"ภูกระดึง" ชื่อนี้คงเป็นชื่อที่นักท่องเที่ยวสายธรรมชาติคุ้นหูกันดี และยังเป็นปฐมบทของการเดินป่าบ้านเราอีกด้วย ภูกระดึงอยู่ในความทรงจำของใครหลายๆคน หลากหลายเรื่องราวที่น่าจดจำที่เกิดขึ้นบนภูเขารูปหัวใจดวงใหญ่ที่สุดในโลกดวงนี้ ทำให้เกิดความทรงจำที่หลายคนไปแล้วไปอีก บางคนขึ้นเป็นร้อยๆครั้งก็ยังไม่เบื่อกับที่นี่ "ภูกระดึง"

สำหรับเราแล้ว ก็เป็นอีกหนึ่งคนที่ชอบและยังอยากไปเยือนภูเขาลูกนี้ในทุกๆปี ช่วงฤดูกาลที่แตกต่าง ทำให้ความสวยงามของภูเขาลูกนี้แตกต่างกันออกไป เราว่าการมาเที่ยวภูกระดึงของคนหนึ่งคน ควรจะมาอย่างน้อย 3 ครั้ง เพราะความสวยงามของแต่ละฤดูกาลและลักษณะทางกายภาพของภูเขาลูกนี้ มีมากกว่าหนึ่ง นั่นแสดงว่าฤดูกาลที่แตกต่างจะให้ความสวยงามและความประทับใจที่แตกต่างกันออกไป และเราจะแยกให้เพื่อนๆได้รู้ว่าควรมาช่วงไหนบ้าง

1. ช่วงปลาย
ฝนต้นหนาว ช่วงนี้จะเป็นช่วงเปิดภูใหม่ๆ ช่วงเดือนตุลาคม ถึง ต้นพฤษจิกายน เสน่ห์ของภูกระดึงช่วงนี้คือการล่าน้ำตก น้ำตกที่นี่มีเยอะมาก นอกจากเส้นทางที่เจ้าหน้าที่กำหนดให้เดินแล้ว ยังมีน้ำตกอีกหลายแห่งที่อยู่ในพื้นที่ของป่าปิด นั่นหมายความว่าไม่อนุญาตให้เข้าชมได้นั่นเอง
2. ช่วงฤดูหนาว ล่าใบเมเปิ้ล ช่วงนี้เป็นช่วงที่อากาศหนาวและฟินที่สุด เหมาะแก่การพาคนรักมาเดินสัมผัสอากาศหนาวได้เป็นอย่างดี บางช่วงที่หนาวมากๆอุณหภูมิลงมาที่เลขตัวเดียวหรือติดลบเลยก็มี ถ้าโชคดีอาจจะเจอแม่คะนิ้งด้วย เวลาแห่งการล่าใบเมเปิ้ลจะอยู่ในช่วงเดือนธันวาคม ถึง ต้นมกราคม ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กัสภาพอากาศว่าในแต่ละปีนั้น ใบเมเปิ้ลจะแดงและร่วงไวขนาดไหน อันนี้ต้องลุ้นเอา
3.ช่วงซัมเมอร์ ล่าช้างเผือก ช่วงนี้เป็นช่วงหน้าร้อน ใบไม้จะเริ่มเปลี่ยนสีเป็นสีเหลือง ฟ้าเปิดตลอดทั้งคืน ถ้ามาช่วงวันเดือนมืดเหมาะแก่การที่จะมาถ่ายทางช้างเผือกยิ่งนัก นักท่องเที่ยวที่มาช่วงนี้จะได้สัมผัสความเงียบสงบ เพราะมีคนมาน้อยมาก ร้านค้าก็มีขายบางร้านเท้านั้น บางซำไม่มีร้านค้าเปิดขายของเลย เราเองก็ควรเตรียมน้ำดื่มไปให้พอด้วยนะ ช่วงซัมเมอร์ล่าช้างเผือกจะเป็นช่วงเวลาปลายๆกุมภาพันธ์ ถึง ต้นพฤษภาคม

และยังมีช่วงที่เราแนะนำให้มาอีกช่วงคือ ช่วงก่อนปิดภู 1 อาทิตย์ ซึ่งมีฝนตกลงมาบ้างแล้ว ทำให้น้ำตกเริ่มมีน้ำและที่สำคัญช่วงก่อนปิดภูนี้ ทางอุทยานแห่งชาติภูกระดึงมีการจัดปลูกป่าและเก็บขยะด้วยนะ ใครที่ชอบการเที่ยวนอกจากได้มาเที่ยวแล้วยังได้บำเพ็ญประโยชน์ด้วยนะ

สำหรับเราเองเราก็ไปมา 3-4 ครั้ง ตอนนี้ก็ยังอยากกลับไปอีก และสัญากับตัวเองว่าจะพยายามกลับไปที่นี่ในทุกๆปี วันนี้เราก็อยากจะรวบรวมข้อมูลที่เป็นประโยชน์บางส่วนที่เรามี ทั้งการเดินทาง การเตรียมตัว สิ่งที่ควรรู้ก่อนไปภูกระดึง และยังจะมาแนะนำแผนการเก็บสถานที่ต่างบนภูกระดึงให้ได้เยอะที่สุดโดยใช้เวลา 3 วัน 2 คืน ให้เพื่อนๆอีกด้วย (ส่วนรายละเอียดการเดินอยู่ด้านล่างสุด)

"ภูกระดึง" เนี่ย เป็นอะไรที่มาง่ายมากเลย ไม่ต้องจองล่วงหน้า และไม่ต้องมีเจ้าหน้าที่นำทาง สามารถเดินเที่ยวได้ด้วยตัวเอง ส่วนการเดินทางนั้นก็ง่ายมากเลย ทั้งรถยนต์ส่วนตัว รถทัวร์ รถตู้เหมา ก็ล้วนแล้วแต่เป็นวิธีที่สะดวกทั้งสิ้น และยังมีอีกการเดินทางอีกแบบนึงที่เราได้รู้มาจากนักท่องเที่ยวบางคนที่เหมาะสำหรับคนที่ไม่อยากนั่งรถไกลๆและนานๆ นั่นก็คือการนั่งเครื่องบินแล้วต่อรถประจำทาง

:การเดินทาง:
วิธีที่ 1 : การเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัว เป็นวิธีที่สะดวกที่สุดแล้ว ถ้าใครนำรถส่วนตัวมา ทางอุทยานฯ ก็มีพื้นที่สำหรับจอดรถไว้รองรับนักท่องเที่ยวด้วยนะ โดยจอดไว้ที่ลานจอดรถที่ทางอุทยานฯ จัดไว้ให้ใกล้ๆกับที่ทำการอุทยานฯ นั่นแหละ
วิธีที่ 2 : การเดินทางด้วยรถตู้เหมา วิธีนี้ก็สะดวกไม่แพ้วิธีแรก แต่จะมีเพื่อนเยอะขึ้น น่าจะสนุกมากขึ้น ส่วนรถตู้ที่เหมามาก็จอดที่เดียวกับที่จอดรถยนต์ส่วนตัวนั่นแหละ และยังมีพื้นที่ให้คนขับรถกางเต็นท์นอนและมีห้องน้ำสะอาด ร้านค้าไว้ให้บริการอีกด้วย
วิธีที่ 3 : การนั่งรถทัวร์มาจาก กทม. วิธีนี้ก็เหมาะสำหรับคนที่ไม่มีรถยนต์ส่วนตัว ไปคนเดียวหรือไปแบบคนน้อย และขี้เกียจขับรถเองไกลๆ ซึ่งมันดีตอนขากลับนะ เพราะเราจะเหนื่อยมากจนไม่มีแรงขับรถ เริ่มต้นเลยก็จองตั๋วรถทัวร์จากหมอชิตแล้วมาลงที่ผานกเค้า แล้วก็ต่อรถสองแถวมาที่อุทยานฯ ที่ผาน้ำเค้าจะมีรถสองแถวไว้รับ-ส่งนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเที่ยวอุทยานฯ ค่ารถก็ไม่แพง คนละ 30 บาท เท่านั้นเอง
วิธีที่ 4 : วิธีนี้เป็นวิธีที่เราเพิ่งรู้มา เป็นการนั่งเครื่องบินมาลงที่ขอนแก่น หรือไม่ก็ มาลงที่สนามบิน จ.เลย แล้วก็ต่อรถประจำทางมาที่ อ.ภูกระดึง ถ้ามาจากขอนแก่น ก็นั่งรถบัสสาย ขอนแก่น-เมืองเลย มาเลย ส่วนถ้ามาจากเมืองเลย ก็นั่งรถบัสสาย เมืองเลย-ขอนแก่น มาลงที่ อ. ภูกระดึง ได้เลย



รีวิวนี้เราเอา 2 ช่วงเวลา คือหน้าฝนก่อนปิดภู และช่วงหน้าหนาว เพื่อให้ทุกคนได้เห็นความสวยงามของภูกระดึงได้มากที่สุด มีทั้งน้ำตก และใบเมเปิ้ลแดงๆ ในรีวิวเดียวกัน ซึ่งเราต้องใช้การขึ้นไปเก็บภาพบนภูกระดึงถึง 2 ครั้งเลยที่เดียว ถึงจะได้ภาพมารีวิวของ 2 ฤดูกาลมาอยู่ในรีวิวเดียวกัน





ช่วงก่อนปิดภู จะเป็นช่วงที่นักท่องเที่ยวน้อยมาก และที่นี่จะเงียบมาก ลูกหาบก็ยังคงหาบของกันแค่บางคน เพื่อนำของมาส่งร้านค้า และลุงลูกหาบบอกว่า ถึงภูจะปิดฤดูกาล 3 เดือน แต่ลุงลูกหาบและลูกหาบคนอื่นๆ หยุดพักกันแค่เดือนเดียวก็กลับมาแบกของขึ้นภูกันอีกครั้ง เพื่อนำของมาตุนไว้เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่จะมาตอนเปิดภูกันอีกครั้ง


ขึ้นมาถึงหลังแป เจอลูกหาบแค่คนสองคนเอง


มาถึงลานกางเต็นท์แล้ว มันจะเงียบๆ เหงาๆหน่อย เพราะช่วงนี้มีคนมาน้อยมาก


มาถึง กางเต็นท์เสร็จก็ตรงดิ่งไปที่น้ำตกเลย
น้ำตกวังกวาง


น้ำตกเพ็ญพบใหม่






น้ำตกโผนพบ




น้ำตกถ้ำใหญ่ เรายังไปไม่ถึงน้ำตกถ้ำสอเหนือ และยังมีอีกหลายน้ำตกที่เรายังเก็บภาพมาไม่ครบ






ลานกางเต็นท์ที่นี่ จะมีน้องกวาง น้องหมูป่าออกมาเยี่ยมที่เต็นท์ด้วยนะ และไม่ใช่มีแค่ตัวเดียว มาเป็นฝูงด้วย




ช่วงหน้าฝนจะมีโอกาสได้เจอทะเลหมอกเยอะกว่าช่วงหน้าหนาว


กิ่งสนรูปหัวใจในตำนาน ใครอยากถ่ายรูปก็ไปตามหาได้ที่ผานกแอ่นนะ




จบไปแล้วสำหรับบรรยากาศช่วงหน้าฝน คิดว่าคงสวยงามและถูกอกถูกใจเพื่อนๆกันบ้าง ต่อไปเราก็รอเสนอความสวยงามในช่วงหน้าหนาวสำหรับฤดูกาลการล่าใบเมเปิ้ลแดงกัน เราไปมาช่วงวันหยุดปีใหม่ เป็นช่วงที่นักท่องเที่ยวไปกันเยอะมากๆ และอากาศก็หนาวมากเช่นกัน


ช่วงหน้าหนาวเนี่ย ร้านค้าจะเปิดแบบจัดเต็ม อาหารจัดเต็ม แต่ราคาก็จะแพงขึ้นไปเรื่อยๆ ตามความยากลำบากของการขนขึ้นไป




ขึ้นมาถึงหลังแป ก็จะเจอเลย ต้นเมเปิ้ลที่แดงอยู่ตรงหน้า


มาภูกระดึงช่วงหน้าหนาวเนี่ย รีบเดินไวๆให้ถึงที่กางเต็นท์ไวๆ หาที่กางไวๆ รีบไปอาบน้ำ เพราะตกเย็นมามันจะหนาวมาก จนคุณไม่สามารถที่จะอาบน้ำได้


มาถึงก่อนหาที่กางก่อน เพราะคนจะเยอะมากๆ หาให้อยู่ใกล้กับห้องน้ำด้วยนะ

ตื่นเช้าก็มาชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ผานกแอ่น ต้องตื่นตีหน้าเลยนะเพื่อเดินมา เพราะอยู่ห่างจากจุดกางเต็นท์ประมาณ 2.5 กม. ต้องมีเจ้าหน้าที่พามา เพราะอาจจะเจอกับช้างป่าได้ ช่วงหน้าหนาวคนก็จะเยอะแบบนี้แหละ






ขากลับจากผานกแอ่น ระหว่างทางจะเจอดอกไม้สวยๆพวกนี้ขึ้นเต็มอยู่ข้างทาง


ชมพระอาทิตย์ขึ้นเสร็จก็กลับมาหาไรรองท้องและพร้อมที่จะเดินไปตามล่าใบเมเปิ้ลแดงกัน




ถ้าว่างๆก็มาส่งโปสการ์ดหาตัวเองสักหน่อย บอกว่าครั้งนึงเราเคยมาเที่ยวแล้วนะ ภูกระดึง


เส้นทางที่เราใช้เดินวันนี้ ก็จะใช้เส้นทางองค์พระ แล้วตัดเข้าเส้นน้ำตก บางคนเดิน บางคนปั่นจักรยาน


ต้นเมเปิ้ลส่วนใหญ่ก็จะเส้นน้ำตก เราลากยาวตั้งแต่น้ำตกเพ็ญพบ น้ำตกโผนพบ น้ำตกถ้ำใหญ่ เป็นเส้นที่มีใบเมเปิ้ลเยอะที่สุด












เดินเส้นน้ำตกเสร็จ เราก็ตัดขึ้นเส้นจะไปผาหล่มสัก


มาถึงแถวๆสระอโนดาต เราควรหาร่มแวะกินข้าวก่อน ตอนเช้าก่อนออกเดินทาง สิ่งที่ห้ามลืมคือ น้ำและข้าวกลางวัน ข้าวสามารถสั่งที่ร้านทำให้ได้ บอกจะห่อไปกินกลางทาง หรือบางร้านจะทำไว้แล้ว ลืมไม่ได้นะอันนี้เน้นย้ำ เพราะระหว่างทางไปผาหล่มสักไม่มีร้านค้าแม้แต่ร้านเดียว จนกว่าจะถึงผาหล่มสัก ซึ่งระยะทางมัน 9 กม. ใครทนไหวก็ทนไป แต่เราจะไม่ทน


จุดที่เรียกว่าพีคที่สุดของเราในวันนั้นก็คือภาพนี้แหละ มันไม่ใช่แค่เรื่องบอกเล่ากันเท่านั้น ว่าคู่รักคู่ไหนมาเดินที่นี่ด้วยกันแล้วจะทำให้รักกันมากยิ่งขึ้น ส่วนเรา มาเดินคนเดียว คงจะทำให้รักตัวเองเพิ่มขึ้นนะ



ถึงแล้ว ผาหล่มสัก ผาที่เป็นสัญลักษณ์ของภูกระดึง ใครที่มาภูกระดึงแล้วมาไม่ถึงผาหล่มสัก เขาว่ากันว่า มาไม่ถึงภูกระดึงนะ จริงๆช่วงหน้าหนาวเนี่ย คนจะเยอะมากๆที่ผาหล่มสัก แต่เราพยายามถ่ายหามุมที่ไม่ติดคนมาฝากเพื่อนๆ


จริงๆแล้วเก็บแสงเย็นที่ผาหล่มสักเสร็จ เราต้องเดินกลับที่กางเต็นท์เส้นเลียบหน้าผาและจะต้องผ่านหาหมากดูก ซึ่งเป็นผาที่ชมพระอาทิตย์ตกอีกที่นึงที่ใกล้ลานกางเต็นท์แค่ 2.2 กม. แต่มันเป็นไปไม่ได้ที่จะมาจากผาหล่มสักแล้วมาชมพระอาทิตย์ตกที่ผาหมากดูกให้ทัน เพราะมันไกลกันมาก ผมใช้เวลา 2 วัน คือเก็บภาพกันคนละวันที่ผาหล่มสักและผาหมากดูก มาให้เพื่อนๆได้ชมกัน จริงๆแล้วผาหมากดูกก็เป็นผาที่น่ารักเหมือนกันนะ


ผาหมากดูกเป็นผาที่น่ารัก


ใครไม่สน แต่ลูกสน


งานเลี้ยงต้องมีวันเลิกรา ถึงเวลาที่เราต้องลงจากภูแล้ว นักท่องเที่ยวที่จ้างลูกหาบแบกของลง ก็จะนำสัมภาระมาให้ลูกหาบ มันก็จะเยอะแบบนี้แหละ ส่วนเราแบกเอง


ขากลับกันแล้ววว


มาถึงหลังแป คนก็จะมากระจุกอยู่ตรงนี้ เพราะทางลงจะแคบแล้ว


ตอนขาลงเราจะไปขอถุงที่ๆทำการด้านบนเพื่อมาเก็บขยะลงด้วยระหว่างทาง เพราะมีคนทิ้งไว้เต็มไปหมด นอกจากจะได้บำเพ็ญประโยชน์แล้ว ยังได้ใบประกาศด้วยนะแกรรร


:การวางแผนการเดิน 3 วัน 2 คืน:
สำหรับการเดินเก็บสถานที่และหน้าผาต่างๆให้ได้มากที่สุดในเวลา 3 วัน 2 คืน นะ เราจะมาวางแพลนการเดินให้เพื่อนๆ เผื่อใครจะยังไม่รู้ว่าจะต้องเดินไปไหนก่อน จะได้เดินถูก เพราะเราเคยขึ้นไปครั้งแรก โดยไม่รู้อะไรเลย และไม่รู้ว่ามันเดินไกลขนาดไหน ต้องเดินไปไหนก่อน ทำให้ครั้งนั้นเราได้ไปแค่ ผาหมากดูกและผานกแอ่น 2 ที่เท่านั้น วันนี้เราจะมาแนะนำเพื่อนๆ เพื่อเป็นแนวทางครับ
วันที่ 1 : วันนี้เป็นวันแรกที่เราต้องเดินขึ้น แนะนำว่าเดินขึ้นเช้าเท่าไหร่ เราจะยิ่งเหนื่อยน้อยเท่านั้น เพราะถ้ายิ่งสายจะยิ่งร้อน ให้นำน้ำดื่มติดไปด้วย 1 ขวด อาหารไม่ต้อง เพราะจะมีขายตามซำต่างๆ เราสามารถซื้อกินระหว่างทางได้ แต่ราคาจะแพงขึ้นไปเรื่อยๆ ตามความไกลและยากลำบากในการนำขึ้นไป เราว่าคนทั่วๆไป เดินช้าสุดไม่น่าจะเกิน 5 ชม. ก็ถึงแล้ว พอไปถึงหาที่กางเต็นท์ให้ไว เพราะถ้ายิ่งค่ำ คนจะยิ่งมาเยอะ แย่งพื้นที่กันแน่นอน หรือถ้าใครเช่าเต็นท์อุทยานก็เลือกได้ตามสบายใจ เสร็จแล้วหาอะไรกิน นอนพักสักหน่อย สักบ่ายสามหรือสี่โมงเย็น ให้เดินไปดูพระอาทิตยขึ้นที่ผาหมากดูก อยู่ห่างจากที่กางเต็นท์ 2.2 กม. ที่นั่นมีร้านค้าด้วย แล้วอย่าลทมไฟฉาย เพราะตอนขากลับมืดแน่นอน กลับมาถึงอาบน้ำหาไรกิน แล้วรีบนอนพักเอาแรงไว้ต่อพรุ่งนี้ซะ

วันที่ 2 : วันนี้เป็นวันที่เราต้องตื่นเช้าและเดินไกลที่สุด เราต้องตื่นตีสี่ครึ่ง หรือตีห้านี่แหละ จำไม่ได้ แต่รอฟังเสียงประกาศจากเจ้าหน้าที่อีกที เราต้องเดินไปชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ผานกแอ่น ห่างจากจุดกางเต็นท์ 2.5 กม. ต้องมีเจ้าหน้าที่นำทางเท่านั้น เพราะอาจจะเจอช้างป่าได้ ให้เชื่อฟังเจ้าหน้าที่อย่างเคร่งครัด วิวของผานกแอ่นจะมองเห็นตัว อ.ภูกระดึง และมองเห็นผานกเค้า ถ้าที่นั่งรถทัวร์มาคงรู้ดี เพราะมันเป็นที่เดียวกับที่เราลงรถทัวร์นั่นแหละ ที่ผานกแอ่นมีร้านกาแฟตอนเช้าด้วยนะ เป็นกาแฟ 3 in 1 นะ แก้วละ 20 มั้ง ถ้าจำไม่ผิด พอเราดูพระอาทิตย์ขึ้นเสร็จ ก็เดินกลับที่พัก หาอะไรกินและซื้อข้าวห่อ,น้ำ,และอย่าลืมไฟฉายเป็นอันขาด เพราะขากลับมืดแน่นอน เสร็จแล้วออกเดินทางได้ เส้นทางที่เราแนะนำคือเดินไปทางองค์พระ ไปไหว้พระก่อน แล้วลงไปเส้นน้ำตกตามล่าใบเมเปิ้ล เส้นน้ำตกเป็นเส้นทางที่มีต้นเปิ้ลเยอะที่สุด ถ้ามาช่วงฝนก็จะเป็นการล่าน้ำตก เส้นนี้ก็จะมีน้ำตกเพ็ญพบใหม่ น้ำตกเพ็ญพบ น้ำตกโผนพบ น้ำตกถ้ำใหญ่ เป็นต้น แล้วให้ตัดขึ้นมาเส้นจะไปสระอโนดาต ต่อที่น้ำตกสอเหนือ ช่วงนี้ก็มาถึงเวลาประมาณเที่ยงๆ หรือบ่ายแล้ว ควรหาที่แวะกินข้าวได้แล้ว แนะนำให้กินที่สระอโนอาต เพราะเป็นที่โล่ง มีที่นั่งพักเป็นลานหิน เสร็จแล้วก็เดินต่อไปที่ผาหล่มสัก ช่วงจากน้ำตกสอเหนือไปผาหล่มสักจะไกลหน่อย และเงียบๆ การเดินควรมองหน้ามองหลังให้ดี เพราะถ้าคุณโชคดีอาจจะไปจ่ะเอ๋กับช้างป่าได้ มาถึงผาหล่อมสัก คนปกติเราว่าจะมาถึงประมาณไม่เกินบ่ายสามโมง ที่นี่มีร้านค้าหลายร้าน ระหว่างรอพระอาทิตย์ตกก็หาไรกินและหาที่พักงีบสักพักก่อน เราดูพระอาทิตย์ตกเสร็จก็คงจะใกล้มืด ตอนนี้แหละไฟฉายที่เราเตรียมมาจะได้ใช้แล้ว เส้นทางที่เราต้องเดินกลับจะเป็นอีกคนละทางกับที่เรามา จะเป็นเส้นเดินเลียบหน้าผา จุดที่เราต้องผ่านคือ ผาแดง-ผาเหยียบเมฆ-ผานาน้อย-ผาจำศีล-ผาหมากดูก-จุดกางเต็นท์ ระยะทางที่เราเดินกลับ 9 กม. (ระยะทางรวมของวันนี้ ไม่ต่ำกว่า 25 กม.) กลับมาถึงเราคิดว่าน่าจะ 2-3 ทุ่มแล้ว ให้รีบหาอะไรกินและอาบน้ำนอน หรือใครจะไม่อาบก็แล้วแต่ รีบพักผ่อนเอาแรง เพราะพรุ่งนี้เราจะต้องเดินลง

วันที่ 3 : วันนี้เป็นวันที่เราต้องเดินลง กินข้าว เก็บของเสร็จ ให้ซื้อน้ำเปล่าติดไปด้วยสักขวด ส่วนอาหารก็เหมือนเดิม ซื้อกินตามซำต่างๆ เราคิดว่าขาลงจะไวกว่าขาขึ้นแต่จะปวดเข่ากว่า ให้หาไม้มาพยุงตอนลง จริงๆแล้วมีของคนอื่นที่เขาทิ้งไว้ทางลงตรงหลังแป หยิบได้เลยจ่ะ ขาลงน่าจะถึงที่ทำการไม่เกินเที่ยง ให้รีบอาบน้ำหรือใครจะหาไรกินก่อนก็ได้ มีร้านอาหารและร้านของฝากด้านล่างด้วย ใครที่ต้องมาขึ้นรถทัวร์กลับที่ผานกเค้า ก็เหมือนเดิม บริเวณที่ทำการอุทยานฯ จะมีรถสองแถวมาจอดรอรับเพื่อไปส่งที่ร้านเจกิมผานกเค้า ที่ๆเราจะขึ้นรถทัวร์กลับนั่นแหละ ค่าสองแถวก็ 30 บาท แนะนำอย่าเหมานะ นอกจากเราจะรีบ กลัวไม่ทันรถจริงๆ เพราะราคาเหมานี่ 200-300 บาท นะแจ๊ะ

สำหรับแพลนการเดินนี้ก็หวังว่าจะเป็นประโชน์กับเพื่อนๆไม่มากก็น้อย หวังว่าทุกคนจะเดินเก็บสถานที่ได้ตามที่เราแนะนำนะ ใครอยากเก็บให้ได้มากกว่านี้ หรือไม่ต้องเดินเยอะต่อวันนึง ก็มาหลายๆคืนกว่านี้

::ข้อมูลการเดินทางด้วยรถประจำทาง::
- ตีตั๋วรถทัวร์ หมอชิต - ผานกเค้า (ไปกลับ 710 บาท)
- นั่งรถสองแถว ผานกเค้า - อุทยาน (คนละ 30 บาท)
- ค่าเข้าอุทยาน คนละ 40 บาท
- ค่าสถานที่กางเต็นท์บนภูกระดึง ในกรณีนำเต็นท์มาเอง (คนละ 30 บาท ต่อคืน)
- ใช้เวลาเดินเท้าจากด้านล่างถึงศูนย์บริการนักท่องเที่ยว(ลานกางเต็นท์ด้านบน) 4-6 ชม. แล้วแต่สภาพร่างการของแต่ละคน ระยะทาง 9 กม.

ค่าใช้จ่ายต่างๆที่ควรรู้
- ข้าว อาหารตามสั่ง จานละ 60 บาท
- น้ำเปล่า 700 มล. ขวดละ 30 บาท
- น้ำเปล่า 1.5 ลิตร. ขวดละ 50 บาท
- ไข่ปิ้ง ลูกละ 10 บาท
- ชาบู หมูกะทะ ชุดละ 500 บาท
- ข้าวจี่ ไม้ละ 10 บาท
- ค่าชาร์จโทรศัพท์ 20 บาทต่อครั้ง
- ค่าชาร์จ เพาเวอร์แบงก์ 40 บาท ต่อครั้ง
- ค่าเช่าเพาเวอร์แบงก์ 150 บาทต่อวัน (30,000 mA)
- ค่าข้าวห่อไปกินกลางทาง 60 บาท
- ค่าเช่าผ้าห่มผืนเล็ก 30 บาท, ผืนใหญ่ 40 บาท ต่อคืน
- ค่าเช่าหมอน 10 บาท ต่อคืน


สิ่งที่เรานำมาฝากนี้ คงจะเป็นแค่ส่วนเล็กๆส่วนนึงของภูเขารูปหัวใจลูกนี้เท่านั้น ส่วนความจริงๆนัสวยงามนั้น คงจะรอให้เพื่อนๆ ได้ไปสัมผัสด้วยตัวเองครับ

สุดท้าย ท้ายที่สุด เมื่อเราในฐานะนักท่องเที่ยวได้ตักตวงความสุขกันเต็มที่แล้ว เรื่องของขยะก็ควรนำกลับลงมาให้หมด อย่าให้เขาว่าเราได้ว่านำขึ้นไปได้แต่นำกลับลงมาทำไมไม่ได้ เพื่อที่จะให้ธรรมชาติที่สวยงามได้คงอยู่ให้พวกเราได้กลับไปสัมผัสกันในโอกาสต่อๆ


ฝากกดติดตามเพจ : นายตัวน้อย ด้วยนะครับ

นายตัวน้อย

 วันอาทิตย์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2561 เวลา 15.08 น.

ความคิดเห็น