กลับมาอีกครั้งกับการเล่าเรื่องราวประสบการณ์การท่องเที่ยวซึ่งครั้งนี้ผมได้มีโอกาสกลับไปเยี่ยมสวิตเซอร์แลนด์อีกครั้งหลังจากที่ผมได้ไปเรียนป.ตรีสาขาการท่องเที่ยวและการโรงแรมที่นั่นเป็นเวลาสี่ปี...การได้มีโอกาสใช้ชีวิตอยู่ ณ ประเทศอันสวยงามแห่งนี้ มีหรือที่ผมจะไม่อยากไปเยือนอีกครั้ง พอดีครั้งนี้มีโอกาสช่วงปิดเทอมฤดูร้อนหลังจากจบคอร์สเรียนภาษาตุรกีเสร็จแล้ว เผอิญได้จองตั๋วไปกลับจาก Istanbul ไป Zurich ด้วยราคาประมาณ 107 ยูโร หรือประมาณ เกือบๆ 4,000 บาท เผอิญเราอยู่เมือง Izmir ก็เลยต้องซื้อตั๋วเครื่องบินจาก Izmir ไป Istanbul อีกรอบ...พอจัดแจงเรื่องวีซ่าเสร็จสรรพก็จัดกระเป๋าเดินทางพร้อมที่จะบินไปสวิตแล้ว...
ท้าวความเดิมเมื่อตอนที่แล้ว...ผมได้เขียนรีวิวเรื่อง ตุรกี...ดินแดนแห่งมนต์ขลัง...ตอนหลงเสน่ห์ Cappadocia...เพื่อนๆ สามารถอ่านรีวิวตอนที่แล้วได้ที่ https://th.readme.me/p/2021 นะครับ
#กล้องที่ใช้ถ่ายคือกล้อง Nikon D3000 ซื้อตั้งแต่ห้าปีที่แล้ว...รูปอาจจะไม่ชัดมาก ถ่ายเป็นไฟล์ RAW แล้วแปลงเป็น JPG อีกรอบนึง ไม่ได้แต่งอะไรมากครับ
เมืองที่ไปในคราวนี้คือเมืองลูเซิร์น (Luzern หรือ Lucerne) และเมือง Engelberg ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเมืองลูเซิร์นมากนัก นั่งรถไฟไปประมาณ 40 นาทีครับ จากนั้นก็นั่งรถไฟกลับมาที่ลูเซิร์นอีกครั้งเพื่อนั่งเรือไป Vitznau แล้วต่อรถไฟไต่เขาขึ้นไปที่ยอดเขา Rigi ครับ เพื่อนๆ อาจจะจำสถานที่นี้ได้ถ้าได้ดูละครเรื่อง อย่าลืมฉัน ซึ่งออกอากาศไปเมื่อสองปีที่แล้ว ตอนที่ผมไปเป็นช่วงหน้าร้อนของปีที่แล้ว (ปี 2558) ช่วงเดือนกรกฎาคมครับ
เมืองลูเซิร์น
ฤดูร้อนที่ลูเซิร์นถือว่าเป็นฤดูที่คึกคักไปด้วยนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติหรือแม้กระทั่งคนท้องถิ่นเองก็ชอบออกมาทำกิจกรรมกลางแจ้ง เช่นว่ายน้ำ พายเรือ เดินเขา หรือออกมาจิบกาแฟยามว่าง...ช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่ครึกครึ้นที่สุด และเป็นช่วงเวลาที่เหมาะกันการท่องเที่ยวเป็นที่สุดเพราะว่าอากาศไม่หนาวเย็น ฝนไม่ค่อยตก และมีแดดตลอดทั้งวัน เหมาะแก่การถ่ายสวยๆ เก็บไว้เป็นที่ระลึก
เมืองลูเซิร์นเป็นเมืองที่สวยงามแห่งหนึ่งของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ มีตึกรามบ้านช่องอันสวยงาม รวมทั้งทะเลสาบ แม่น้ำ ภูเขาและป่าไม้ ไม่แปลกเลยที่ใครหลายๆ คนจะหลงรักเมืองนี้ไปเสียแล้ว
สะพานไม้ Chapel Bridge เป็นสะพานไม้ที่มีชื่อเสียงและเก่าแก่แห่งหนึ่งของยุโรป สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 14 ประดับตกแต่งบนโครงหลังคาหน้าจั่วด้วยภาพวาดในศตวรรษที่ 17 ซึ่งภาพเขียนเหล่านี้เป็นการเล่าเรื่องราวประวัติความเป็นมาของเมืองลูเซิร์น โดยมีหอคอยน้ำ (Wasserturm) ซึ่งเดิมใช้เป็นที่คุมขังนักโทษและเก็บเอกสารรวมทั้งของมีค่าของเมืองไว้ หอคอยนี้มีลักษณะเป็นรูปทรงแปดเหลี่ยมที่มีฐานเชื่อมติดอยู่กับสะพานสร้างขึ้นราวปี ค.ศ. 1300 สะพานแห่งนี้เคยถูกไฟไหม้ไปเมื่อปี ค.ศ. 1993 แล้วก็มีการบูรณะใหม่จนมีสภาพใกล้เคียงของเดิม (ภาพวาดดั้งเดิมถูกไหม้ไปเยอะ)
รอบๆ บริเวณนี้ จะมีหงส์อยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งหงส์เหล่านี้เป็นหงส์ที่อยู่ตามธรรมชาติ..ไม่ได้มีการนำมาปล่อยอะไรทั้งนั้น
สภาพตัวสะพานไม้ (รูปอาจจะเบลอๆ นิดนึง)
รถไฟชมเมืองวิ่งผ่านแถวสะพานไม้...รู้สึกเหมือนอยู่ในสวนสนุกเลย
เมืองนี้คนไม่พลุกพล่านเท่าไหร่นัก แต่ก็ไม่เงียบเหงาซะทีเดียว
ตึกสีสันสดใสตั้งอยู่บริเวณเมืองเก่าของลูเซิร์น
ผู้คนออกมาทานข้าวกลางวันในร้านอาหารริมแม่น้ำ
บริเวณนี้มีที่นั่งสำหรับคนที่ซื้ออาหารแบบสำเร็จรูปจาก supermarket หรือว่าอาหารแบบ takeaway จากร้านต่างๆ นั่งทานไปด้วยชมวิวไปด้วย ช่างมีความสุขจริงๆ
บริเวณเมืองเก่าของลูเซิร์น
บริเวณสะพานข้ามแม่น้ำอีกแห่งของลูเซิร์น จะมีผู้คนมานั่งพักชมวิวไม่ขาดสาย
ที่มองเห็นเป็นปราสาทสีขาวๆ นั่นคือปราสาท Gütsch ซึ่งเป็นโรงแรมและร้านอาหาร
วิวนี้เป็นวิวที่มองจากบริเวณกำแพงเมืองและป้อมปราการซึ่งอยู่เลยขึ้นมาจากเมืองเก่ามาก ยอดเขาที่เห็นอยู่นั้นคือ ยอดเขา Pilatus นักท่องเที่ยวสามารถนั่งรถไฟขึ้นไปชมวิวบนยอดนั้นได้แต่ค่าโดยสารแพงเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน
วิวของเมืองลูเซิร์นกับทะเลสาบและภูเขารอบๆ
อีกด้านนึงของเมืองลูเซิร์นซึ่งขนาบไปกับแม่น้ำ Reuss
บริเวณด้านหลังของป้อมปราการและกำแพงเมืองเก่า
ค่อยๆ เดินลงไปอย่างระมัดระวัง
สะพานไม้อีกแห่งนึงของเมืองลูเซิร์น
มีรถไฟลากขึ้นไปยังปราสาท Gütsch ด้วย แต่น่าจะยังไม่เปิดใช้บริการ
มีทางเดินจากตีนเขาขึ้นไปยังปราสาท Gütsch ทำเอาเราเหนื่อยพอสมควร
บริเวณป้อมปราการและกำแพงเมืองเก่า วิวนี้เป็นวิวที่มองจากปราสาท Gütsch
เสร็จแล้วเราเดินไปทางเมืองเก่าอีกสักพักแต่ให้เลียบทะเลสาบไปก็จะเห็น Hofkirche St. Leodegar หรือว่าโบสถ์ของ St. Leodegar บางส่วนของโบสถ์นี้ได้ถูกสร้างขึ้นระหว่างปีคศ.1633-1639 บนฐานของโบสถ์โรมันที่ถูกไฟไหม้ในปี 1633 ภายในจะมีแท่นบูชาพระแม่มาเรีย รูปปั้นนักบุญ Leodegar และ Mauritus ซึ่งเป็นนักบุญองค์อุปถัมภ์ของเมืองลูเซิร์น
บรรยากาศภายในโบสถ์ St. Leodegar
ร้านอาหารสวยๆ แบบสวิสบริเวณด้านหน้าของโบสถ์ St. Leodegar
เสร็จแล้วก็เดินต่อไปยังอนุสรณ์สถานสิงโตร้องไห้ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโบสถ์ St. Leodegar มากนัก
ระหว่างทางที่เดินไปยังอนุสรณ์สถานสิงโตร้องไห้จะมีร้านอาหารและบาร์นั่งดื่มเป็นระยะๆ
Löwendenkmal อนุสรณ์สถานสิงโตร้องไห้ เป็นอนุสรณ์สถานเพื่อระลึกถึงทหารรับจ้างชาวสวิสหลายร้อยนายที่เสียชีวิตตอนไปออกรบให้กับราชวงศ์ฝรั่งเศส และถูกสังหารโดยคณะปฏิวัติเมื่อครั้งมีการปฏิวัติฝรั่งเศส อักษรที่สลักด้านบนเขียนไว้ว่า HELVETIUM FIDEI AC VIRTUTI (To the loyalty and bravery of the Swiss) แสดงถึงความเสียสละและจงรักภักดีต่อนายจ้าง
บริเวณนี้มีบ่อน้ำกว้างอยู่ด้านหน้า และสิงโตแกะสลักอยู่ตรงหน้าผาหินไม่สูงมากนัก มีนักท่องเที่ยวแวะเวียนมาถ่ายรูปอยู่เนืองๆ แต่ไม่ได้เยอะมาก ทำให้ถ่ายรูปได้มุมสวยๆดี สามารถโยนเหรียญเพื่ออธิษฐานได้ ด้านหลังมีพิพิธภัณฑ์ซึ่งสามารถเข้าชมได้ฟรีโดยใช้สวิสพาส ซึ่งภายในพิพิธภัณฑ์มีสิ่งน่าสนใจมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ห้องกระจกลักษณะคล้าย Maze สวยงามมาก
จะเห็นว่านักท่องเที่ยวมีไม่เยอะมาก
บริเวณหน้าร้านขายของที่ระลึกแถวๆ สิงโตร้องไห้
หลังจากเยี่ยมชมสิงโตร้องไห้เสร็จแล้วก็เดินกลับมาอีกฟากนึงซึ่งอยู่ฝั่งเดียวกับสถานีรถไฟ
บริเวณใกล้ๆ สถานีรถไฟจะมีศูนย์ประชุมและสถานที่จัดแสดงเกียวกับวัฒนธรรมประจำเมืองลูเซิร์น ผู้คนชอบมานั่งพักผ่อนที่นี่แถมยังมี wifi ฟรีด้วย
บริเวณนี้ยังเป็นท่าจอดเรืออีกด้วย
เดินเลียบฝั่งทะเลสาบมาสักพักก็จะเจอสวน Ufschötti ซึ่งตั้งอยู่ริมทะเลสาบ บริเวณนี้ยังมีชายหาดให้เราได้เล่นน้ำเวลาอากาศร้อนๆ วันไหนอากาศดีจะมีผู้คนมาอาบแดดและทำกิจกรรมต่างๆ บริเวณสนามหญ้าในสวนเป็นจำนวนมาก
เมือง Engelberg
เที่ยวเมือง Engelberg เมืองเล็กๆ ที่อยู่ติดกับเทือกเขาแอลป์ทางตอนกลางของสวิสโดยมี ยอดเขาทิตลิส (Titlis) ซึ่งเป็นยอดเขาที่มีความสูงถึง 3,238 เมตร มีหิมะปกคลุมยอดเขาตลอดทั้งปี ในละคร "อย่าลืมฉัน" ฉากที่นักแสดงขึ้นมาเล่นหิมะกันก็คือยอดเขายอดนี้แหละ ในฤดูหนาวถือว่าเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ที่คนนิยมมาเล่นสกี บนยอดเขา Titlis จะมีลานสกีให้นักท่องเที่ยวได้เล่น การขึ้นไปบนยอด Titlis เพื่อนๆจะต้องนั่ง Cable Car ขึ้นไปยังยอดเขา Titlis โดยจะต้องมีการเปลี่ยนกระเช้าอยู่สามช่วงด้วยกันเปลี่ยนที่สถานี Gerschnialp ที่สถานี Trubsee และที่สถานี Stand จากนั้นก็เปลี่ยน Titlis Rotair แบบหมุนได้ 360 องศาสามารถชมวิวและถ่ายรูปได้ 360 องศากันเลยทีเดียว
เครดิตรูปภาพจาก http://ww3.templejc.edu/prodev/IMED1x16/portfolio/...
ตอนที่ผมไปคือช่วงหน้าร้อน บนยอดเขายังมีหิมะปกคลุมอยู่แต่ไม่ได้ขึ้นไปบนนั้นเพราะตั้งใจที่จะไปชม Trübsee อย่างเดียว และอีกอย่างก็คือว่าค่ากระเช้าขึ้นไปที่ยอด Titlis นั้นราคาแพงพอสมควร
สถานีรถไฟเมือง Engelberg
ระหว่างทางจากสถานีรถไฟเพื่อจะไปขึ้นกระเช้าสู่ทะเลสาบ Trübsee
โรงแรมแห่งหนึ่งใน Engelberg ภายนอกดูสวยงามมาก ราคาน่าจะแพงเอาการ
วิวของเมือง Engelberg มองจากกระเช้าทางด้านซ้ายมือ
วิวจากกระเช้าทางขวามือ
ถึงสถานี Gerschnialp แล้วต่อ กระเช้าเล็กไปสถานี Trübsee
หลังจากลงกระเช้าที่สถานี Trübsee ผมก็เดินลงไปบริเวณทะเลสาบทันที อยากเห็นว่าจะว้าวแค่ไหน พอเห็นแล้วก็กึ่งดีใจกึ่งเสียใจ เพราะว่าทะเลสาบสวยก็จริง แต่รู้สึกว่ามันไม่ค่อยเป็นธรรมชาติมากนัก มีสถานีกระเช้าอยู่อีกฟากนึงสำหรับนั่งไปสถานี Jochpass เพื่อต่อไปที่สถานี Engstlensee ซึ่งสถานีนี้ก็มีทะเลสาบอีกแห่งหนึ่งเหมือนกัน แต่ผมไม่ได้ขึ้นไปเพราะว่าต้องเสียตังเพิ่ม ขอเดินรอบๆ Trübsee ก็พอใจแล้ว
มีเรือให้บริการสำหรับท่านใดที่อยากพายเรือเล่นรอบๆ ทะเลสาบ
ส่วนตัวผมคิดว่าน้ำในทะเลสาบอาจจะไม่ลึกเท่าไหร่นัก
นอนแปลตัวนี้แล้วชมวิวทะเลสาบไปพลางๆ ทำให้หวนคิดมาว่าถ้าเราหยุดเวลาไว้ได้คงจะดีไม่ใช่น้อย (เผอิญว่าต้องไปยอดเขาริกิต่อเลยกลัวว่าเวลาจะไม่พอ)
มีโต๊ะเก้าอี้ให้นั่งปิ๊กนิ๊กด้วย
มีสนามเด็กเล่นให้เด็กได้เล่นกัน
เตาปิ้งบาร์บีคิวก็มีให้บริการ
ไกลๆ ออกไปนั้นเป็นน้ำตกที่เกิดจากการละลายของน้ำแข็งและหิมะจากยอดเขาด้านบนและไหลลงมากลายเป็นลำธารสายนี้ อยากจะเดินไปดูน้ำตกเหมือนกันแต่เขากั้นไว้ไม่ให้เข้า
ขอถ่ายรูปน้องวัวนิดนึงนะ...อย่าลุกขึ้นมาชนพี่ก็แล้วกัน อิอิ
มุมอีกฟากนึงของทะเลสาบ ที่เห็นตึกไกลๆ นั่นก็คือสถานีกระเช้าและกำลังมีการก่อสร้างรีสอร์ทอยู่ เลยจากส่วนนี้ไปด้านล่างก็คือเมือง Engelberg
หลังจากชมทะเลสาบ Trübsee เสร็จแล้ว ผมก็นั่งกระเช้าลงไปที่เมือง Engelberg และนั่งรถไฟมุ่งหน้าไปยังเมืองลูเซิร์นเพื่อต่อเรือไปยังหมู่บ้าน Vitznau แล้วต่อรถไฟลากขึ้นไปยังยอดเขาริกิครับ...อ้าาา ลึมบอกว่าค่าเดินทางทั้งหมดนี้ผมจ่ายแค่สวิสพาสแล้วไปได้หมดครับ ยกเว้นแค่ตอนขึ้นกระเช้าไป Trübsee ต้องเสียเพิ่ม แต่มีสวิสพาสแล้วได้ลด 50 เปอร์เซนต์จากราคาตั๋วเต็มครับ
ยอดเขา Rigi (ริกิ)
เพื่อนๆ อาจจะเห็นฉากของยอดเขาริกิกันบ้างในละคร ฉากที่พระเอกกับนางเอกคืนดีกัน (น่าจะเป็นตอนจบ) ยอดเขาริกิเป็นยอดเขาแห่งหนึ่งในสวิตเซอร์แลนด์ที่เราสามารถขึ้นไปชมได้ด้วยรถไฟหรือกระเช้าโดยใช้สวิสพาสและไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม
ผมนั่งเรือจากลูเซิร์นข้ามทะเลสาบลูเซิร์นมาไกลพอสมควร พอเรือจอดที่ท่าเรือ Vitznau ผมก็ลงจากเรือแล้วไปต่อรถไฟไต่เขา Rigi-Bahn ซึ่งสถานีรถไฟอยู่ไม่ห่างจากท่าเรือมากนัก พอถึงสถานีก็โชว์บัตรผ่านตลอดให้เจ้าหน้าที่ดูแล้วก็ขึ้นรถไฟที่จอดรอผู้โดยสารอยู่
วิวระหว่างทาง โดยจะมีบ้านคนและทุ่งหญ้าเป็นระยะๆ
วิวระหว่างทางซึ่งจะมองเห็นทะเลสาบลูเซิร์นอยู่เบื้องล่าง
อากาศวันนี้แจ่มใสมาก ทำให้เห็นวิวโดยรอบได้อย่างชัดเจน
ถึงสถานีที่ต้องจอดรอให้รถไฟสวนกัน
อีกฟากหนึ่งของภูเขาจะเป็นทุ่งหญ้าและป่าไม้
ถึงแล้ว...สถานี Rigi Kulm บนยอดเขา Rigi
รถไฟขึ้นยอดเขาริกิจะมีสองสายคือสายสีแดงซึ่งจะรับ-ส่งจากสถานี Vitznau ส่วนสถานีสีฟ้าจะรับ-ส่งจากสถานี Arth-Goldau ซึ่งทั้งสองที่จะอยู่คนละฟากเขา
ตึกตรงนี้คิดว่าน่าจะเป็นโรงแรมนะ
วิวของยอดเขาริกิ
ตรงนี้แหละที่เป็นจุดพีคของที่นี่...โรแมนติกไหมล่ะ
ดูวิวจนหนำใจแล้วผมก็นั่งรถไฟกลับไปยังที่พัก ณ เมืองลูเซิร์น แต่นั่งอีกสายนึงไปลงที่ Arth-Goldau แล้วต่อรถไฟอีกทีนึง ถือว่าเปลี่ยนบรรยากาศการเดินทาง วิวของทางนี้จะเป็นวิวทุ่งหญ้าและป่าเขาลำเนาไพร ถ้าอยากได้บรรยากาศการเดินป่าเดินเขา เพื่อนๆ สามารถเดินลงได้นะ แต่ระยะทางไกลพอสมควร...
ขอจบการรีวิวดื้อๆ แบบนี้แหละ (ถึงตอนจบของละครแล้ว...อิอิ) ปกติผมไม่ค่อยได้เขียนบรรยายอะไรเท่าไหร่ครับ ชอบใส่รูปให้ดูมากกว่า ตอนต่อไปก็ยังอยู่ในสวิตเซอร์แลนด์เหมือนเดิม แต่จะเป็นที่ไหนให้ติดตามชมกันนะครับ ตอนนี้ต้องลากันไปก่อนครับ
ราตรีสวัสดิ์ครับพี่น้องชาวไทย
Chris JJ
วันศุกร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2559 เวลา 22.47 น.