปลก น้ำที่นี้สามารถเล่น ว่ายน้ำได้ บ้างคนนี่มาพร้อมเลย ชุดว่ายน้ำจัดเต็ม



และอีกหนึ่งที่เป็นไฮไลท์ของที่นี้ก็คือ การรอพระอาทิตย์ตกดินนั้นเองครับ ตอนเราไปถึง ก็เย็นพอดีเลย ไม่ต้องรอนาน เห็นเขาว่ากันว่า หากรอถึงเวลานั้น แสงดวงอาทิตย์ที่ค่อยๆ ลับขอบฟ้า จะตกกระทบกับพื้นน้ำ ทำให้เกิดสีสันสวยงามมากๆ เหมาะแก่การรอคอยมากๆ



และแล้ว ผลของการรอคอย ก็ไม่ทำให้เราผิดหวังครับ ฟ้าตอนเย็น ระเบิดให้พวกเราได้ชมความงามกัน ทั้งแสง และสี มาแรงมากๆ สวยงามเกินคำบรรยายเลย สวยคุ้มค่าที่สุดเลย พวกเราอยู่ถ่ายรุปกันอย่างเมามันเลยทีเดียว



หลังจากที่ฟินไปกันเรียบร้อยแล้ว กับพระอาทิตย์ตกดินที่สวยงาม เราก็ลงมายัง ด้านล่างเขา ขับรถลงมา จะเจอจุดๆนึง มีร้านขายอาหาร ร้านขายของฝากเยอะแยะเลย ตอนนั้นหิวพอดี เลยหาร้านอาหารที่ราคาไม่แพงมา กินกันดีกว่า เลยจัดชุดไก่ย่างไป อร่อยมาก คุ้มราคาสุดๆเลยครับBodrum



ปราสาทโบดรัม Bodrum Castle หรือ ปราสาทเซนต์ปีเตอร์ St Peter Castle ถูกสร้างขึ้นในปี 1402 ซี่งสถานที่แห่งนี้อยู่ใกล้ๆประเทศกรีก รอบๆปราสาทจะเป็นท่าเรือซี่งสามารถซื้อตั๋วโดยสารเดินทางไปยังหมู่เกาะของกรีซ เช่น เกาะคอส Kos เกาะโรดส์ Leros และ เกาะคาลิมนอส Kálimnos มีทั้งเช่าเป็นวัน และเป็นอาทิตย์ เรือหรูหรามาก เดินชมกันไม่เบือเลย เรือเล็ก เรือใหญ่เต็มไปหมด



เมืองนี้เราว่าคล้ายๆ santorini เลยนะ บ้านเรือนตกแต่งเป็นสีขาว ประตู หน้าต่างเป็นสีฟ้าหมดเลย บ้านทุกหลังทั้งเมืองเป็นสีนี้หมดเลยจริงๆ


สวยงามมากๆ รู้สึกว่าจะเป็นกฎของที่นี้ด้วยครับ เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและหากใครไม่ทำตาม ก็จะต้องเสียภาษีมากขึ้นEphesus



เมืองเอเฟซุส (Ephesus) หรือเอเฟส (Efes) : เมืองโบราณของโรมัน เติมโตในยุคกรีนรุ่งเรืองในยุคโรมันสมัยจักพรรดิออกุสตุส ซีซาร์ มาดูของจริงแล้วยิ่งใหญ่มากๆ สมัยก่อนคงสวยน่าดูเลยทีเดียวเลยนะ



[Istanbul



หลังจากที่เดินทางมาหลายวันในประเทศตุรกี เราก็มาถึงจุดหมายสุดท้ายของทริปตุรกีสักที ไฮไลท์สำคัญที่สุดเลย เมืองที่ขึ้นชื่อว่าเป็น ดินแดนสองทวีประหว่างเอเชียและยุโรป นั้นก็คือ อิสตัลบูลนั้นเอง เมืองแห่งนี้ผมเคยมาแล้ว ปีก่อน แต่เป็นทริปครอบครัว พาพ่อ กับแม่ มาเที่ยวพักผ่อน เดินชิลๆ ส่วนตัวชอบมาก และคิดว่าต้องกลับมาอีก ตอนนี้พอมีโอกาสเลยไม่รอช้าที่จะมาทริปนี้เลย เพื่อมาดินแดนแห่งนี้อีกครั้ง เมืองที่สวยงาม สถาปัตยกรรมโดดเด่น อาหารชั้นเลิศ ผู้คนเป็นมิตร รวมอยู่ที่นี้ทั้งหมดแล้ว ดินแดนที่มีประวัติศาสตร์เป็นพันๆปี จะมีสถานที่ไหนน่าสนใจบ้าง ไปชมกันเลยดีกว่าครับ



Hagia Sophia



Hagia Sophia หรือ Aya Sofya Museum เดิมเคยเป็นโบสถ์ของคริสต์ศาสนานิกายออร์โธดอกส์ สร้างขึ้นในสมัยจักรพรรดิ์คอนสแตนติน ต่อมาถูกเปลี่ยนเป็นสุเหร่าหรือมัสยิด และเป็นพิพิธภัณฑ์ในปัจจุบัน



และนี้คือภายในของวิหารเซนต์โซเฟียหรือสุเหร่าโซเฟีย (Hagia Sophia หรือ Aya Sofya) เป็นสิ่งหนึ่งที่ไปแล้ว ต้องไปให้ได้ครับ ในอิสตัลบูลและถือว่าเป็น สุเหร่าที่รับการคัดเลือกจาก UNESCO ให้เป็นมรดกโลกในปี ค.ศ.1985 เพราะฉะนั้นพลาดไมไ่ด้ แต่ค่าเข้าแพงเอาการเลย ตอนไป อยู่ในช่วงซ่อมแซม จึงไม่สามารถถ่ายแบบเต็มๆ มาให้ชม ถือว่าพลาดมา เพราะอยากถ่ายแบบกว้างๆ เลยถ่ายออกมาได้แค่ข้างเดียวครับ ใครชอบสถาปัตยกรรมแบบนี้ แนะนำเลยครับ



Deisis Compositionภาพพระเยซูในวันพิพากษาโลก (Doomsday) โดยมีพระแม่มารีกับเซนต์จอห์นแบ๊บติสต์วิงวอนขอพระเมตตาแก่ชาวโลก ภาพโมเสกอันเก่าแก่ชิ้นนี้มีการถกเถียงถึงกำเนิดวันของโมเสกอยู่พอสมควร เนื่องจากช่วงล่างของภาพเสียหายไปมาก แต่สรุปแล้วให้ถือเป็นภาพในยุคศตวรรษที่ 12



Zoe Mozaic อีกหนึ่งภาพโมเสคเก่าแก่ศิลปะไบแซนไทน์ เป็นภาพพระเยซูประทานพรให้แก่จักรพรรดิคอนสแตนตินที่ 9 ซึ่งถือถุงเงินบริจาคแก่การบูรณะโบสถ์อยู่ด้านซ้าย ส่วนด้านขวาเป็นจักรพรรดินีโซถือม้วนหนังสือในมือ



Istiklal Street and Taksim square



เราจะเดินจากจุด Istiklal Streetจุดๆนี้ถือว่าเป็นจุดเดินเล่น ยิ่งตอนเย็นๆ คนยิ่งเยอะ อากาศดีๆ เดินชิลๆ ตึกบ้านเรือนสวยงาม ร้านค้า ร้านอาหารมีเยอะแยะมากมาย ระยะทางจาก Istiklal Street ไป Taksim square ไกลพอสมควรแต่ระหว่างทางมีสิ่งน่าสนใจมาก บ้านเรือนสมัยเก่า ที่ดึงดูดใจ ร้านขายหนังสือเก่า ร้านกาแฟ หรือจะเป็นคาเฟ่เล็กๆ ตกแต่งสวยงาม



มีร้านรถเข็นขายข้างทางเยอะแยะไปหมด มีทั้งเกาลัดย่าง และก็พวกขนมปังอร่อยๆ ให้พวกเราได้ชื้อ เดินกินเพลินๆ ราคาไม่แพงมากเลย มาถนนสายนี้ไม่ต้องกลัวหิว มีของกิน 2 ข้างทางตลอด มีร้านอาหารหลากหลายแบบให้เลือกเลยครับ



รถรางโบราณสีแดง ซึ่งเป็นจุดเด่นของที่ถนนเส้นนี้ เส้นทางของถนนนี้ จะมีรถรางรุ่นเก่าวิ่งผ่านเส้นทางคนเดินเกือบ 3 กม. ตั้งแต่ทูไน Tünel จนไปสิ้นสุดที่จตุรัสทักซิม Taksim Square ระบบรถรางสายนี้มีความเก่าแก่เป็นอันดับสองของโลกรองจากลอนดอน



The Balisilica Cistern and Yerebatan Sarayi



Yerebatan Sarnici/Basilica Cistern อุโมงค์เก็บน้ำใต้ดินใหญ่สุดในอิสตันบูล


อ่างเก็บน้ำแห่งนี้มักจะถูกเรียกว่า 'พระราชวังใต้น้ำ'เนื่องจากสถานที่แห่งนี้ใช้เป็นอ่างเก็บน้ำใต้ดินโบราณที่ใหญ่ที่สุดท่ามกลางอ่างเก็บน้ำโบราณกว่าร้อยแห่งของเมือง มีลักษณะเป็นอุโมงค์ใต้ดินขนาดใหญ่ราวๆ กับมหาวิหารและสามารถกักเก็บน้ำได้ถึง 80,000 ลูกบาศก์เมตรซึ่งเก็บน้ำได้เยอะ ซึ่งภายในอ่างเก็บน้ำ มีขนาดมืดมาก และมีความชื้นสูง และเย็นพอดีๆ



เป็นสิ่งหนึ่งที่เข้ามาในอุโมงค์เก็บน้ำแล้ว ต้องเข้าไปดูคือ เมดูซ่าผู้หญิงที่มีผมเป็นงู เป็นที่ก่อนเดินทางได้อ่านหนังสือ แล้วตะลึงว่าทำไมต้องมีเจ้าตัวนี้ในอุโมงค์เก็บน้ำแห่งนี้ " เล่ากันในตำนานของกรีกว่า เดิมเมดูซ่าเป็นสาวงามน้องคนสุดท้องของสามพี่น้องตระกูลกอร์กอน แต่โดนเทพโพไซดอน เทพแห่งท้องทะเลขืนใจในวิหารของเทพีอธีนา เทพีอธีนารู้สึกถูกลบหลู่ จึงสาบเมดูซ่าให้เป็นหญิงอัปลักษณ์มีผมเป็นงู และมีดวงตาเป็นอำนาจลึกลับ หากผู้ใดจ้องมองจะกลายเป็นหินทันที " ชาวกรีกเชื่อว่าหากมีเจ้าตัวนี้อยู่ในนี้ จะสามารถปกป้องการปองร้ายของศัตรูที่จะเข้ามาก็ได้ แต่คนสร้างอาจจะเกรงกลัวว่าจะต้องกลายเป็นหินเมื่อไปจ้องตานางเมดูซ่าเข้า ก็เลยสลักวางกลับหัวหนึ่งต้น ตะแคงอีกหนึ่งต้น เลี่ยงการสลักวางให้ไม่ตรงซะ จะได้ไม่เหมือนถูกจ้องมอง.Galata bridge



สะพาน Galata ยามค่ำคืนเปิดไฟส่องสว่างสวยงาม ด้านล่างเป็นร้านอาหารทะเล ตั้งอยู่หลายๆร้านเรียงกัน บรรยากาศดี นั่งทานข้าวไปชมวิวทะเลไป คงเพลินไม่น้อยเลย



วิถีชีวิตของชาวตุรกีช่วงตกเย็น จะมีคนมายืนตกปลาบนสะพานอยู่หลายสิบคน ยืนเรียงกัน ตกกันอย่างเมามัน คนที่นี่เป็นมิตรมาก เดินเข้าไปดูใกล้ๆเขาหยิบปลาขึ้นมาให้ดู แล้วก็ยิ้มแย้มแจ่มใสดี



บนสะพานมีรางรถไฟฟ้าด้วย ซึ่งจะเชื่อมต่อระหว่าง สองฝั่ง ก็คือ เมืองเก่า และเมืองใหม่ ระบบการขนส่งที่นี้ดีมาก เราว่าทั่วถึงเลย ลงจากสถานีปุ้บ เราก็จะเจอสถานที่ท่องเที่ยวเลย ใกล้ดี หากจะเดินทางในเมืองแนะนำเลย ราคาไม่แพงเท่าไหร่ รถสภาพใหม่ สะอาด



บรรยากาศตอนก่อนพระอาทิตย์ตกดิน ช่างแสนโรแมนติกมากๆ ชมบรรยากาศเรือข้ามฟาก ที่สวยงามMaiden's Tower



ตกเย็นเรามาชมบรรยากาศฝั่ง Üsküdar กับ Maiden's Tower กันครับ จุดนี้ต้องเดินทางหน่อย เพราะต้องข้ามเรือมา ผมเดินทางจากท่า Kabatas โดยนั่งเรือจาก Kabatas Motor iskelesi ไปเส้น Kabatas -Üsküdar ไปลง ที่ Üsküdar ค่าโดยสารไม่แพงครับ ประมาณคนละ 2 TL นั่งแปปเดียวครับ พอถึงท่า เดินไปจุดชมวิว ประมาณ กิโลกว่าๆ เพราะฝั่งนี้ คนอยู่หนาแน่นมากๆ เดินทางโดยรถไม่สะดวกครับ เดินดีกว่า พอไปถึงแถวนั้น จะดูเป็น ที่นั่งชมวิว มีน้ำ อาหาร ขนมขาย ด้วยครับ บรรยากาศดีมาก



จุดชมวิวหอคอยแห่งนี้ เป็นสถานที่พักผ่อนของชาวเมือง และนักท่องเทียวที่ต้องการนั่งชมบรรยากาศของหอคอยแห่งนี้ตอนพระอาทิตย์ตกดินที่สวยงามมากๆ จุดนี้จะมีร้านค้า บริการเครื่องดื่ม ชาตุรกี กาแฟรสเยื่ยม ขนมปังไว้ทานเล่น มีร่มบริการกันแดด อย่างดี ที่นั่งสบายย ลมเย็นๆ เป็นอะไรที่ประทับใจมากเลยครับ

เมื่อพระอาทิตย์ค่อยๆ ตกดิน ความสวยงามค่อยๆเริ่มเกิดขึ้น แสงพระอาทิตย์สาดเข้าตัวหอคอย Maiden's Tower เป็นอะไรที่สวยงามมากๆ



สิ่งหนึ่งที่ขาดไมไ่ด้เลย เมื่อมาสถานที่แห่งนี้ สถานที่ช่างโรแมนติกน่าพักผ่อนแล้ว ต้องสั่งชาตุรกีร้อนๆ อร่อยๆ มาทานคู่กับการชมวิวไปด้วย จะดีมากเลยครับ ส่วนด้านขวาของรูป เห็นคนอื่นเขาทานคู่กับ ขนมปังเลย ลองสั่งมาบ้าง มันเป็นโยเกิดครับ แต่เป็นรสธรรมชาติผสมเกลือ กินเข้าไปนี่เค็มจริงๆ ต้องทานคู่กับขนมปัง ถึงจะอร่อยที่สุดเลยฮะ อิอิSpice Market.



เป็นตลาดขายยขนมหวานเยอะแยะมากมาย และมีเครื่องเทศขายด้วย มีพวกผลไม้อบแห้ง ต่างๆ ให้เลือกมากมาย ราคาแต่ละร้านไม่เหมือนกัน ขอชิมได้ แต่พี่แขกเขาชวนคุยเยอะแยะมากมาย ให้ชิมหมดทุกอย่าง ไม่งก ให้ลองว่าอันนี้รสชาตินี้นะ ขนมหวานมีราคาแพงพอสมควร



Grand Bazaar.



เป็นตลาดขนาดใหญ่ ขายของที่ระลึกมากมาย ให้เลือกสรร ใครชอบช้อปคงชอบไม่น้อย มีเสื้อผ้า ธงชาติ โคมไฟสวยงาม และของฝาก ขนมหวานมากมาย ราคาแตกต่างกันไปแต่ละร้าน ควรเดินถามเปรียบเทียบราคาก่อน อย่าเพิ่งรีบชื้อ บางร้านถูก บางร้านแพงมาก และควรต่อราคา ลดประมาณ 20-30% จากราคาจริงGalata Tower



ที่เทียวต่อไปที่เมื่อมาเมืองอิสตัลบูลแล้ว อยากชมวิวกว้างๆ บรรยากศของเมืองโดยรอบทั้งหมด Galata Tower เวลาที่แนะนำเลยคือ ช่วงพระอาทิตย์ตก แต่ต้องกะเวลาดีๆนะครับ เพราะช่วงนั้นคนต่อคิวเยอะมากกก เผือเวลาพระอาทิตย์ตกก่อนสัก ชั่วโมงนึงเพราะช่วงที่ผมไป รอประมาณ ชั่วโมงกว่าๆ แหนะ ไม่จำกัดเวลาขึ้น แต่ทางข้างบนแคบมาก เลยใช้ขาตั้งกล้องถ่ายรูปไม่ได้ มาชมบรรยากาศกันเลยดีกว่าครับ ช่วงเวลาสำคัญที่ไม่ควรพลาด นั้นคือช่วง Twilight เมื่อพระอาทิตย์ตกแล้ว แสงสีตัวเมืองก็ค่อยๆ เกิดขึ้น เกิดความสวยงามมากๆ ประทับใจไปนาน คุ้มค่ากับการที่รอคอยต่อคิวเป็นชั่วโมง เพื่อรอชมเวลานี้ครับตลอดเวลาที่เราเดินเที่ยวในอิสตัลบูล อาหารทานเล่นที่เดินกินประจำคงไม่พ้นอาหารข้างทาง ตามรถเข็นต่างๆ ที่อิสตัลบูล มีของกินเยอะเลยนะ ไม่ต้องกลัวอดตาย ราคาไม่แพงมากด้วย พวกขนมปังเรากินบ่อย เพราะมันราคาแค่ 1 ลีร่าเอง ประมาณ 16-18 บาทไทยเท่านั้น ส่วนอย่างอื่น ก้ราคาไม่ทิ้งกันเท่าไหร่ พอๆกัน เรามาดูของกิน ต่างๆกันดีกว่าครับ ว่ามีอะไรกันบ้างงง



อันแรกเป็นอะไรสักอย่างเอาไปทอด ทอดเสร็จแล้วก็เอาไปซุปกับน้ำหวานๆ กัดกินตอนร้อนๆอร่อยมากๆ อันที่สอง เป็นข้าวโพดย่างครับ กินเพลินๆดี อันที่สามเป็นแซนวิสปลาครับ อร่อยดี มาอิสตัลบูล มาละก็ต้องมาทาน



ขนมปังหน้าตาน่ากิน ยิ่งกินตอนเช้าๆ จะอร่อยมากๆ เพิ่งทำเสร็จมาใหม่ๆ กินแทนข้าวเช้า ประหยัดไปอีกหนึ่งมื้อเลยนะ หากไม่อยากกินเปล่าๆ ก็สามารถบอกให้เขาทา นูเทลล่า ก็ได้นะ อร่อยขึ้นไปอีก



Sultan Ahmed Mosque



หรือจะเรียกว่า Blue Mosque ก็ได้ครับ สวยงามไม่แพ้กับ Hagia Sophia เลย ทั้งสีสัน ความสวยงาม และสถาปัตยกรรม


โดยปกติแล้ว ชาวมุสลิมจะทำการละหมาดวันละ 5 เวลา คือ ย่ำรุ่ง (ประมาณ 5-6 โมงเช้า) กลางวัน (เที่ยงครึ่งถึงบ่ายเศษ) เย็น (บ่ายสามถึงห้าโมงเย็น) พลบค่ำ (18.30-19.30น.) และกลางคืน (ตั้งแต่ 2 ทุ่มเป็นต้นไป) ดังนั้น ทางมัสยิดสีฟ้าจึงเปิดให้เข้าชมด้านในได้ 3 ช่วงเวลา คือ ช่วงเช้า 09.00 - 11.00น. ช่วงเที่ยง 12.30 - 14.15น. และช่วงเย็น 15.15 - 16.30น. ดังนั้นเวลาเข้าไปชม ต้องดูเวลาดีๆด้วยนะครับ คนเข้าชมเยอะมากกก ก่อนเข้าไป ต้องถอดรองเท้าก่อน แล้วใส่ถุงใส และก็ชื้อบัตรเข้าชมครับ



ความสวยงามเมื่อเข้ามาด้านใน นั้นสวยงามมากๆ เป็นห้องกว้างๆ ด้านสถาปัตยกรรมของมัสยิดสีฟ้าแห่งนี้ ถือเป็นสุดยอดของสองจักรวรรดิ คือ ออตโตมันและไบเซนไทน์ เพราะได้รวบรวมเอาองค์ประกอบบางส่วนมาจากวิหารเซนต์โซเฟีย ผนวกกับสถาปัตยกรรมแบบอิสลามดั้งเดิม Blue Mosque ถือว่าเป็นมัสยิดที่ใหญ่สุดในตุรกี สามารถจุคนได้เรือนแสน และตัวมัสยิดตั้งอยู่ในพื้นที่ประวัติศาสตร์ของอิสตันบูลซึ่งได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมในปี พ.ศ. 2528



แต่หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมเรียกว่ามัสยิดสีฟ้า เนื่องจากเวลาเข้าไปชมด้านในแล้วบางครั้งไม่อยู่ในช่วงที่มีแสงอาทิตย์ส่อง และจะมองเห็นแต่กระเบื้องสีแดงน้ำตาลเป็นส่วนใหญ่ สาเหตุเป็นเพราะกระเบื้องที่อยู่ระดับล่างจะเป็นการออกแบบแบบดั้งเดิม ขณะที่ระดับแกลลอรี่หรือด้านบนที่ออกแบบให้มีสีสัน เช่น ลายผลไม้ ดอกไม้ โดยที่กระเบื้องกว่า 2 หมื่นชิ้นเหล่านี้อยู่ในกำกับดูแลของช่างจากเมืองคัปปาโดเกีย ซึ่งได้รับค่ากระเบื้องแต่ละชิ้นในระดับราคาคงที่จากการกำหนดโดยพระราชกฤษฎีกาของสุลต่าน ในขณะที่ราคากระเบื้องทั่วไปสูงขึ้นตลอดเวลา จึงเป็นผลให้คุณภาพของกระเบื้องที่ใช้ในอาคารค่อยๆ ลดลง จากสีแดงกลายเป็นสีน้ำตาล สีเขียวกลายเป็นสีฟ้าขาวจุดด่างดำ บางส่วนเป็นกระเบื้องรีไซเคิลจากฮาเร็มใน Topkapi Palace เมื่อครั้งเสียหายจากไฟไหม้ในปี 1574 ด้วย



ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.oknation.net/blog/mena/2013/01/04/entry-1



น้อยนักที่จะเห็นชาวตุรกีมาเข้าสุเหร่า คงเพราะสมัยที่เปลื่ยนไป คนหนุ่มสาว เชื้อสายอิสลามเข้าผับ เข้าบาร์ ห่างเหินจากศาสนา คงเป็นเพราะได้รับอิทธิพลจากยุโรปเข้ามาด้วย เลยเป็นแบบนี้ ส่วนใหญ่ผมจะเห็นผู้สูงอายุเข้าสุเหร่ากันอย่างเคร่งครัด



จบการรีวิวแล้วครับเพื่อนๆ ต้องขอขอบคุณเพื่อนๆ พี่ๆ ทุกท่านที่ติดตามมาตลอด และ ผู้มาชมใหม่ๆด้วยนะครับ หากรีวิวนี้มีข้อไหนผิดพลาดติชมได้นะครับ หากเพื่อนๆ ชอบ และสนใจ สามารถแวะไปทักทายหรือดูรีวิวสถานที่อื่นๆของพวกเราเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ



https://www.facebook.com/TwinTraveller

http://twintravellerblog.com



ขอบคุณมากๆเลยนะคร้าบบบบ เจอกันครั้งใหม่ กับรีวิว ประเทศรัสเซีย ตอนที่ 3 ตอนสุดท้าย สำหรับการเดินทางของพวกเราทั้งสอง และเพื่อนๆ ที่เดินทางไปด้วยกันครับ

Twin Traveller

 วันพุธที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2559 เวลา 15.02 น.

ความคิดเห็น