แบ็คแพ็คไป "มั ล ดี ฟ ส์" ดินแดนในฝันของคนรักทะเลแบบประหยัด (มั้งนะ)

บันทึกการเดินทางครั้งนี้อาจจะยาวและรูปเยอะไปหน่อย แต่อยากทำบันทึกเก็บไว้เป็นความทรงจำเกี่ยวกับประสบการณ์ท่องเที่ยวมัลดีฟส์ ใครที่ขี้เกียจอ่านก็ดูรูปแทนละกันเนอะ บอกก่อนนะครับว่า ทริปนี้ไม่ได้ไปพักรีสอร์ทหรูที่มีห้องพักกลางน้ำทะเล เหมือนที่หลายๆคนวาดฝันไว้ แต่ไปพักบนเกาะท้องถิ่นที่มีคนท้องถิ่นพักอาศัย เพื่อจะได้สัมผัสกลิ่นอายมัลดีฟส์ ใจก็อยากไปพักรีสอร์ทหรูกลางทะเลเหมือนทีเห็นกันในเฟสบุ๊ค แต่นั่นราคาแพงมากนะ คืนละหลักหมื่นเลยนะ ไม่ไหว งบน้อย!! ใครรวยก็จัดเลย!! ฮ่ะๆๆ มาเริ่มกันเลย

หมายเหตุ: ภาพมุมสูงทั้งหมดของมัลดีฟส์คัดลอกมาจากGGนะ เพราะบินไฟลท์ดึกจึงไม่มีโอกาสได้เห็นวิวมุมสูง เลยไม่ได้ถ่ายเอง เสียดายมากๆ ไว้โอกาสหน้าจะบินไฟลท์กลางวันเนอะ

หยุดยาวสงกรานต์ใกล้เข้ามาแล้ว หลายๆคนมาถามว่า หยุดยาวสงกรานต์นี้จะกลับบ้านไหม จะไปเที่ยวที่ไหนฮ่ะๆๆ ขอบคุณที่มาถามกันนะ แต่ก็ตอบไปว่า หยุดยาวปีนี้ไม่กลับบ้านนะ แต่จะไปเที่ยวต่างประเทศแทน อิอิ พอบอกไปว่าจะไปเที่ยวต่างประเทศเท่านั้นแหละ คนส่วนใหญ่ก็มักจะพูดเสมอว่า รวยจังเลยนะ มีตังค์เที่ยวต่างประเทศด้วย ซึ่งก็โทษใครไม่ได้ เพราะคนส่วนใหญ่ก็จะคิดกันว่าคนไปเที่ยวต่างประเทศคือคนรวยคนมีตังค์ แต่มันก็ไม่เสมอไปนะ ไม่ลองเที่ยวเองจะไม่รู้เลยว่า ไม่จำเป็นต้องรวยก็สามารถเที่ยวต่างประเทศได้

แต่ตอนนี้ก็ยังไม่สามารถตัดสินใจได้ว่าหยุดสงกรานต์นี้จะไปที่ไหนดี เพราะมันมีหลายสถานที่มากมายที่อยากจะไป เช่น ซาปา เวียดนาม, บาหลี+เกาะกิลิ อินโดนีเซีย, วังเวียง ลาว, ปาลาวัน ฟิลิปปินส์, อิสตันบูล ตุรกี หลังจากพิจารณาอยู่หลายเดือนก็เลยตัดสินใจว่า ลองไป มัลดีฟส์ สักครั้งละกัน เอ่า มัลดีฟส์ โผล่มาจากไหน งง 555+

แน่นอนว่ามัลดีฟส์เป็นประเทศหนึ่งที่ไม่เคยคิดมาก่อนว่าตัวเองจะได้ไปเที่ยวมาก่อน ถ้าถามถึงเมื่อ5ปีก่อนละก็คงได้แต่หัวเราะขำๆ ไม่ใช่เพราะอะไรนะ แต่เพราะมันคงจะไม่มีทางเกิดขึ้นกับตัวเองแน่ๆ ถึงแม้จะเป็น2ปีก่อนที่เริ่มต้นเดินทางท่องเที่ยวก็ไม่เคยคิดถึงทริปมัลดีฟส์มาก่อนเช่นกัน

ก่อนหน้านี้มีแค่2อย่างที่รู้เกี่ยวกับประเทศมัลดีฟส์คือ
1. ที่มัลดีฟส์มีแต่รีสอร์แพงๆที่ตั้งอยู่บนเกาะส่วนตัวซึ่งรู้ตัวว่าไม่สามารถจ่ายด้วยเงินอันน้อยนิดที่มีอยู่แน่ๆ ฮ่ะๆๆ
2. ค่าที่พักค่ากินค่าน้ำค่าตั๋วเครื่องค่าเรือค่าเครื่องบินน้ำและค่าใช้จ่ายต่างๆที่มัลดีฟส์แม่งโคตรแพงงงงงงงงงงงงโอเคงั้นก็ลองเช็คราคาตั๋วเครื่องบิน+ที่พักต่างๆ ซึ่งตั๋วเครื่องก็ไม่ได้แพงมากนัก จึงได้ลองชวนเพื่อนๆไปเที่ยวด้วยกัน แต่ก็น่าเศร้านะที่ไม่มีใครตกลงร่วมทริปด้วย ฮ่ะๆๆ แต่ไม่เป็นไร เพราะส่วนตัวนั้นชินแล้วกับการเดินทางคนเดียว

แต่ถึงอย่างนั้นการวางแผนเที่ยวมัลดีฟส์ครั้งแรกนั้นเล่นเอาปวดกระบาลพอควรอยู่นะ คือรู้ว่าคนส่วนใหญ่ต้องการพักห้องพักกลางทะเล ซึ่งแน่นอนว่าอยากพักด้วยเหมือนกัน แต่ครั้งนี้ยังไงม่ต้องการที่จะพักที่พักหรูๆกลางน้ำทะเลบนเกาะส่วนตัว เพราะราคามันโคตรโหดมากสำหรับมนุษย์เงินเดือนอย่างเรา จึงลองหาเกาะที่มีคนท้องถิ่นอาศัยอยู่ แต่เกาะที่มัลดีฟส์มันเยอะมากกกกกกกก และแต่ละเกาะก็อยู่กระจายไปตามห่วงโซ่มัลดีฟส์หรือที่เขาเรียกกันว่า Chain of Maldives ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะหาสถานที่ต่างๆบนกูเกิ้ลแมพ เพราะกูเกิ้ลมันแสดงเฉพาะชื่อและมันก็มีเป็นพันๆเกาะ

คำถามต่อไปคือแล้วทำไงล่ะ? ก็ลองไปหาอ่านรีวิวของคนที่เคยไปเที่ยวมัลดีฟส์มาก่อน เพื่อศึกษาข้อมูล ซึ่งถือว่าโชคดีที่คนไทยไปเที่ยวมัลดีฟส์แล้วมาเขียนรีวิวกันเยอะพอควร

งั้นมาทำความรู้จักกับมัลดีฟส์กันหน่อย เมืองมาเล่ เป็นเมืองหลวงของประเทศมัลดีฟส์ นับว่าเป็นเมืองหลวงที่แออัดและเล็กที่สุดในโลกก็ว่าได้ ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศอินเดียกับประเทศศรีลังกา เป็นประเทศเขตร้อน มีทั้งหมด1,192เกาะ แต่มีเพียง200กว่าเกาะที่มีคนท้องถิ่นพักอาศัยอยู่และมีรีสอร์ทหรูบนเกาะส่วนตัวมากกว่า80แห่ง

วิธีเดินทางไปมัลดีฟส์
สนามบินนานาชาติมาเล่ เป็นประตูหลักสู่ประเทศมัลดีฟส์ ถ้าเดินทางจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็สามารถใช้บริการผ่านสายการบินโลว์คอสต์หรือสายการบินราคาประหยัดตามนี้ได้เลย คนไทยถือว่าโชคดีมากที่มีสายการบินตรงไปมัลดีฟส์ถึง2บริษัท
1. สิงคโปร์: สายการบินสกู๊ต (แต่บินสายการบินนี้เพราะบินตรงจากไทยคือแพง)
2. มาเลเซีย: แอรเอเชีย
3. ไทย: บางกอกแอร์เวย์ & แอร์เอเชีย (บินตรงสู่มัลดีฟส์)
หมายเหตุ: ทริปนี้เลือกเดินทางกับสายการบินสกู๊ต เพราะบินตรงจากไทยคือแพงมาก แต่ต้องไปต่อเครื่องที่สิงคโปร์นะ

หลังจากนั้นจึงเจอกับเกาะที่อยากจะไปแล้ว นั่นก็คือ เกาะมาฟูชิ จึงวางแผนว่าจะไปเที่ยว6วัน5คืน สนุกละ!
ไปเที่ยวมัลดีฟส์ช่วงวันที่ 13 – 19 เมษายน2018 ช่วงหยุดยาวสงกรานต์ ซึ่งนับว่าเป็นหนึ่งในสถานที่พักผ่อนวันหยุดที่ดีที่สุดในชีวิตและจากการเดินทางท่องเที่ยวตลอด2ปีที่ผ่านมานั้น เกาะมาฟูชิประเทศมัลดีฟส์เป็นเกาะน่าสนใจที่สุดแห่งหนึ่งของการท่องเที่ยวเลยล่ะ

เกาะมาฟูชิเป็นเกาะที่เล็กและง่ายต่อการเดินสำรวจรอบๆเกาะมาก ถ้าหากว่าที่พักอยู่อีกฟากของเกาะแล้วไม่สามารถเห็นพระอาทิตย์ตกก็สามารถเดินออกไปชมหาดฝั่งที่พระอาทิตย์ตกได้ทันที เดินประมาณ5นาทีก็ถึงจุดชมวิวได้ และสามารถเดินชมรอบๆเกาะได้ด้วยระยะเวลาอันสั้นประมาณ30นาทีและยังสามารถมองจากเกาะอีกฝั่งไปยังอีกฝั่งได้ด้วยเช่นกัน อีกทั้งยังง่ายต่อการหาร้านอาหารหรือร้านของฝากในระหว่างที่พักอยู่บนเกาะมาฟูชินั้นด้วยเช่นกัน

การเดินทางจากเมืองหลวงมาเล่ไปยังเกาะมาฟูชิ
ลืมเรื่องการเดินทางแบบเหมาเรือเร็วหรือเครื่องบินน้ำไปได้เลย เพราะค่าราคาแม่งแพงหูฉีกอ่ะ มันยังมีวิธีอื่นที่จะไปยังเกาะต่างๆ จากเมืองมาเล่สามารถเลือกเดินทางได้หลายแบบนะ เรือเฟอรี่ เรือเร็วมี2แบบ แบบแชร์กับแบบเรือเร็วเหมาส่วนตัว แต่เหมาส่วนนี่คือแพงมากนะ ส่วนตัวนั้นใช้บริการเรือเร็วแบบแชร์รอบ9.15AM (จองล่วงหน้าดีกว่านะ) ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงก็ถึงเกาะมาฟูชิ แต่ถึงอย่างนั้นเรือเฟอรี่คือถูกว่ามากๆ ซึ่งสามารถไปขึ้นเรือได้ที่ท่าเรือเฟอรี่วิรินกิลี (ไม่รู้อ่านถูกเป่านะ ฮ่ะๆๆ) ซึ่งจะมีวันละ1เที่ยว ออกจากมาเล่เวลาบ่าย3 และออกจากเกาะมาฟูชิเวลา7.30โมงเช้าของทุกวัน ยกเว้นวันศุกร์ (ควรดูมห้ดีก่อนเดินทางมามัลดีฟส์นะ วันศุกร์จะไม่มีเรือให้บริการเลย เพราะวันศุกร์คือวันหยุดของมัลดีฟส์)

วันที่1: เดินทางจาก กรุงเทพ > สิงคโปร์ > มัลดีฟส์
งั้นมาเริ่มเดินทางสู่มัลดีฟส์กันเลยดีกว่า วันแรกของการเดินทางนั้นอาจจะยาวไปนานไปหน่อย เพราะต้องบินจากกรุงเทพไปต่เครื่องที่สิงคโปร์แล้วก็บินตรงมัลดีฟส์ ถ้าถามว่าทำไมไม่บินตรงจากกรุงเทพเลยล่ะ มีเหตุผลนะ คือ วันที่13เมษา แอร์เอเชียไม่มีบินไปมัลดีฟส์เลย ซึ่งบางกอกแอร์มีบินตรงมัลดีฟส์ แต่ราคานั้นแพงเกินไป เลยยอมเสียเวลาเดินทางไปต่อเครื่อง ทำให้ตั๋วเครื่องกูถูกลงหมื่นกว่าๆ แต่ก็ใช้เวลานานพอควรนะ

เช้ามาก็ดิ่งตรงไปสุวรรณภูมิ ไปเช็คอินที่เคาน์เตอร์ ได้ตั๋วเครื่องมา2ใบ กระเป๋าไม่โหลด จากนั้นก็เดินเข้าไปรอในเกท ซึ่งยังเหลือเวลาอีกเยอะเลย หาที่นั่งรอชาร์จแบตมือถือวนนนนนนไปก่อน

พอถึงเวลาเกทเปิดแล้วก็รีบไปเข้าห้องน้ำทำธุระส่วนตัวให้เรียบร้อยก่อนเข้าเกทF3 แต่พอเข้าเกทปุ๊บก็นั่งรอขึ้นเครื่องเล่นมือถือไป พอหิวย้ำเท่านั้นแหละถึงรู้สึกตัวว่าตัวเองลืมขวดน้ำที่ซื้อขวดละ58บาทไว้ในห้องน้ำ

คือยังไงก็ต้องกลับไปเอาขวดน้ำอ่ะ เพราะบนเครื่องไม่มีน้ำบริการ จึงแจ้งพนักงานว่าขอออกไปเอาของที่ลืมไว้ในห้องน้ำแป๊บเดียว พนักงานก็เลยเอาบัตรใบนี้และเก็บตั๋วเครื่องไว้ จากนั้นก็วิ่งไปเอาขวดน้ำที่ลืมไว้ 555+

พอได้ขวดน้ำแล้วก็สบายใจหน่อย มีน้ำดื่มละ ก็นั่งรอวนไปอีก และก็เพิ่งรู้สึกตัวอีกครั้งว่าลืมแว่นตาด้วยนี่หว่า โอ้โหหหหทีนี้ล่ะต้องไปเอาอีกละ ของมันต้องมีอ่ะจะไม่ไปเอาก็เสียดายของ หาซื้อที่โน่นก็คงจะแพง เลยไปขอพนักงานเอาแว่นตาอีกรอบพร้อมกับแลกบัตรเช่นเคย และรูปล่างนี้แหละสภาพแว่นตาที่ลืมไว้ที่อ่างล้างคือลืมไปได้ไงน้ออออออออ คือรอบนี้วิ่งจนเหนื่อยไงเพราะเขาเรียกขึ้นเครื่องแล้ว เร่งสปีดสุดชีวิตเลยล่ะ 555+ สะเพร่าสุดๆ

รูปนี้จำได้ว่าถ่ายตอน2ทุ่มเวลาสิงคโปร์ก็1ทุ่มไทย เท่ากับ 5โมงเย็นมัลดีฟส์ คือรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังย้อนเวลากลับไปสู่อดีตยังไงยังงั้นนะ แต่ก็ไม่รู้ว่าน่านฟ้าประเทศอะไร เพราะไม่มีจอให้ดู อดไป ฮ่ะๆๆ

สกุลเงินของ มัลดีฟส์ คือ Rufiyaa โดยอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 1 USD = 15 Rufiyaa และ 1Rufiyaa = 2THB โดยประมาณ สามารถแลกเงินได้ตามสถานรับแลกเงินต่าง ๆ และสามารถใช้เงินดอลล่าส์ได้ทั่วเกาะไม่ว่าจะเป็นโรงแรมหรือรีสอร์ท

ทริปนี้แลกเงินดอลล่าส์ไปทั้งหมด 700ดอลล่าส์ แต่จบทริปยังใช้ไม่หมดเลย ยังเหลืออีกนะ กินอิ่มนอนอุ่น สบายๆชิลๆได้ ส่วนตัวไม่ได้แลกเงินรูฟียาเลย

ทางเข้าอาคารผู้โดยสารขาเข้าประเทศก็จะประมาณนี้ ลงเครื่องก็มาก็อย่าหวังจะได้เดินออกทางเชื่อมเครื่องบินกับตึกนะ เพราะที่นี่ไม่มี ต้องเดินลงมาจากเครื่องแล้วเดินเข้าอาคาร ทั้งขาเข้าและขาออกก็จะประมาณนี้ พอถึงสนามบินสิ่งแรกที่ต้องทำก็คือ ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง ต้องเขียนใบ ตม. พนักงานบนจะแจกบนเครื่องก่อนแลนดิ้ง ก็เดินเข้าอาคารไปผ่าน ตม. ตอนนั้น ตม.ถามว่ามากับใคร พอตอบว่ามาคนเดียว ตม.ก็เลยบอกว่าเที่ยวให้สนุกและดูแลตัวเองด้วยนะ ไอ่เราก็ขอบคุณแล้วเดินออกไป

หลังจากนั้นก็ไปหาซื้อซิมเน็ต เพื่อให้คนทางบ้านและเพื่อนอุ่นใจว่าเราเดินทางถึงปลอดภัยละนะ ไม่ต้องเป็นห่วง การหาซื้อซิมเน็ตที่นี่นั้นง่ายมากๆ ตรงทางออกด้านซ้ายขวาของสนามบินจะมี2ค่ายยักษ์ใหญ่คือDhiraagu กับ Ooreedoo ของมัลดีฟส์ เป็นจุดที่หาซื้อได้ง่ายที่สุดหลังจากเดินทางถึงสนามบินมัลดีฟส์

หลังจากรอคิวประมาณ5นาที ก็ยื่นพาสสอปร์ตละมือถือให้กับพนักงานแ จากนั้นแจ้งที่อยู่โรงแรมโดยกรอกลงในแบบฟอร์มและทำการเลือกแพ็กเกจเน็ตที่ต้องการ จ่ายตังค์ ก็เป็นอันเสร็จสิ้น

จะบอกว่าสัญญาณเน็ตที่นี่แรงได้ใจมากๆ อีกทั้งยังครอบคลุมทุกที่ที่ได้ไปมาในมัลดีฟส์ แม้กระทั่งอยู่บนเรือก็ยังมีสัญญาณเน็ตเลย ทั้งที่มองไม่เห็นเกาะที่อยู่ใกล้ที่สุดก็ตาม 555+

วันแรกที่เดินทางถึงมัลดีฟส์นั้นต้องพักที่โรงแรม Marble ในเมืองหลวงของมัลดีฟส์คือมาเล่ เพราะบินถึงมัลดีฟส์ช่วง2ทุ่ม เลยต้องพักในเมืองก่อนแล้วจึงเดินทางไปยังเกาะมาฟูชิในวันถัดไป จึงนั่งเรือเฟอรี่1ดอลล่าส์ของสนามบินข้ามมายังเมืองมาเล่

ตอนที่เดินไปโรงแรมก็สังเกตุดูรอบๆแล้วสงสัยว่าทำไมไม่มีทักท่องเที่ยวต่างชาติคนอื่นๆเลยสักคน คือสงสัยมาก ฮ่ะๆๆ เคยอ่านรีวิวมาว่าส่วนใหญ่จะไม่มีค่อยมีคนพักในเมืองหลวง นอกเสียจากบินมาดึกจึงต้องพักในเมืองเพื่อรอเดินทางไปยังเกาะปลายทางต่างๆในวันถัดไป ซึ่งก็รู้สึกโล่งใจที่ตัวเองไม่ได้วางแผนพักในเมืองมาเล่ ซึ่งพักเฉพาะคืนแรกส่วนคืนถัดไปก็ไปพักบนเกาะมาฟูชิ เหมือนที่ตัวเองตื่นเต้นอยากไปถึงเกาะมาฟูชิให้ไวที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ อยากสัมผัสความเป็นมัลดีฟส์มากๆ

วันแรกหมดไปกับการเดินทางละ เครียธุระ ได้เน็ตใช้ ก็ซื้อตั๋วเรือเฟอรี่ข้ามไปเกาะมาเล่ ไปโรงแรมแล้วนอนพักเลย

วันที่2: เดินทางจาก เมืองมาเล่ > เกาะมาฟูชิ


วันนี้เดินทางจากมาเล่สู่มาฟูชิตอน9.15โมงเช้า โดยเรือเร็วแบบแชร์25ดอลล่าส์ ซึ่งได้ให้ทางที่พักจองเรือให้เรียบร้อยแล้ว แต่พอถึงเวลาจริงๆ ทางที่พักไม่ได้แจ้งว่าไปกับเรือบริษัทไหน ทีนี้ก็วุ่นเลย ก็ถามพนักงานเรือแถวนั้นว่าเรือลำไหนไปมาฟูชิเวลา09.15นบ้าง เขาก็บอกว่าคุณได้จองไว้ไหม จากนั้นเขาก็ถามชื่อโรงแรมที่จะไปพักบนเกาะมาฟูชิแล้วสอบถามกับทางที่พัก จากนั้นพี่แกก็ยื่นมือถือให้คุยกับพนักงานโรมแรม ก็แจ้งรายละเอียดข้อมูลต่างๆ สุดท้ายเขาก็บอกว่าขอโทษที่ไม่ได้แจ้งบริษัทเรือที่จองไว้ แต่ยูสามารถไปกับเรือลำนี้ได้ จ่ายเท่ากัน 25ดอลล่าส์ จากนั้นก็ขึ้นเรือเดินทางสู่เกาะมาฟูชิ

*อย่างไรก็ตามเมื่อจองทัวร์ไว้แล้วก็ควรรักษาเวลา อย่าไปสาย เพราะคุณไม่ได้ไปคนเดียว แต่ไปร่วมทริปกับคนอื่น แน่นอนว่าคุณคงไม่อยากเป็นต้นเหตุทำให้ทริปเกิดความล่าช้าแน่ๆ

หลังจากนั่งเรือเร็วได้ประมาณ40นาทีก็มาถึงจุดหลายปลายทางสักที ยินดีต้อนรับสู่ เกาะมาฟูชิ นั่นเองงงงงงงงงงงงง

พอไปถึงท่าเรือก็มีพนักงานชูป้ายชื่อโรงแรมมารอรับที่ท่าเรือ พร้อมกับเขารถเข็นแบบลากมารับสัมภาระด้วยนะ ดีไปอีก ความจริงลากไปเองก็ได้นะ แต่พนักงานบอกไม่เป็นไร :)

วันนี้ไปถึงเกาะมาฟูชิแต่เช้า แต่ก็ได้เช็คอินไวแต่เช้าเช่นกัน ทริปนี้พักที่โรงแรม Holidays Lodge Maldives 5วัน4คืน ติดทะเลนะ แต่ไม่มีหาดให้เล่นน้ำนะ พนักงานใจดี ยิ้มแย้มแจ่มใส ทักทายด้วยตลอดที่เจอกัน ถือว่าเป็นโรงแรมแห่งหนึ่งที่คุ้มค่ามากกับเงินที่จ่ายไปและรู้สึกประทับใจกับสิ่งที่ได้รับจากการพักที่นี่ ลองไปดูห้องพักกัน ห้องพัหที่นี่ก็ถือว่าดีนะ เป็นที่ชอบสไตล์ห้องแบบนี้ ไม่หรูหราแต่เรียบง่าย

มีไรจะบอกเกี่ยวกับปลั๊กไฟด้วยคือ ลืมเตรียมปลั๊กไฟแบบ3ขาไป แต่โชคดีที่โรงแรมมีแบบ2ขาให้ใช้ด้วย
・ไฟฟ้าที่นี่มาจากการปั่นไฟและโซล่าร์เซลล์เกือบทั้งหมด
・ระบบไฟฟ้า: 220-240 โวลต์ เครื่องไฟฟ้าจากไทยสามารถนำไปใช้ที่มัลดีฟส์ได้ แต่ต้องใช้ปลั๊กขา 3 เหลี่ยม
・แนะนำให้เตรียมปลั๊กไฟแบบ universal ปลั๊กเดียวเที่ยวทั่วโลก แต่บางที่ก็มีแบบ2ขาแบบไทยเราอยู่นะ

ช่วงเย็น4โมงออกไปเดินเล่นแถวหาดกีฬาทางน้ำ คือ ตื่นเต้นที่จะได้ลองเล่นกีฬาทางน้ำ ซึ่งก็เลือกเล่นแพดเดิลบอร์ด ไม่รู้ภาษาไทยเรียกว่าไร 10ดอลล่าส์/ชั่วโมง ถึงจะอย่างนั้นพนักงานก็บอกว่าตอนนี้4โมงกว่าละ อยากเล่นนานแค่ไหนก็เล่นเลยนะ ได้ยินแบบนี้ละชื่นใจมาก เล่นๆไปจนถึง6โมงเย็นเลย 555+

ครั้งแรกในชีวิตกับการเล่น Stand Up Paddle Boarding นั้นไม่ใช่เรื่องยากเลยนะ ตอนเช่าก็ต้องลงทะเบียน แจ้งชื่อที่พัก ห้องพัก ด้วยนะ ตอนพนักงานยกบอร์ดมาคือแลดูชิลมาก เขาก็สาธิตให้ดูว่าเล่นยังไง ยืนนั่งยังไง เวลาตกน้ำขึ้นยังไง พอสาธิตเสร็จก็เล่นเลย ช่วงแรกๆก็ยังทรงตัวกับคลื่นน้ำไม่ได้ ตกน้ำไป3-4ครั้ง เกร็งขาด้วย จนสามารถจับทางคลื่นและทรงตัวได้ เท่านั้นแหละ ยืน นั่ง นอน พายสะบายเลย แต่ไอ่ที่จะยากหน่อยคือการบังคับทิศทางนี่แหละแต่ได้ลองเล่นดูก็จะไม่ยาก ส่วนกล้องก็วางตรงปลายบอร์ดแล้วถ่าย ไปคนเดียวมันก็จะลำบากถ่ายรูปแบบนี้แหละนะ แต่มันก็ไม่ใช่ปัญหาหรอกนะ เล่นอันนี้คือเหมือนได้ออกกำลังกายหน้าท้องกับขาไปด้วย แต่ชอบมากกกกกกกก

พอตกเย็นมาก็กลับที่พัก อาบน้ำ แล้วออกไปหาไรกิน ร้านก็มีให้เลือกมากมาย ไอ่เราก็เลือกร้านที่แบบเปิด จะได้ดื่มด่ำกับบรรยากาศค่ำคืน เมนูเย็นนี้คือข้าวผัดไก่ ไข่ดาว ส่วนแผ่นทอดจานนั้นเขามาเอาให้กินฟรีๆ คืออะไรไม่รู้ แต่หอมดี แต่วันนั้นดันโชคไม่ดี ฟ้าฝนตกมาแบบกระหน่ำ เหมือนไม่เคยตกมาก่อน 555+ เลยได้ยกจานอาหารมานั่งกินเคาเตอร์เบียร์ของร้านที่ตั้งอยู่ทางเข้าร้าน เอ่อ มันก็ดีแห๊ะ ได้บรรยากาศอีกแบบ ฝนก็สาดหน่อยๆ อาหารก็ตามที่เห็นนี้ ข้าวผัดไก่ไข่ดาว รสชาติเหรอ กินได้ ไม่แย่มาก แต่ของบ้านเราชนะขาดลอยอยู่แล้ว 555+

มีข่าวร้ายสำหรับคอเหล้าและแอลกอฮอล์อื่น ๆคือเกาะมาฟูชิเป็นที่ปราศจากแอลออกฮอล์นะ เนื่องด้วยภายใต้กฎหมายอิสลามเกี่ยวกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นั้นเป็นสิ่งต้องห้ามอย่างเคร่งครัดในประเทศมัลดีฟส์ ถ้าอยากดื่มละก็ซื้อทัวร์ไปรีสอร์ทบนเกาะส่วนตัวได้นะ เป็นแบบทัวร์1วัน มีหลายรีสอร์ทให้เลือกนะ ดังนั้นถ้าวางแผนจะไปพักบนเกาะท้องถิ่นละก็สิ่งเหล่านี้คือข้อควรระวังนะ แต่นี่ไม่ใช่ปัญหาสำหรับตัวผมเองเลย เพราะไม่ได้ติดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อยู่แล้วรอดไป 555+

วันที่2: ดำน้ำ

เช้าวันแรกที่เกาะมาฟูชิ ตื่นเช้ามา6โมง เปลี่ยนชุดออกไปวิ่ง+เดินรอบเกาะเพื่อออกกำลังกายวอมร่างกายก่อนไปออกทริปดำน้ำ

วันนี้ได้จองทริปกับทางที่พักแบบดำน้ำครึ่งวัน3จุด แต่ได้ไปออกทริปของโรงแรมอารีน่าบีช รวมอาหารกลางวัน บนเกาะกลางทะเลที่เรียกว่า “Sandbank”ด้วย แต่น่าเศร้าที่โชคไม่ดีพอจะได้เห็นเกาะทรายกลางทะเล ยังมีพรุ่งนี้อีก ลุ้นต่อไป จึงต้องกินข้าวเที่ยงบนเรือแทน 555+

วันนี้โชคดีได้เจอท่านผู้เฒ่าเต่าเจ้าถิ่นด้วย กว่าจะหาเจอก็นานพอสมควรนะ เท่านั้นแหละรีบขอให้พนักงานขับเรือช่วยบันทุกวิดีโอให้ เป็นชั่วขณะที่ประทับใจมากๆเช่นกัน

สิ่งที่ประทับใจอีกอย่างของวันนี้คือ ได้รู้จักเพื่อนใหม่ชาวฟิลิปปินส์ มาเที่ยวคนเดียวเหมือนกัน เท่านั้นแหละคุยกันสนุกเลย คุยจนลืมถามชื่อกันตอนทักทายกัน 555+ แต่ได้แลกเปลี่ยน IG อยู่

สิ่งหนึ่งที่ยังตราตรึงใจมากๆคือความสะอาด ความใส ความสีฟ้าของน้ำทะเลมัลดีฟส์ คือมันดีต่อใจมากๆ แต่แดดที่นั่นก็แรงมากๆเช่นกัน เล่นน้ำกันสนุกมาก แดดแรงแค่ไหนก็แพ้ใจที่อยากเล่นน้ำอยู่ดี 555+

อาหารกลางวันของทริปก็จะประมาณนี้นะ มาม่าผัด ไก่ทอด สลัดผักและนม รสชาติอร่อยดี คงเพราะเหนื่อยกับการดำน้ำ เลยกินได้อย่างเอร็ดอร่อย 555+

วันนี้โชคดีที่ได้เจอเหล่าปลาโลมาระหว่างกลับเกาะมาฟูชิ คือมันว่ายน้ำตามเรือมาแบบน่ารักมากๆ อยากโดดลงไปว่ายด้วยจัง 555+

ขอบคุณพนักงานออกทริปของโรงแรมอารีน่าบีชที่ดูแลลูกทัวร์ทุกคนเป็นอย่างดี ใจดี ร่าเริง มนุษสัมพันธ์คือดีมากๆ ทริปวันนี้คือสนุกมากๆ มันคุ้มมค่ามากกับเงินจำนวน25ดอลล่าส์ที่จ่ายไป

พอจบทริปก็กลับมาเกาะมาฟูชิ ถึงเกาะก็ตอนเกือบๆ4โมงเย็นแล้ว เหนื่อยกับการดำน้ำจริงๆ เหนื่อยกับแดด 555+ กลับที่พักอาบน้ำ นอนพัก รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอีกทีก็ปาเข้าไป ตื่นล้างหน้าออกไปหาไรกินต่อ แต่ประเด็นคือ ฝนตกมาอีกแล้วววววว ออกไปไหนไม่ได้ละ กินข้าวเย็นที่โรงแรมละกัน ราคามันก็จะแพงกว่าร้านทั่วๆหน่อย เมนูเย็นนี้ก็คือ สเต๊กปลา อยู่เกาะแล้วเลยลองสั่งเมนูอาหารทะเลดูบ้าง ก็อร่อยดีนะ

คือเมนูอาหารที่นี่จะเป็นภาษาอังกฤษหมดเลย บางที่ก็ไม่มีรูปภาพให้ดูด้วย ซึ่งมันก๋จะยากมากสำหรับคนที่ด้อยสกิลภาษาอังกฤษอย่างตรู เมนูง่ายๆก็พอรู้หน่อย แต่เมนูที่ไม่รู้จักเลยก็มี อย่างฮอทดอกข้างล่างนี้คือสั่งมาเพราะไม่คิดว่ามันจะเป็นฮอทดอก นึกว่าจะเป็นอาหารพื้นเมืองเขาไง พลาดไปอีก 555+

แต่มื้อนี้โดนค่าน้ำไป2ดอลล่าส์ คือแพงมากกกกกกก เพราะน้ำที่ร้านค่ามันแค่8บาทนะ แต่ขวดนี้โดนไป62บาท งืดด

วันที่4: ดำน้ำ เช่นเคย

วันนี้ก็มีทริปดำน้ำเช่นกัน แต่วันนี้ได้ไปกับทัวร์โรงแรมซึ่งไปกันทั้งหมด5คน คือ พนักงาน2คนและฝรั่งชาวฮังกาเรียน2คน แลดูส่วนตัวมากๆ แต่ไปกับโรงแรมที่พักคือจะรู้สึกดีกว่าไปจอยน์ทริปกับโรงแรมอื่นยังไงไม่รู้

จุดแรกคือไปดำน้ำกับฉลามวาฬ ก่อนไปก็คือจินตนาการล้ำเลิศมาก คาดหวังไว้ว่าจะได้เจอหลายตัวและตัวใหญ่ๆ แต่พอไปถึงจุดดำน้ำคือแบบ ฉลามวาฬที่เจอนั้นตัวเล็กมากกกก ไม่ใหญ่เหมือนที่คาดหวังไว้และเห็นแค่ตัวเดียวเอง ต่างกับฉลามวาฬที่ไปเห็นดำมาที่ฟิลิปปินส์เมื่อปีที่แล้วเลย แอบผิดหวังเล็กน้อย

นี่คือแบบเข้าใกล้ปลามากๆ คือตัวเล็กมาก แต่ก็น่ารักดี บางคนอาจจะคิดว่าฉลามไม่กัดเหรอ อืมมนะ ฉลามวาฬอ่ะนะ

หลังจากนั้นก็ไปจุดดำน้ำกับลามา ตอนไปคือตื่นเต้นมาก แต่พอเอเข้าจริงต้องแอบผิดหวังกับเหล่าโลมา เพราะมันว่ายน้ำหนีตลอดและว่ายเร็วมาก พยายามว่ายตามอยู่นานประมาณ15-20นาทีได้ แต่ก็ตามไม่ทัน ลองจินตนาการดูนะ ไม่ใส่ชูชีพ ไม่ใช้ท่ออากาศ คือมีแต่หน้ากาก กับ ตีนกบ ที่ใช้ดำน้ำครั้งนี้คือแบบเหนื่อยมากๆ ก็เท่ากับว่าไม่มีรูปถ่ายกับโลมาเลยสักรูป

และที่เสียดายอีกอย่างของวันนี้คือม่มีเกาะกลางทะเลให้ได้เห็นอีกแล้ว นี่พลาดมา2วันติดแล้วนะ โชคไม่ดีจริงๆ พรุ่งนี้มีทริปดำน้ำอีกวัน หวังว่าคงได้เห็นนะ ลุ้นกันยันวันสุดท้ายเลยเหรอวะเนียะ 555+

เนื่องจากไม่มีเกาะกลางทะเลให้ได้ไปแวะกินข้าว จึงต้องเปลี่ยนแผนไปกินข้าวบนเกาะท้องถิ่น จำชื่อเกาะไม่ได้นะโทษที คือไปถึงก็พักเล่นน้ำบนเกาะสักชั่วโมงก่อนแล้วพนักงานจึงมาตามไปกินข้าว อาหารกลางวันก็ตามนี้เลย

อาหารกลางวัน แซนวิชไก่ นมเปรี้ยว น้ำ มะละกอ กำลังอิ่มพอดี กินเสร็จก็ปล่อยให้ชิลๆบนเกาะอีกพักใหญ่

เกาะท้องถิ่นแห่งนี้ไม่ค่อยสวยเท่าไหร่นัก แต่ก็ถือว่าไม่เลวสำหรับเล่นน้ำชิลๆ คนน้อยด้วย ยิ่งชอบไปอีก ฮ่ะๆๆ

เห็นต้นมะพร้าวไม่ได้เป็นต้องปีนเล่นเหมือนลิง 555+ คือเห็นปุ๊บก็อยากปีนขึ้นไปเพื่อถ่ายรูปคูลๆ ก็ตั้งกล้องให้ได้ระยะแล้วเริ่มปีน พอปีนไปได้ไม่ทันไร มีป้าฝรั่งยืนดูอยู่ ดูคนเดียวไม่พอเรียกลุงให้หันมามองตรูปีนอีก พอๆ ปีนถึงนี่ก็พอละ เกรงว่าเขาจะหาว่าตรูบ้าเป่าวะงี้ 555+ แต่ได้รูปนี้มาก็พอใจละ อิอิ

ขาเดินทางกลับเกาะมาฟูชิก็ต้องผ่านเกาะกลางทะเลอีกครั้ง พนักงานจึงจอดเรือให้ได้ชมความใสของน้ำทะเล จึงเล่นน้ำแม่งเลยทั้งหมด 555+ คือน้ำใสดีต่อใจมากๆ รูปอาจจะการันตีความสวยใสของน้ำได้ไม่ดีนัก จะให้ดีต้องไปสัมผัสด้วยตาตัวเองนะ มันสวยใสจริงๆ

หลังจากเดินทางกลับจากทริปก็กลับที่พัก อาบน้ำ นอนงีบสักพัก แล้ว4โมงกว่าๆก็ไปเล่น Stand Up Paddle Boarding ต่อในราคา 10 ดอลล่าส์ แต่วันนี้สภาพอากาศก็ไม่ต่างจากเมื่อวานเย็นคือฟ้าครึ้มฝน แต่ก็ยังเล่นได้

เล่น Stand Up Paddle Boarding คือมาใช้บริการของเจ้านี้ทั้ง2วันเลย เพราะจะได้ไม่ต้องเสียเวลาลงทะเบียนใหม่อีก คือชอบสไตล์การตกแต่งร้านเขานะ มันให้ความรู้สึกแบบชิลๆ ดูแล้วมีสีสัน เปิดเพลงก็มันส์ซะด้วย ชอบมาก

สำหรับอาหารเย็นวันนี้ก็นี่เลยแกงกะหรีปลา คือ ไม่ได้รู้จักหรอกว่ารสชาติอาหารเป็นไง แต่ก็อยากลองชิมดูเลยสั่งเมนูนี้ไป ก็กินหมดนะ ถึงแม้รสชาติจะไม่ได้ชัดจ้าน จากนั้นก็ต่อด้วยไอศครีมสตรอเบอรี่ หลังจากนั้นก็กลับห้อง นอน

วันที่5: ดำน้ำ อีกเช่นเคย

วันนี้ก็ตื่นเช้าเพื่อมาออกกำลังกายเช่นเคย แต่เนื่องจากเมื่อวานเย็นฝนตกหนัก จึงทำให้สภาพทางเดินบนเกาะนั้นเต็มไปด้วยน้ำ การเดินออกกำลังกายที่นี่เนียะเป๋นอะไรที่แบบรู้สึกสนุกมาก ไม่เบื่อเลย เงียบสงบ คนไม่พลุกพล่าน ค่อยๆเดินชมสิ่งต่างๆบนเกาะ

บนเกาะมาฟูชินั้นมีเรือนจำกลางของมัลดีฟส์ด้วยนะ จากการสอบถามข้อมูลจากชาวบ้านบนเกาะนั้น เขาบอกว่าเรือนจำนี้เป็นเรือนจำที่สำหรับขังนักโทษของมัลดีฟส์ นักโทษจะถูกส่งมาที่เรือนจำนี้ และมีนักโทษจำนวนประมาณ 900คน อยู่ในเรือนจำนี้ ข้อมูลเท็จจริงยังไงขอโทษด้วยนะครับ เพราะชาวบ้านเขาบอกว่าแบบนี้ ทุกๆเช้าที่เดินผ่านก็จะเห็นเหล่านักโทษใส่เสื้อสีส้มออกมาทำความสะอาดกัน

หลังจากเดินออกกำลังกาย อาบน้ำ กินข้าวเช้าเสร็จก็เตรียมตัวออกไปดำน้ำ รอบนี้ไม่ได้ไปกับสปีดโบ้ท แต่ไปกับเรือที่มีลักษณะเหมือนเรือขนส่งผู้โดยสาร ก่อนออกเดินทางก็เห้นชาวประมงที่ไปหาปลามากำลังคัดแยกปลากันอยู่

ประสบการณ์อย่างหนึ่งของวันนี้คือพนักงานให้ลองขับเรือดู ซึ่งเรือบังคับง่ายมากๆ ก็อธิบายวิธีการบังคับทิศทาง การหลบเนินทรายตื้นๆ เพราะเรือต้องขับบนน้ำที่ลึก ก็ไม่ยากเท่าไหร่ ขับได้ดีเลยล่ะ 555+ ยิ่งเปิดเพลงท้องถิ่นแล้วบรรยากาศชาวเกาะคือมาเต็มอ่ะ ขับเรือไปเต้นไปตามจังหวะเพลงประมาณเกือบ20นาทีที่ขับคือมีความสุขมากๆ ขอบคุณพนักงานทุกๆคนสำหรับประสบการณ์ใหม่ๆครั้งนี้ด้วย

วันนี้ก็มีโอกาสได้เห็นท่านผู้เฒ่าเต่ามาว่ายน้ำเล่นเช่นเคย แต่ก็แอบสงสัยไม่ได้ว่า ทำไมมันมีมีพรรคพวกเต่าเหมือนปลามาว่ายเล่นด้วยกันนะ ถ้าได้เจอทีเดียวหลายๆตัวคงจะสวยมากๆแต่ แต่เจอตัวเดียวก็ดีกว่ามาแล้วไม่เจอนะ

การดำน้ำโดยที่ไม่ใส่ชูชีพ ท่ออากาศนั้นมันเหนื่อยมากๆเลยนะ ต้องแข็งแรงมากๆด้วย คลื่นเหมือนจะเบา แต่เอาเข้าจริง คลื่นมาแบบเงียบๆ แต่พัดเราไปได้ไกลมากนะ คือตอนดำน้ำอ่ะไม่รู้สึกหรอกว่าตัวเราไปไกลแค่ไหน จะรู้สึกแค่ว่าทำไมดำได้ง่ายจัง แต่หารู้ไม่มันพัดเราไปไกลเหมือนกันนะ เวลาว่ายกลับเรือคือเหนื่อยมาก แต่ก็ต้องฝืนว่ายให้ถึงเรือ

มื้อเที่ยงวันนี้ก็ตั้งใจกันว่าจะได้ไปกินข้าวบนเกาะทรายกลางทะเล แต่ก็ยังโชคร้ายเหมือนเดิมคือน้ำลดน้อยจนเกาะมันไม่โผล่เลย ก็เลยต้องกินบนเรือแทน แต่ก็ยังดีที่ขากลับได้แวะเกาะกลางทะเลเรียกว่า SANDBANK เหมือนกัน แต่เกาะนี้จะมีต้นไม้ หญ้า ซึ่งต่างกับเกาะทรายกลางทะเลคือมีแต่ทรายยยยยย มันคือเอกลักษณ์ของมัน แต่ก็นะ โชคไม่ดีพอจะได้เห็นกับเขาไง เลยอด!! ไว้โอกาสหน้ามาแก้ตัวอีกละกัน

แต่เกาะกลางทะเลแห่งนี้เองก็สวยไม่แพ้เช่นกัน เพราะน้ำใสมากกกกกกก คนก็ไม่ค่อยเยอะ คือแบบเห็นน้ำใสๆแบบนี้แล้ว อยากกระโดดลงเรือเลย กระโดดถ่ายรูปเจ๋งๆ แต่ก็เกรงใจคนอื่นเลยไม่ได้โดด ฮ่ะๆๆ

พนักงานมาจอดที่เกาะนี้แล้วก็แจ้งว่ามีเวลาแวะที่เกาะนี้ประมาณ 40 นาที คือแบบ 40 นาทีมันไม่พอนะ ไหนจะเล่นน้ำ เดินถ่ายรูปงี้ แต่ก็ต้องทำตามที่เขาบอกแหละ เพราะเราไม่ได้มาคนเดียว ต้องทำตามคนอื่นๆ

จุดเด่นของเกาะนี้คืมีต้นไม้ ต้นหญ้า เขียวและสวยมาก มันเป็นพุ่มน่ารักมากๆ แต่ก็ไม่ได้ถ่ายรูปด้วย เพราะมัวแต่เล่นน้ำอยู่ รูปนี้ก็ถ่ายไว้ตอนเดินกลับไปขึ้นเรือ ไม่ใช่ไรหรอก มาเห็นตอนใกล้หมดเวลามากกว่าเลยอดถ่ายรูปด้วย

เห็นไหมว่าคนน้อยมาก น้อยเพราะอะไร เพราะคนส่วนใหญ่จะไปเล่นน้ำ ถ่ายรูปอยู่แถวชายหาด น้ำใสๆไงล่ะ

ถ้าไม่ติดว่าเรือจะออกเดินทางต่อนะ จะขอถ่ายรูปท่ากระโดดลงน้ำตรงนี้เลย คือน้ำใสมากกกกกกกก ตราตรึงใจจริงๆ

เห็นความใสคริสตัลไหม คือพอทะเลมาเจอแสงแดดแรงๆแล้วน้ำทะเลมันจะสวยใสมากกกกก ตอนที่พระอาทิตย์โดนก้อนเมฆบังอ่ะ ไม่ได้ใสขนาดนี้หรอกนะ เพราะแดดมากระทบกับน้ำเท่านั้นแหละรู้เรื่องเลย ใสมากกกกกชอบๆ

น้ำใสขนาดนี้จะไม่ลงไปเล่นได้ไง ลงไปเล่นสักหน่อยให้ชื่นใจ แดดแรงแค่ไหนก็ไม่กลัว ถ้ากลัวแดดก็อย่ามาดีกว่านะ 555+ มาทั้งทีจะมัวหลบแดดทำไม ต้องสนุกให้คุ้มกับที่เดินทางมาถึงที่นี่นะ นานๆทีก็จัดไปหนักๆ

หลายๆคนมักจะถามกันเข้ามาว่าไม่เชื่อว่าไปคนเดียว ถ้าไปคนเดียวแล้วใครถ่ายรูปให้ นี่เป็นคำถามที่ถูกถามแบบไม่หยุดเลย คือขออธิบายสั้นๆหน่อยนะ การเที่ยวคนเดียวไม่ได้แปลว่าต้องถ่ายรูปตัวเองไม่ได้นะ บางทีก็ต้องขอให้คนอื่นช่วยถ่ายให้ ถึงแม้ว่าส่วนใหญ่แล้ว98%จะถ่ายเองก็จริง แต่บางกรณีมันก็ไม่สามารถทำได้ เลยต้องขอคนอื่นนะจ๊ะ

ก่อนจบทริปก็ขอถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกับเหล่าสต๊าฟพาทัวร์วันนี้สักหน่อย ขอบคุณทุกๆคนนะครับ ที่ดูแลเป็นอย่างดี

เย็นวันนี้เป็นวันที่พระอาทิตย์ตกสวยที่สุดตั้งแต่มามัลดีฟส์ เพราะวันก่อนหน้านี้คือแบบฝนตกทุกวัน แต่วันนี้ท้องฟ้าเป็นใจ ไม่มีลม ไม่มีฝน มันสวยงามมากๆ รูปนี้ถ่ายตรงท่าเรือของเกาะ

นักท่องเที่ยวต่างก็ออกมาชมพระอาทิตย์ตกกันบริเวณหาด สีท้องฟ้าคือสวย รู้สึกชอบมากๆ

และนี่ก็2สาวพี่ๆที่ได้เจอกันวันนี้ช่วงออกทริป ตอนเย็นวันนี้ก็เลยนัดกันกินข้าวสักหน่อย

รูปนี้มีเรื่องเล่า คือตอนเดินหาร้านอาหารแล้วเดินผ่านท่าเรือก็เห็นชายมัลดิเวียนคนหนึ่งกำลังก้มนั่งถ่ายรูปอยู่ คือก้มต่ำมากจนสงสัยว่าถ่ายอะไรวะ เลยเดินเข้าดูและถามว่าถ่ายอะไร เขาก็เอารูปถ่ายให้ดู เท่านั้นแหละอ๋อออออออออกันเลนทีเดียว คือถ่ายรูปกับเงาสะท้อนน้ำ ซึ่งมันสวยมากๆเลยล่ะ เลยขอให้เขาถ่ายให้บ้าง ขอบคุณช่างภาพจำเป็น 555+

และนี่ก็เป็นร้านขายของต่างๆ พวกขนม น้ำดื่ม ผลไม้และอื่นๆ มันดูเป็นเอกลักษณ์น่ารักมากๆเลย เห็นมีหลายที่เลย

ข้าวเย็นมื้อสุดท้ายบนเกาะมาฟูชิก็ได้ออกไปหาอาหารพื้มเมืองของมาฟูชิกันกิน ตอนแรกก็นัดกันว่าจะไปกินบุพเฟ่ต์ของโรงแรมอารีน่าบีช แต่ก็เปลี่ยนแพลนกันกระทันหันเอาแบบตั้งตัวให้หายอยากบุพเฟ่ต์ไม่ทันกันเลย 555+

อันนี้ชื่อขนมอะไรก็ไม่รู้ คล้ายๆกะหรี่ปั๊บ แต่รสชาติไม่ใช่บ้านเรานะ บอกตรงๆเลยว่ากูไม่ไหวกับรสชาตินี้ ฮ่ะๆๆๆ

ส่วนจานนี้ก็ข้าวผัด+ไข่ดาว แลดูน่ากินใช่ไหมล่ะ รสชาติก็พอไปได้ ข้าวแห้งไปนิดนึง แต่ก็กินหมดนะ สงสัยหิวจัด

ส่วนจานนี้คือสลัดทูน่า รสชาติก็ไม่เลวเช่นกัน กินได้แล้วก็กินหมดด้วยนะ อิอิ

หลังจากกินข้าวเย็นกันเสร็จก็ออกไปเดินเล่นรอบๆเกาะกันก่อนจะกลับที่พักตัวเอง

วันที่6: เดินทางกลับ

เช้าวันสุดท้ายของทริปมัลดีฟส์ก็ยังคงตื่นเช้ามาออกกำลังกาย เดิน วิ่ง รอบๆเกาะเหมือนทุกเช้าที่ผ่านมา เช้านี้ฟ้าครึ้มเหมือนฝนจะลง ก็เท่านั้นแหละ วิ่งไปได้สักพักไม่ทันไรฝนจ๋าก็เทลงมาเปาะแปะๆ แต่ก็ตกไม่นาน

วิ่งมาถึงชายหาดก็สตั๊นไปแป๊บนึงคือตกปลาแบบนี้ก็ได้เหรอ เอ่อ ไม่เคยเห็นเขาตกปลาจากชายหาดแบบนี้ไง แชะรูปหน่อย จากนั้นก็กลับที่พัก ไปกินอาหารเช้า เก็บเข้าของเตรียมตัวเดินทางสู่เมืองหลวง เก็บของเสร็จละ

แต่ แต่ เดี๋ยวก่อน ตั๋วที่จองไว้มันเรือรอบบ่าย2.30นะ นี่เพิ่ง9โมงเอง ลืมเวลาซะงั้น ก็เท่ากับว่าต้องอยู่รอรอบเรือที่จองไว้ก่อน ก็เลยไปขอเลทเช็คเอ้าท์ เป็นบ่าย2 ทางที่พักก็ไม่มีปัญหา จัดให้ตามคำขอ เท่านั้นแหละ ฝนตกเทลงมาห่าใหญ่อีกครั้ง จึงไม่ได้ออกไปไหน ได้แต่นอนดูทีวีรอเวลาอยู่ในห้องยาวววววไป กว่าฝนจะหยุดตกก็ปาเข้าไปบ่ายโมงแล้ว คือตกนานไปนะ ฮ่ะๆๆ หลับได้หลายตื่นเลย

บ่าย2.30 เรือก็ออกเดินทางสู่เมืองหลวงมาเล่ย์ พอเดินทางมาถึงมาเล่ย์ก็หาไรกินก่อนเลย เพราะหิวมาก เลยแวะกินแซนวิชหน้าท่าเรือที่ลงเลย ถือว่าเป็นร้านที่บรรยากาศน่านั่งมากๆ มีอยู่2ชั้น แต่อาหารทางเลือกมีน้อยมาก

และแน่นอนว่าต้องเลือกที่นั่งชั้นบนอยู่แล้ว เพราะวิวจากชั้นบนนั้นถือว่าไม่เลวเลยล่ะ วิวสวยดี คนไม่เยอะด้วยกำลังดี

บ้านเขาก็ใช้มอไซด์กันเต็มเลยนะ คือแบบเกาะเล็กนิดเดียวเองนะ แต่แบบคนและรถ ตึก บ้าน คือเยอะมากกกกกกกก

และนี่คือหน้าตาอาหารที่สั่ง น้ำแตงโมอร่อยนะ นอกนั้นที่เหลือคือ ไม่อร่อยเลย จืดมากๆ แต่ต้องกินเพื่อความอยู่รอด

หลังจากพักกินข้าวเสร็จก็ได้เวลาออกตระเวนเดินเล่นในเมืองละว่าเป็นไงบ้าง มีอะไรน่าสนใจบ้าง อย่างที่บอกไปว่ามอไซด์คือเยอะมาก ก็นี่แหละครับพี่น้องเยอะจริงๆ เดินไปทางไหนก็แบบนี้แหละ

ตอนเดินชมบ้านเมืองมาเล่ย์คือแบบรู้สึกว่ามีสายตาหลายคู่มากมายที่เพ่งมองจ้องมา คือก็เข้าใจนะว่าแปลกอยู่คนเดียวที่ลากกระเป๋ามาเดินเล่นในเมือง คือแทบบบบบบบบจะไม่เห็นนักท่องเที่ยวคนอื่นๆเลย เขาไปไหนกันหมด แล้วทำไมมีแต่ตรูคนเดียวที่เข้ามาเดินอยู่ในเมืองอย่างงี้ ฮ่ะๆๆ งงในงง

ตอนเข้าไปในห้างก็ยังพอได้เจอนักท่องเที่ยวคนอื่นๆบ้าง แต่พอออกมาข้างนอกคือ เอ่า ไปไหนกันหมด งงอีก 555+

ตอนเดินผ่านตลาดคืออึ้งกับแผงผลไม้ที่ขายมะม่วงเหมือนกันทุกร้านเลย ราคาเดียวกันหมดเลย ต่างที่คนขายแค่นั้น

เนื่องด้วยสภาพอากาศที่ร้อนมากๆ ทำให้ไม่อยยากจะเดินต่อละ เหนื่อย เงื่อท่วมเลย ซึ่งตอนนั้นก็เพิ่งจะ5โมงเย็นเอง แต่ก็ไม่เดินต่อละ ไปพักก่อนดีกว่า

เลยตัดสินใจจะไปนั่ง+นอนรอตากแอร์ที่สนามบินดีกว่า เลยไปนั่งเฟอรี่สนามบินข้ามฟากไปสนามบิน1ดอลล่าส์

พอมาถึงสนามบินคือแบบ อื้มหืมมมมมมม ห้องแอร์ที่กูวาดฝันไว้ว่าจะมานั่งรอตากแอร์กลับไม่มีแอร์เลย พัดลมทั้งนั้น อยากได้แอร์คือต้องเข้าไปนั่งรอด้านใน ซึ่งก็ยังเข้าไม่ได้เพราะยังไม่เปิดให้เช็คอิน ไฟลท์บิน 21.10 ตอนนี้ 17.20น. ก็นะ นั่งรอวนนนนนนนนไปยาวๆ2ชั่วโมง ฝนก็ตกลงมาอีก หลังคารั่วอีก ย้ายที่นั่งกันให้วุ่น ฮ่ะๆๆ ประสบการณ์นะ 555

พอถึงเวลาเช็คอิน ก็รีบอิ่งไปเลย ผ่านด่านตรวจ แล้วเข้าไปเช็คอิน ข้างในคนน้อยมากๆนะ เย็นมากๆด้วย

และแล้วก็ได้ตั๋วมา2ใบแล้ววววว พร้อมบินไปต่อเครื่องที่สิงค์โปร์แล้วววววววว ซึ่งก่อนจะเข้าไปในเกทได้ก็ต้องผ่านด่านตรวจถึง3ด่าน เอ่อ ด่านตรวจเยอะมาก พอเข้าไปในเกทปุ๊บก็ยังได้เจอพี่คนไทยที่เจอกันบนเกาะในสนามบินด้วย คือ บังเอิญเจอกันอีกแล้ว 555+บินไฟลท์ไล่เลี่ยกัน แต่ก็ต้องนั่งรอไปอีกชั่วโมงกว่าๆ

ตอนนั้นรออยู่ในเกทก็ได้ไปหาซื้อไรไอติม น้ำมากิน เรื่องที่น่าประทับใจคือ ตอนไปซื้อไอติมที่ Daily Queen มันแก้วละ5ดอลล่าส์ แต่ตอนนั้นมีแบงค์เล็กเพียง4.5ดอลล่าส์ ซึ่งขาดไปอีก50เซน จะแตกแบงค์ใหญ่ก็กะไรอยู่ จะจ่ายแบงค์รูฟียาก็กะไรอยู่เพราะอยากเก็บไว้เป็นที่ระลึก พนักงานเลยบอกว่า อีก50เซน ไม่ต้องจ่ายก็ได้นะ ไม่เป็นไร เก็บเงินรูฟียาไว้เป็นของที่ระลึกจากมัลดีฟส์เถอะ โอ้โหหหหหห ประทับใจมาก ไอ่เราก็ยิ้มและขอบคุณพนักงาน ปลื้มมากกกก

พอถึงเวลาบอร์ดดิ้งปุ๊บก็ยืนแถวต่อคิวเดินออกเกท จะมีSuttle Bus มารับไปขึ้นเครื่อง ณ ตอนนั้นฝนก็ยังตกไม่อยู่นะ

อย่างที่บอกไปคือสนามบินมัลดีฟส์นั้นเล็กมาก ก็เลยไม่มีทางเชื่อมเข้าเครื่องบิน เลยต้องนั่งรถออกไปขึ้นเครื่อง

ได้เวลาขึ้นเครื่องแล้วววววววววววว ขึ้นเครื่องปุ๊บคือนอนเลย เพลียมากกกกกกกก นอนยาวไปถึงสิงค์โปร์ 555+

พอเดินทางถึงสิงคโปร์ก็ต้องนั่งรปเปลี่ยนเครื่องวนนนนนยาวไปอีก คิดไปคิดว่า เสียเวลากับการต่อเครื่องเยอะเลยนะ

พอบินกลับมาถึงสุวรรณภูมิก็หาซิมทรูมูฟ ตอนถอดซิมที่มัลดีฟส์ก็ว่าเก็บไว้ดีละนะ พอหาดูตอนลงเครื่องคือแบบ เห้ย ซิมหายไปไหนวะ เอาไงดี หาไม่เจอ ค้นแล้วค้นอีก ไม่มีซิม ไม่มีเน็ต ตอนนั้นก็นึกขึ้นได้ว่ามันมีช็อปทรูอยู่ในสุวรรณภูมินี่หว่า เลยลองไปถามดูว่าออกซิมใหม่ให้ได้ไหม และก็ได้จริงๆด้วย ดีใจมากกกกกกกกกกกกกกกกกก

ขอบคุณประสบการณ์ดีๆ ขอบคุณผู้คนที่ได้พบเจอ ขอบคุณมัลดีฟส์สำหรับสิ่งสวยงามที่ได้พบเจอตลอดทริป ไว้มีโอกาสเมื่อไหร่จะกลับไปเยือนอีกแน่นอน แต่อาจจะไม่กลับไปคนเดียว มั้ง!!

และรูปนี้ไม่ได้เกี่ยวกับทริปแต่อย่างใด เพราะนี่คือเมนูอาหารเย็นที่กินหลังจากกลับจากทริปมัลดีฟส์ คือ อร่อยที่สุด จบบันทึกการเดินทางมัลดีฟส์

ค่าใช้จ่ายทริปนี้แบบคร่าวๆ
1. โรงแรม 7,800฿
2. ตั๋วเครื่องบิน 14,700฿
3. ค่าเรือเร็วไปกลับ 1,500฿
4. ค่าทริปดำน้ำ3ทริป 3,560฿
5. SUP Paddle boarding 620฿
6. ซิมเน็ต 22GB 680฿
7. ค่าอาหาร 4,600฿ และอื่นๆ

ทริปนี้หมดงบไปประมาณ 32,000฿ รวมทุกสิ่งทุกอย่างนะ

ล่ามติดเที่ยว

 วันศุกร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561 เวลา 09.24 น.

ความคิดเห็น