การเดินทางเพื่อฟังเสียง "ลมหายใจของเทพเจ้า"
ที่ภูเขาไฟชื่อดัง Bromo (Indonesia)

ธรรมชาติยิ่งใหญ่ที่ใครหลายคนต่างยกให้เป็นหนึ่งลิสต์การเดินทางที่ต้องมาซักครั้งก่อนตาย
เราสองคนก็เป็นหนึ่งในนั้น การเดินทางในต่างประเทศครั้งแรกของเราทั้งสอง แถมยังเป็นทริปที่ทำให้เราอยากเห็นโลกกว้างมากยิ่งขึ้น จะเป็นอย่างไร สวยงามแค่ไหน
เตรียมจัดกระเป๋าใบใหญ่ แล้วออกเดินไปพร้อมกับเรา

HOLDHANDS JOURNEY (Let' start the journey)

Page FB : https://www.facebook.com/holdhands.journey/
IG : https://www.instagram.com/holdhands.journey/

การเดินทาง 2 คน (2 วัน 1 คืน เฉพาะที่โบรโม่)
เครื่องบิน ขาไป:กรุงเทพ-สุราบายา
ขากลับ:บาหลี-กรุงเทพ รวมไปกลับคนละ 8,000 บาท
Private Tour / Local Guide พร้อมที่พัก รถยนต์ และน้องม้า รวมถึงค่าเข้าชมทุกสถานที่ คนละ 6,650 บาท*
(*ราคาที่แจ้งไปรวมค่ารถไปคาวาอีเจี้ยน ค่าที่พัก 1 คืน ไกด์ท้องถิ่น แถมส่งถึงท่าเรือข้ามฟากไปบาหลีด้วยนะคุ้มจริงๆ)
จากนี่เลย Adit adventure
ค่าอาหารกินจุกจิกไม่เกิน 2,000 บาท

Trick : ไปแบบไม่เสียเที่ยวสามารถแวะเที่ยวชมบลูเฟรมที่คาวาอีเจี้ยน และลุยบาหลีต่อได้นะ

ภูเขาไฟโบรโม่ ประเทศอินโดนีเซีย
เป็นภูเขาไฟที่ยังประทุอยู่ เราจะเห็นควันพวยพุ่งและเสียงที่ดังอึมครึมอยู่ตลอดเวล
ชื่อ โบรโม่ มาจากตัวสะกดในภาษาชวาของคำว่า "พรหม" ซึ่งเป็นพระนามของเทพเจ้าในศาสนาฮินดู

ความพิเศษของที่นี่ก็คือ บริเวณรอบๆที่รายล้อมไปด้วยภูเขาไฟที่ดับสนิทแล้ว ดินทรายสีดำที่เกิดจากเถ้าถ่านจากภูเขาไฟที่เคยประทุออกมา และธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ที่ทำให้คุณตัวเล็กเท่ามด

รวมไปถึงหมู่บ้านที่ตั้งอยู่บนเนินเขาที่มีความสวยงาม ชาวบ้านที่นี่ให้ความเคารพและศรัทธากับภูเขาไฟโบรโม่เป็นอย่างมาก ไม่น่าแปลกใจ เพราะเมื่อเราได้ลองมาสัมผัสแล้ว โบรโม่ยิ่งใหญ่ละน่าเกรงขามจริงๆ


เราเดินทางเดือน พฤศจิกายน ซึ่งเป็นหน้าฝนของที่นี่
เมื่อเรามาถึงหมู่บ้านเล็กๆแห่งนี้ ขณะที่ฝนกำลังตก ทำให้มีหมอกหนาๆสวยๆ อากาศก็ค่อนข้างหนาวเลยหล่ะ


เราเดินเล่นบริเวณใกล้ๆที่พัก หนาวจนต้องซื้อถุงมือของชาวบ้านที่นำมาขาย บรรยากาศดูเงียบสงบอาจเป็นเพราะฝนทำให้คนอยู่กันในบ้าน อากาศหนาวๆแบบนี้คงดีไม่น้อยถ้าเราได้นอนหลับ
แต่ถึงอากาศจะน่านอนขนาดไหน เรามาถึงกันทั้งทีเลยขอฝ่าฟันฝน ไปชมวิวพระอาทิตย์ตกบนยอดเขา ไกด์ของเราบอกว่าถ้าโชคดี อาจจะมองเห็นโบรโม่อีกด้วย

ข้างบนนี่มีร้านขายของเล็กๆ ไกด์ของเราขอเลี้ยงมาม่า เค้าบอกว่ามันอร่อยมากๆ
เราสองคนกินดู เฮ้ย อร่อยจริงหว่ะ ไม่เหมือนบ้านเราเลยนะ แถมมีเนื้อให้ด้วย กินไปก็ถ่ายรูปไป
มาม่าที่นี่ควันเยอะจัง

เราตื่นเต้นกันมาก เพราะว่าก่อนหน้านั้น เราเจอภาพโบรโม่จากโลกโซเชียล เห็นแค่นั้นเราก็ตัดสินใจกันเลยว่าจะต้องมากันให้ได้ แต่ตอนนี้จะได้เห็นด้วยตาของเราแล้ว
ขนลุก น่าเกรงขามจริงๆ เสียงขอภูเขาไฟที่กำลังปะทุอยู่นั้นดังอยู่ตลอดเวลา ขนาดวันนี้เป็นวันที่ฟ้าปิด แต่เราก็ประทับใจมากๆ เจอกันแล้วนะ โบรโม่

ไม่นานเราเดินทางกลับที่พัก อาบน้ำและนอนตั้งแต่หัวค่ำ เก็บแรงไว้เพราะพรุ่งนี้เราต้องออกเดินทางกันตั้งแต่ตีสี่เพื่อไปที่จุดชมวิวอีกที่ ก่อนนอนเราขอพรให้ฟ้าเปิด เจอหมอกสวยๆด้วยหล่ะ
เราเดินทางกันตั้งแต่เช้ามืด ไม่ค่อยได้ถ่ายอะไรมาก วิวข้างทางเราแทบมองไม่เห็นว่าเรามาจากทางไหน รู้แค่ว่ามีเพื่อนร่วมเดินทางกับเราอีกมากมาย
วันนี้เราออกเดินทางโดยรถจิ๊บสีแดงน่ารัก คนขับต้องมีความชำนาญอย่างมาก เพราะทางค่อนข้างคดเคี้ยวเลยหล่ะ



สิ่งแรกเมื่อฟ้าเริ่มเปิด แสงอาทิตย์เริ่มส่องลงมาไกด์ของเราพูดขึ้นมาเลยว่า We are Lucky 🍀
มีไม่กี่ครั้งต่อปีที่ฟ้าจะเปิดแล้วหมอกลงสวยขนาดนี้ เรารู้สึกว่าโบรโม่ใจดีกับเรามาก คงเห็นว่าตั้งใจมากยังไงยังงั้นเลย

เหมือนกับหลุดมานอกโลกเลย ที่อินโดนีเซียจัดเป็นพื้นที่วงแหวนแห่งไฟ ทำให้ที่นี่มีภูเขาไฟที่ดับไปแล้ว และที่ยังคงประทุอยู่อีกมากมาย ที่ดับไปจะมีพืชสีเขียวปกคลุมอย่างที่เห็นข้างๆโบรโม่คือ ภูเขาไฟบาต๊อกนั่นเองวิวสวยๆที่เห็น เกิดจากธรรมชาติสร้างสิ่งที่มหัศจรรย์อย่างนี้เสมอ

เห็นภูเขาไฟไกลๆโน่นไหม นั่นคือภูเขาไฟเซมารู ซึ่งสูงสุดในอินโดนีเซีย เนื่องจากมีภูเขาไฟประทุมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ล่าสุดคือตอนหลังเรากลับจากบาหลีแค่วันเดียวกับการปะทุของภูเขาไฟอากุง เรานี่ช่าง Very Lucky เลย



บรรยากาศรอบๆเป็นต้นไม้แห้งๆ เห็นพื้นดินสีดำไหม นั่นแหละที่เกิดจากเถ้าถ่านฝุ่นผงละควันของภูเขาไฟ

ไกด์ถามเราว่า อยากได้มุมสวยๆไหม เค้าจะพาเดินไปที่ลับๆคนน้อยๆ เราตอบตกลงทันทีทันใด จากนั้นไกด์ก็พาเราเดินขึ้นไปเหนือจุดชมวิว สวยจริงๆด้วย
เราชอบมาก ไกด์ดีไม่เร่งเราเนื่องจากเราเป็นคนชอบถ่ายรูป ทำให้ใช้เวลากับที่นี่พักใหญ่ๆ นั่งดื่มด่ำวิวสวยๆแบบนี้ สบายใจดี

ทุกฉากจากที่นี่ดูเหมือนฉากในหนัง ไม่ว่าเราจะยกกล้องเทพๆ หรือแค่กล้องมือถือก็สวยไปหมด ไม่ต้องกังวลว่าถ้าไม่มีกล้องใหญ่แล้วรูปไม่สวย
รูปนี้เราใช้แค่ไอโฟน 7 ถ่ายเอง

เราเดินทางขยับเข้าไปใกล้โบรโม่กันอีกนิด ด้านล่างเมื่อลงมาจะเห็นว่ามีม้าคอยให้บริการอยู่

เราไม่ลังเลเพราะระยะทางจากจุดจอดรถไปถึงปากปล่องค่อนข้างไกลกันมาก เลยนั่งม้ากันไป ไกด์บอกว่ารวมกับในแพคเกจของเราแล้ว
นั่งม้าไปชมวิวไปเพลินๆ ไม่ต้องกลัวนะเพราะเค้ามีคนคอยจูงให้ด้วย



วิงสองข้างทางเมื่อถึงยามเช้า จะเห็นเป็นควันลอยฟุ้งขึ้นมา เค้าถึงเรียกกันว่า Whispering sand
หรือทะเลทรายกระซิบนั่นเอง


ไม่นานก็ใกล้ถึงตีนภูเขาไฟ พื้นที่ตรงนี้จะเป็นทางขรุขระ แต่น้องม้าก็พาเราไปถึงด้านบนได้ เก่งจริงๆ


บริเวณนี้จะเป็นจุดจอดราชรถของเรา จำกันไว้ให้ดีนะว่าม้าเราอยู่ตรงไหน เดี๋ยวได้เดินกลับนะ


พอมองจากตรงนี้ มีม้าเยอะแยะเลย ภูเขาไฟโบรโม่แห่งนี้สร้างอาชีพให้กับคนในชุมชนด้วยนะ บางคนขับรถจิ๊บ บางคนขายของ บางคนมาจูงม้า


เราสองคนลองจินตนาการดูว่า ถ้าเราอยู่ที่นี่ได้ใกล้ชิดกับธรรมชาติคงเป็นชีวิตที่ดีไม่น้อย


ก่อนขึ้นจะมีจุดวางของเซ่นไหว้บูชา บริเวณนี้จะมีชาวบ้านขายดอกไม้แห้ง เพื่อนำไปโยนลงปล่องด้านบน ในเดือนธันวาคมของทุกปีจะมีเทศกาล Yadnya Kasada มีการประกอบพิธีเซ่นไหว้เทพเจ้าโดยการโยนอาหาร ดอกไม้ และสัตว์บูชายัญลงในแอ่งภูเขาไฟอีกด้วย


ถึงแล้วด้านบนหลังจากเดินขึ้นบันไดมาประมาณ 200 เมตร ด้านบน บนยอดภูเขาไฟ มีองค์พระพิฆเนศ สำหรับทำพิธีบูชาเทพเจ้าตั้งอยู่ เราสักการะจากนั้นก็เดินไปรอบๆปากปล่องภูเขาไฟ


ด้านล่างนี้กำลังปะทุส่งเสียงดังครืนๆ พร้อมควันสีขาวพวยพุ่งออกมาไม่หยุด ขนลุกมากๆ ยิ่งใหญ่จริงๆ นี่สินะเสียงลมหายใจของเทพเจ้าที่เค้ากล่าวกัน


เราเดินเล่นกันรอบรอบปากปล่องภูเขาไฟต้องใช้ความระมัดระวัง เพราะข้างบนนี้เป็นพื้นทรายสีดำค่อนข้างลื่นและยังแคบอีกด้วย
ถ้าเผลอลื่นไปคงเลือกไม่ถูกเลยว่าจะตกฝั่งไหนดี



เป็นทริปที่ทำให้เราตัวเล็กเท่ามดจริงๆ นับถือคนที่สามารถเดินได้รอบปากปล่องภูเขาไฟ เพราะด้านบนนี้ทั้งสูงทั้งลื่นแถมลมยังพัดแรงอีกด้วย




เราเดินกันไปไม่ไกล แวะถ่ายรูปกันเป็นพักๆก็ได้เวลาโบกมือลาโบรโม่เสียแล้ว


ภูเขาไฟที่ดับสนิทแล้ว บาต๊อกเพื่อนโบรโม่นั่นเอง



บรรยากาศด้านบนก่อนลง สามารถเห็นวิวทิวทัศน์ได้โดยรอบที่ปกคุมไปด้วยภูเขาลูกใหญ่
ที่นี่ช่างสวยงามจริงๆ


กลับมาถึงรถจี๊บเรากำลังจะเดินทางไปยังจุดหมายต่อไป




ไม่ไกลกันมากเราจะพบเห็นพื้นหญ้าสีเขียว หรือเรียกกันว่าทุ่งหญ้าสะวันนานั่นเอง มีรถก๋วยเตี๋ยวเล็กๆด้วยนะลองชิมดูรสชาติอร่อยทีเดียว
ทุ่งหญ้าที่นี่เป็นพื้นที่กว้างใหญ่มากๆ

แวะถ่ายรูปกันสักหน่อยภาพนี้เป็นภาพที่ไกด์ช่วยถ่ายให้กับเราสองคน ก่อนจะพาไปยังทะเลทรายกระซิ

ถึงแล้วทะเลทรายกระซิบ ลานกว้างกว้างมีทรายสีดำกับภูเขาลูกใหญ่ พื้นของทรายเป็นควันสีขาวลอยขึ้นมา เหมือนกำลังกระซิบอะไรบางอย่างกับเราอยู่


เราคิดไม่ผิดจริงๆ ที่มาต่างประเทศทริปแรกโดยเลือกเป็นโบรโม่ ประเทศอินโดนีเซีย ขอบคุณไกด์ที่พาเราเดินทางอย่างปลอดภัย ให้คำแนะนำ และความเป็นกันเองกับอย่างด
คงต้องโบกมือลาโบรโม่จริงๆแล้วสินะ อย่างที่บอกทริปนี้เป็นทริปเปิดโลกเราอย่างมาก ทำให้เราเห็นว่าโลกใบนี้มีอะไรอีกตั้งหลายอย่างที่เรายังไม่เคยได้เห็นและสัมผัส

ใครที่ยังลังเลหรือไม่แน่ใจว่าจะไปภูเขาไฟโบรโม่ดีไหม ดูรีวิวเราเสร็จแล้วลองไปกันดูนะ แล้วกลับมาบอกทีว่า เสียงลมหายใจของเทพเจ้าที่คุณได้ฟังนั้น เป็นยังไง


HOLDHANDS JOURNEY (Let' start the journey)
จับมือเดินทางไปกับเราได้ที่
Page FB : https://www.facebook.com/holdhands.journey/
IG : https://www.instagram.com/holdhands.journey/
แล้วเจอกันนะ

Holdhands journey

 วันจันทร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561 เวลา 22.22 น.

ความคิดเห็น