เมืองเล็กๆ ที่ไม่ได้เป็นทางผ่าน รายล้อมไปด้วยขุนเขาทั้งสี่ด้าน

เต็มไปด้วยทุ่งหญ้าเขียวขจี มีหมอกปกคลุมในยามเช้า

พร้อมสายฝนโปรยปรายให้เราช่ำใจ

เป็นเมืองที่ต้องตั้งใจมาสามารถเข้าออกได้ทางเดียวเท่านั้น

รถโดยสารไม่มีผ่าน

เราจะลุยเดี่ยวไปที่นี่กันครับ "ร่องเขานครชุม" จังหวัดพิษณุโลก


ถ้ า พ ร้ อ ม แ ล้ ว ก็ แ บ ก เ ป้ อ อ ก เ ดิ น ท า ง ไ ป พ ร้ อ ม กั บ เ ร า กั น เ ล ย !!!!


การเดินทาง

รถทัวร์ จากกทม. >> มุ่งตรง สู่จ.พิษณุโลก >> บิดรถมอเตอร์ไซด์ จากสถานีขนส่งพิษณุโลกแห่งที่ 1 (ขนส่งเก่า) >> ร่องเขานครชุม

จุดเช็คอิน

- อนุสาวรีย์พ่อขุนศรีอินทราทิตย์

- ปั่นจักรยานชมทุ่งนาสีเหลืองทอง

- พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านปู่ช่วง

- ต้นตะเคียนยักษ์

- เขาโปกโล้น

ข้อมูลสำหรับท่องเที่ยว

- หมู่บ้านนครชุม เป็นหมู่บ้านที่อยู่ในร่องเขา อากาศจะเย็นสบายตลอดทั้งปี

- ที่พักโฮมสเตย์ คนละ 450 บาทต่อคน อาหาร 2 มื้อ

- สำหรับคนที่ไม่มีรถยนต์ส่วนตัว ควรติดต่อกับคนพื้นที่ให้มารับที่ตัวอำเภอนครไทย

จะสะดวกที่สุด

ติดต่อจองที่พักและไกด์นำเที่ยว

- ไกด์ตั้ม 095-815-3968

- เพจ นครชุมโฮมสเตย์ โฮมสเตย์วิถีชนบท



เราออกเดินทางจากขนส่งหมอชิตรอบสี่ทุ่ม

หลับยาวๆ มาถึงยังสถานีขนส่งพิษณุโลกแห่งที่ 1 (ขนส่งเก่า)

ถ้าใครจะลงสถานีขนส่งพิษณุโลกแห่งที่ 2 (ขนส่งใหม่) ก็ได้เหมือนกัน

แต่จะหารถเช่ายากกันสักนิดนึงด้วยระยะทางที่มันไกล

เราแนะนำให้ลงที่สถานีขนส่งพิษณุโลกแห่งที่ 1 (ขนส่งเก่า) จะสะดวกที่สุดครับ



ถึงพิษณุโลกเวลาตีสามนิดๆ มันง่วงมากกกกกกกก

เราเลยไปหาที่นอนงีบสักหน่อย

ฟ้าสว่างค่อยออกเดินทางกันต่อ

นอนที่นี่ครับห้องพักวาสนาจ่าเอก

เรานอนห้องพัดลมไปสามชั่วโมงครับราคา 100 บาท



เปิดทั้งวันทั้งคืนครับ

โทรมาหาป้าคนนี้ได้ตลอด

ป้าวาสนา 089-107-2674

จะเช่ารถเช่ามอเตอร์ไซด์ จองห้องพัก ป้าแกจัดการให้หมด

ตั้งแต่เมื่อคืนยันเช้านี้ไม่รู้ป้าแกได้นอนมั่งรึยังนะ อึดจริงๆ ครับ



บรรยากาศซอยเมื่อคืนนี้ครับ

ง่วงจัดเลยมาถ่ายให้ดูกันตอนเช้า

ซอยนี้เรียกกันว่า ซอย 99 ยันดึก

บรรยากาศเมื่อคืนนี่หลอนใช้ได้ครับ

ด้วยความง่วงจัด เลยไม่ได้ถ่ายเก็บเอาไว้



จัดแจงจัดการเช่ามอเตอร์ไซด์เรียบร้อย

ได้เวลาลุยกันแล้ว

เราจะไปกับเจ้า Honda Dream ตัวนี้ครับ

บิดกันยาวๆ ไปยังร่องเขานครชุมด้วยระยะทาง 256 กิโลเมตร

โอ้วววววบ้าไปแล้วววววววววววววววว ใครเค้าทำกัน



นี่ก็เป็นข้อมูลคร่าวๆ สำหรับคนที่อยากจะขับมอเตอร์ไซด์ลุยๆ แบบเรา

จะได้ขับกันถูกไม่หลงแน่นอนครับ

- เมื่อมาถึงพิษณุโลกแล้วให้ใช้ทางหลวงหมายเลข 12 (พิษณุโลก-หล่มสัก)

- ขับไปเรื่อยๆ ผ่านอำเภอวังทอง

- ถึงแยกบ้านแยงให้เลี้ยวซ้ายแล้วใช้ทางหลวงหมายเลข 2013 ตรงไปยังอำเภอนครไทย

- ขับต่อไปบนทางหลวงชนบทอีกประมาณ 28 กิโลเมตรก็จะถึงตำบลนครชุมครับ


สำหรับคนที่ไม่อยากขับมอเตอร์ไซด์บ้าระห่ำอย่างเราเราอีกวิธีแนะนำให้

หลังจากถึงบขส.พิษณุโลก(ขนส่งเก่า)

ให้นั่งรถทัวร์จากบขส.พิษณุโลก(ขนส่งเก่า)ไปลงที่อำเภอนครไทย

แล้วติดต่อเจ้าหน้าที่นครชุมมารับเข้าไปยังหมู่บ้านนครชุมได้เลยครับ


หลังจากอ่านข้อมูลของเรากันไปแน่นปึ้กพอสมควรแล้ว

เราก็บิดมอเตอร์ไซด์มาครึ่งทางกันแล้ว

แวะจอดพักกันสักนิด

ให้ร่างกายให้เครื่องยนต์ได้หยุดพักผ่อนคลายกันสักหน่อยครับ



ก่อนจะขับขึ้นสู่ร่องเขานครชุม

เราจะผ่านอำเภอนครไทยก่อน

ถ้ามานครไทยแล้วก็ต้องมาไหว้สักการะอนุสาวรีย์พ่อขุนศรีอินทราทิตย์กันก่อน

เพื่อความเป็นสิริมงคล จะได้เดินทางกันอย่างราบรื่นไร้อุปสรรคใด ๆ กันนะครับ



ขับชมวิวกันไปเพลินๆ

เราก็พาตัวเองขึ้นมายังนครชุมกันจนได้



นี่แหละครับโฮมสเตย์ที่เราจะมาพักกันในคืนนี้

เงียบสงบไม่ค่อยมีคนพลุกพล่าน

เหมาะแก่การมาพักผ่อนจริงๆ ครับ



สำหรับนครชุมมีโฮมเสตย์ให้บริการประมาณ 20 หลัง

แต่ละหลังสะอาดไม่แพ้กัน และอยู่รวมกับเจ้าของบ้านครับ



ส่วนกิจกรรมก็มีตั้งแต่ปั่นจักรยานชมวิถีชีวิตชาวบ้าน

และแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ภายในชุมชน

ไปจนถึงการเดินป่าเพื่อชมทะเลหมอกในยามเช้าบนเขาโปกโล้น

ซึ่งถือเป็นไฮไลท์ของที่นี่เลยก็ว่าได้

เพราะภาพแรกที่ทุกคนรู้จักนครชุมก็มาจากภาพหมอกหนาๆแน่นๆ

บนร่องเขาแห่งนี้นี่แหละ พรุ่งนี้จะเป็นอย่างที่เราจินตนาการกันไว้มั๊ย

เดี๋ยวรู้กันครับ


เจ้าของบ้านเตรียมอาหารว่างไว้รอรับเรา

กินกันสักหน่อยครับ

หลังจากขับมอเตอร์ไซด์มาสี่ชั่วโมงเต็มๆ

ที่พักหลักร้อยกับวิวหลักล้านกันอีกเช่นเคยครับ

สดชื่นดีจริงๆ ที่ได้มาเห็นอะไรแบบนี้



ขึ้นไปด้านบนนอนพักสายตากันซักหน่อย

ชิวใช้ได้เลยใช้มั๊ยครับท่านผู้ชม ฮ่าๆๆๆ



มาดูมุมนั่งกินข้าวด้านบนกันครับ
วิวนี่เกินบรรยายจริงๆ



นี่ก็เป็นห้องพักครับ
อยู่ง่ายๆ สบายๆ ไม่ต้องมีสิ่งเติมแต่งให้มันหรูหรามากนัก
ตามแบบฉบับโฮมสเตย์นครชุมครับ



ส่วนเรานอนห้องนี้ครับ ห้องไซส์มินิ ฮ่าๆๆ



แล้วเราก็ออกไปสำรวจกันที่บ้านหลังเล็กหลังหนึ่ง
ที่ทุกคนในชุมชนรู้จักกันในฐานะ "พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านปู่ช่วง"
ดูแลโดย ปู่ช่วง มีเฟีย อดีต อส.(ราษฎรอาสา) ที่เป็นทั้งหมอสมุนไพร
และผู้ให้ความรู้เรื่องประวัติศาสตร์ชุมชน


ปู่ช่วง เล่าว่า นครชุมเป็นชุมชนโบราณที่สำนักศิลปากรที่ 6 สุโขทัย เคยมาทำการสำรวจ และพบโบราณวัตถุ หลักฐานทางประวัติศาสตร์หลายอย่างก็ถูกเก็บรวมรวมไว้ที่นี่ครับ



อากาศข้างนอกท้องฟ้ายังแจ่มใสอยู่
ไกด์ตั้มพาเราไปชมทุ่งหญ้าอันเขียวขจี
ดูลีลาการโพสท่าไกด์ตั้มครับ
ลีลาเหลือร้ายจริงๆ


ชมว่าท้องฟ้าสวยกันไม่เท่าไหร่
ฝนเริ่มตั้งเค้าเข้าให้แล้ว เย็นนี้ฝนคงจะตกกันแน่ๆ
เราขอไปแวะกันอีกสักที่
ไปดูความยิ่งใหญ่ของต้นตะเคียนยักษ์
ที่ตั้งอยู่บริเวณทางเข้าชุมชน เป็นตะเคียนที่ชาวบ้านเชื่อว่ามีอายุหลายร้อยปี
โดยตั้งอยู่ติดกับ ศาลปู่หลวง ที่ชาวบ้านให้ความศรัทธา
ยิ่งใหญ่สมคำร่ำลือจริงๆ ครับ



ตกเย็นจนได้ที่ฝนก็ตกลงมาจนได้
บรรยากาศช่างดีจนน่านอนเสียจริง
พรุ่งนี้หมอกคงหนาแน่ๆ
ตกกันให้เต็มที่เลยนะ พรุ่งนี้จะได้ไม่ตก
หมอกมาเต็มแน่ๆ ฮ่าๆๆๆ



ข้าวเย็นมื้อนี้นึกว่าจะได้กินข้าวคนเดียวเหงาๆ ซะแล้ว
นี่เป็นครอบครัวพี่โอมครับ
มาพักหลังเดียวกันกับเรา
พรุ่งนี้มีเพื่อนเดินขึ้นเขาแล้ว สนุกแน่นอนครับงานนี้



ตัดภาพมาที่โต๊ะอาหาร เมนูพื้นบ้านรอเราอยู่เพียบ
ไฮไลท์ของที่นี่ผมแนะนำเมนูนี้เลยครับ
"ไข่ป่าม" หอมๆ เผารวมกันกะใบตอง
รสชาติละมุนน่าดู
ใครมากินรับรองติดใจทุกรายครับ



เมนูต่อมาที่ชาวบ้านที่นี่แนะนำอยากให้ได้ชิมกันเป็นเมนู "หลามไก่"
โดยเมนูนี้ชาวบ้านจะใช้ไม้ไผ่มาประกอบอาหาร
วิธีการทำนั้นก็ไม่ยุ่งยากเพียงแค่เอาเนื้อไก่มาสับเป็นชิ้นเล็กๆ พอดีคำ
นำมาคลุกเคล้ากับเครื่องสมุนไพรแล้วปรุงรสตามใจชอบ
แล้วเอาไปเผาจนสุกได้ที่ ก็เทกินได้เลย
พูดแค่นี้ก็น้ำลายไหลกันแล้ว ไปชิมกันเลยดีกว่าครับ



หลังจากอิ่มจนได้ที่
ได้เวลาพักผ่อนกันแล้ว
พรุ่งนี้เราต้องไปขึ้นเขากันแต่เช้า
ราตรีสวัสดิ์ครับทุกคน


เช้ามืดวันที่สองได้เริ่มต้นกันแล้ว

หลังจากที่นอนพักผ่อนกันไปอย่างเต็มอิ่ม

ทะเลหมอกรอเราอยู่ ฮึบๆๆๆ

พาหนะพื้นบ้านสุดชิคกับรถอีแต๊กที่มารอรับเราไปขึ้นเขากันตั้งแต่ตีห้า


ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายในการขึ้นเขา

อันนี้แล้วแต่กำลังศรัทธาเลยครับ

ชาวบ้านที่นี่เค้าไม่ได้ซีเรียสอะไรกันมากมาย

แค่ทุกคนได้มาสัมผัสวิถีชีวิตแล้วไปบอกต่อๆ กัน

ให้คนมากันเยอะๆ แค่นี้ชาวบ้านเค้าก็ดีใจกันแล้วครับ



ระหว่างทางก็จะเต็มไปด้วยทุ่งนาเขียวขจี

หมอกลอยเด่นมาแต่ไกล

วิวข้างบนเขาโปกโล้นในวันนี้คงจะสวยงามไม่เบาครับ



ปีนป่ายกันจนได้ที่ก็มานั่งพักเหนื่อยกันสักหน่อย

ระยะทางขึ้นเขาที่นี่ไม่ไม่ไกลมากครับ

ประมาณ 2 กิโลเมตร



ระหว่างทางก่อนถึงเราจะเจอกับแนวหินสันหลังจระเข้ครับ

เวลาเดินต้องระมัดระวังกันหน่อย

เพราะมันลื่นมากกกกกก

ร่วงไปนี่ไม่มีใครช่วยนะครับ ฮ่าๆๆๆ



เดินกันไปประมาณครึ่งชั่วโมงก็ถึงยอดเขาแล้วครับ



ด้านบนจะเป็นลานหินโล่งกว้าง สามารถเห็นทะเลหมอกได้อย่างอลังการ

มองเห็นวิวไกลสุดลูกหูลูกตา

เป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นที่สวยงามที่สุดอีกแห่งหนึ่งของเมืองไทย

แต่วันนี้พระอาทิตย์คงจะอยากนอนไม่โผล่ขึ้นมาให้เราเห็น

ก็อากาศมันดีซะจนน่านอนนี่หน่า ฮ่าๆๆๆ



ด้านบนนี้ยังมีพระพุทธรูปให้เราได้กราบไหว้บูชา

องค์นี้มีชื่อว่า "พระพุทธสมณโคดมสัพพัญญู"

กว่าชาวบ้านจะแบกพระพุทธรูปองค์นี้ขึ้นมาไว้บนยอดเขานี้ได้

ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยนะครับ ชาวนครชุมที่นี่ต้องมีศรัทธาอันแรงกล้า

ต้องอาศัยทั้งแรงกายและแรงใจที่แข็งแรงจริงๆ ครับ



ชมวิวชมหมอกกันจนเต็มอิ่ม

ได้เวลาบอกลาขุนเขากันแล้ว

ปล่อยให้มวลความสุขได้ลอยปกคลุมจิตใจของเรา

พร้อมกับรอยยิ้มจากมิตรภาพร่วมทาง

ที่เก็บมาคิดทีไรก็ทำให้เราสุขใจไปได้ทั้งวัน



บรรยากาศระหว่างทางก็ชวนพาให้เราเคลิบเคลิ้ม

ไปกับความงดงามของธรรมชาติ

ที่รอรับคนแปลกหน้าอย่างพวกเรา

ด้วยท่าทีที่เป็นกันเองแบบสุดๆ

ไม่ต่างอะไรกับชาวนครชุมครับ

ทุกคนเป็นมิตร ทุกคนให้การต้อนรับเป็นอย่างดี



จนเราไม่ได้รู้สึกว่าที่นี่ไม่ได้เป็นแค่แหล่งท่องเที่ยว

ที่นี่เป็นเหมือนบ้าน

ที่รอให้เราได้กลับมาพักผ่อน

แล้วอีกไม่นานเราจะกลับมาที่ร่องเขาแห่งนครชุมอีกแน่นอนครับ



ขอบคุณครูอ๋อเจ้าของบ้านโฮมสเตย์นครชุมที่ดูแลเราเป็นอย่างดี



ขอบคุณไกด์ตั้มและครอบครัวพี่โอมสำหรับมิตรภาพดีๆ ที่เกิดขึ้น



256 กิโลเมตร กับการลุยเดี่ยวขี่มอเตอร์ไซด์ครั้งแรกของชีวิต

ขับข้ามเขาไม่รู้กี่ลูก หมาตัดหน้ารถเกือบคว่ำ

โชคดีที่กลับมารอดปลอดภัย

ขอบคุณในความกล้าอันบ้าระห่ำ

ที่ให้เรายังมีลมหายใจอยู่ในวันนี้

แล้วพบกันใหม่ในการเดินทางครั้งหน้าครับ



" การเดินทางที่ไม่ได้มีจุดหมายแค่ปลายทาง

แต่เต็มเปี่ยมไปด้วยมิตรภาพและสิ่งดีๆในระหว่างทาง

ถ้าไม่ลองออกไปสัมผัส ออกไปเรียนรู้ด้วยตัวเอง

คงจะไม่รู้ซึ้งถึงความหมายในการใช้ชีวิตดีๆ แบบนี้ "



รายละเอียดค่าใช้จ่าย

ค่าเดินทาง รถทัวร์ไปกลับ 669 บาท

ค่าที่พัก 450 บาท อาหารสองมื้อ

ค่านอนห้องพักวาสนา 3 ชม. 100 บาท

ค่าเช่ารถมอเตอร์ไซด์ 1,200 บาท

ค่ารถอีแต๊ก 20 บาท

ค่าอาหารเครื่องดื่ม 245 บาท

ค่าน้ำมัน 115 บาท

รวมค่าใช้จ่ายทั้งหมด 2,799 บาท


FB : Bean Skullflied


Bean Skullflied

 วันเสาร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2561 เวลา 20.24 น.

ความคิดเห็น