สวัสดีเพื่อนๆพี่น้อง ชาว Readmeทุกท่าน วันนี้ได้มีโอกาสรีวิวแหล่งท่องเที่ยวหลังจากที่ได้ศึกษาผลงานรีวิวดีดีจากทุกๆท่านมา ก็ต้องขอขอบคุณมา ณ โอกาสนี้นะคะ

ว่ากันด้วยที่แห่งนี้ ที่ที่ยังไม่ค่อยมีใครรู้จักว่า เอ้ย!!! มีด้วยเหรอ คืออาจเป็นสถานที่ใหม่สำหรับคนที่ต้องการหาแหล่งท่องเที่ยวประเภทต้องใช้ใจและแรงในปริมาณมากแบบเราและแฟนค่ะ นั้นก็คือ "ภูบักได" ตั้งอยู่ในพื้นที่ อ.ภูเรือ จ.เลย ซึ่งจริงๆแล้วคนที่มาที่อำเภอนี้ ทุกคนก็จะพุ่งเป้าไปที่อุทยานแห่งชาติภูเรือใช่มั้ยคะ ฉะนั้น "ภูบักได" จะเป็นยังไง? ตาม มา เลย ค่ะ (เหมือนรายการทีวีเนอะที่เป็นประโยคคลาสสิคที่เปิดเข้ารายการอะ 555)


ภูบักได" "ตั้งอยู่ในพื้นที่ อ.ภูเรือ จ.เลย อยู่ในการดูแลพื้นที่ของชมรมส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยชุมชนปลาบ่า ซึ่งเป็นการดูแลรักษาธรรมชาติ และแหล่งท่องเที่ยวโดนชุมชนเอง มีท่านกำนันเชิด เป็นประธานชมรม (คือจริงๆ ท่านก็มีชื่อที่ยาวกว่านี้นะคะ แต่เราเรียกท่านสั้นๆว่าพ่อกำนันตลอดค่ะ) แหล่งท่องเที่ยวที่ชุมชนปลาบ่า นอกจากภูบักไดแล้วก็จะมีน้ำตกปลาบ่า น้ำตกสองคอน ไร่แมคคาเดเมีย เกษตรที่สูงภูเรือค่ะ ซึ่งสามารถสอบถามข้อมูลการท่องเที่ยวได้ที่ "ชมรมส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยชุมชนปลาบ่า จ.เลย" โทร 095 658 7113 และ 087 866 8647



เริ่มการเดินทาง....

ทริปภูบักไดนี้ เราใช้เวลาเดินทาง 2 วัน 1 คืน (ไม่นับคืนที่นั่งในรถนะคะ) (2-3 มกราคม 2559) สมาชิกในการเดินทางของเราในทริปนี้มีทั้งสิ้น 4 คนถ้วนนะคะ (เรา แฟนเรา น้อง และแฟนน้อง) เดินทางโดยการนั่งรถโดยสารปรับอากาศเดินทางจาก กทม มา จ.เลย คืนวันที่ 1 มกราคม ถึงเมืองเลยวันที่ 2 มกราคม ตอนเช้าตรู่เลยค่ะ

* ข้อมูลการเดินทาง : เส้นทางรถ บขส 999 / แอร์เมืองเลย กทม. - เลย (เราเลือกมากับแอร์เมืองเลยค่ะ ปล...พอถึงจุดลงรถผานกเค้า คนลงเกือบหมดรถเลยค่ะ เหลือเรา 4 คนถ้วน เพื่อลงตัวเมืองเลย 5555)

: เส้นทางรถเพชรประเสริฐทัวร์.- ภูเรือ (สำหรับท่านที่ต้องการลงจุดรถที่ อ.ภูเรือค่ะ)

: เดินทางโดยเครื่องบิน แอร์เอเชีย / นกแอร์

เราทั้ง 4 คน เลือกลงที่ตัวเมืองเลย แล้วเช่ารถขับไปยังชมรมปลาบ่าฯ เองค่ะ โดยเช่ารถจากสนามบิน เพื่อให้สะดวกต่อการแวะพักซื้อของ และถ่ายรูป

** ข้อมูลการเช่ารถ : อยู่ที่เคาน์เตอร์ด้านหน้าสนามบินเมืองเลยค่ะ ราคาจะอยู่ที่รุ่นของรถที่เราเลือกใช้ ราคาเริ่มต้นที่ 1,000 บาทขึ้นไปนะคะ (แต่จะมีค่ามัดจำด้วย

พอเราได้รถแล้วก็ออกเดินทางไป อ.ภูเรือกัน ตามเส้นทาง เมืองเลย - ภูเรือ เข้าไปทางเกษตรที่สูงภูเรือนะคะ มีทางเข้าอยู่ 2 ทาง ทางด้านหน้าที่ว่าการอำเภอภูเรือ และอีกเส้นทางคือขับรถไปทาง อ.ด่านซ้าย ไปประมาณ 8 กิโล จะมีวัดโพธิ์สว่าง อยู่ด้านซ้ายมือค่ะ จุดสังเกตคือ มีต้นโพธิ์ต้นเบ้อเร่ออยู่ด้านหน้า ก็เลี้ยวซ้ายเข้าซอยเล็กๆไป และแน่นอนว่าถ้าวันใดวันนึงต้นโพธิ์นั้นโดนตัดออกไปเราเองก็ไม่มั่นใจว่าจะไปถูกมั้ย? 5555555

เอาเป็นว่าเราเข้าทางสะดวกๆ ตามแผนที่ที่พยายามร่างมาให้ตามนี้เลยนะคะ

ก่อนอื่นเราทั้ง 4 ก็แวะซื้ออาหารเพื่อเป็นเสบียงสำหรับการเดินทางในทริปนี้กันก่อนค่ะ แล้วเราก็ขับรถตามเส้นทางไปถึงชุมชนปลาบ่าฯ จอดรถไว้ที่บ้านพ่อกำนัน เพื่อเปลี่ยนพาหนะในการเดินทางของเรา "อีแต๊ก!!!!!" (เรียล ปะล่ะ) แต่ต้องบอกข้อมูลสำคัญสองข้อที่สำคัญให้ทราบก่อนว่า ณ ที่แห่งนี้ ที่นี่ไม่มีลูกหาบค่าาาาาา และที่เครียดอีกอย่างก็คือที่นี่ไม่มีเต้นท์ให้เช่านะค๊าาา และแน่นอนไม่มีเครื่องนอนให้ ฉะนั้นเราต้องเตรียมกันมาเอง และทำทุกอย่างให้เบาเข้าไว้ บะหมี่กึ่งหมดสิทธิ์ เพราะขี้เกียจแบกน้ำ ฉะนั้นปลาที่อยู่ในกระป๋อง ชั้นเลือกนายแล้วนะ หึหึ .... ส่วนใครเป็นคนรักการถ่ายภาพ (รักการถ่ายเฉยๆ สวยไม่สวยอีกเรื่องนึง 5555) นั่นคือคุณต้องหนักกว่าคนอื่นร่วมเกือบ 10 กิโล ค่ะ...เมื่อเรารู้ดังนั้นแล้วสัมภาระทุกอย่างที่คิดว่าเป็นอุปสรรคกับการเดินของเรา เราทิ้งไว้ในรถทั้งหมด เลนส์แฟนเราแบกมาครบช่วงพกขึ้นไปแค่ Fix 24 และ 35 พร้อมขาตั้ง นอกนั้นนอนเล่นในรถค่ะ


* ข้อมูลการเดินทาง : ค่าใช้จ่ายในการเดินทาง 2 วัน 1 คืน ค่ารถอีแต๊ก ไป-กลับ คันละ 700 บาท (มีรถกะบะบริการด้วยนะคะ ราคาคัน 1,000 บาท) ค่าคนนำทาง 1,000 บาท (สำหรับคนนำทางก็คือคนขับรถอีแต๊กของเรานั้นเองค่ะ แต่เราสามาถให้พี่เค้าช่วยยกของพวกเต้นท์ น้ำ หรือสัมภาระบางส่วนได้นะคะ) ค่าธรรมเนียมบำรุงชุมชนคนละ 20 บาท


และนี่คือพาหนะเดินทางของเราาาาาาาาา....

การเดินทางโดยรถอีแต๊กนั้น จะใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง - 1 ชั่วโมงครึ่งนะคะ ตามแต่สภาพถนน ต่อไปจะเป็นกระทู้ภาพแล้วนะคะ ท่าน ผู้ ชมมมมมมมมมมม


ระหว่างทางรถอีแต๊กนั้น ช่วงแรกก็จะเป็นหมู่บ้านภายในชุมชนปลาบ่าค่ะ ถนนดินแดงเสมือนร้านย้อมสีผม สวยเกร๋ๆ เป็นธรรมชาติ นู้นค่ะ นู้นนนน ยอดเขาตัดที่มีเมฆบังคือที่ที่เราจะเดินทางไป (ลืมบอกไปว่า ภูบักได เป็นเขายอดตัดคล้ายๆภูกระดึง เป็นสถานที่เลี้ยงวัวภูเขา ใช่ค่ะ วัวภูเขา หรือควายภูเขานะ!!! ซึ่งเป็นเจ้าถิ่นของที่นี่ และอีกหนึ่งเจ้าถิ่นที่เราไม่อยากเจอคือ "ทาก" แต่โชคดีเราไปช่วงหน้าแล้ง ทากลี้ภัยทางอากาศค่ะ)

เส้นทางช่วงถัดมาจะเป็นทุ่งต้นยางพารา (เรื่องราคานั้น เราไม่โฟกัสเนอะ ผ่าน!!!!!!) ต่อมาจะเป็นทุ่งหญ้า สุดลูกหูลูกตาค่ะ


เห็นบนยอดตัดมั้ยคะ? นั้นคือเส้นทางที่เราต้องเดินขึ้นไปค่ะอุ้ย!!!! เจอเจ้าถิ่น ข้าพเจ้าเดินทางมาท่องเที่ยว มิได้จะมารุกรานพื้นที่ของท่านแต่อย่างใด โปรดอย่ามองมาเช่นนั้น


หลังจากนั่งรถอีแต๊กมาร่วมชั่วโมงกว่าๆ เผลอหลับบนรถอีแต๊กไป 2 งีบ (เออ...หลับได้ด้วย) วันที่พวกเราไปกันฟ้าสวยมาก ไม่ฟ้าจัดแบบโล้นๆ แต่มีเมฆอ่อนๆประปรายค่ะ แดดแรงใครมีหมวกควรเอาไปด้วยนะคะ เพราะไม่งั้น หูนะดำ หน้ากลายเป็นหม้อออออออคร๊าาาาาา… เอ๊ะ!!


ถึงแล้ววววววจุดจอดรถอีกแต๊กเพื่อเดินเท้าขึ้นบนยอดตัด และเนื่องจากเราตื่นเต้นกันมาก ลืมถ่ายรูป!!!!!

ระยะทางเดินเท้าขึ้นไปบนยอดเขาตัดนั้น ประมาณ 200 เมตร มันไม่ไกลมาก แต่ทางชันพอสมควร แต่เพราะเรานั่งรถอีแต๊ก แต๊ก แต๊ก มานาน ไม่ได้วอร์มอัพก่อนขึ้น จู่ๆลงรถเสร็จก็ลุยเลย มันทำให้รู้สึก 50 เมตรแรกนั้นทรมานมาก แต่อาจเพราะว่าเราไปถึงช้า และอากาศที่ร้อน กับทางที่ชัน แถมมีสิ่งกีดขวางมากมาย คือทางไม่ใช่ทางทำไว้นะคะ แต่เป็นทางที่แหวกหญ้ารกสูงกันขึ้นไปเอง แน่นอนว่าต้องมีคนนำทางขึ้นไปด้วย โชคดีที่วันที่เราขึ้นไปมีคนจากพื้นที่ภูเรือขึ้นไปเที่ยวด้วยค่ะ พ่อกำนันเลยเป็นคนนำทางให้คณะเราค่ะพอพ้น 200 เมตรแห่งความลำบากเราก็จะเจอพื้นราบระยะทางร่วม 2 กม. (พ่อกำนันหลอกว่า 1 กิโล เราเชื่อ!!!! วิ่งลั่นล้า สุขใจ สักพัก หอบ!!!!! ถามพ่อกำนัน "พ่อกำนันๆ ทำไมไกลจังคะ ทำไม 1 กิโลนานจัง" พ่อกำนันตอบมาว่า "อือ อีกหน่อยนะ" ส่วนแฟน กับพวกน้องๆ เดินชิวมากเพราะเหมือนว่าได้วอร์มจากเส้นทางที่สุดแสนจะหนักหนาสาหัสมาแล้ว "ก็ได้ไม่ซ่าก็ได้ เดินปกติก็ได้" .....ดีขึ้นเยอะไม่เหนื่อยหละ เดินได้เรื่อยๆเลยค่ะ


วิวที่นี่เป็นภูเขาหัวโล้นก็จริงค่ะ แต่ว่าฟ้าที่สวย ใสมากเลย

พอเริ่มเย็นๆ ก็เริ่มมีเมฆและแสงที่ลอดผ่านมานั้นมันทำให้ภาพดูมีมิติและมีชีวิตชีวามาก สำหรับสายเดินป่าแบบเราๆคงรู้ดีเนอะ


ลานกว้าง ก่อนถึงจุดหมายของการเดินทางของพวกเรา ลานนี้เรากับแฟนชอบมากนะ มันถ่ายภาพออกมาไม่สวยเหมือนตาเห็น อารมณ์แรกนี่นึกถึงวิวสวยๆของ เดอะ ซีเครด ออฟ วอลเตอร์ มิตตี้ เลยค่ะ คนท่องเที่ยวธรรมชาติคงรู้ดีว่าการได้มองด้วยตามันบันทึกภาพให้สื่อออกมาให้เหมือนอย่างที่ดวงตาของเรามองมันยากมากเพียงใด


และเราก็มาถึงจุดหมายของเราค่ะ (ปล..ภาพเป็นของเช้าอีกวันนะคะ เพราะแน่นอน ตื่นเต้นอีกหละ ลืมถ่ายรูป เป็นนักรีวิวที่แย่จริงๆเรานี่ TT_TT)


เค้าเรียกที่นี่ว่า "ผาห้อยขา" เป็นไฮไลค์ของภูบักไดค่ะ จุดชมพระอาทิตย์ตกที่สวยมากๆ อีกแห่งหนึ่ง (ปล..ที่นี่สูงกว่าภูหลวงนะคะ ฉะนั้น หนาวค่ะ ลมแรงมากกกกกกกกก)และสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งแรกหลังจากขึ้นมาถึง..... หิวววววววววววว!!!!!!!! คือยังไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่เช้าที่เดินทางจนมาถึงช่วงเวลาที่ขึ้นมายังจุดหมายภูบักได ฉะนั้นขอกิน เอ้ย!! ขออนุญาตรับประทานอาหารเย็น ท่ามกลางแสงอาทิตย์ตกยามเย็นนะคะ อู้ยยย!!!! อิจฉากันบ้างรึเปล่าคะ?


(สปอย...เปิดเผยโฉมหน้าผู้ร่วมเดินทาง)

และเมื่ออิ่ม เราก็จะหลับ ไม่สิ!!! มาทั้งที บร้าาาาาา ก็ต้องถ่ายรูปและชมบรรยากาศสิเนอะๆ (ขออนุญาตลงรูปภาพหมู่ของพวกเรานะคะ ทนเบื่อเค้านิดหนึ่งนะคะ)


มีสมาชิกจากคนในพื้นที่ภูเรือที่ขึ้นมาเป็นเพื่อนเราค่ะ พี่ๆเค้าบอกว่า "พี่อยู่ที่นี่มาตั้งนาน เพิ่งรู้ว่ามีที่นี่อยู่" (พ่อกำนัน ยืนหล่อ ยิ้มแย้มใส่หมวก เท่ห์อยู่ด้านซ้ายของภาพนะคะ ^_^)


และเรามาพบกับพระเอกของที่นี่กัน "ผาห้อยขาาาาาาาา" (ขาสั่นๆนะเอาจริงๆ คือลมมันแรงอ่า หนาวมากด้วยค่ะ)


ยามพระอาทิตย์ตก แสงสาดส่อง ไม่อยากถือกล้องถ่ายรูปเลย อยากเก็บบรรยากาศตรงหน้าไว้ ^__^


พอชมอาทิตย์ตกเสร็จ สิ่งที่เรารีบหากันคือความอบอุ่นจากกองไฟ แน่นอนเราคือ "แมงเม่าาาาาาา" ....มันเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ของการเดินป่าเลยนะคะ แคมป์ไฟฟฟฟฟฟ!! อุณภูมิ ณ วันที่ไปเป็นเลขตัวเดียวที่ 7-8 องศาค่ะ วัดจากเทอร์โมมิตเตอร์ของกำนัน จากไอโฟนเราวัดได้ 4 ค่ะ มันสตอ!!!ค่ะ...ลมหนักมากกองไฟจึงเป็นสิ่งเดียวที่อย่าให้ดับเชียวนะ!!


และมีหมู่ดาวอยู่เป็นเพื่อนเราทั้งคืน ZZZzzz


ราตรีสวัสดิ์ เจอกันยามเช้านะคะ (ปล...จะนอนได้มั้ยเนี้ยยยยย หนาววววววววววววววววว)เช้าแล้วววว ... หนาวเช่นเดิม เพิ่มเติมคือ ลมแรง (พี่เล่นพัดแบบไม่หยั่ง เหมือนพี่จะไม่มีอะไรให้พัดอีกอะ หนูหนาววว) อุณหภูมิยามเช้าน่าจะอยู่ที่ประมาณ 6 องศาค่ะ ไม่รวมความหนาวเย็นของลมที่โถมกระหน่ำมานะคะ บรื้อออ!!!!


ที่ภูบักได สามารถชมพระอาทิตย์ขึ้นได้เหมือนกันนะคะ ถ้าโชคดีเราจะเห็นทะเลหมอกนะคะ แต่พอดีไม่มีโชค 555555 เก็บบรรยากาศยามเช้าก็ได้อารมณ์สุนทรีเหมือนกันนะคะ

ถ่ายรูปแบบฮิปๆ กันก่อน


และแน่นอนต้องกระโดดเพื่อคลายหนาว ลุย!!!!!


อ้าว!!!! ไม่พร้อม เอาใหม่ ท่าเท่ห์ๆเราก็มีนะเฮาะ


หลังจากโดด มันส์ ฮา ไปแล้ว ก็ได้เวลาเตรียมตัวกลับ พวกเราเก็บเต้นท์ ถุงนอน เก็บขยะ ถางหญ้า ขุดดิน ไถหว่าน เอ๊ะ!!!!! ถึงแค่เก็บขยะเนอะ แล้วก็เตรียมเดินทางกลับกันค่ะ ก่อนกลับก็ขอเก็บภาพอีกหน่อย


พ่อกำนันจัดแจงคณะคนพื้นที่จากภูเรือเพื่อนร่วมทริปของเราให้เดินทางกลับทางเดิมตามที่ขึ้นมา แต่พวกเราพ่อกำนันบอกว่าแรงเหลือเนอะ ไปทางลงอีกทางละกัน สวยๆ โดยที่พ่อกำนันจะเป็นคนนำทางเราเอง และนั้นคือจุดเริ่มต้นเรื่องราวทั้งหมด.... (อ้าว ไม่ใช่เกริ่นนำหนังสยองขวัญนะ เพราะนี่สยองของจริง!!!!!!)



อย่างที่สงสัยกัน (สงสัยกันมั้ยอะ? 55555) ทำไมที่นี่ต้องชื่อว่า "ภูบักได" คือจริงๆที่นี่เป็นที่เลี้ยง วัว ควายของชาวบ้านที่เค้าปล่อยให้หากินเอง แบบเลี้ยงปล่อย (โปรดอย่าถามว่าแล้วชาวบ้านจะจับวัว ควาย กลับมายังไง? เพราะไม่รู้เหมือนกัน พ่อกำนันบอกเค้าปล่อยเลยหละ) แล้วพวกวัวควายเวลาเดินเค้าจะเดินย่ำทางเดิมๆตลอด ทำให้พื้นดินทางราบๆ เป็นบักๆ เป็นขั้นๆ คือเราสามารถเดินทางขั้นที่วัวควายเค้าทำให้ได้เลย สนุกดี สนุกจนลืมถ่ายรูป เยี่ยม!!!!!!

ภาพนี้จะเห็นพื้นเป็นบักๆ บางๆอยู่เนอะ แต่ที่เราเดินตามทาง เป็นบักลึกลงไปเลยค่ะ อยากให้ทุกท่านลองมาเที่ยวดูนะคะ จะได้เห็นกับตาเลยว่าเป็นยังไง (นี่แถแก้ตัวไป เพราะลืมถ่ายรูปมา TT_TT)



เราก็เดินย้อนกลับทางเดิมกันก่อน ดูทุ่งกว้างนั้นสิ เป็นอาศัยของสัตว์ป่าดุร้าย เช่น วัว และควาย เราต้องระวัง เราต้องระวังกับดักของมัน นั้นคือ ขี้ (ขออภัยที่ไม่สุภาพ แหะๆ) มูลของมัน ทิ้งเรี่ยราดตามท้องทุ่ง เพื่อคอยดักจับพวกเรา และแอบหัวเราะอยู่หลังพุ่มไม้!!! (ทำเสียงแบร์ กิว พาย์กไทย)

แล้วเราก็เดินถึงจุดที่ขึ้นมาตอนแรก ทีมพี่ๆภูเรือเดินลงไปก่อนหน้านี้แล้ว เนื่องจากเราเดินช้า และลั่นล้าตามเส้นทาง พ่อกำนันเริ่มพาเราเดินเข้าสู่ทางแยก ทางลงเขาอีกเส้นหนึ่ง เข้าไปในป่าไผ่ และต้นไม้ (อะไรไม่รู้) ไม่โฟกัส


และหน้าผาเหว!!!!!!ใช่แล้ว!!! เส้นทางเดินกลับของเรา เข้าไปในป่าได้แปบหนึ่ง แล้วพ่อกำนันก็พาเราทะลุมายังหน้าผาเหว!!!!!


คือ "เหว"คร่าาา คุณผู้ชมมมมมม ทางลัดเลาะริมผา ขวาเป็นเหว ซ้ายเป็นดงหนาม ทางเดินลุยหญ้ากว้างไม่ถึงเมตรเลย (อารมณ์เหมือน เขาช้างเผือก แบบว่า เอ้ย!!! ขาพลิก แท๊กๆๆ อุ้ย กลิ้งตกเขา ยังพอมีที่จับ สไลค์ลงเป็นแนวเฉียงๆ พอขาหักอะ แต่ที่ภูบักไดนี่คือ เอ้ย!!! ขาพลิก แท๊กๆๆๆๆๆ อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก เข้าใจตรงกันเนอะ) อะให้ดูรูปเพื่อยืนยัน


ยืนยันอีกหน่อย


ยืนยันอีกนิดหละกัน


เฮ้!!!! นั้นไงทีมคณะพี่ๆภูเรือ เค้าถึงจุดหมายแล้วนะ สูงลิบเลย นี่ซูมเอา 55555 เราก็ตะโกนไปว่า "สวย!!!!!!" (แบบปากสั่นๆ ไปด้วยความเสียว) จากนั้นพวกเราก็ "ไปต่อค่ะ พ่อกำนัน!!!!"


จะว่าไปเส้นทางมันก็ไม่ได้เป็นริมเหวตลอดเส้นทางนะ ก็มีจุดให้เราได้พักเดินไม่ให้ใจเต้นอยู่เหมือนกันค่ะ ยังชิวๆได้อยู่นะคะ


"ป่ะ!!!! ลงกันได้แล้ว" พ่อกำนันเรียกหละ .... คุณแพะ ใช่!!! คุณแพะ คุณเลียงผา คุณม้าแกลบ อัญเชิญสัตว์เท้ากีบทั้งมวลมาประทับร่าง


คือพื้นดินแห้ง ฝุ่น ชัน พ่อกำนันบอกเป็นทางที่ช้างสไลค์ลงเขาหนะ ดินเลยร่วนๆหน่อย ระวังด้วย....สิ้นเสียงเตือนของเจ้าถิ่น ข้าพเจ้าสไลค์เป็นช้างลงไปเป็นทาง 2 ครั้งติด ดี๊ดี!!!! พร้อมเสียงหัวเราะดังสนั่นป่าเขาของแฟนข้าพเจ้า ใช่!! แฟนตรูนี่แหละ ดังสุดเลย และตามด้วยคอรัสจากพ่อกำนันและน้องๆ ขอบคุณคร่าาาาาา


(มีวิดีโอด้วยนะ ตอนสไลค์เนี้ย แต่ไม่ให้ดู เชอะ!!!!)แล้วเราก็มาถึงพื้นราบ พอมองกลับไปนี่เรามาจากจุดนั้นจริงๆใช่มั้ย? เก่งเหมือนกันแหะ พร้อมเอามือปัดฝุ่นที่ตูด ปุ๊ๆ


อะ ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกหน่อย


พ่อกำนันบอกว่ามีของแถมให้พวกเราด้วยหละ พ่อกำนันพาเรานั่งอีแต๊กต่อไป


จุดนี้ พ่อกำนันบอกว่าเป็นจุดถ่ายรูปมุมสูง แบบไม่ต้องปีนแบบภูบักไดนะ แค่เดินขึ้นนิดหน่อย (ไม่หลอกอีกแล้วใช่มะคะ?) เป็นหินก้อนใหญ่ เอาไว้นั่งชิวถ่ายรูป เรียกว่า "ลานตีกอล์ฟ"


กะลังปีนป่ายเลย มาถึงเสร็จก็จะเห็นทิวทัศน์โดยรอบๆ


แล้วพวกเราก็เก็บภาพเป็นที่ระลึกกันอีกครั้งหนึ่ง


ส่วนนี่ภาพถ่ายหายาก ปกติท่านไม่ค่อยชอบถ่ายรูป แต่เนื่องจากวิวสวยเลยเอ่ยปากขอเอง 1 ภาพ มาย แควน ของ ข้าพเจ้า เท่ห์จังเลย (กรุณาเปิดผ่านภาพนี้เร็วๆ หากมีอาการคลื่นไส้)


บทสรุปการเดินทาง


ค่าใช้จ่ายในการเดินทางมาภูบักได ไม่ร่วมค่าเดินทางจาก กทม. นะคะ ต่อคน คนละ 945 บาท แบ่งออกเป็น

- ค่าเช่ารถ 2,000 บาท

- ค่ารถอีแต๊ก 700 บาท

- ค่าเจ้าหน้าที่ 1,000 บาท (วันที่ไป มีเจ้าหน้าที่คอยช่วนเหลือคณะเราเยอะเลยค่ะ พวกเราเลยให้สินน้ำใจเพิ่มอีกคนละนิดละหน่อยด้วย แล้วแต่เราจะให้นะคะ)

- ค่าบำรุงชุมชน 80 บาทค่ะ

ปล..ยังไม่รวมน้ำมันที่ต้องเติมตอนคืนรถนะคะ อยู่ที่ประมาณ 900 บาทค่ะ


• ที่นี่จัดให้อยู่ในระดับความยากในเกณฑ์ง่ายค่ะ เหนื่อยตอนเดินขึ้นนิดเดียวเท่านั้นเอง และช่วงเดินลงที่เราขอแนะนำให้กลับอีกทางค่ะ แต่ต้องเดินด้วยความระมัดระวังนะคะ เพราะมันอันตราย แต่สวยมากกว่าที่จะเดินลงทางเดิม สำหรับคนรักการถ่ายภาพนะคะ เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจค่ะ แต่ระบบการจัดการนักท่องเที่ยวที่นี่ยังค่อยเป็นค่อยไปนะคะ เพราะยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวใหม่ ที่ดูแลโดยชุมชนเอง ทำให้เราเห็นความน่ารักของคนในพื้นที่ค่ะ ส่วนเรื่องรถก็ใช้บริการชาวบ้านที่มีรถอีแต๊กมานำส่งไป ก็จัดว่าเป็นการกระจายรายได้ทางนึงเช่นกันค่ะ

• เรื่องสัมภาระต้องจัดการให้ดีค่ะเพราะต้องแบกกันเองทั้งหมด คนนำทางคงช่วยแบกได้นิดหน่อยแต่ไม่ถึงกับมากนัก (คนนำทางมีน้อยค่ะ) หน้าฝนมีทากเยอะมาก เยอะถึงขนาดที่ว่าไม่ต้องไล่เลย ดูดไปเถอะ ที่นี่สามารถพักได้ทั้ง 2 วัน 1 คือ หรือ 3 วัน 2 คืน (เส้นทางน้ำตกตาดเลย โดยที่อีกคืนนึงเราต้องไปนอนที่น้ำตก แต่เนื่องจากทริปนี้ที่เราไม่ได้ไปเพราะคิดว่า เรายังเตรียมตัวไม่พร้อมเกี่ยวกับเรื่องการแบกหามน้ำหนัก จึงคิดว่าไว้คราวหน้าจะมาซ่อมที่น้ำตกด้วยค่ะ...สัญญาด้วยเกียรติของเนตรนารี เอ๊ะ? หรือเป็นยุวกาชาดนะ ลืม!!!!!!) แต่ต้องจัดการเรื่องของที่จะต้องเตรียมมากเอง

• การเดินทางโดยรถเข้าถึงได้ไม่ยากค่ะ ทิวทันศ์สวยงาม เห็นภูกบักไดกดดันอยู่ตลอดเส้นทาง แบบเรียกร้องว่า "มาสิๆๆๆๆ"

• ภาพบางช่วงเป็นภาพที่ถ่ายจากมือถือค่ะ เพราะว่าต้องใช้มือในการปีนปายและเกาะค่ะ

• ติดต่อแหล่งท่องเที่ยวได้ที่ "ชมรมส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยชุมชนปลาบ่า จ.เลย" โทร 095 658 7113 และ 087 866 8647


.......ขอบคุณสำหรับการติดตามรีวิว บ๊องๆ ไม่ค่อยมีประโยช์นเท่าไหร่ ภาพก็ลืมถ่าย อธิบายก็บ้าๆ ของเราด้วยนะคะ เอาไว้โอกาสหน้าจะมาแก้ตัวใหม่นะคะ สำหรับวันนี้ ขอบคุณและสวัสดีค่ะ......


ขอขอบคุณภาพจากข้าพเจ้า (เออ ขอบคุณตัวเอง 555) ภาพสวยๆจากแฟนของข้าพเจ้าและ ID พันทิพย์ สำหรับการรีวิวของเค้าด้วยนะ Xienfong น้องQ และน้อง Yoda มาด้วยนะคะ


"บางครั้งผมก็ไม่ถ่าย เพราะถ้าผมชอบอะไร ผมแค่ขอได้มอง ผมไม่อยากให้เลนส์มาขวางสิ่งที่ผมอยากเห็น เพื่อจะได้อยู่กับช่วงเวลานั้นนานๆ"

-ฌอน โอคอนเนล- The Secret Life of Walter Mitty (พาย์กไทย)ขอบคุณที่ติดตามนะคะ ถ้ามีโอกาสลองแวะมาเที่ยวที่ภูบักไดนะคะ ^_^

Easy-a Mutin

 วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 เวลา 18.59 น.

ความคิดเห็น