ครั้งแรกในชีวิตกับมิตรภาพของการเดินป่าและแคมป์บนเขา ที่ "ภู บั ก ไ ด"
บั น ทึ ก ก า ร เ ดิ น ท า ง จ า ก " ภู บั ก ไ ด "
สวัสดีครับบบบบบ ครั้งนี้ “ล่ามติดเที่ยว”จะมารีวิวการเดินทางคนเดียว แต่ไม่เดียวดายนะจะบอกให้ ทริปนี้คือเดินป่า การเต๊นท์นอนบนเขาที่ ภูบักได อ.ภูเรือ จ.เลย ถามว่าไปเดินป่ามาตอนไหน คือไม่อยากจะบอกเลยว่าออกทริประหว่างวันที่ 7-8 มกราคม 2017 นี่เป็นทริปแรกของปี 2017 ด้วยล่ะครับ
แต่เพิ่งจะมาเขียนบันทึกการเดินทางเอาก็ตอนนี้เนียะแหละ ชั่งใจคิดอยู่ตั้งนานนนนนนนว่าเอาไงดีๆ เขียนบันทึกการเดินทางดีไหมหรือว่าปล่อยให้มันผ่านๆไป จนเวลาผ่านมาครึ่งปีแล้ว เพิ่งจะมามีความรู้สึกอยากเขียนบันทึกการเดินทางเก็บไว้ เพราะทริปอื่นๆที่เดินทางหลังจากทริปนี้คือมีบันทึกการเดินทางทุกทริป จึงติดสินใจว่างั้นเขียนบันทึกการเดินทางเก็บไว้เลยละกัน เริ่มยาวละๆ ไอ่เรื่องไร้สาระนี่เยอะจริงนะ 555+
#ขอบคุณภาพบางส่วนจากพี่ๆนะครับ ชอบมากๆ โดยเฉพาะช่างภาพพี่ติง ฝีมือถ่ายรูปนี่ยกนิ้วให้เลย :)
ทริปนี้เป็นไงมาไง เป็นการเดินป่าขึ้นไปนอนบนเขาครั้งแรก ไปคนเดียวมันจะแปลกไหมวะ การเต๊นท์นอนคนเดียวจะน่ากลัวไหมวะ ตอนที่กำลังตัดสินใจว่าจะไปเดินป่าทริปนี้นั้นก็คิดหนักมากกกกกก เพราะมีเวลาเพียงแค่2วัน1คน ไปเสาร์กลับอาทิตย์ ไปคนเดียวว่าคิดหนักแล้ว การเดินทางจากชลบุรีไป จ.เลย ไม่ใช่ใกล้ๆะ
การเดินทางของทริปนี้ : รถตู้ศรีราชา > บีทีเอส > แท็กซี่ > เครื่องบิน > แท็กซี่ > รถอีแต๊ก > เดินเท้า ขากลับก็วนกลับจากเดินเท้าไปจนถึงรถกลับศรีราชา ชลบุรี เลยครับ เล่นเอาเหนื่อยกับการเดินทางเหมือนกันนะ แต่ก็สนุกมากกว่า อิอิ
หลายต่อพอสมควรเลย และบุคคลในรูปเหล่านี้คือเพื่อนร่วมทริปเดินป่าที่ได้พบเจอกันก่อนออกเดินทางครับ ได้รู้จักกันและร่วมออกทริปด้วยกันเนื่องจากได้ลุงผู้นำทางคนเดียวกันครับ เห็นไหมล่ะไม่โดดเดี่ยวแล้ว มีเพื่อนคุยระหว่างทริปแล้ว ไม่เหงาแล้ววววววววววว :)
*หลังจากรูปนี้ก็เป็นการเดินทางโดยรถอีแต๊กไปยังจุดเดินเท้า ระยะทางค่อนข้างไกลพอสมควรเลยล่ะ งั้นระหว่างนั่งรภอีแต๊กไปผมขอเล่าความเป็นมาของทริปนี้เลยละกันนะ :)
อ่อ แป๊บๆ รูปนี้ถ่ายให้กลุ่มที่ออกตัวไปก่อนล่วงหน้า พี่เข่บอกให้ถ่ายรูปให้หน่อย แล้วไปเจอกันบนเขา แต่หารู้ไม่ว่าหลังจากเจอกันตอนถ่ายรูปนี้ เราก็ไม่ได้เจอกันบนเขาอีกเลย 555+ เพราะอยู่ส่วนไหนก็ไม่รู้ครับ ยังถ้าพี่ๆในรูปนี้เห็นบันทึกการเดินทางนี้ของผม ผมขอฝากรูปพี่ๆให้พี่ๆในรูปละกันนะคับ
มาต่อกัน ก่อนตัดสินใจจะไปออกทริปนี้ก็หาข้อมูลสารพัดเกี่ยวกับภูบักได ช่วงนั้นข้อมูลก็ยังมีไม่มาก เพราะเพิ่งจะเป็นที่รู้จักเมื่อไม่นานมานี้เอง เรียกได้ว่าศึกษาข้อมูลทำการบ้านค่อนข้างหนักเลยล่ะ โทรสอบถามข้อมูลต่างๆกับทางอุทยานแห่งชาติภูหลวง หาเบอร์เพื่อทำการจองล่วงหน้า ซึ่งก็ได้เบอร์ของลุงเชิดมาครับ สังเกตได้จากปฏิทินด้านล่างนี้ครับ ผมโทรจองล่วงหน้าก่อนหยุดยาวสิ้นปีอาทิตย์กว่าๆ
ลังจากทำการติดต่อและจองทริปเสร็จก็มาจองตั๋วเครื่องิบกัน ถ้าจำไม่ผิดจะมีเพียง2สายการบินที่บินไปสนามบินเลยคือ นกแอร์กับแอร์เอเชีย ซึ่งขาไปบินนกแอร์ ขากลับบินแอร์เอเชีย แต่ๆนกแอร์เป็นเครื่องบินใบพัดและนั่นก็เป็นประสบการณ์นั่งเครื่องบินใบพัดครั้งแรกในชีวิตและเครื่องก็ลำเล็กมากกกกกก ผมนี่ยอมรับเลยว่าแอบหวั่นนิดๆ 555+ แต่ทุกอย่างก็ผ่านพ้นไปด้วยดี การเดินทางถือว่ากลายหลายมาก กว่าจะไปถึงยอดเขาภูบักไดก็หลายต่อมากๆ
นู่นนนนนนนนนนนนไง ยอดเขาที่เราต้องนั่งรถอีแต๊กไปยังจุดเดินเท้า มันอยู่ตรงนั้นแหละคับ แต่ไม่ใช่ไปจอดบนยอดนะ จอดบรเวิณกลางๆดอย ไม่รู้จะบอกไงดี คือมันมีจุดจอดละกันคับ แหะๆ
ก่อนออกทริปนี้ก็ได้ชวนทั้งเพื่อนคนไทย คนต่างชาติเหมือนกัน แต่ก็โดนปฏิเสธตั้งแต่ต้นปีเลย 555+ เข้าใจว่าหลายๆคนยังไม่พร้อมออกเดินทาง เพราะเพิ่งหยุดยาวสิ้นปีไป แต่ตรูนี่ไฟท์ตั้งแต่ต้นปีเลยนะ เพราะปีนี้ตั้งเป้าไว้ว่า "จะออกเดินทางให้มากที่สุดเท่าที่จุะทำได้" อีกอย่างบริษัทปัจจุบันทำงานวันจันทร์-วันศุกร์ และหยุดทุกเสาร์-อาทิตย์ เลยทำให้มีเวลาออกเดินทางมากขึ้น งั้นก็จัดไปเต็มที่อย่างได้หวั่น อย่าได้เสียดายเงินที่ต้องใช้จ่ายสำหรับทริปต่างๆ
วิวทิวทัศน์ระหว่างทางก็สวยใช่ย่อยนะ มันคือความสุขที่เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติจริงๆ
แต่ก่อนเป็นคนไม่กล้าเดินทางคนเดียว ไม่กล้าหรือไม่อยากไปมากกันนะ อันนี้ก็ไม่มีคำตอบ ตอนนี้เด็ดเดี่ยวมากพอที่จะออกทริปเดินทางคนเดียวแล้ว ไม่กลัวการเดินทางคนเดียวแล้ว เพราะก่อนหน้านี้ก็เคยเดินทางไปต่างประเทศคนเดียวมาหลายครั้งมากแล้ว จึงกลับมาคิดว่า ทำไมไม่ลองเที่ยวในไทยดูบ้าง คือแทบไม่ได้เที่ยวในไทยเลย ก็หันมารักเมืองไทย เที่ยวเมืองไทย ใช้ของไทย มั่วละๆเรียงคำไม่ถูก 555+
รถอีแต๊กนั่งได้ทั้งหน้าหลัง คนนั่งหลังจะลำบากขาไป ส่วนคนนั่งหน้าจะลำบากขากลับลงมา แต่มันมันส์โคตรๆ
ตอนเดินทางมาถึงสนามบินเลย พี่แท็กซี่ที่โทรจองไว้ก็มารอรับที่สนามบินแล้ว ได้แท็กซี่ราคาพิเศษ เพราะเป็นพี่ที่รู้จักของพี่ที่บริษัท ก็เดินทางจากตัวเมืองเลยไปอำเภอภูเรือ ก่อนเข้าหมู่บ้านก็แวะ7-11 เพื่อตุนอาหารสำหรับมื้อเที่ยง เย็นและเช้าไว้ และนั่นก็มีแต่ขนมปังกับน้ำ2ขวด คือง่ายไปนะ
อย่าได้ถามว่าฝุ่นเยอะไหม เพียบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบเลยล่ะ 555+ รองเท้า เสื้อผ้า ผมนี่เปลี่ยนสีเลย แต่พอใกล้ถึงหมู่บ้านแล้วก็รู้สึกหวั่นๆว่าจะหลงทาง เพราะสัญญาณโทรศัพท์ขาดๆหายๆ เน็ตแม่งก็เล่นไม่ได้ หมู่บ้านกลางอยู่ไหนกันนะ แว๊บแรกตกใจนึกว่าหลงแล้ว แต่สุดท้ายก็ถึงบ้านกลางอย่างปลอดภัย พอไปถึงก็นั่งรอคนอื่นๆวนไป กลุ่มที่มาก่อนแล้วก็ออกเดินทางกันไปแล้ว สำหรับกลุ่มของผมจะมีพี่2คนที่เดินทางมาหลังสุด (พี่2คนที่ถ่ายรูปกับผมด้านบนๆอ่ะคับ 2คนนั้นแหละ พี่เจเจ้ กับ พี่ติง) เพราะพี่ๆแกแว๊นมอไซด์มากัน เห็นบอกว่าไปเชียงคานมาด้วย คือสุดยอดมากๆคับ อะไรจะอึดปานนั้น โอเคคนพร้อม อีแต๊กพร้อม เสบียงพร้อมนิดๆ ก็ได้เวลาออกเดินทาง :)
พอรู้ว่าไม่ได้เดินทางคนเดียว แต่มีเพื่อนร่วมทริปด้วยกันถึง4คน ลุงนำทาง1คน และผม1คน รวมกันเป็น6คน เย้ๆ มันทำให้การเดินทางครั้งนี้สนุกขึ้นและรู้สึกดีใจมากอย่างบอกไม่ถูก ไม่งั้นคงต้องเหงาแน่ๆ ยิ่งไปกว่านั้นคือนั่นเท่ากับว่าจะได้เจอเพื่อนใหม่ที่มาจากคนละทิศ และแน่นอนค่าใช้จ่ายต่างๆค่าลุงนำทางก็ถูกลงเป็นเท่าตัว เยี่ยยยยยม 555+
ระหว่างออกเดินด้วยรถอีแต๊กก็ทำพูดคุยกับเพื่อนร่วมทาง เพื่อทำความรู้จักกันให้มากขึ้น ถามไถ่ต่างๆ มาจากไหน ทำงานอะไร ทำไมมาคนเดียว ก็โม้กันไปยาวๆวนนนนนนไป คุยไปรูปไป
นั่นไงงงงงงง เป้าหมายอยู่แค่เอือมแล้ว เห็นแบบนี้แต่มันอีกตั้งไกลเลยนะกว่าจะถึงจุดเดินเท้า 555+
และวิวทิวทัศน์ระหว่างทางก็ยังคงสวยงาม เส้นทางคดเคี้ยวใช่เล่นนะ
และนี่ก็เป็นรถอีแต๊ก ฮีโร่ของงานนี้เลย ดูจากสภาพแล้วไม่น่ารอด แต่มันอึดนะ 555+ คนขับนั่งกลาง ส่วนผู้โดยสารก็นั่งหน้าหลัง ที่จอดตรงนี้คือพักเข้าห้องน้ำ นี่แค่ครึ่งทางเองนะ แต่เราจะว๊าปปปปไปยังจุเเดินเท้าเลยละกัน 555+
และแล้วเราก็เดินทางมาถึงจุดเดินเท้า ส่วนรถอีแต๊กก็จอดทิ้งไว้ตรงนี้ คงไม่มีใครมาขโมยหรอก 555+ เราต้องเดินขึ้นเขาเล็กน้อยครับ ไม่ไกลมาก น่าจะประมาณ300เมตรได้นะ ไม่ไกลแต่ก็เล่นเอาซะคนเดินเหนื่อยอยู่นะ :)
ลักษณะทางเด้นเท้าบนเขา ก็จะเป็นแนวราบประมาณ2-3กิโลเมตร ไม่ไกลมาก เดิชิลๆ สบายๆ ได้เลย
ขึ้นมาถึงเาแล้วก็สูดอากาศบริสุทธิ์เข้าไปให้เต็มปอดดดดดดดเลย อาจจะมีกลิ่นขี้ช้างป่าปะปนมาบ้างนะ 555+ ใช่ครับมีช้างป่าและวัวเลี้ยงแบบปล่อยให้อยู่กับธรรมชาติ เจอวัวแต่ไม่ได้เจอช้างป่านะ ยังไงก็ระวังๆช้างป่าด้วยนะ
เดินไป พักไป ถ่ายรูปไป มันก็สนุกไปอีกแบบ รูปนี้พี่ติงถ่ายให้ คือเดินก็เหนื่อยละนะ แต่ยังมีแรงโดดอีก 555+
แต่เอ๊ะ!!! ทำไมเดินริมผาคนเดียวล่ะ 555+ เอ่อก็ งง ตัวเองอยู่ว่าทำไมออกมาเดินคนเดียว จนตอนนี้ก็ยัง งง!!
หลังจากเดินมาไม่นานนนนนนนนนนมากนักก็มาถึงปลายทาง ลานกางเต๊นท์บนยอดภูบักไดถือว่ากว้างมากกกกกกกกก เป็นลานหญ้าที่กว้างและสวยมากๆ อยากางเต๊นท์ตรงไหนก็เลือกเอา มีให้เลือกหลายจุดเลย แต่เราเลือกที่นี่กลางลานหญ้าเลย แต่ลุงมาบอกว่าย้ายไปฝั่งที่มีโขกหินไหม จะได้เอาไว้บังลมตอนกลางคืน ดีนะลุงไม่มาบอกเอาตอนที่กางเสร็จแล้ว กำลังจะกางเต๊นท์แล้วเชียว เอ้าาาาย้ายยยยยยยยคับย้าย เราต้องเชื่อคนในพื้นที่ 5555+
ได้เวลากางเต๊นท์นอนแล้ว ขอบคุณพี่ๆทั้ง2คน ที่ช่วยกางเต๊นท์ให้เด็กน้อยตาดำๆคนนี้ ร่วมด้วยช่วยกัน อิอิ
เต๊นท์เตรียมมาเอง ถุงนอนสามารถเช่าได้ที่ลุงเชิด ชุดละ100บาท ไม่ได้เตรียมถุงนอนมา เพราะคิดว่าคงไม่หนาวมั้ง เลยไม่ได้เตรียมเครื่องนอนไปด้วย จะมีก็แต่กางเกงขายาว เสื้อกันหนาว ผ้าเช็ดตัว(ตั้งใจจะเอาไว้ห่มนอน อิอิ) พอเตรียมเต๊นท์นอนเสร็จเวลาก็เย็นมากแล้ว ตะวันกำลังจะตกดินแล้ว ก็ไปชมวิว ถ่ายรูปกันที่ผาหลอกลวง
โอ๊ะโอ ยังๆ นี่ยังไม่ใช่ผาหลอกลวง แต่นี่หน้าผาจริง สูงจริง โนสตั๊นแมน ใครกลัวไม่ควรเลียนแบบนะ ;)
ไปๆไปถ่ายรูปด้วยกัน ไปนั่งเรียงกันเลย ระวังตกกันด้วยะ ผาตรงหินยื่นนี้สูงมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกก จ่ะ!!
พี่เจเจ้ ช่วยผมด้วย!! ช่วยดึงขึ้นที พอดีเกือบร่วงตอนไปนั่ง ใครมันจะเชื่อวะ ยิ้มร่าาาาาาาากันขนาดนั้น 5555+
ผาหลอกลวง ภูบักได จุดนี้เป็นจุดที่ดึงดูดผู้รักการเดินป่าเลยล่ะ ถือเป็นแลนด์มาร์คสำคัญของภูบักไดเลยล่ะ เพราะใครก็ตามที่มาภูบักได ย่อมมีเป้าหมายเดียวกันคือ การได้มาถ่ายรูปกับผาหลอกลวงแห่งนี้ และอยากจะบอกกับพวกโลกสวยว่า นี่ผาจริงนะ ที่เห็นว่ามันสูงคือมุมกล้องทั้งนั้น เป็นผาที่ไม่สูง ยืนจากพื้นก็แตะถึง ตกไปก็ไม่ตายหรอกนะ แต่ถ้าตกจริงก็อาจจะเจ็บหน่อย เพราะข้างล่างเป็นก้อนหิน แต่ยังไงก็ต้องเซฟตัวเองเวลาไปถ่ายรูปจุดนี้นะคับ
เสียดายไม่มีภาพบรรยากาศกลางคืนที่นั่งกินข้าว ต้มมาม่าใส่ไส้กรอก ล้อมรอบกองไฟ เม้าท์มอยกันหลายคนมากๆ สิ่งหนึ่งที่ประทับใจมากๆเลยคือ เพื่อนร่วมทริปมีน้ำใจแบ่งอาหารให้กิน คืออย่างที่บอกไปคับว่าผมเตรียมไปเพียงแค่ขนมปัง เอาแบบกินง่ายๆ เพราะไปคนเดียวคงไม่ทำอาหารกิน แต่พอถึงเวลานั้นจริงๆ มีข้าว มีเนื้อ มีต้มมาม่าใส่ไข่ ใส่ไส้กรอกลงไป คือมันเป็นมื้อที่อิ่มและอร่อยมากๆ ขอบคุณเพื่อนร่วมทริปทุกคนสำหรับน้ำใจอันดีงาม ลุงก็เอาข้าวเหนียวมาเยอะด้วย ก็มาแบ่งให้ทุกคนกินกัน สาวๆข้างๆก็เอาเนื้อมาแบ่งให้กิน ประทับใจมากอย่างบอกไม่ถูก
อย่างที่บอกครับตอนกลางคืนคิดว่าไม่หนาวมั้ง แต่เอาเข้าจริง ตอนกลางคืนก็เปิดเต๊นท์ออกมาดู อื้มหืมมมมมมมมม ตอนลมพัดแรงๆนะ ผมนี่คิดว่าเห้ย เกิดไรขึ้นวะ ฝนตกเหรอ ทำไมเต๊นท์สั่นอย่างกะจะปลิวไปให้ได้ และเต๊นท์ก็เปียกน้ำค้างมากกกกกกกก ดีนะที่เช่าถึงนอนขึ้นมาด้วย ไม่งั้นงานนี้มีหนาวแน่ๆ เช้ามานี่หมอกเต็มมมมไปหมดเลย
ตื่นเช้ามาก็มานั่งผิงไฟท่ามกลางสายหมอกเพื่อให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย ตอนแรกจุดไฟติดยากมากเพราะฟืนที่หามานั้นชื้นนนนน้ำค้าง แต่ก็ไม่มีอะไรยากเกินความสามารถลุงของเราหรอก 555+ จำไม่ได้ว่าเช้านี้ทำไรกินกัน
หมอกเยอะเกิน ไปทางไหนก็ขาวไปหมด ยังชมวิวไม่ได้ ก็นั่งเล่นไป ถ่ายรูปไปละกัน
เวลาจวบจะ8โมงแล้ว แต่หมอกก็ยังไม่มีวี่แววจะบางลง ยังเยอะเหมือนเดิม งั้นก้ออกไปถ่ายรูปกับหมอกละกัน
หน้าผานั่น ไม่ใช่หน้าผาหลอกลวงและสูงมากด้วย ใครกลัวความสูงไม่แนะนำให้ไปยืนถ่ายรูปจุดนี้นะ เพราะขาคุณอาจจะสั่นจนควบคุมขาตัวเองไม่ได้ แต่เราสายฮาร์ดคอร์ ไม่กลัวความสูง แต่กลับชอบความสูงและความเสียวและมันจะยิ่งสนุกมากกับการไปไหนเสี่ยงๆเมื่อคุณเจอเพื่อนร่วมทริปที่เป็นสายฮาร์ดคอร์ด้วยกัน เอาาาาจัดไปหลายๆรูปเลย
เธอเห็นหมอกนั่นไหม นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว เมื่อไหร่หมอกจะจางลงสักที อยากเห็นวิวทิวทัศน์แล้วนะเออ 555+
ตอนไปนั่งถ่ายรูปที่หน้าผานี้ก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันอันตราายไรนะ ชิลๆ แต่พอมานั่งดูรูปพวกนี้แล้วมันทำให้เกิดการจินตนาการต่างๆมากมายว่า เห้ยทำไมสูงจังวะ กล้าไปนั่งได้ไง ถ้าลื่นตกลงไปทำไง 5555+ ก็คิดไปได้นะ
หมกก็ยังคงหนาแน่นเช่นเคย พี่รอน้องหมอกจางอยู่นะ เห็นน้องหมอกจนเบื่อละ รีบๆจางได้แล้วววววววววววววววว
นั่งรอวนไป สุดท้ายหมอกก็เริ่มจางลง ทำให้มองเห็นวิวผืนป่าด้นล่างที่สวยงาม ธรรมชาติสร้างสรรค์สิ่งสวยงามจริงๆ
ประมาณ9โมงกว่าๆ หมอกก็หายไปหมดแล้ว ฟ้าเปิดเต็มที่แล้ว อยากถ่ายตรงไหน มุมไหน จัดเต็มที่เลยยยยยยยยย
พอถ่ายรูปหนำใจแล้วก็กลับมาเก็บข้าวของเตรียมตัวเดินทางกลับ ไม่ทันไรแดดแรงมาก ปรับสภาพแบบไม่ทันกันเลย
และนี่ครับเพื่อนร่วมทริปที่ได้พบเจอกันในทริปนี้ ตอนแรกก็เจอสาวๆกลุ่มนี้ก่อนออกเดินทางจากจุดเริ่มต้นแล้ว แต่ก็ไม่คิดว่าจะได้มาเจอและกางเต๊นท์อยู่โซนเดียวกัน ไปคนเดียวแต่ไม่โดดเดี่ยวจริงๆ แถมได้มิตรภาพใหม่ๆกลับมาอีก
มิตรภาพย่อมสวยงามเสมอ ยินที่ได้รู้จักทุกคน ขอบคุณที่ทำให้เราได้มาพบเจอกันระหว่างทริปนี้ ถึงแม้ว่าจะลืมชื่อบางคนไปแล้ว แต่ก็ไม่ยังจำหน้าตาได้ 555+ กับบางคนก็มีแลกFace, Insta, Line และยังคงติดต่อกันอยู่ ;)
ชื่อภาพ: ชิวิตเป็นของ ดังนั้น อิสระก็เป็นของเรา :)
และนี่ครับลุงนำทางของพวกเราสำหรับทริปนี้ ลุงช่วยแบกของด้วยนะ แต่ไม่ใช่ของผมนะ ของผมแบกเอง เพราะเห็นลุงแบกเยอะแล้วสงสารแก แต่แกก็ยังไหวและแข็งแรงมากๆ ยกนิ้วให้เล๊ยยยยยยยยยยยย
เซลฟี่ก่อนเดินทางกลับแป๊บบบบบบ อย่าโฟกัสที่ไม้เซลฟี่นะ นั่นมันขาตั้งกล้อง3ขา 5555+ ทำไปได้นะ
เดินเป็นระเบียบขนาดนี้ เหมือนสมัยเด็กๆเลย 555+
ได้เวลาเดินทางกลับแล้ววววว วันนี้ท้องฟ้าเปิดและแจ่มใสมากกกกกกกกก แต่แดดร้อนไปนิ๊ดดดดดดนะ
เดินมาเหนื่อยๆ ก็นั่งพักชมวิวไป เห็นวิวสวยๆแบบนี้แล้วหายเหนื่อยเลยทีเดียว อยากหยุดเวลาไว้ที่นี่จัง ภูบักได
สังเกตุทรงต้นไม้นี้ดีๆนะ จะเห็นได้ว่าเอียงไปทางขวา เห็นเขาเรียกว่า ต้นไม้ลู่ลม ไม่รู้จริงไหม ฮ่ะๆๆๆ แต่สวยนะ
เหมือนว่าอีกฟากของรูปนี้จะมีฝนตกด้วยนะ มันก็สวยไปอีกแบบ แต่อย่ามาตกที่นี่ ตอนนี้ล่ะ ไม่งั้นมีเปียกแน่ๆ
พอมาถึงจุดเดินเท้าก็รีบเอาของขึ้นรถอีแต๊ก แล้วกลับลงมาหมู่บ้าน แต่ๆนั่นอะไร ทำไมฟ้ามืด ครื้มฝนอย่างนั้น อย่านะเห้ย อย่ามาตกตอนนี้นะ สุดท้ายฝนก็ไม่ตกจนถึงหมู่บ้าน พอไปถึงหมู่บ้านก็เก็บของ ลุงนำทางก็ชวนให้ไปอาบน้ำที่บ้านแก เพราะที่บ้านกำนันเชิดคนอาบกันเยอะ จะบอกว่าน้ำเย็นมว๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ไม่ใช้น้ำอุ่นด้วยนะ ราดน้ำไม่กี่ทีก็พอละ หนาวววว 555+ พออาบน้ำเสร็จเท่านั้นแหละ ฝนเทลงมาจนได้ แต่ยังไม่มาก เลยออกไปหาข้าวกินระหว่างนั้นแหละ ฝนก็เทลงมาเยอะพอควร ซึ่งตอนนั้นพี่แท็กซี่ก็ขึ้นมารับผมแล้ว พี่เจกับพี่ติงก็ฝากกระเป๋าให้ไปฝากไว้ที่ขนส่งเลย แล้วเราก็ร่ำลากันตรงนั้น แล้วทริปนี้ก็จบเพียงเท่านี้ จบง่ายจังวะ 555+
ตั้งแต่ไปออกทริปนี้มา เริ่มชอบการเดินป่ามาก เพราะมันทำให้รู้สึกมีความสุขเมื่อได้อยู่ท่ามกลางป่าเขา ธรรมาติที่สวยงาม ถ้ามีโอกาสก็อยากไปเดินป่าอีก ปิดทริป :)
ล่ามติดเที่ยว
วันจันทร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561 เวลา 09.40 น.