เมื่อไต้หวันเปิดโอกาสให้คนไทยไปเที่ยวโดยไม่ต้องขอวีซ่า แล้วทำไมเราจะไม่ไปหล่ะคะ จะมัวช้าอยู่ไย เริ่มจากหาเพื่อนร่วมทริป เมื่อได้เพื่อนร่วมทริปเป็นเพื่อนที่รู้ใจอย่างเพื่อนโบว์แล้ว เราจะมัวรออะไรก็ทำการจองตั๋ว วางแผนการเดินทาง ทำให้เกิดทริป Lost in Taiwan เกิดขึ้น 555+ บอกได้คำเดียวว่า ทริปนี้หลงตั้งแต่วันแรกจนวันสุดท้าย ถ้าใครกำลังวางแผนไปไต้หวันและไม่อยากหลงเหมือนอย่างเรา แนะนำว่าให้อ่านคะ จะได้เอาไปเป็นแนวทาง ก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องการท่องเที่ยวอันแสนสุดหรรษาของเรา ขอสรุปงบประมาณค่าใช้จ่ายในการเดินทางทริปนี้ก่อน สำหรับท่านที่ยังไม่เคยไปอาจจะเอาไปเป็นแนวทางในการวางแผนการเดินทางของตนเอง ทริปนี้ขอบอกก่อนว่าเรากินหรู อยู่แพง (หรือปล่าว) ทำให้ค่าตั๋วเครื่องบินอาจจะแพงไปนิด ใครหาได้ถูกกว่านี้ก็เอาไปหักลบออกจากค่าใช้จ่ายรวมได้เลยจ้า
ค่าใช้จ่ายต่อคน
- ตั๋วเครื่องบิน 12,000 THB (บิน Full Service , Cathay Pacific Airline)
- ที่พัก 4,300 THB (นอนโรงแรมในไทเป 3 คืน)
- ค่ารถบัสจากสนามบินเข้าเมือง 400 THB
- ค่ารถโดยสารตลอดทริป 1,000 THB
- ค่าเข้าชมสถานที่ต่าง ๆ 600 THB
- ค่าอาหารตามอัธยาศัย 3,000 THB + อื่น ๆ 2,000 THB
- ค่าอาบน้ำแร่ คนละ 1,000 THB
รวมคนละ 24,300 THB
เมื่อจัดเตรียมการเดินทางเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็เริ่มออกเดินทางตะลุยไทเปกันเลยยยยยยยย
เริ่มต้นหลงทางวันแรก วันเดินทางอย่างเดียวเลยคะ เพราะว่าการเดินทางจากประเทศไทยไปไต้หวันนั้น เราต้องเดินทางเป็นเวลาประมาณ 4 ชั่วโมงแต่เนื่องจากเราบินของคาเธย์ทำให้ต้องไปต่อเครื่องที่ฮ่องกง สรุปเลยว่าวันแรกคือวันแห่งการเดินทางไปถึงไทเปก็เป็นเวลาค่ำแล้ว ก็นั่งรถไฟใต้ดินเข้าเมืองไทเปเพื่อเข้าที่พักเลยค่ะ อุตส่าห์ตั้งใจเลือกที่พักที่มีรีวิวบอกว่าติดกับทางออกของรถไฟใต้ดินกันเลย เพราะจะได้ไม่หลงและไม่ต้องเดินไกล แต่ก็ไม่วายหลงทางกันจนได้ ใครหลายคนที่เคยไปไทเปคงจะรู้รสชาติของสถานีรถไฟใต้ดิน Taipei Main เป็นอย่างดี เพราะมันใหญ่มาก ๆ เดินออกได้หลายทางมาก ๆ เรียกว่าไล่กันจนจะหมดตัวอักษรภาษาอังกฤษกันเลย เราพักที่ Sunrise Business Hotel – Taipei Main คิดว่ายังไงสะวันนี้คงไม่หลง เพราะเขาบอกให้เดินขึ้นมาด้านบนเลยแล้วก็จะเจอโรงแรม พอเจอทางออกขึ้นข้างบนก็งงเลยทันที ต้องรีบเปิดพี่กูให้ช่วยพาเดินไปกันเลยทีเดียว อย่างที่รู้ ๆ พี่กูมักจะพาซื่อบอกทางไปที่แสนจะงง ๆ เหมือนกัน เราก็ได้แต่เดินตามแบบใจหายหน่อย ๆ เพราะว่าในรีวิวบอกว่า ขึ้นมาเดินไม่ถึงนาทีก็จะถึงโรงแรมแต่ทำไมเรายิ่งเดิน ยิ่งไกล เฮ้ย หลงทางป่าวอ่ะ แต่ก็ไม่มีทางเลือกต้องเชื่อพี่กู เพราะเวลานี้ก็มืดแล้ว เป็นเวลาสองทุ่มแล้ว อากาศเริ่มเย็นนิด ๆ สองสาวจึงต้องลากกระเป๋าเดินกันต่อไป และแล้วเราก็เดินผ่านทางออกของรถไฟใต้ดิน Z10 แล้วตาของอิฉันก็เหลือบไปเห็นป้ายชื่อโรงแรม โอ้แม่เจ้า อยู่ติดทางออกของรถไฟใต้ดินจริง ๆ แต่เป็นตัวอักษรสุดท้ายเลยจ้า คือ Z จองไปแล้วสามคืน ได้แต่ทำใจว่าคงต้องได้เดินกันขาลากแน่นอนกว่าจะได้ขึ้นรถไฟใต้ดินในแต่ละวัน
ใครว่าวันนี้จะไม่หลงนะ วันที่สอง เที่ยวเขาหยางหมิงซาน
วันที่สองเรามีโปรแกรมจะไปเที่ยวเขาหยางหมิงซาน เพราะว่าเราได้มีแผนการจะไปอาบน้ำแร่ที่โรงแรมที่อยู่ใกล้ ๆ กับเขาหยางหมิงซานในช่วงบ่าย อุทยานแห่งชาติหยางหมิงซาน ตั้งอยู่ไม่ไกลมากจากเมืองไทเป ที่นี่เป็นสถานที่คนไทเปนิยมมาพักผ่อนในวันหยุด เป็นสถานที่มาเดินป่า พักผ่อน เที่ยวชมธรรมชาติ อุทยานแห่งชาติเขาหยางหมิงซานเป็นเขตของภูเขาไฟที่ดับไปแล้ว ตัวอุทยานกินพื้นที่บริเวณกว้างมาก จึงเป็นอีกสถานที่แห่งหนึ่งที่นิยมของคนไต้หวันที่จะมาพักผ่อน สำหรับสองสาวแนวรักธรรมชาติอย่างเรา จะพลาดโปรแกรมเที่ยวชมธรรมชาติไปได้อย่างไร
การเดินทาง: นั่งรถไฟ MRT สายสีแดงไปลงสถานี Jiantan ออกตรง Exit 1 แล้วเลี้ยวซ้ายเพื่อมารอรถที่ป้าย จากนั้นต่อรถบัสสาย 535 หรือ R5 หรือ จะนั่งรถบัสสาย 260 ไปได้ง่าย ๆ เพราะสุดสายคืออุทยานฯ เราไม่ต้องคอยระแวงตลอดการเดินทางว่าจะต้องลงป้ายไหน ป้ายรถ 260 อยู่ที่ Taipei Main Station exit Y6 รถมาทุกๆ 10 นาทีในช่วงหน้าไฮซีซั่น และใช้เวลาเดินทางราว 45 นาทีถึงจุดหมาย โดยรถจะวิ่งยาว ๆ ไปจนคิดว่าหลงกันเลยทีเดียวจนถึงลานจอดรถก่อนเข้าอุทยานหยางหมิงซาน รถจะวิ่งผ่านมหาวิทยาลัย ที่มีนักเรียนลงเยอะ ๆ อย่าพึ่งลงนะคะ ให้ไปลงสุดสายเลย จากตรงที่เราลงหากใครอยากจะเดินป่าก็สามารถเดินเที่ยวชมได้ด้วยตนเอง ซึ่งระหว่างทางเราก็จะเห็นพวกคุณลุงคุณป้าหลายคนเตรียมพร้อมสำหรับการมาเดินป่า แต่ถ้าหากใครไม่พร้อม (อย่างเราสองคน) ก็สามารถนั่งรถสาย 108 ที่เป็นรถที่วิ่งวนเวียนอยู่ในอุทยาน ส่วนค่าโดยสายอยู่ที่ 60 NT โดยรถสายนี้จะวิ่งรอบ ๆ อุทยาน ส่วนการขับขี่นั่น บอกได้คำเดียวว่า แทบจะเหยียบเบรกช่วยไม่ทัน รถทุกคนที่เป็นสาย 108 หลังจากที่เราได้ลองนั่งมาแล้ว พบว่า ขับเร็วมาก ๆ แม้ว่าทางข้างบนนั่นจะเป็นภูเขา ขดเคี้ยว โค้งเยอะมาก ๆ แต่พี่แกก็จะวิ่งแบบซิ่งมาก ๆ ใครไม่เวียนหัวให้มันรู้ไป เข้าใจว่าคนขับเขาคงชินทาง ชินทุกโค้ง เพราะเขาขับทุกวัน แต่ถามเราหรือยังว่าเราชินไหมมมมมมมม บอกเลยว่าถ้าใครชอบเล่นเครื่องเล่นหวาดเสียว ไม่ต้องไปสวนสนุกเลย แนะนำมานั่งรถสาย 108 คุ้มค่ามาก ๆ ได้ทุกรสจริง ๆ
การท่องเที่ยวในอุทยาน
การท่องเที่ยวในอุทยานนั้นจะแบ่งเป็นจุด ๆ ซึ่งรถ 108 นั้นจะวิ่งและจอดเป็นจุด ๆ ซึ่งมีจุดที่จอดค่อนข้างเยอะ แต่เราเลือกแวะเพียงสองจุดเท่านั้นที่เราเห็นแล้วว่าสวยงามเพียงใด เนื่องจากช่วงที่เราไปเป็นฤดูฝนของเขาทำให้สภาพอากาศค่อนข้างแปรปรวน ในช่วงเช้าที่เราไปนั้น ก็มีพายุฝนตกมาอย่างน่ากลัว ฟ้าร้องเพียงใด แต่ใจก็ยังสู้ 555+ เราสองคนไม่ย่อท้อ เริ่มจากหาซื้อร่มก่อน แต่ร่มก็ไม่สามารถใช้งานได้ เพราะแรงลมนั้นแรงมาก ทำให้ต้องซื้อเสื้อฝนด้วย สรุปถึงฝนจะตกหนัก ฟ้าจะร้อง แต่ฉันทั้งสองก็ไม่ยอมแพ้ มาแล้วต้องได้เที่ยว
ภูเขาไฟที่ดับไปแล้ว
ภาพที่ได้จากตอนเช้า ยังคงมีฝนตกบ้าง และหมอก
ฝนจะตก ฟ้าจะร้อง ก็ยังคงต้องเที่ยวและถ่ายรูป 55+
แต่ด้วยเวลาที่เรามีจำกัด ประกอบอากาศที่แสนจะไม่เอื้ออำนวยทำให้การเที่ยวของเราในช่วงเช้านั้นเป็นไปอย่างทุลักทุเลมาก ๆ แล้วด้วยตามกำหนดที่เรากลัวว่าจะไม่ทันไปอาบน้ำแร่ที่เราได้จองไว้ที่ Yangmingshan Tien Lai Hot Spring and Spa Resort ความหลงมันเริ่มต้นตรงนี้นี่เอง เพราะเราได้พยายามโทรหารีสอร์ทเพื่อถามทางไปแล้ว แต่ภาษาอังกฤษของพนักงานรีสอร์ทดีมาก ๆ หรือภาษาอาจจะไม่ดีพอ 555+ ทำให้สุดท้ายสื่อสารกันยังไงไม่รู้ เราเลยพึ่งพาลุงกูซึ่งลุงกูบอกแต่รถที่เราจะต้องนั่ง ทำให้เราต้องนั่งรถลงจากเขาหยางหมิงซานเพื่อไปเริ่มต้นใหม่ที่สถานนี Jiantan เราทั้งสองก็ได้แต่ไปนั่งรอ ๆ รถสาย 535 หรือ R5 ตามที่ลุงกูบอก แต่รอผ่านไปนานกว่าครึ่งชั่วโมงก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะมีรถมา ใจก็เริ่มตุ่ม ๆ ต่อม ๆ แล้ว เพราะว่าเราจองเวลาไว้คือบ่ายสองโมง ซึ่งใน voucher ระบุเวลาว่าหากเราไปช้า ก็ถือว่ายกเลิก ทำไงดี ทำไงดี เริ่มมองหน้ากัน แล้วก็พยักหน้ามองไปที่แท็กซี่ เอาว่าคงต้องนั่งแท็กซี่แล้ว สองคนเลยตัดสินใจขึ้นแท็กซี่ เจอคุณพี่ท่านหนึ่ง ท่าทางใจดี น่าจะต้อนรับคนไทยบ่อย พูดไทยได้นิดหน่อย แถมพยายามเปิดเพลงไทยให้เราฟังตลอด (เปิดจาก youtube)
คุณพี่ก็ขับรถพาเรากลับมาทางเดิมที่ขึ้นเขาหยางหมิงซาน เอาแล้วไง เริ่มมองหน้ากันและหัวเราะ 555+ ที่แท้มันอยู่บนเขาหยางหมิงซาน แล้วพวกฉันจะเสียเวลานั่งรถลงไปทำไมเป็นชั่วโมง แล้วกลับมาที่เดิม ทางที่กลับมาทางเดิมเหมือนกันเปี๊ยะ ผ่านสถานที่ที่เรามาเมื่อตอนเช้าแบบเดียวกับเลย แบบนี้สินะที่เรียกว่า หลงทางเสียเวลา 555+ แต่ในความเลวร้ายก็ยังมีเรื่องดี เพราะพี่แท็กซี่มีน้ำใจกับเราสองคนมาก ๆ เจอวิวสวย ๆ ตรงไหน พี่แกก็จะจอดรถให้เราลงไปถ่ายรูปพร้อมทั้งถ่ายรูปให้กับเราสองคน แถมยังแถมตรงจุดที่เราไม่ได้แวะไปด้วย คือจุดที่มีให้ชมดอกไม้ ด้วยบรรยากาศที่แตกต่างจากตอนเช้าที่ท้องฟ้าขมุกขมัวด้วยฝน แต่ตอนนี้ท้องฟ้าแจ่มใสทำให้เราสองคนได้มีโอกาสถ่ายรูปอีกครั้งในวิวใหม่ ที่สวยสดใส 555+ เราคิดในแง่ดีอ่ะนะ อีกใจก็พี่คะ พาไปส่งโรงแรมสะทีเถอะจะถึงบ่ายสองโมงแล้ว สรุปเหมือนได้ไกด์นำเที่ยวไปในตัว แล้วพี่แท็กซี่ผู้ใจดีก็พาเราไปส่งที่โรงแรมตามกำหนดเวลาพอดี ส่วนค่าเสียหาย ซึ่งถือว่าเป็นค่า (โว่) ของเราเองที่หลงทางนั้นก็หลักพันกันเลยทีเดียว 555+ แต่ก็ถือว่าคุ้มได้ถ่ายรูปสวย ๆ ชมดอกไม้สวย ๆ และยังไงเราก็ยังมาทันแช่น้ำร้อนตามที่นัดหมายไว้ ไว้มาติดตามต่อกับ Lost in Taipei ความหลง (ทาง) ของเรายังไม่จบเพียงเท่านี้
ได้ชมดอกไม้ด้วย
พี่แกจอดให้ถ่ายรูปตรงนี้ วิวดีนะ .
บรรยกาศที่โรงแรม
ในที่สุดก็จะได้แช่น้ำแร่แบบส่วนตัว ส่วนตั๊ว
เดอะ Traveller
วันเสาร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2561 เวลา 22.18 น.