บางครั้ง.... จุดหมาย ก็ไม่สำคัญเท่า ได้ไปไหนหรือยัง? "


ก่อนอื่นกระผมต้องขอกล่าวคำว่า "สะบายดี " ท่านผู้อ่านที่น่ารักทุกๆท่าน วันหยุดสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ไปพักผ่อนที่ไหนกันมาบ้างครับ? เจอที่ใดสวยๆ แวะมาเล่าสู่กันฟังบ้างนะครับ ^ ^


พอพูดถึงวันหยุดแล้ว คำว่า งาน เวลา เงิน บล๊าๆ มันจะผุดขึ้นมาในหัวเราทันที ฮ่าๆ เป็นเหมือนตัวชะลอความฝันของมนุษย์เงินเดือนอย่างเราๆ บางทีจะออกไปแค่หน้าปากซอยยังคิดแล้วคิดอีก ฮ่าๆ ไม่ใช่เพราะผมงกนะ แต่สตางค์ในกระเป๋าที่เหลือน้อยนิดต้องพยุงให้ถึงสิ้นเดือน ร่วมไปถึงปัญหาด้านสุขภาพร่างกายของเราด้วย แหม๊ะ! โบราณว่า ไม่มีบ่อใดลึกเกินไป นอกจากเชือกสั้น คนเราถ้าใจรักเสียอย่าง หาทางไปจนได้ล่ะเน๊อะ


ในที่สุดผมและคุณแม่บ้านก็ตกลงกันว่า "เธอ เรามาลงขันกันเถอะ" ทุบกระปุกออมสิน!!!! จะบร๊า!! ยังไม่ถึงขนาดนั้นครับ เราเอาตังค์ ที่ปกติเราเอาไว้ซื้อขนม ซื้อเครื่องสำอางค์ พวกของจุกจิก ของเราแต่ละเดือนนี้แระ พอเอามารวมๆกันแล้ว เอ้ย! เยอะเหมือนกันนะเนี๊ย ทีนี้ก็เริ่มคิดแล้วครับว่า เอ๋...ยังมีที่ไหนน๊า ใกล้ๆ พอจะไปได้ หาที่เงียบๆพักเรื่องราววุ่นวายสักสองสามวัน (ประมาณว่าถอยไปตั้งหลักก่อน อิอิ)

นึกขั้นได้ว่าก่อนหน้านี้เคยพูดเกริ่นๆไว้กับพี่สาว เรื่องอยากไปเที่ยวประเทศลาวสักครั้ง เอาฟ่ะ!! ใหนๆ ก็วันพักผ่อนแห่งชาติทั้งทีแล้ว ขอไปให้มันสุดเหวี่ยงไปเลยละกัน ฮ่าๆ ก่อนเดินทาง คืนนั้น ผมนอนไม่หลับทั้งคืน ตานี้ใสปิ๊ง อย่างกับว่ากินกาแฟมาหลายแก้ว มาเข้าใจความรู้สึกเวลาหลานๆดีใจ เวลาจะได้ไปเที่ยวก็ตอนนี้ล่ะครับ ฮ่าๆ

ผมใช้เวลาขับรถเกือบๆ 3 ชั่วโมง "ฟังดูเหมือนไกล" อันที่จริงระยะทางจากบ้านผู้เขียนไปที่ ด่านช่องเม็ก ใช้เวลาขับรถจริงๆ ราวๆ2ชั่วโมงก็ถึงครับ (เนื่องจากติดภาระกิจนิดหน่อย) ประกอบกับสกิลการขับรถของผม ที่ระดับ ดอม โดมินิค ยังอาย ทำให้มาถึงด่านช่องเม็กเกือบจะบ่ายสามโมง ฮ่าๆ มาถึงที่หมาย ผมก็โดนสวดทันทีครับ แหมก็ให้พี่รอตั้งหลายชั่วโมง (ที่ผมทำนี้ไม่สมควรเอาเป็นเยี่ยงอย่างเลยนะครับ)

เนื่องจากวันและเวลาพักผ่อนของเราที่มีจำกัด ผมจึงวางแผนว่าเราน่าจะไปสัก1วันก่อน ถึงตรงนี้แล้วท่านผู้อ่านที่ยังไม่เคยเดินทางมาประเทศลาว สามารถใช้หนังสือเดินทาง Passport หรือ ทำหนังสือผ่านแดนชั่วคราวได้เลยครับ

เราไปแค่ไม่กี่วัน การทำหนังสือผ่านแดนชั่วคราว จึงเป็นทางเลือกที่ดูจะประหยัดกว่าการยื้น Passport แต่ถ้าหากท่านผู้อ่านมีเวลาหลายวัน ผู้เขียนแนะนำให้ใช้ หนังสือเดินทาง *Passport จะดีกว่าครับ บวกลบคูนหารแล้วไม่ต่างกันมาก ไปได้ทั่วประเทศ เวลาเดินทางกลับสามารถกลับทางด่านใดก็ได้ และอยู่ต่อได้อีก 30 วัน โดยที่ไม่ต้องขอวีซ่า

  • เอกสารในการทำหนังสือผ่านแดนชั่วคราวนั้น ก็ไม่ได้ยุ่งยากเหมือนแต่ก่อนใช้แค่บัตรประชาชนใบเดียวเท่านั้นครับ อัตราค่าบริการในการทำหนังสือผ่านแดนชั่วคราว รวมๆแล้วประมาณ 240 บาท ซึ่งท่านผู้อ่านสามารถไปได้ตาม Location นี้ได้เลยครับ https://goo.gl/maps/ZzypW8GryFs


ได้เอกสารครบแล้วก็เอามายื่นให้พี่เจ้าหน้าที่ ที่ตู้ขาวๆ ตรงนี้เลยครับ ว่าแต่ไอ้เจ้าตู้ขาวๆที่ว่าเนี๊ยมันอยู่ตรงไหนกันล่ะ เดินตรงมาเลยครับ อยู่ถัดมาจากจุดทำหนังสือผ่านแดนฯไม่ไกล หลายคนคงจะพอเดาได้แล้วใช่ไหมครับ? ใช่แล้วครับ อาคารสีม่วงๆ นั้นล่ะครับ ฮ่าๆ

เดินมาจนสุดทางออก ท่านจะเจอเข้ากับอุโมงค์ มาถึงจุดนี้แล้วอย่ารอช้าครับ เดินเข้าไปเลยครับเดี๋ยวจะไม่ทันรถ อิอิ

พอพ้นจากอุโมงค์มานิดหน่อย เราจะเจอกับลานกว้างๆพอจะให้เราวิ่งเล่นได้ (จะบร๊า!!!) เรายังเหลืออีกที่หนึ่ง ต้องนำเอกสารที่ทางการไทยออกให้ มายื่นกับพี่เจ้าหน้าที่ ทางประเทศลาวครับ

ใกล้ถึงแล้วครับ 。◕‿ ◕。 จากจุดนี้ให้เราเดินเบี่ยงขวานิดหน่อย เพื่อไปยังห้องเบอร์6 (อยู่ด้านหลัง)⇓

ห้องเบอร์ 6 ที่ว่าครับ ⇓

เสร็จเรียบร้อยครับ แค่นี้เราก็สามารถเดินทางไปยังจุดหมายของเราได้อย่างถูกต้องแล้วครับ (●*∩_∩*●)

อีกฝั่งหนึ่งของประเทศ ในขณะที่พี่สาวรอผมเพื่อทำหนังสือผ่านแดนฯ พี่แหน๋นและครอบครัวจาก สปป.ลาวพี่สาวอีกคนของผม ก็มารอรับเราตั้งแต่เช้าที่ต่อเขต ผมต้องขอโทษพี่สาวหลายๆเด้อครับ และขอขอบคุณในน้ำใจของพี่สาวและพี่ชายในวันนั้นมากๆครับ

มาถึงจุดนี้ผมได้แต่อุทานในใจเบาๆ เฮ้ย!! นี้เรากำลังออกนอกประเทศหรือเนี๊ย... ในชีวิตผมไปไกลสุดก็แค่ กทม. ความรู้สึกในวันนั้น มันโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก เอาเข้าจริงๆแล้วมาปากเซ ยังใกล้กว่าไป กทม.อีก ฮ่าๆ

วิวทิวทัศน์โดยรอบ คล้ายๆกับที่บ้านผมราวๆ 20 ก่อนเลยล่ะ แต่ทุกวันนี้ไม่มีให้เห็นแล้ว ได้มาเห็นภาพเดิมๆแบบนี้ ความทรงจำดีๆในวัยเด็ก ก็ย้อนกลับมาให้คิดถึงอีกครั้ง

นั่งรถมาสักพัก เราก็จะเจอด่านตรวจเป็นระยะๆ เดาว่าน่าจะเป็นด่านเรียกตรวจรถ น่าจะเหมือนทางด่วนบ้านเรา เพราะเราไม่ได้ยื้นเอกสารเดินทางอะไร ถ้าผมจำไม่ผิด จะมี 2 ด่านก่อนจะถึงเมืองปากเซ (ถ้าผมจำผิดต้องขออภัยท่านผู้อ่านด้วยนะครับ) ผมขอเรียกว่า ด่านA ด่านB ละกัน ฮ่าๆ ⇓


วัดพูสะเหล้า : Endless Love

"ต่างคนต่างสิ้นหวังในความรักที่มีต่อกัน โดยที่ไม่รู้เลยว่า ความรักทั้งสองนั้นไม่ได้เสื่อมคลายใดๆเลย"

ก่อนจะเข้าตัวเมืองปากเซ คณะของเราได้เข้าไปสักการะ หลวงพ่อองค์แสน พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองที่วัดพูสะเหลา หรือ ภูซะเหล้า ซะ หรือ กระจัดกระจาย ถ้าแปลตามตัวเป็นภาษาไทย หมายถึง ทำให้เหล้ากระจัดกระจาย

ตำนานเล่าว่า ท้าวบาเจียง ผิดหวังกับความรักที่มีต่อ นางมะโรง ด้วยความโศกเศร้าเสียใจเป็นอย่างมาก ท่านจึงเท เหล้าไห ไก่โต ขันหมาก ที่เตรียมมาสู่ขอนางมะโรงในวันนั้นทิ้งเสีย (เป็นที่มาของคำว่า สะเหลา หรือ ซะเหล้า) ฟังดูแล้วก็เหมือนชายหนุ่มคนหนึ่ง ที่ผิดหวังกับความรักแล้วก็เกิดความเสียใจ เป็นเรื่องธรรมดา

แต่นี้เป็นความเสียใจที่เจ็บปวดความรู้สึกของคนรุ่นหลัง รวมทั้งผู้เขียนมากครับ คือทั้งสองคน ไม่มีโอกาศได้อธิบายหรือร่ำลากันเลย ในขณะที่ท้าวบาเจียง คิดว่านางมะโรงเปลี่ยนใจไม่รักตนแล้ว ทางนางมะโรงเองก็คิดว่าท้าวบาเจียงผิดสัญญาที่ให้ไว้กับตน ไม่มาสู่ขอ จุดพีคอยู่ตรงนี้แระครับ ถ้าเป็นสมัยเราก็จะบอกว่าทางผู้ใหญ่ไม่ชอบกันก็ได้ จึงวางแผนซ้อนแผน ให้ทั้งสองต่างเข้าใจกันผิด ด้วยเหตุนี้ทำให้นางมะโรงเสียใจตัดสินใจผูกคอตาย ณ ที่แห่งนี้ เป็นโศกอนาถตกรรมที่ทุกคนไม่อยากให้เกิดขึ้น


ต่างคนต่างสิ้นหวังในความรักที่มีต่อกัน โดยที่ไม่รู้เลยว่าความรักทั้งสองนั้นไม่ได้เสื่อมคลายใดๆ เลยผู้เขียนขอสดุดีในความรักของทั้งสองท่านครับ ขอขอบคุณเอื้อยกับอ้ายซาย (พี่สาวและพี่ชาย) ที่เล่าประวัติของทั้งสองท่านให้เราฟังในวันนั้นครับ


ด้วยความโชคดีของเรา วันนั้นเป็นวันที่ทางวัด จัดงานบุญกฐิน คณะของเราจึงถือโอกาศครั้งสำคัญนี้ ร่วมทำบุญกับทางวัดด้วยครับ (สาธุ)

ภายศาลายังเป็นที่ประดิษฐานของ องค์พระแก้วมรกต หรือ พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร ทั้ง3องค์
ทรงเครื่องสามฤดู

ภายนอกมีพระพุทธรูปปางต่างๆ หลายร้อยองค์ ชาวพุทธเรามีความเชื่อว่า ผู้ที่สร้างพระพุทธรูปเพื่อบูชา จะได้รับอานิสงส์ได้ไปเกิดในเทวโลก มียศมากมีอานุภาพมากเสมือนดังพระอาทิตย์ที่มีรัศมีอันแรงกล้า

นอกจากนั้นแล้ว ที่วัดภูสะเหลา ยังมีจุดชมวิวที่สวยงามมากๆ เราสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ของ เมืองปากเซ ได้แบบ 180ํ องศาเลยทีเดียว

อากาศในวันนั้น ครึ่มฟ้าครึ่มฝนนิดหน่อย ประกอบกับอากาศจะหนาวกว่าทางบ้านผมนิดหน่อย แถมพี่สาวแอบกระซิบเบาๆว่า นี้แค่น้ำจิ้ม คืนนี้ต่างหากหนาวของจริง ผมนึกในใจจะหนาวแค่ไหนกันเชียว


นอกจากวิวทิวทัศน์แล้ว เรายังสังเกตเห็นเสาไฟฟ้าแรงสูงเยอะแยะเต็มไปหมด ที่เราเห็นอยู่นี้ ผลิตไฟฟ้าเชื่อมต่อส่งขายให้ประเทศไทยนั้นเอง

ช่วงเช้าตรู่ และ ช่วงเย็น ตรงจุดนี้จะมีทั้งประชาชนและนักท่องเที่ยว ขึ้นมาถ่ายภาพเป็นจำนวนมาก นี้ถ้าหากฝนเจ้ากรรมไม่ตั้งเค้ามารอผมนะ ในใจอยากนั่งชมแสงเย็นตรงนี้ คงจะสวยงามมาก เอาไว้โอกาศหน้าจะเผื่อเวลาไว้เยอะๆ

เอาล่ะครับ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ผมจะพาทุกๆท่าน นั่งรถเข้าไปในตัวเมืองปากเซ อีกสักนี๊สสหนึ่ง แต่ก่อนอื่นผมว่า เราหาที่พักเอาแรงคืนนี้ก่อนดีกว่าเน๊อะ ^ ^

Lao Nippon Bridge หรือ สะพานลาวญี่ปุ่น ผมเห็นครั้งแรกในภาพยนต์เรื่อง สะบายดีหลวงพระบาง

เราตกลงกันว่าคืนนี้จะไปนอนที่ เมืองปากซอง พอเช้าๆก็จะนั่งจิบกาแฟร้อนๆ ผิงไฟ ดูพระอาทิตย์บนยอดเขา สัมพัสกับความหนาวที่แท้จริง "แหม๊ะนี้มันสวรรค์ชัดๆ"

เรื่องการจราจรก็ไม่ได้ต่างจากบ้านเราเท่าไหร่ครับ หากไม่นับว่าที่นี่ขับชิดขวา บ้านเราขับชิดซ้าย แต่ผมรู้สึกชอบป้ายจราจรที่ลาวนะ น่ารักดี สื่อความหมายได้ตรงๆ และอีกหลายอย่างที่นี่ บางทีผมยังอดนึกสงสัยไม่ได้ว่า "บ้านเราจะทำให้มันอ่านยากไปไหน ฮ่าๆ "

นั่งรถมาได้สักพัก ได้ยินเสียงฟ้าร้อง โครมๆ!!! แต่เอ๊ะ!! ทำไมเหมือนเสียงมันอยู่ใกล้ๆนี่เอง ที่ไหนได้เสียง ท้องเจ้ากรรม ฮ่าๆ ไหนๆก็มาละ ขอเดินชมตลาดหน่อยละกัน เผื่อมีของอร่อยๆแซ็บๆ ไว้กินตอนถึงปากช่อง

แต่พอลงจากรถเท่านั้นแระ คุณแม่บ้านก็ตรงปรี่เข้าไปร้านขายเสื้อผ้าทันที แถมบอก "เรื่องกับข้าวเอาไว้ทีหลัง" นั้นไง ผู้หญิงกับเสื้อผ้านี่เข้าใกล้กันไม่ได้จริงๆเลยครับ ฮ่าๆ

5 นาทีต่อมา ผมก็เลยกลายเป็นคนหิ้วของโดยปริยาย

นอกจากเสื้อผ้าหน้าผมแล้ว สินค้าจำพวกรองเท้า ของใช้จิปาถะอื่นๆ ก็มีให้เรื่องมากมาย เหมือนกับตลาดแถวบ้านเรา ส่วนราคา ก็พอฟัดพอเหวี่ยง เวลาซื้อของก็จะตื่นเต้นนิดหน่อย (บวกเลขกันมันเลยครับ) เดินผ่านแว๊บๆนี้ ตกใจราคาเลย ฮ่าๆ

ฟ้าเริ่มมืดลงทำให้เห็นสีของท้องฟ้าในวันนั้นได้ชัดเจน ผมจำความรู้สึกตอนแหงนหน้าดูท้องฟ้าครั้งล่าสุดไม่ได้ว่าตอนไหน หมายถึงอารมณ์แบบว่า อยากดูความสวยความของท้องฟ้าจริงๆนะครับ ฮ่าๆ ได้แต่อุทานในใจว่า "สวยจริงๆ..." แล้วก็ยิ้ม แม่บ้านถาม "มองดูอะไรอ่ะ"

ม๊ะ!! ได้เวลาไปหาของอร่อยๆ กินจริงๆแล้วครับ เพราะข้างในกระเพาะ เริ่มทำสงครามกันแล้วครับ ฮ่าๆ

มาลาวทั้งที ก็ขอชิมอาหารพื้นบ้านของที่นี่เลยละกัน บางท่านนานๆ ได้กินกับข้าวพื้นบ้านทีลองเปลี่ยนเมนู เปลี่ยนบรรยากาศดูนะครับ

ก่อนจะเข้า ปากซอง เราแวะทำธุระส่วนตัว เติมน้ำมันและซื้อของจิปาถะนิดหน่อย กะว่าจะไปกินข้าวแลง (ข้าวเย็น) ที่โน้นเลย แต่ฝนเจ้ากรรมน่ะสิครับทำท่าว่าจะตกแหล่ไม่ตกแหล่ เลยเปลี่ยนเป็นกินที่ปั้มก่อนละกันรองท้องก่อนจะได้ไม่หิวมาก พูดเสร็จข้าวยังไม่เข้าปากผมเลยครับ พี่แกจัดชุดใหญ่ให้เราเลย ทำไงล่ะครับทีนี้ ถ้าเป็น ปั้มบ้านเรานี้คงวิ่งหาผ้าคุมรถ หาที่หลบฝนก่อน แต่พี่แหน๋นบอกว่า "ไปหลบข้างในปั้มเลย" ตรงที่เค้าเติมน้ำมันเลยหรือครับ(ผมถาม) แกบอกว่า "ใช่ตรงนั้นเลย" เอ้ย! ได้หรือพี่ (ผมถามเพื่อความชัวร์) ได้ๆ แกบอก

  • แถมเจ้าหน้าที่ปั้ม ยังใจดี ให้เรานั่งกินข้าวได้แบบเต็มที่ ประมาณว่า เอาที่พี่สบายใจเลย กว่าฝนจะหยุดนี้เกือบ20นาทีนะครับ ขอขอบคุณในน้ำใจของพี่ๆทุกท่าน ในวันนั้นหลายๆเด้อครับ ^ ^

คืนนี้คงไปต่อไม่ได้แล้ว เนื่องจากเส้นทางจากตัวเมืองปากเซไปปากซอง ถนนมีความลาดชัน ประกอบกับมีฝนตกตลอดทาง ทำให้ทัศนวิสัยในการขับขี่เป็นเรื่องที่ยากลำบาก เราเลยตัดสินใจกลับรถมาที่ตัวเมืองปากเซ อีกครั้งเพื่อหาที่พักเอาแรงและชาร์จแบต สำหรับลุยต่อพรุ่งนี้

เราตื่นหลังไก่โห่เลยครับวันนั้น ฮ่าๆ วางแผนไว้ว่าจะตื่นตี4 เอาเข้าจริงๆ เกือบ6โมงเช้า ฮ่าๆ

กาแฟร้อนๆ กองไฟอุ่นๆของผม ถูกแทนที่ด้วย ข้าวจี่ปาเต้ และอากาศหนาวๆในตอนเช้า ผมว่าก็เป็นราคาที่รับได้นะครับ ^ ^

  • ปาเต้ หรือ ปาเต๊ะ เป็นภาษาฝรั่งเศษ ที่แปลว่า เนื้อบดผสมไขมัน

วิถีชีวิตที่เรียบง่ายตอนเช้าๆ ระหว่างทางไปเมืองปากซอง


PAKSONG HIGHLAND COFFEE ESTATE
ບໍລະເວນ ກາເຟ

Paksong Highland Coffee Estate หรือ บอละเวน กาแฟ เป็นจุดที่2 ที่เราพักสูดอากาศ สดชื่นๆ และถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึก Paksong Highland Coffee Estate ตั้งอยู่ที่ บ้านบาเจียง 18a
เมืองปากซอง แขวงจำปาสัก หรือตามโลเคชั่นนี้เลยครับ https://goo.gl/maps/gXtYjVtTA7v


ถ้าผมจำไม่ผิด ทางไร่น่าจะเปิดให้เข้าตอน 8 โมงเช้า แต่เรามาก่อนเวลานิดหนึ่ง พี่เจ้าหน้าที่ใจดีมากๆ อนุญาตให้เราเข้าไปถ่ายภาพก่อนได้ ด้วยความเกรงใจผมจึงขอรบกวนพี่ๆ ประมาณ10นาที เอาไว้คราวหน้ามาอีกครั้งจะมานั่งจิบกาแฟร้อนๆ ใจเย็นๆกว่านี้ ^ ^

ที่โดนใจผมสุดๆคือ อากาศครับ หนาวเย็น ได้ใจจริงๆ ผมนี้ลงทุนไม่เอาเสื้อกันหนาวจากที่บ้านมาเลยครับ กะว่า มารับลมหนาวให้สุดๆไปเลย สุดท้ายทนความหนาวเย็นไม่ไหวครับต้องจอดซื้อเสื้อกันหนาวระหว่างทางเป็นไงล่ะ อยากเจอของจริง ฮ่าๆ


ผมก็พึ่งเคยเห็นต้นกาแฟแบบชัดๆ ก็คราวนี้แระครับ ^ ^

จิบกาแฟร้อนๆ ฟังเพลงเบาๆ ยามเช้าแบบนี้ แค่คิดภาพก็ฟินแล้วครับ ^ ^


มุมถ่ายภาพจัดว่าเยอะครับ มีแทบทุกจุด แค่ขยับนิด ขยับหน่อย ก็ได้มุมใหม่ๆแล้วครับ หากท่านใดมีเวลาเยอะๆ ไม่รีบ ผมแนะนำที่นี่เลยครับ Paksong Highland Coffee Estate


ສວນມົນຕາຈຳປາລາວ สวนมนตรา จำปาลาว

Montra Champa Lao

อาหารย่อยกันหรือยังครับ ^ ^ ถ้ายัง เดี๋ยวผมจะพาทุกท่านไปเดินชมสวนดอกไม้อีกซักยก

สวนดอกไม้ที่ว่าคือ สวนมนตราจำปาลาว "ສວນມົນຕາຈຳປາລາວ" ห่างจากตัวเมืองปากเซ ราวๆ 60 กิโลเมตร (หลัก11) หรือตามโลเคชั่นนี้เลยครับhttps://her.is/2AJjjpB ภายในสวน มีดอกไม้หลากหลายชนิด หลายสายพันธุ์ นอกจากนั้นยังมี สตอเบอรี่ , ผักอื่นๆ และกาแฟสด ไว้บริการนักท่องเที่ยวอีกด้วยครับ

  • ก่อนจะเข้าชมสวนฯอันดับแรก เราต้องซื้อปี้(ตั๋ว)ก่อน คนล่ะ 20,000 กีบ หรือประมาณ 80บาท ครับ
  • จุดจำหน่ายตั๋วจะอยู่ตรงทางเข้าสวนครับ

ที่เด็ดสุด ต้องยกให้ กาแฟ กับชาครับ ในภาพที่ไม่เห็นถ้วยกาแฟ ไม่ใช่อะไรนะครับ ผู้เขียนถือไว้ วางไม่ได้เลยอร่อยมากๆ

นอกจาก กาแฟและชาหอมๆแล้ว ยังมีอาหารเช้า ไว้บริการนักท่องที่มายังสวนฯ ด้วยนะครับ เช้าๆแบบนี้ได้ข้าวต้มร้อนๆ คงจะเป็นอะไรที่ดีมากๆ



สำหรับสาวๆที่ชอบถ่ายภาพกับทุ่งดอกไม้ ที่นี่เป็นเหมือนสวรรค์เลยครับ ถ้ามีม้าโพนี่วิ่งผ่านมานี่ใช่เลยครับ

เรื่องมุมถ่ายภาพ ที่นี่ไม่ต้องขยับหามุมให้ยากครับ เผลอๆถ้าเป็นคนชอบถ่ายคู่กับดอกไม้นี่ เดินถ่ายทั้งวันยังได้เลยครับ อากาศที่ปากซองกับปากเซ ค่อนข้างต่างกันพอสมควรครับ ที่ปากเซ อุณหภูมิจะดูอุ่นๆกว่าครับ


อากาศที่เย็นตลอดทั้งปี ทำให้ดอกไม้ที่นี่ เจริญเติบโตได้ดีกว่าแถบร้อนชื้น

ดูไปแล้ว กล้วยไม้ที่นี่ ก็เยอะเหมือนกันเน๊อะ

ในภาพด้านบนน่าจะเป็น กล้วยไม้พันธ์ุฟาแลนนอปซิส ผู้เขียนก็ดันลืมถามกับคนสวน (หากจำชื่อผิดต้องขออภัยด้วยนะครับ) ส่วนด้านล่างนี่ผมมั่นใจมากครับ ตุ๊กตาเริงระบำ หรือ ออนซิเดียม แน่นอน

เหนื่อยกันหรือยังครับ? ถ้ายังไม่เหนื่อย เดี่ยวผมจะพาไปชมอีกหนึ่งไฮท์ไลท์ ของที่นี่ Tunnel of rainbow light หรือ อุโมงค์สายรุ้ง นั้นเอง


จะมาแบบสายเดี่ยว

หรือแบบเป็นกลุ่มก็ยังได้ ยิ่งถ้าเป็นตอนกลางคืนนะ ผมคิดว่าน่าจะสวยมากๆ

ท่านใดมาที่สวนดอกไม้มนตรา ก็อย่าพลาดจุดนี้เชียวนะครับ นอกจากที่ผมเล่ามาทั้งหมดนี้แล้ว ยังมีอีกหลายจุดภายในสวนฯ ให้ทุกท่านได้เลือกชมและถ่ายภาพมากมาย ขนาดผู้เขียนเองก็ยังเดินไม่ทั่วเหมือนกัน ฮ่าๆ

ผมมีความเชื่ออย่างหนึ่งว่า เวลาเราเดินทางไปที่ใดก็แล้วแต่ พอเรากลับมาถึงบ้าน แล้วพบว่า เฮ้ย!! เราลืมไปจุดนี้ มักจะทำให้เราได้กลับไปที่แห่งนั้นอีกครั้ง ฮ่าๆ

ดูจากแบบแปลนที่ทางสวนฯ ได้ออกแบบไว้ (ในป้าย) คิดว่าในอนาคตอันใกล้นี้ สวนจะเพิ่มความอลังการมากกว่านี้แน่นอนครับ ฝากไว้ด้วยนะครับ หากท่านใดที่กำลังมองหา สถานที่พักผ่อนหย่อนใจในวันหยุด รับรองว่าไม่ผิดหวังแน่นอนครับ

เดินชมสวนดอกไม้ซะเพลิน เริ่มรู้สึกร้อนขึ้นมาแล้วครับ เราไปหาที่เย็นๆ มีน้ำใสๆ เสียงนกร้อง กันดีกว่าครับ


ตาดเยือง ຕາດເຍືອງ
Tad Gneuang Waterfall

ຕາດເຍືອງ หรือ น้ำตกตาดเยือง ที่เรารู้จักกัน หลายๆท่านก็เคยไปมาแล้ว เป็นน้ำตกขนาดใหญ่ที่สวยงามติดอันดับ top 10 ของประเทศลาว เอาเป็นว่าผู้เขียน จะขอข้ามเรื่องประวัติของน้ำตกไปก่อนนะครับ เอาพอสังเขปก็พอเน๊อะ ^ ^ (หากท่านใดอยากทราบประวัติความเป็นมาของน้ำตกฯ สามารถเข้าอากู๋แล้ว Searchหาคำว่า น้ำตกตาดเยืองได้เลยนะครับ )

  • การเดินทางก็สะดวกสบายมากครับ น้ำตกตาดเยือง ห่างจากตัวเมืองปากเซ ประมาณหลักกิโลเมตรที่ 40 ขับรถต่อเข้าไปอีกหน่อยๆ ราวๆ 1 กม. หรือ ตามโลเคชั่นด้านล่างนี้เลยครับ https://goo.gl/maps/fGMjgANsubz

น้ำตกสามารถเดินลงไปด้านล่างได้ครับ แต่ต้องใช้ความระมัดระวังนิดหนึ่ง เนื่องจากพื้นค่อนข้างแฉะอาจทำให้ลื่นได้ง่ายครับ

ตรงจุดที่ผมยื่นอยู่นี่ สามารถมองเห็นทางเดินทอดยาวไปถึงศาลาอีกหลังหนึ่ง ใครมาถึงจุดนี้แล้วอย่าลืมเดินต่อไปอีกสักนี๊สนะครับ ท่านอาจจะได้เจอมุมเด็ดๆก็ได้ครับ

เข้าใกล้สุดๆ ได้แค่นี้จริงๆครับ ละอองน้ำแรงมากๆ นึกขึ้นได้ว่ากล้องเรากันน้ำนี่นา (กันน้ำออก ฮ่าๆ) นี่ขนาดหน้าหนาวแล้วนะครับ น้ำยังแรงขนาดนี้ ถ้าเป็นหน้าฝนนี่ไม่ต้องบรรยายเลยครับ ฮ่าๆ

น้ำเย็นม๊ากกก (ฝรั่งบอก "เวรี่โคว" คิดว่านะ ฮ่าๆ) แต่ถ้าหากท่านใดมั่นใจใน weather seal ของตัวกล้อง หรือเป็นสายลุย ก็สามารถเดินลงไปเก็บภาพด้านล่างได้เลยครับ ส่วนตัวคิดว่า ซักเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ น่าจะถ่ายง่ายกว่านี้ครับ

เล่นน้ำจนสบายตัวแล้ว ก็มาซื้อของฝากกันต่อครับ ตลาดจะอยู่ก่อนทางลงน้ำตกครับ

มีมุมถ่ายภาพสวยๆ เอาใจสายselfie เยอะมากครับ

มุมจัดแสดงการทอผ้า และชุดแต่งกายแบบดั่งเดิมของชนเผ่า

มุมชิวๆ นั่งรับลมเย็นๆ

หรือจะเป็นมุมเหงาๆ เอาใจสายโดนเท ก็เซมาตรงนี้เลยครับ ^ ^

เอาล่ะครับ ไหนๆเรามาถึงตาดเยืองแล้ว ไปอีกซักตาดก็แล้วกันเน๊อะ ตาดที่เราจะไป อยู่ห่างจากที่นี่ราวๆ 2 กม. หรือตามโลเคชั่นนี้เลยครับ https://goo.gl/maps/DmJ8J3LDguK2


ຕາດຟານ ตาดฟาน
Tad Fane waterfalls

ຕາດຟານ หรือ น้ำตกตาดฟาน พอพูดถึงตาดฟานแล้ว หลายท่านคงจะนึกถึง Zip Line ซึ่งเป็นไฮไลท์ ของที่นี่ และแน่นอนครับ ผู้เขียนไม่ถูกกันเล๊ยย กับอะไรก็แล้วแต่ ที่ทำให้เท้าห่างจากพื้น ฮ่าๆ งานนี้ผมจึงขอยืนดู อยู่ห่างๆ อย่างห่วงๆ ก็แล้วกัน


Zip line จะมีทั้งแบบ โรยตัว นั่งจิบกาแฟชิว นอนเปล อารมณ์ประมาณว่า ค่อยๆเลื่อนไปแบบช้าๆ ราคาก็จะแตกต่างกันออกไป โรยตัว 1400 บาท นั่งจิบกาแฟนอนเปลชิวๆ 2400 บาท หรือประมาณ 62x,xxx กีบ


ก่อนที่เราจะถูกปล่อยตัวไปตามสายสลิง นั้น เจ้าหน้าที่ จะให้เราเซ็นเอกสารรับรองความปลอดภัย หรือ ประกันภัย อะไรนี้สักย่างนี้แระ ผู้เขียนเองก็ไม่กล้าถ่ายภาพให้ดู เอาเป็นว่าหากท่านใดที่ไปเล่นมาแล้ว มาเล่าสู่กันฟังบ้างนะครับว่าเป็นอย่างไรบ้าง ม่วนบ่ ^ ^


ก่อนกลับ ผมและคณะก็แวะไปเดินชมตลาดที่ตาดฟาน เผื่อว่าจะมีของติดไม้ติดมือไปฝากคนที่บ้านด้วย


เจอพ่อหนุ่มคนนี้วิ่งตาม ฮ่าๆ

หนุ่มน้อย และ Grilled Banana ของเขา


สินค้าจะมีตั้งแต่เสื้อผ้า เครื่องประดับ ไปจนถึงของป่า (อาหาร)


สำหรับท่านใด ที่สนใจอยากได้ของที่ระลึกติดไม้ติดมือกลับบ้าน ลองแวะมาที่ดูตลาดตรงทางเข้า ตาดฟาน ได้นะครับ ^ ^


ຕາດຜາສ້ວມ
Pha Suam Waterfall

ຕາດຜາສ້ວມ ตาดผาส้วม หรือน้ำตกผาส้วม ผมถามพี่แหน๋นว่า คำว่า ส้วม นี่หมายถึงอะไรครับ แกบอกว่า กะส้วมคือบ้านเจ้านั้นล่ะ (ก็ส้วมอันเดียวกันกับ ที่บ้านเรานั้นแระ) ผมนี่ได้แต่ทำตาปริบๆ แกก็หัวเราะ แล้วก็บอกว่า มันแปลว่าห้องนอน อ๋อ!! (ผมอุทาน) ผู้เฒ่าผู้แก่สมัยก่อนบ้านผม ก็ใช้คำนี้เหมือนกันครับ แต่ทุกวันนี้เปลี่ยนมาใช้คำว่า ห้องนอน อย่างที่เราคุ้นหูกันในทุกวันนี้ นอกจากนั้นยังมีคำว่า ตำอิด ที่แปลว่า แต่ก่อน คำว่า รม ที่แปลว่าพูดคุยกัน

การเดินทางมาที่น้ำตกผาส้วมก็สะดวกสบายมากครับ มีรถวิ่ง เข้า-ออก ตลอดเวลา ห่างจากตัวเมืองปากเซ ราว30กิโลเมตร หรือตามโลเคชั่นนี้เลยครับ https://goo.gl/maps/3i4Ga1yn7Vt ส่วนสะพานเชือกที่หลายๆท่านเคยเห็นในรีวิว ผู้เขียนมารอบนี้ไม่เจอครับ เดาว่าทางเจ้าหน้าที่น่าจะทำการปรับปรุงอยู่ครับ ^ ^

เรามาถึงผาส้วม ประมาณเกือบๆบ่าย3 นี่ถ้าไม่ติดว่าไม่ได้เตรียมชุดลำลองมาด้วย จะลงแช่น้ำให้หายร้อนเสียหน่อย พาหนะส่วนใหญ่ที่นักท่องเที่ยวนิยมใช้ในการเดินทางมาที่นี่ส่วนมากจะเป็น มอเตอร์ไซค์ เราสามารถเช่าได้ที่ตัวเมืองปากเซได้เลยครับ มีให้เลือกหลายร้านมาก ^ ^

ที่ขาดไม่ได้เลย สำหรับท่านใดที่มาผาส้วม อย่าลืมแวะเข้าไปเยี่ยมชม ศูนย์วัฒนธรรมชนเผ่า ของที่นี่ด้วยนะครับ นอกจากจะได้เรียนรู้วัฒนธรรมดั่งเดิมของชนเผ่า ทำให้เราได้รู้อีกว่าชนเผ่าในประเทศลาวนั้นมีเยอะมากเกือบ50ชนเผ่าเลยทีเดียวครับ แต่ละชนเผ่ามีภาษาในการสื่อสารเป็นของตัวเอง และมีขนบธรรมเนียมประเพณีที่น่าสนใจแตกต่างกันออกไป



สะบายดี สาวน้อยเจ้าของเรือน กล่าวทักทาย ที่จริงผมอยากเดินเข้าไปถามน้องเค้านิดหน่อยเกี่ยวกับประวัติของที่นี่ แต่ครั้งนี้ขอยืนดูแบบเงียบๆดีกว่า ^ ^


เดินต่อมาอีกนิดหน่อย ได้ยินเสียงดนตรีกับเสียงเด็กน้อยดังมาแต่ไกลๆ ตรงนี้เราสามารถสอบถามประวัติความเป็นมาจากผู้เฒ่าผู้แก่ได้เลยครับ


บรรยาศร่มรื่นทั้งวันถึงแม้ตอนนั้นจะเป็นเวลาบ่ายโมงกว่าแล้ว ^ ^

ในที่สุดเราก็เดินทางมาถึงช่วงสุดท้ายของทริปนี้แล้ว เป็นอย่างไรบ้างครับท่านผู้อ่าน สำหรับการเดินทางไปต่างประเทศครั้งแรกของผม เนื้อหาหลายช่วงอาจจะติดขัด หรือข้อมูลผิดพลาด ผม(ผู้เขียน)ต้องกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ ขอบคุณสำหรับการติดตาม และขอขอบคุณทุกท่านที่อ่านมาจนถึงตอนสุดท้ายนะครับ ไว้พบกันใหม่ในโอกาศหน้าครับผม


สรุปค่าใช้จ่ายทั้งทริป 🚗 🌄 สองคน รวมเป็นเงินทั้งสิน 4พันกว่าบาท 💵 💵

อุปกรณ์ที่ใช้ในการบันทึกความทรงจำในครั้งนี้ 📷🎞️

  • Nikon F , Fuji XE-1 Lens: 28-85mm f/3.5-4.5 , Sigma10-20 f4/5.6 , XC50-230

เพิ่มเติมนิดหน่อยครับ
หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการเดินทาง ผมยินดีให้ความช่วยเหลือเต็มที่ครับ
https://www.facebook.com/Suiy.Kee.King

DanOnTour

 วันเสาร์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2561 เวลา 13.37 น.

ความคิดเห็น