หากจะให้แต่ละคนบอกชื่อสถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัด “ระยอง” ได้คนละ 1 แห่ง ผมว่ากว่าร้อยละ 70 คงจะนึกถึงเกาะเสม็ดเป็นลำดับแรก จะมีพูดถึงชายหาดต่างๆ อย่าง หาดแม่พิมพ์ หาดแม่รำพึง หาดแสงจันทร์ กันอยู่บ้าง และผมคิดว่าน้อยคนนักที่จะเอ่ยถึงสถานที่ท่องเที่ยวบนบก ก็จริงอยู่ที่ระยองมีความโดดเด่นเรื่องทะเล แต่จริงๆ นอกจากทะเล ระยองก็ยังมีของดีซ่อนอยู่มากมาย รีวิวนี้จะพาไปเที่ยวระยองแบบไม่มองทะเลครับ แล้วมาดูว่า ผมได้ไปสัมผัสอะไรในระยองมาบ้าง
ทริปนี้ผมไปร่วมทริปกับคณะของพี่ๆ ที่ทำงาน ทริปนี้จัดขึ้นเพื่อเลี้ยงฉลองให้ผู้ที่จะต้องเกษียณอายุครับ โดยโปรแกรมของพี่ๆ เขาคือ ไปเที่ยวทุ่งโปรงทอง จากนั้นมาล่องแพชมธรรมชาติในลำน้ำประแส และพักค้างคืนที่แพสุขสมบูรณ์ ซึ่งผมเองวางแผนไว้ว่าหลังจากที่ขึ้นจากการล่องแพแล้ว จะแยกตัวออกมาเพื่อไปเที่ยวกับกลุ่มเล็กๆ ของผมครับ
ร้านเกี๊ยวปลานายเคี้ยม หรือ เกี๊ยวปลาสามย่าน อยู่คู่เมืองแกลงมากว่า 60 ปี ตั้งชื่อขนาดนี้ ก็คงไม่ต้องสงสัยแล้วนะครับว่า ร้านนี้มีอะไรเด็ด เมนูที่นี่ค่อนข้างหลากหลายเลยทีเดียว นอกจากเกี๊ยวปลาแล้ว ยังมีข้าวคลุกพริกเกลือด้วยครับ
คณะผมมาถึงร้านตั้งแต่เช้า เรียกได้ว่ามาช่วยเขาเปิดร้านก็ว่าได้ครับ
เกี๊ยวที่นี่มีทั้งเกี๊ยวปลา เกี๊ยวกุ้ง เกี๊ยวหมู เกี๊ยวหยก ถ้าใครเกิดอาการรักพี่เสียดายน้อง เกี๊ยวปลาก็อยากทาน เกี๊ยวกุ้งก็อยากลอง สามารถสั่งเกี๊ยวรวมก็ได้ครับ ขนาดของเกี๊ยวใหญ่พอดีคำ เกี๊ยวร้านนี้เสิร์ฟพร้อมกระดูกหมูต้มเปื่อยขนาดใหญ่ รวมถึงกุ้งทอดแพเล็กๆ เพิ่มอรรถรสในการเคี้ยวครับ
ข้าวคลุกพริกเกลือ ใส่มาทั้งกุ้งและกรรเชียงปูครับ
โชคดีที่ผมมาไว ร้านเปิดเพียงแป๊บเดียว ลูกค้าทยอยมากันเกือบเต็มร้านครับ ใครผ่านมาแถวแกลง ลองมาชิมเกี๊ยวน้ำสูตรเด็ดกันนะครับ หลังอิ่มท้องแล้ว ผมมุ่งหน้าสู่ปากน้ำประแสเพื่อไปยังทุ่งโปรงทองครับ
ทุ่งโปรงทองเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่กำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ทุ่งโปรงทองอยู่ในเขตชุมชนบ้านแสมภู่ ปากน้ำประแส จัดเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ครับ มีพื้นที่กว่า 6,000 ไร่ แต่เดิมพื้นที่นี้ชาวบ้านทำการประมง เลี้ยงกุ้ง ทำสวนผลไม้ จนทรัพยากรธรรมชาติบริเวณนี้ถูกทำลายลงอย่างมาก ป่าชายเลนเกิดความเสื่อมโทรม ต่อมาทางเทศบาลตำบลปากน้ำประแสได้ให้ความสำคัญในระบบนิเวศของป่าชายเลน จึงได้ร่วมกับชาวบ้านในพื้นที่เพื่อพัฒนาผืนป่าชายเลนที่เสื่อมโทรม ให้กลับมาเป็นป่าชายเลนที่มีความอุดมสมบูรณ์ผืนใหญ่ที่สุดของจังหวัดระยองครับ
รถยนต์ของนักท่องเที่ยวไม่สามารถมาจอดบริเวณปากทางทุ่งโปรงทองได้นะครับ เนื่องจากพื้นที่บริเวณปากทางค่อนข้างแคบ ผู้ที่นำรถยนต์มาจะต้องไปจอดไว้บริเวณลานจอดรถใกล้ๆ จากนั้นจะมีรถมอเตอร์ไซด์พ่วงข้างคอยบริการรับส่ง โดยมีค่าบริการขาละ 5 บาท/คน ไปกลับรวม 10 บาท แต่เอาจริงๆ ผมว่าเรามาเดินออกกำลังกายเพื่ออุ่นเครื่องสำหรับการเดินเข้าไปยังเส้นทางศึกษาธรรมชาติดีกว่า ระยะทางจากจุดจอดรถไปยังปากทางเข้าทุ่งโปรงทองไม่ไกล เดินประมาณ 5 นาทีก็ถึงครับ
ด้านหน้าบริเวณเส้นทางศึกษาธรรมชาติที่จะเข้าไปยังทุ่งโปรงทองครับ
และบริเวณด้านหน้าปากทางเข้านี่เองจะมีบริการเรือนำเที่ยวชมธรรมชาติ โดยเรือจะพาล่องไปตามแนวป่าชายเลน ได้เห็นวิถีชีวิตของสัตว์ชายเลน อย่างปลาตีน ปูก้ามดาบ และเรือจะพาล่องไปยังปากอ่าวครับ โดยค่าบริการเรืออยู่ที่คนละ 50 บาทครับ
สองฝั่งลำน้ำเต็มไปด้วยป่าโกงกาง ดูเขียวขจีไปหมดเลยครับ
ได้เห็นวิถีชีวิตของคนที่นี่ ออกมาหาปลาด้วยครับ
เรือจะมาจอดให้เราได้ส่องปูก้ามดาบ ปูตัวเล็กๆ ก้ามโตๆ ที่อยู่บนพื้นเลนที่จะคอยยกก้ามขนาดใหญ่อยู่ตลอดเวลา เหมือนมันยกมือทักทายเราเลยครับ
มีการเลี้ยงหอยนางรมด้วยครับ
แล้วเรือก็มาจอดบริเวณปากอ่าว ซึ่งถ้ามาช่วงน้ำลง เราก็สามารถขึ้นไปยืนบนแผ่นดินได้ แต่ถ้าน้ำขึ้น ก็คงได้ชมแต่แนวไม้ไผ่กันคลื่นครับ
หลังจากขึ้นไปถ่ายรูปกับแนวกันคลื่นกันจนหนำใจแล้ว ก็เป็นอันจบทริปการล่องเรือ เรือจะพาย้อนกลับ และไปส่งพวกเราที่ศาลเจ้าพ่อแสมผู้ ซึ่งอยู่ก่อนที่จะถึงจุดลงเรือครับ
เมื่อขึ้นเรือที่ศาลเจ้าพ่อแสมผู้ หากเดินไปทางขวามือจะเป็นเส้นทางที่จะเดินกลับไปยังท่าเรือ ซึ่งจะผ่านทุ่งโปรงทอง แต่ถ้าหากใครที่พอจะมีกำลังวังชาผมแนะนำให้เดินไปทางซ้ายมือก่อนนะครับ เพราะยังมีอีกหนึ่งสิ่งที่น่าสนใจไม่แพ้ทุ่งโปรงทองครับ
สภาพเส้นจะเป็นทางเดินไม้ระแนง บางจุดอาจจะชำรุดบ้าง คงต้องเดินด้วยความระมัดระวัง เส้นทางเดินไม่มีหลงแน่นอน ขอให้กัดฟันเดินกันสักนิด ระยะทางเดินเล่นเอาเหงื่อซึมแผ่นหลังอยู่เหมือนกัน สองข้างทางของเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติเราจะเห็นพืชพันธุ์ไม้หลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นต้นแสม ตะบูนดำ ลำพูน โกงกางครับ
ไม่ไกลเกินความพยายาม!!! ต้นแสมขนาดใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขา ให้ความร่มรื่นกับพื้นที่บริเวณโดยรอบ ต้องบอกเลยครับว่าเมื่อได้เห็นต้นแสมยักษ์ ผมนี่ลืมความเหนื่อยไปเลย รีบจัดแจงหามุมถ่ายภาพเป็นพัลวัน อย่างที่บอกไปในตอนแรก หากใครยังพอมีกำลังวังชา ขอให้เดินไปชมต้นแสมยักษ์เถอะครับ รับรองคุ้มค่าเหนื่อยครับ
จากต้นแสมยักษ์ เราเดินย้อนกลับทางเดิม ผ่านศาลเจ้าพ่อแสมผู้ เดินต่อกันไปอีกสักพัก ก็จะถึงจุดที่เป็นไฮไลท์ครับ จากต้นแสมยักษ์ถึงทุ่งโปรงทอง ระยะทางค่อนข้างไกล แต่ก็ต้องบอกเลยว่า ถึงหมดแรง เราก็ต้องกัดฟันเดินต่อนะครับ เพราะไม่อย่างนั้น ก็คงต้องกินข้าวลิงในป่าโกงกางนั่นแหล่ะครับ แต่ระหว่างทางสามารถแวะนั่งพักได้เรื่อยๆ ครับ
จากเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติที่สองข้างทางเต็มไปด้วยป่าโกงกางที่สูงท่วมหัว สูงจนแดดส่องลงมาแทบไม่ถึง ให้บรรยากาศ 2 ข้างทางที่ดูร่มครึ้ม แต่ฉับพลันภาพเบื้องหน้ากลับกลายเป็นทุ่งของต้นโปรงที่ขึ้นกันอย่างหนาแน่น ชูยอดกันสลอน สะท้อนสีเขียวอ่อนกันจนสุดลูกหูลูกตา และจะสวยมากยามแสงแดดมาโลมเลียยอดของต้นโปรงจนดูเป็นสีทอง มันเหมือนเราได้ก้าวเข้ามาในอีกหนึ่งดินแดนเพียงแค่พริบตาจริงๆ
ผมใช้เวลาอยู่ที่ทุ่งโปรงทองกันนานพอสมควร นานจนเกี๊ยวที่ตุนมาเมื่อเช้าสลายเข้าเส้นเลือดไปหมดแล้ว เลยมองๆ หาร้านอาหารที่อยู่ใกล้ๆ ดู แล้วก็เจอร้านผู้ใหญ่เจี๊ยบ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากทุ่งโปรงทอง ไม่รอช้า รีบตีไฟเลี้ยวขวาเข้าจอดรถด้านข้างร้านในทันที
อาหารแนะนำคือเส้นจันท์ผัดปู แต่วันนั้นปูหมด เลยได้เส้นจันท์ผัดกุ้งมาแทน สั่งคู่กับยำปูม้า และเกี๊ยวปลาลวกจิ้มครับ รสชาติอาหารก็กลางๆ ยำจี๊ดจ๊าดสุดๆ
หลังแรงกลับมาแล้ว ไปลุยกันต่อที่จุดหมายต่อไปครับ
ขอแวะจอดรถชมวิวปากน้ำประแสบนสะพานประแสสิน (ประแส-เนินฆ้อ) กันสักหน่อย บนสะพานจะมองเห็นทั้งฝั่งทะเลซึ่งจะเป็นปากน้ำประแส และเห็นชุมชนเก่าประแสด้วยครับ
จากจุดชมวิวบนสะพานประแสสิน ไปต่อกันที่เรือรบหลวงประแส ซึ่งอยู่ไม่ไกลกันครับ เรือหลวงประแสลำนี้เป็นลำที่ 2 นำเข้ามาแทนเรือหลวงประแสลำที่ 1 ซึ่งเกยตื้นในสงครามเกาหลี ตลอดเวลาประจำการ เรือรบหลวงประแสลำที่ 2 ได้เข้าไปอยู่ในสังกัดกองเรือสหประชาชาติในสงครามเกาหลีด้วย โดยทำหน้าที่ลาดตะเวนปิดอ่าวคุ้มกันเรือลำเลียง เรือบรรทุกน้ำมัน เรือกวาดทุ่นระเบิด และระดมยิงฝั่งเป็นครั้งคราว ในพื้นที่ยุทธบริเวณตั้งแต่ท่าเรือปูซานฝั่งตะวันออก เรื่อยไปจนถึงวอนซาน ในเกาหลี เรือหลวงลำนี้ได้ปฏิบัติภารกิจทางยุทธการรวม 32 ครั้ง นาน 2 ปีเศษ ก่อนที่จะเดินทางกลับสู่ไทย และเป็นกำลังหลักของกองเรือปราบเรือดำน้ำในการต่อต้านภัยคุกคามทางทะเลในช่วงการรุกคืบของลัทธิคอมมิวนิสต์ในคาบสมุทรอินโดจีน จนกระทั่งปลดระวางเมื่อวันที่ 22 มิ.ย.2543 ภายหลังปลดระวาง เทศบาลตำบลปากน้ำประแสได้ประสานกับกองทัพเรือเพื่อจัดสร้างอนุสรณ์เรือหลวงประแสขึ้นที่ปากน้ำประแสแห่งนี้ครับ
ด้านหน้าของหัวเรือประแส มีกำแพงกันคลื่นด้วย โดยจะมีร้านค้าแผงลอยมาคอยให้บริการอาหารว่างกันด้วย บอกเลยว่า ลมพัดเย็นมากๆ นั่งแล้วเกือบเผลอหลับเลยครับ
จากอนุสรณ์เรือหลวงประแส ไปต่อกันที่แพสุขสมบูรณ์ ซึ่งเป็นจุดมุ่งหมายของคณะใหญ่ที่จะร่วมเลี้ยงสังสรรค์สำหรับผู้ที่จะเกษียณอายุครับ
แพคเกจของแพสุขสมบูรณ์ ประกอบด้วยอะไรบ้าง?
บริการล่องแพแม่น้ำประแส, เครื่องเสียง คาราโอเกะ, อาหาร 3 มื้อ (มื้อเย็น ประกอบด้วยอาหาร 6 อย่าง /เกี๊ยวมื้อดึก/ข้าวต้ม กาแฟ โอวันตินมื้อเช้า), น้ำแข็ง โซดา เครื่องดื่มและน้ำอัดลม รวมถึงห้องพัก (แอร์ ทีวี ทุกห้อง) ครับ
เมื่อไปถึงแพสุขสมบูรณ์ ยังพอมีเวลาเหลือให้พักผ่อน ผมเลยขอไปสำรวจห้องพักกันก่อนครับ ห้องพักมีหลายแบบ ผมแอบเข้าไปดูห้องพักแบบเรือนแถวไม้มา ซึ่งเป็นห้องที่คณะจะเข้าพักกัน ภายในห้องกว้างขวางเลยทีเดียว ห้องหนึ่งสามารถนอนได้ 4 คน เสริมที่นอนได้อีก 1 คนครับ
แบบเป็นหลังก็มี ผมไม่ได้แอบเข้าไปดูนะครับ เพราะเป็นของคณะอื่นครับ
สำหรับกิจกรรมที่นี่จะเป็นการล่องแพไปตามแม่น้ำประแสครับ แพขนาดใหญ่ ไม่น่ากลัวครับ
จะเริ่มล่องแพช่วงเย็นๆ รอให้แดดร่มลมตกกันสักหน่อย อากาศจะได้ไม่ร้อนครับ ขึ้นแพปุ๊บ อาหารตั้งรอที่โต๊ะพร้อมอยู่แล้ว อาหารจะมีทั้งหมด 6 เมนู แต่พี่ผู้จัดได้ให้ทางแพเตรียมอาหารเพิ่มอีก 3 เมนู คือ กุ้งอบเกลือ, หอยหวานลวก และปลาหมึกย่างครับ ระหว่างที่เรือลากแพออกไป ก็ทานอาหารกันไปเรื่อยๆ รสชาติอาหารผมว่ายังค่อนข้างพื้นๆ จืดๆ ชืดๆ ยังไงไม่รู้ อาจเพราะทำเตรียมไว้นานเกินไปก็เป็นได้ เรื่องรสชาติอาหารโดยรวมผมยังไม่ให้ผ่าน (ความคิดเห็นส่วนตัวนะครับ) ก็ถือว่ามากินบรรยากาศก็แล้วกันครับ
เรือก็จะลากแพล่องไปเรื่อยๆ แล้วจะไปผูกไว้กับหลักกลางแม่น้ำ ปล่อยให้คณะได้กินลม ชมวิว เคล้ากับเสียงเพลงที่บางเพลงก็เพี้ยน บางเพลงก็ไพเราะ สำหรับเรื่องเครื่องเสียงที่ทางแพเตรียมไว้ให้ก็เป็นแบบบ้านๆ ดังบ้าง ไม่ดังบ้าน หอนบ้าง มีติดขัดกันตามประสา ถือว่ามีดนตรีให้ฟังแก้เงียบก็แล้วกันครับ
พอสิ้นแสงตะวันเท่านั้นแหละ แพที่เคยเป็นแพอาหารกลับกลายเป็นแพเธคในทันที จัดชุดใหญ่ไฟกระพริบ จนเหล่าสมาชิกทนนั่งอยู่กับที่ไม่ไหว ต่างออกมาดิ้นกันจนแพกระเพื่อม ผมนี่นั่งแพไป เสียวท้องน้อยไป กลัวแพแตกเพราะทนแรงสมาชิกออกมาดิ้นไม่ไหว 555
นั่งดื่มด่ำกับบรรยากาศของแม่น้ำประแสกันพอสมควร เรือก็มาลากแพกลับไปยังที่พัก ระหว่างทางก็จะมีหิ่งห้อยให้เราได้ชมด้วยครับ
ผมเองก็เพิ่งจะเคยมาล่องแพที่ระยองเป็นครั้งแรก ไม่คิดด้วยซ้ำว่าที่ระยองจะมีบริการล่องแพแบบนี้ ใครอยากจะลองเปลี่ยนบรรยากาศการล่องแพที่เมืองกาญจนบุรี มาล่องแพที่ระยองดูบ้าง สามารถดูรายละเอียดแพคเกจได้ตามภาพด้านบนนะครับ สำหรับเมนูอาหารจะมีให้ 6 ชุด โดย 1 ชุด เลือกได้ 1 เมนู รวมทั้ง Set จะมีทั้งหมด 6 เมนู พร้อมข้าวสวย และตบท้ายด้วยผลไม้ครับ
เมื่อขึ้นแพมา ก็จะมีบริการเกี๊ยวน้ำ บริการก่อนนอนครับ ผมเองรีบทานแล้วรีบมุ่งหน้าไปยังที่พักของผมในคืนนี้ ผมไม่ได้นอนร่วมกับพี่ๆ เขา แต่ได้จองที่พักที่ เพ พอ เพียง ไว้ครับ
เพ พอ เพียง ตั้งอยู่ในตำบลบ้านเพ อำเภอเมือง ระยอง ใช้เวลาเดินทางจากแพสุขสมบูรณ์มาถึงที่พักราวๆ 45 นาทีครับ
เมื่อเข้ามายังรีสอร์ท ก็เลี้ยวรถเข้าลานจอดรถทันที น้องพนักงานยืนรอต้อนรับอยู่แล้ว (เนื่องจากผมโทรประสานมาว่าจะเข้าถึงรีสอร์ทช่วงดึกๆ) รถมอเตอร์ไซด์พ่วงข้างจอดขนาบคู่กับรถของผม ลุงพนักงานกุลีกุจอรีบช่วยยกของออกจากรถของผมไปวางบนรถพ่วงข้างของลุง ผมเองก็เกรงใจบอกว่าไม่เป็นไร เดี๋ยวเดินขนไปเองก็ได้ ลุงบอกไม่เป็นไร เพราะระยะทางค่อนข้างไกล ผมมองออกไปยังที่พัก เออ จริงแฮะ ก็เลยไม่ขัดศรัทธาของลุงครับ
ผมได้พักที่ตึกด้านในสุด ตัวอาคารหันหน้าเข้าหาบ่อน้ำขนาดใหญ่ ตามภาพด้านบนครับ
ห้องพักโดยรวมถือว่าโอเคครับ แต่จะขอติที่ประตูห้องนี่แหล่ะ ที่ไม่มีล๊อกป้องกันใดๆ เลย นอกจากกดล๊อกที่ลูกบิดกุญแจเพียงอย่างเดียวครับ
เมื่อคืนมาถึงซะดึก มองไม่เห็นบรรยากาศอะไรเลย เช้านี้เลยขอเดินสำรวจรอบๆ รีสอร์ทกันสักหน่อย เริ่มที่ด้านหน้าของรีสอร์ทเลยละกันครับ
เขยิบเข้ามาอีกนิด จะเป็นพื้นที่คล้ายๆ อาคารออฟฟิส รวมถึงร้านกาแฟครับ
โซนอาคารห้องพักครับ ผมว่าที่นี่เหมาะกับการจัดสัมมนามากๆ เนื่องจากมีห้องประชุมที่ค่อนข้างใหญ่ แถมยังมีพื้นที่กว้างขวาง สามารถจัดกิจกรรมแบบ outdoor ได้เป็นอย่างดีเลยครับ
มีเรือกอนโดลาจำลอง และเรือถีบด้วย เป็นบริการฟรีที่ทางรีสอร์ทจัดเตรียมไว้ให้ครับ เช้าๆ มาพายเรือออกกำลังแขนและขา เข้าท่าดีครับ
เพ พอ เพียง ไม่ได้อยู่ติดทะเลนะครับ แต่ก็อยู่ไม่ไกลจากทะเลมากนัก ขับรถประมาณ 5 นาทีก็ถึงทะเล จากภาพจะมองเห็นทะเลอยู่ด้านหลังครับ
ในช่วงวันที่ผมเข้าพัก ไม่มีลูกค้าคนอื่นๆ เลย เหมือนปิดรีสอร์ทนอนเลยครับ ที่นี่ค่อนข้างเงียบ เป็นส่วนตัว พื้นที่ภายในรีสอร์ทกว้างขวาง มีกิจกรรมให้พายเรือฟรี พนักงานให้การดูแลเป็นอย่างดีครับ
เช้านี้ผมไม่ได้เร่งรีบอะไร หลังจากที่สมาชิกได้พายเรือเรียกเหงื่อกันแล้ว ก็อาบน้ำอาบท่า Check out และออกไปหามื้อกลางวันทานที่ร้านเจ๊ต่ายปูเป็น ซึ่งเป็นร้านที่น้องพนักงานแนะนำ และตั้งอยู่ไม่ไกลจากรีสอร์ทครับ
ร้านเจ๊ต่ายปูเป็น เป็นร้านอาหารตามสั่งประเภทอาหารทะเล อยู่ติดริมทะเลเลย สามารถจอดรถบริเวณด้านหน้าร้านได้เลยครับ
มื้อนี้ได้ทั้งปลากะพงทอดน้ำปลา ยำ 3 ไข่ (ไข่ปู ไข่แมงดา ไข่ปลาเรียวเซียว) ห่อหมกเนื้อปูย่าง กุ้งอบเกลือ ปูนึ่ง รสชาติอาหารโดยรวมอร่อยทีเดียว ปูสด หวาน เสียดายที่ปูตัวเล็กไปสักนิด ไม่ผิดหวังที่มาตามคำแนะนำของน้องพนักงานที่รีสอร์ทครับ
หลังอิ่มท้องแล้วก็ไปเที่ยวกันต่อ เดิมทีเดียวผมมีโปรแกรมไปเที่ยวชมสวนผลไม้ แต่จากการโทรสอบถามเจ้าของสวนผลไม้แล้ว คงต้องพับโปรแกรมไปก่อน เพราะช่วงที่ผมไปผลไม้เริ่มหมดแล้ว แต่ไม่เป็นไร ผมยังมีจุดหมายต่อไป นั่นคือการไปชมพิพิธภัณฑ์หนังใหญ่ที่วัดบ้านดอนครับ
พิพิธภัณฑ์หนังใหญ่วัดบ้านดอน ตั้งอยู่ภายในวัดบ้านดอน ในอาคารหลังนี้แหละครับ พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ถือเป็น 1 ใน 3 พิพิธภัณฑ์ที่มีการจัดแสดงตัวหนังใหญ่ที่หลงเหลืออยู่ในเมืองไทย (สำหรับอีก 2 แห่งตั้งอยู่ที่วัดขนอน จ.ราชบุรี และวัดสว่างอารมณ์ จ.สิงห์บุรี) ภายในพิพิธภัณฑ์จัดแสดงตัวหนังใหญ่ มีตู้เก็บหนังใหญ่ลักษณะเป็นกล่องไฟ ซึ่งจะช่วยทำให้เห็นลวดลายบนตัวหนังใหญ่ได้ชัดเจนขึ้น ตัวหนังสำคัญที่จัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ประกอบด้วยหนังเจ้า (เป็นหนังที่ใช้สำหรับพิธีไหว้ครูเท่านั้น จะไม่ใช้แสดง), หนังไหว้, หนังเดิน, หนังเหาะ, หนังเมือง, หนังรถ และหนังจับครับ สำหรับหนังใหญ่ตัวที่เก่าแก่ที่สุดของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้มีอายุกว่า 200 ปี เป็นตัวหนังที่พระยาศรีสมุทรโภคชัยโชคชิด บังคราม เจ้าเมืองคนแรกของจังหวัดระยอง ได้ซื้อตัวหนังใหญ่มาจากจังหวัดพัทลุงจำนวน 1 ชุด ซึ่งประกอบด้วยตัวหนังประมาณ 200 ตัว ปัจจุบันตัวหนังใหญ่ที่เคยมีอยู่ 200 ตัว ได้ผุพังลงไปบ้าง แต่ก็ได้มีการทำเพิ่มเติมอีก 77 ตัว เพื่อใช้เล่นแสดงร่วมกับหนังใหญ่ชุดเดิมครับ
สำหรับใครที่อยากจะชมการเชิดหนังใหญ่ คงจะต้องติดต่อทางพิพิธภัณฑ์ล่วงหน้านะครับ เพราะทางพิพิธภัณฑ์จะได้จัดเตรียมนักแสดงไว้รอเชิดหนังใหญ่ให้ชม ผมเองก็ไม่ได้ติดต่อไปล่วงหน้า (เพราะคิดว่าจะมีการแสดงเป็นรอบๆ ทุกวันเสาร์ อาทิตย์เหมือนที่วัดขนอน) เลยไม่ได้ชมการเชิดหนังเช่นกัน แอบผิดหวังเล็กๆ ครับ แต่ถ้าใครอยากจะดูการเชิดหนังใหญ่แบบจัดหนักจัดเต็มด้วยไฟกะลา คงต้องรอช่วงเทศกาลสงกรานต์ ระหว่างวันที่ 13-15 เมษายน ของทุกปีครับ
ปิดท้ายของโปรแกรมวันนี้ที่วัดป่าประดู่ วัดเก่าแก่ของระยอง เดิมชื่อวัดป่าเลไลยก์ สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยา มีอายุราว 400 ปีครับ สำหรับสิ่งที่น่าสนใจในวัดคือพระวิหาร ซึ่งภายในวิหารประดิษฐานพระประธานอภัย สำหรับความแปลกของวิหารแห่งนี้คือ ที่ฐานของวิหารจะมีช่องสำหรับให้ญาติโยมได้มาลอด เชื่อว่าหากได้มาลอดช่องบริเวณพระวิหาร จะเกิดความเป็นสิริมงคลกับชีวิตครับ ในช่องใต้วิหารจะมีใบเสมาโบราณ รวมถึงลูกนิมิตโบราณ 9 ลูก เชื่อกันว่าหากได้ลูบลูกนิมิตครบทั้ง 9 จะประสบความสุขความเจริญ ความสำเร็จตามที่ปรารถนาทุกประการ นอกจากนี้ยังมีช่องที่เราสามารถมองเห็นพระประธานอภัยที่อยู่ด้านในวิหารได้ด้วย เชื่อกันว่าหากปรารถนาสิ่งใดให้มองพระประธานอภัยพร้อมตั้งจิตอธิษฐาน แล้วจะได้สมดั่งใจครับ
อีกหนึ่งสิ่งที่นับว่าเป็นไฮไลต์ที่สุด เห็นจะเป็นพระพุทธปางไสยาสน์ที่นอนตะแคงซ้ายองค์นี้ โดยปกติพระปางไสยาสน์โดยทั่วๆ ไปจะนอนตะแคงขวา แต่ที่วัดป่าประดู่นอนตะแคงซ้าย นับเป็นพระพุทธไสยาสน์ที่แปลกที่สุดในเมืองไทย จะบอกว่า Rayong Only ก็คงไม่ผิดครับ องค์พระมีความยาวประมาณ 11 เมตร สูง 3.60 เมตรมีผู้สันนิษฐานว่า ที่องค์พระนอนตะแคงซ้าย เป็นการสร้างตามพระพุทธประวัติ ตอนพระพุทธเจ้ากระทำยมกปาฏิหาริย์ให้พวกเดียรถีย์ชม โดยมีพระพุทธนิมิตแสดงอาการอย่างเดียวกับพระพุทธเจ้าเป็นคู่ๆ เมื่อถึงอิริยาบถไสยาสน์จึงผินพระพักตร์เข้าหากัน เป็นการนอนตะแคงซ้ายและขวาในลักษณะเดียวกัน ผู้สร้างคงเจตนาสร้างให้มีนัยของพุทธปาฏิหาริย์ดังกล่าว จึงสร้างเป็นพระนอนตะแคงซ้ายครับ เชื่อกันว่าหากได้มาสักการะขอพรจะทำให้มีโชคลาภ เจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงานครับ
ทริปนี้ถือเป็นทริปของการมาพักผ่อนจริงๆ เน้นกิน เน้นนอน หลังจากไหว้พระเพื่อเป็นสิริมงคลกับชีวิตเสร็จแล้ว ก็มุ่งหน้าเข้าสู่ที่พักในคืนที่ 2 ครับ คืนนี้ผมเข้าพักที่โรงแรมแทมมารินด์ การ์เดน (Tamarind Garden Hotle) ครับ
จะบอกว่าโรงแรมแทมมารินด์ การ์เดน ตั้งอยู่ใจกลางเมืองระยองเลยก็น่าจะได้ แถมอยู่ไม่ไกลจากสี่แยกระยองออคิดครับ ลานจอดรถจะอยู่ด้านหน้าโรงแรมเลยครับ
ที่ชั้นล่างของตัวอาคารเป็นผนังกระจก ทำให้ดูสูง โปร่ง เมื่อยืนอยู่ด้านนอกสามารถมองเห็นลอบบี้ด้านในได้เลยครับ
ภายในกว้างขวางเลยทีเดียว พื้นที่บริเวณนี้ออกแบบเน้นสีขาวและเขียว ทำให้ดูสะอาดและดูสดชื่นตาครับ
บริเวณโดยรอบได้จัดเตรียมชุดโซฟา ให้แขกได้มานั่งพักผ่อนระหว่างรอการ Check in/Check out นอกจากนี้ยังมี Business Lounge และห้องอาหาร Rice Mill ขนาบข้างซ้ายขวาของลอบบี้ครับ
ไปดูในส่วนของห้องพักกันบ้าง ห้องที่ผมเข้าพักในคืนนี้เป็นแบบ Deluxe พื้นที่ภายในห้องพักกว้างขวางเลยทีเดียว คุมโทนสีออกแนวฟ้า-ขาว ดูสบายตา เตียง King size ขนาดใหญ่ มีมุมสำหรับให้นั่งทำงานด้วย สิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน โดยรวมถือว่าห้องดีเลยทีเดียวครับ
ภายในห้องน้ำแยกส่วนเปียกส่วนแห้งด้วยผนังกระจก อ่างล้างหน้าดูทันสมัย แต่ผมว่ามันตื้นไปสักนิด เวลาเปิดน้ำแรงทีไรเผลอกระเด็นใส่ทุกที สำหรับเครื่องทำน้ำอุ่นของที่นี่ ใช้ระบบพลังงานแสงอาทิตย์แทนการใช้ไฟฟ้า ซึ่งเป็นการช่วยอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม โรงแรมนี้จึงได้รับรางวัลจากกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงานด้วยครับ
ในส่วนของอาหารเช้า ให้บริการที่ห้องอาหาร Rice Mill ซึ่งอยู่ด้านข้างลอบบี้นั่นเองครับ
อาหารเช้าให้บริการแบบ Buffetมีอาหารให้เลือกทานพอสมควรครับ
โดยรวมแล้ว โรงแรมแทมมารินด์ การ์เดน ถือว่าโอเคเลยครับ ถ้ามาเที่ยวครั้งหน้าแล้วต้องมาพักในตัวเมืองระยอง ผมคงต้องกลับมาใช้บริการอีกครั้งครับ
ก่อนจะปิดทริปอย่างเป็นทางการ ขอแวะไปซื้อของฝากที่ตลาดร้อยเสากันก่อน ตลาดร้อยเสาเป็นตลาดของฝากขนาดใหญ่ตั้งอยู่ในบริเวณบ้านเพ มาที่ตลาดแห่งนี้เป็นอันว่าจบในที่เดียว เพราะสามารถหาเลือกซื้อของฝากได้ทุกอย่างที่ผลิตจากระยอง ไม่ว่าจะเป็นอาหารทะเลแปรรูปอย่าง กุ้งแห้ง ปลาหมึกแห้ง ปลาหมึกปรุงรส หอยหวาน ปลาเค็ม รวมถึงขนมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นทุเรียนทอด กล้วยกวน เรียกได้ว่าเห็นอะไรก็อยากจะซื้อไปซะหมด งานนี้ผมหิ้วของฝากกลับบ้านไปแบบเต็มสองมือสองไม้กันเลยทีเดียว
จริงๆ แล้ว สถานที่ท่องเที่ยวของระยองแบบไม่มองทะเล ยังมีอีกหลายสถานที่มากๆ หากผมมีโอกาสได้กลับไปเที่ยวที่ระยองอีกสักครั้งสองครั้ง จะเก็บรายละเอียดส่วนที่เหลือมาฝากเพื่อนๆ อีกนะครับ
ท้ายสุดนี้ เพื่อนๆ สามารถเข้าไปให้กำลังใจและติดตามผลงานของผมเพิ่มเติมได้ที่ https://www.facebook.com/unclegreenshirt นะครับ
ลุงเสื้อเขียว
วันอาทิตย์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2561 เวลา 20.34 น.