สวัสดีเพื่อนๆชาว Readme ทุกท่าน วันนี้เราหยิบเอารีวิวเก่าๆมานำเสนอ คาดว่าทุกคงจะรู้จักสถานที่แห่งนี้ดี "ภูกระดึง" แต่ในครั้งนี้ พวกเราจะพาทุกคนไปพบกับความงามที่ถูกปิดเอาไว้ "ผาส่องโลก" เขตพื้นที่ป่าปิด ณ อุทยานแห่งชาติภูกระดึง

****ปล...การเข้าพื้นที่ป่าปิดภูกระดึง อนุญาตเป็นพิเศษเฉพาะการส่งเสริมการท่องเที่ยว หรือ การถ่ายทำสารคดี ที่ต้องทำหนังสือราชการถึงกรมอุทยานฯนะคะ

ถ้าจะพูดถึงภูกระดึง ทุกคนก็น่าจะรู้จักกันดีอยู่แล้วมันเป็นสถานที่ที่ขาท่องเที่ยวเดินป่าได้เริ่มต้นพิสูจน์ความสามารถ พร้อมสัมผัสกับธรรมชาติที่เดินทางได้ไม่ลำบากเท่าไหร่ นักเดินป่าบางคนน่าจะเดินขึ้นภูกระดึงมากกว่า 10 ครั้งเลยก็ได้ แต่การเดินทางไปยังภูกระดึงในครั้งนี้ของ จขกท เป็นเรื่องที่พิเศษ และมีเป้าหมาย นั้นคือ การได้เดินทางเข้าสู่ "ป่าปิดภูกระดึง เส้นทางผาส่องโลก" เส้นทางที่ปิดถาวรเพื่อให้เป็นแหล่งอาหารของสัตว์ป่า มันเป็นยังไง? เราก็ต้องลองอะเนอะ

เริ่มจาก จขกท พร้อมด้วยสมาชิกอีก 3 คน วางแผนเดินทางไปภูกระดึงในวันที่ 18 – 21 เมษายน 2557 เนื่องจากรู้มาว่าวันที่ 19 เมษายน บนภูกระดึงจะมีการสรงน้ำพระพุทธเมตตา เนื่องในวันสงกรานต์ ประเพณีที่จัดขึ้นทุกปีบนยอดภู พวกเราเดินทางกันในคืนวันที่ 17 ถึงผ่านกเค้าจุดลงรถร้านเจ้กิม วันที่ 18 เวลา 6.00 น. ก็ทานเข้า และนั่งรถต่อไปยังที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวอุทยานแห่งชาติภูกระดึง

ถึงแล้วๆๆ

เส้นทางที่เราจะได้เดินทาง กำหนดไว้คือ วันที่ 19 ป่าเปิด วันที่ 20 เข้าป่าปิด

พอติดต่อเจ้าหน้าที่เรียบร้อย จัดแจงฝากกระเป๋ากับลูกหาบ (กิโลละ 30 บาท) พร้อมออกเดินทางได้แล้ว เริ่มออกเดินทาง 9 โมง เส้นทางตอนขึ้นไม่ค่อยได้ถ่ายมาก เนื่องจาก เหนื่อย!!! เคยมาแล้วก็ยังเหนื่อยอยู่นะ 55555+

ถึงหลังแปจนได้ เวลา 14.00 น. ค่อยๆเดินไป เหนื่อยก็พัก แล้วก็เดินต่อเพื่อไปที่ศูนย์บริการวังกวาง ก็เรื่อยเปื้อยถ่ายรูป เพราะยังมีเวลาอีกเยอะ กับระยะทาง 3.7 กิโล

ถึงแล้วววววว ที่นี่มีที่พักให้เลือกจับจองกัน จขกท เลือกเป็นเรือนแถว ซึ่งเวลาจองก็จองผ่านเว็บไซน์ของอุทยานฯ โอนเงิน สะดวกมากเลยค่ะ ส่วนเรื่องอาหารการกินมีร้านค้าร้านอาหารเยอะมากมาย มีห้องน้ำ และมีทาก (นี่คือเลือกไปหน้าร้อนแล้วนะ ใครจะไปคิดว่าหน้าร้อนบนภูกระดึงจะมีทากหละ แม่ค้าเค้าบอกว่าฝนตกเมื่ออาทิตย์ก่อน -*-)

นี่คือเรือนแถวที่พักทั้ง 3 คืนของ จขกท และสมาชิกคร่าาาาา

เก็บของ อาบน้ำ ทานข้าว นอน เตรียมพลังสำหรับวันพรุ่งนี้ สรงน้ำพระพุทธเมตตา และเดินท่องป่าเปิดค่ะ ^_^วันที่ 2 วันนี้มีกำหนดการสรงน้ำพระพุทธเมตตา ร่วมพิธีสงกรานต์บนภูกกระดึง ที่นี่จัดขึ้นทุกปีเพื่อเป็นสิริมงคลแก่พ่อค้าแม่ค้าและชาวบ้านที่อาศัยอยู่ที่ภูกระดึง และบริเวณใกล้เคียง ....เกือบลืม เราต้องเตรียมกับข้าวไปทานตอนเดินป่าด้วยนะคะ


รำถวายพระพุทธเมตตา


สรงน้ำพระพุทธเมตตา เพื่อเป็นสิริมงคล


เด็กข้างบนนี้เค้าก็เล่นน้ำสงกรานต์กันนะ แต่พี่ไม่พร้อมพี่ถือกล้องอยู่เล่นด้วยไม่ได้นะน้อง 55555+


เสร็จจากพิธีการสรงน้ำพระพุทธเมตตาแล้ว ก็ถึงตา "สมาพันธ์นักท่องเที่ยวเดินทางป่าชิลๆ เรื่อยๆเหนื่อยก็พัก" (ชื่อสมาพันธ์ยาวแท้) ได้ออกเดินทางสู่ป่าเปิด โดยจุดแรกกำหนดไว้แล้วคือ "สระแก้ว" (ไม่มีโรงเกลือนะ)


ถึงแล้ว "สระแก้ว" ก็เป็นลักษณะธารน้ำตกเล็กๆ แต่น้ำเย็นมากกกกก ถ่ายรูปสุขสันต์กันไป


พอแช่น้ำเย็นๆ ชื่นใจแล้ว จุดต่อไปเราก็เดินทางไปยังสระอโนดาตกัน ตั้งใจว่าจะพักทานอาหารที่นั้น ระหว่างทางที่เดินไปสระอโนดาต ก็เป็นทุ่งหญ้าเขียว สวยมาก และโชคดีที่ไม่มีแดดเลย อากาศเย็นสบาย หน้าร้อนภูกระดึงนี่อากาศดีนะคะ อิอิ

อะ มีผีเสื้อด้วย

อ้าว ทำไมพวกเค้าไม่ต้องเดินเหมือนเราอะ โห้ยยยยย โบกมือทักทายหน่อยสิ

แล้วเราก็มาถึงสระอโนดาต จุดพักทานอาหารกลางวันของเรา มีเหตุเกิดขึ้นนิดหน่อย ฝนตกกระทันหันเลยคะ ก็หลบใต้ต้นสนกัน ทานข้าวกันเย็นๆ และไม่เคยลืมเก็บขยะ เพราะเราต้องรักษาธรรมชาตินะคะ ^_^

พอฝนเริ่มซาลง เราก็ออกมาแช่น้ำอีกครั้ง น้ำที่สระอโนดาตเย็นมากๆ ก็เก็บภาพกันต่อไป

ออกเดินทางต่อหละนะ ไปผาหล่มสักกัน ระหว่างทางก็มีน้ำตกสอเหนือ แล้วก็ทางเดินที่ปูด้วยหญ้ามอส เขียวน่ากิน หึหึ

ในที่สุดก็ถึงจนได้ "ผาหล่มสัก" ฟ้าวันนี้ไม่เปิด แต่ก็ยังสวยงามและสงบ ไม่มีคนเลยใช่มั้ยคะ? เหมือนไปเที่ยวแบบส่วนตัวเลย ไม่ต้องแย่งใครถ่ายรูปด้วย นี่แหละข้อดีของการเที่ยวภูกระดึงหน้าร้อน ที่ไม่ร้อนอย่างที่คิด

ถ่ายรูปหมู่รวมความประทับใจ เอ๊ะ!! ออ รูปหมู่ในรูปอีกที 5555+

พวกเราออกเดินทางจากผาหล่มสักเพื่อกลับศูนย์บริการวังกวาง ประมาณเวลา 16.00 น. เพราะฟ้าเริ่มมืดเร็วมากๆ เนื่องจากน่าจะมีฝนตก ก็เดินไปเรื่อยๆ และโชคดีที่รถเก็บขยะของเจ้าหน้าที่ตามมาเก็บพวกเราขึ้นรถกลับศูนย์ด้วย (เออ พวกเราไม่ใช่ขยะนะคะ แต่ก็ยอมขึ้นหละ ณ จุดๆนี้ 555+) ทำให้เราถึงศูนย์บริการเร็วกว่ากำหนด มีเวลานั่งกินหมูกระทะบนภูสบายใจเลย

พรุ่งนี้แล้วค่ะ พวกเราจะเดินทางเข้าสู่ป่าปิด เส้นทางผาส่องโลก กัน ^__^ ตื่นเต้นมะ? กับเส้นทางที่ปิดถาวร ครั้งนี้

วันที่ 3 ของการเดินทางเข้าสู่ป่าปิด เส้นทาง ผาส่องโลกกกกกกก ก่อนอื่นต้องแจ้งไว้ว่า คณะของพวกเราได้ทำหนังสือจากหน่วยงานถึงหน่วยงานมายังกรมอุทยานในการขอเข้าไปยังป่าปิดเส้นทางผาส่องโลก ซึ่งทางกรมอุทยานฯได้อนุญาตเป็นกรณีพิเศษในการเดินทางเข้าสู่ผาส่องโลก เนื่องจากเส้นทางดังกล่าวนั้นอันตรายและเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่า โดยเฉพาะช้างป่าที่มีนิสัยดุร้าย ซึ่งต้องมีเจ้าหน้าที่ค่อยดูแลพวกเราอย่างใกล้ชิด ต้องใช้รถในการเดินทางเข้าไป เนื่องจากไม่สามารถเดินไปกลับได้ในวันเดียว คณะของพวกเรามี 4 คน เจ้าหน้าที่ที่ดูแลมี 3 ท่าน พร้อมอาวุธครบมือ เพื่อป้องกันตัวหากเกิดเหตุฉุกเฉิน

....... ปล ... อย่าลืมห่อกับข้าวไปทานด้วย (อันนี้สำคัญ ไม่งั้นเราก็ต้องไปแย่งกับข้าวเจ้าหน้าที่เค้าแน่ๆ เพราะอาหารของเจ้าหน้าที่น่ากินมาก หุหุ)

และนี่คือพาหนะเพียง 1 เดียวที่จะพาพวกเราเข้าสู่ป่าปิด สตาร์ทไม่ติดอีกต่างหาก ต้องใช้รถไถดันๆก่อน นี่คือ "เจ้าพ่อแห่งภูกระดึง" เจ้าหน้าที่บอกเรามาว่าคือฉายาของรถคันนี้ค่ะ

เส้นทางระหว่างเข้าป่าปิด จะเป็นทางไปลานพระแก้ว แต่เราจะลอดลวดไฟฟ้าออกไปอีก ถนนยังพอมีให้เห็นอยู่ แต่ก็มีหญ้าขึ้นรก ทราบมาว่าเจ้าหน้าที่ได้นำรถไถมาดูพื้นที่แล้วก่อนนำคณะพวกเราเดินทางเข้ามา

ตามทางที่เข้าสู่ป่าปิดแห่งนี้ ต้นไม้ ต้นหญ้าขึ้นสูง ทิวทัศน์แปลกตา น่าตื่นเต้นมาก บางทีก็ไม่สามารถบรรยายได้หมดอะเนอะ จะถ่ายรูปก็ยาก เพราะต้องเกาะรถไว้แน่นเลย เพราะเส้นทางนั้นบอกได้ว่าสุดยอด!!! เหวี่ยงไปมา สนุกจริงๆ

ถึงแล้วที่หมายของพวกเรา "ผาส่องโลก" นี่คือพันธ์ไม้ที่ขึ้นอยู่ตามผาส่องโลก

และนี่คือ "ผาส่องโลก" ^__^ วันที่เราไปฟ้าปิดสนิทเลยค่ะ ไม่มีแดด แต่โชคดีแล้วค่ะที่ฝนไม่ตก ถึงยังไงภาพที่เรามองเห็นผาส่องโลกอยู่ตรงหน้ามันก็เกิดนที่เราจะบรรยายได้ การเก็บภาพออกมาให้สวยเหมือนที่ตามองมันเป็นไปไม่ได้เลยค่ะ ที่นี่มันยิ่งใหญ่มาก จนพูดไม่ออกเลย


ก่อนจากไปจากที่แห่งนี้ ขอเก็บภาพรวมแห่งความประทับใจกับพวกเราสมาพันธ์ฯ (อะไรนะจำไม่ได้ ยาวเกิ๊นนน)

ขอบคุณ 1 ในเจ้าหน้าที่ที่พาเรามาที่นี่


ขอบคุณ เจ้าพ่อภูกระดึง ที่พาเราทะยานผ่านขอบฟ้ามา

ขอบคุณ "ผาส่องโลก" ที่ยืนตระงานโดดเด่นให้เราได้ชื่นชม

หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ก็พาเรามาที่ "น้ำตกธารรัตนา" ค่ะ น้ำยังมีไม่มาก ถึงขั้นว่าเกือบๆแห้งเลย แต่ก็สวยตรงที่มีใบสนสีแดงร่วงลงมาตัดกับสีเขียวๆค่ะ

เสร็จแล้วไปไหนต่อดี ออ "โหล่นเจดีย์" คือที่ต่อไปที่เราจะเดินทางกันค่ะ ที่นี่เจ้าหน้าที่บอกว่าหน่วยดับไฟฟ้าเพิ่งมาประจำการอยู่ แต่ตอนนี้ออกไปแล้ว

ธรรมชาติที่นี่ยังสมบูรณ์ ดูสิว่ามีใครเห็นเจ้าตัวนี้ปะ?

ลูกสนๆ

เอ๊ะๆ นายมาได้ไงอะ

^__^ กำหนดการต่อไป "แง่งทิดทา" แง่งหินที่สามารถดูได้ทั้งพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตก แต่เราไม่กล้าอยู่ดู เพราะกลัว 5555+ ลมเย็น และเสียวมากนะ

แล้วเราก็พักทานอาหารกลางวัน เจ้าหน้าที่แวะนำเกลือมาทำโป่งดินให้สัตว์ป่าที่นี่ด้วยนะ ระหว่างทางกลับตื่นเต้นอีกหละ เจ้าพ่อภูกระดึงติดหล่มค่ะ เจ้าหน้าที่กับสมาชิกของเราก็ลงไปช่วยกันดันๆ ในใจก็คิดว่า อย่าให้มีช้างป่าวิ่งออกมาจ๊ะเอ๋กันเลยยยยย แต่ก็ผ่านมาได้ค่ะ ปลอดภัย 55555+

กลับสู่ศูนย์ฯ กันเถอะ เราใช้เวลาในป่าปิดเส้นทางผาส่องโลก ตั้งแต่ 8.30 - 14.30 น.

พอถึงศูนย์เรายังมีเวลาเดินในป่าเปิดเที่ยวได้อีกนิดค่ะ

ตอนแรกพวกเราว่าจะเดินไปที่น้ำตกวังกวาง น้ำตกเพ็ญพบ แต่เห็นป้ายเตือนว่า ห้ามเข้าช่วงเวลา บ่าย 3 เพราะช้างป่าออกหากิน ก็เลยเดินวนกลับบ้านพักดีกว่าค่ะ กลัวอันตราย เราต้องเชื่อฟังใช่มั้ยคะ? ใช่ค่ะ เราเป็นนักท่องเที่ยวที่ดีต้องเชื่อฟังป้าย ^__^

ก็เดินเก็บภาพระหว่างทางไป

ถึงที่พักแล้ว วันนี้มีความสุข ประทับใจจริงๆกับสิ่งที่เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก จะจดจำความรู้สึกนี้ไว้ค่ะ .....ยังๆไม่จบ มีเรื่องตื่นเต้นอีกแล้ว คืนนี้เป็นคืนสุดท้าย แจ๊คพอต ตกอยู่ที่คุณค่ะ หลังจากทานอาหารเย็นเรียบร้อยก็ดึกพอสมควร เกือบ 3 ทุ่มแล้ว ฟ้าร้อง คะนองมากๆ แล้วเสียงที่ได้ยินมาจากป่า "โฮกกกกกกกก โฮกกกกกกกกก" เสียงช้างป่าค่ะ คำรามน่ากลัวมากๆ รีบเดินเข้าที่พักเลย เสียงช้างไม่ได้ร้อง "แปร๋นๆ" แน่นอน ยืนยัน เสียงโหดมาก กล่อมให้หลับฝันดีได้เลย เจอกันเช้าวันกลับค่ะวันสุดท้ายเดินลง ......เช้าวันนี้พวกเราตื่นสายกัน 5555+ ตื่นกัน 8 โมงเห็นจะได้ ได้ยินเจ้าหน้าที่อุทยานฯประกาศ "ห้ามนักท่องเที่ยว เดินชมเส้นทางน้ำตกวังกวาง เพ็ญพบ เนื่องจากช้างป่ามาอยู่อาศัย อาจเกิดอันตรายได้" ขนลุกอีกหละ ที่เราได้ยินเสียงช้างเมื่อคืนคงไม่ได้คิดไปเองจริงๆ ... ตอนเช้ายังมีแสงแดดอยู่แต่พอสายๆก็เริ่มมืด เราเริ่มเดินออกจากศูนย์บริการวังกวางประมาณ 10.30 น. เดินไปได้ไม่ถึง 1 กิโล ฝนก็ตก ตกกระหน่ำ แบบเปียกทั้งตัวเลย ส่วน จขกท ก็แต่งตัวยังกะไปวิ่งมาราธอน ไม่ต้องคิดเลยว่าจะหนาวแค่ไหน หนาวมากกกกกก แต่ก็ยังถ่ายรูปได้นะ สดใสกันอยู่ 55555+

เดินลุยฝนตกหนักๆแบบนั้นต่อไปจนถึงหลังแป ฝนก็หยุดตก เลยถ่ายรูปมุมสูงบนหลังแปมา เห็นว่ามีเมฆฝนอยู่ไกลๆ

พอเริ่มเดินลงภูเท่านั้นแหละ ฝนก็กระหน่ำลงมาอีก ยังไงก็ต้องลงแล้วก็ตัดสินใจลงกันทั้งๆที่ฝนตก อาจจะอันตรายหน่อยก็ต้องค่อยๆลงอย่างระมัดระวัง ระหว่างทางก็มีน้ำฝนตกลงมาเย็นช่ำ ก้อนหินลื่นบ้างก็ระวังกัน แต่ก็ได้อีกบรรยากาศ สนุกดี 55555+

ตอนเดินลงมาจากภู ก็เดินสวนทางกับนักท่องเที่ยวที่กำลังเดินขึ้นภูกระดึง พวกเราก็อวยพรทุกท่านให้เดินทางปลอดภัย และขอให้สนุกกับการเดินทาง ^___^

มาถึงที่ทำการอุทยานด้านล่างประมาณ 15.30 น. ฝนไม่ตกแล้ว ฟ้าเปิด ก็เตรียมตัวอาบน้ำ ทานข้าว และเดินทางกลับ กทม.

การมาภูกระดึงในครั้งนี้ ถึงว่าเป็นประสบการณ์ที่คุ้มค่าและหาไม่ได้ง่ายๆเลย รู้สึกโชคดีที่อากาศไม่ร้อน โชคดีที่วันไปป่าปิด ฝนไม่ตก ไม่อย่างนั้นคงอดไปแน่ๆ ...ทุกคนคอยถามอยู่ตลอดว่าภูกระดึงเดือนเมษายนนี่ร้อนนะ ไหวเหรอ? คือต้องบอกเลยว่า อุณหภูมิต่ำสุดอยู่ที่ 16 องศา สูงสุดอยู่ที่ 26 องศา วันที่ไปฟ้าอาจไม่ใส ไม่ใช่สีฟ้ามากมาย แต่อากาศที่นี่เย็นสบาย มีฝนให้ชุ่มชื่น

พ่อค้าแม่ค้าที่ภูกระดึงฝากบอกมาว่า "ภูกระดึงหน้าร้อนอากาศดีนะ แต่ถ้าหน้าหนาวมันหนาวทรมาน มาเที่ยวหน้าร้อนกันเยอะๆ" ^___^

ประทับใจที่สุด ^___^

ปล....มีทากอะ ที่นี่จะจำเอาไว้ว่าต้องเตรียมป้องกันทากตลอด และไม่ว่าฤดูไหนฝนก็ตกได้ เตรียมเสื้อกันฝนกันด้วยนะคะ ^__^

ขอบคุณที่ติดตามนะคะ ^/\^

Easy-a Mutin

 วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 เวลา 21.25 น.

ความคิดเห็น