“ปีใหม่นี้ไปไหนดีอ่ะ?”

พอใกล้ปีใหม่คำถามนี้ก็เริ่มลอยขึ้นมาตั้งแต่ต้นๆธันวา

มันต้องรีบคิด รีบจองตั๋วแล้วไง เป็นที่รู้ๆกัน ช่วงวันหยุดเทศกาล นอกจากตั๋วจะแพงมากกกแล้ว เผลอๆ มันจะไม่มีตั๋วให้ไปเอา

ลูกไผ่: “ไปปายมั้ยคะพี่ปุ่น พี่ปุ่นยังไม่เคยไปเลยนี่นา ไผ่ชอบๆ”

พี่ปุ่น: “อื้ม น่าสนใจ”

………………………………………..

พี่ณดา: “ปีใหม่นี้ไปอ่างขางกันมั้ย พี่อยาก backpack นอนเต๊นท์”

อ่า...ขอแนะนำให้รู้จัก ‘พี่ณดา’ ผู้ร่วมทริป backpack ตะลุยสังขละ ทริปในตำนานของเรา (ไว้เราจะมาเล่าทริปนี้ให้ฟัง)

ตั้งแต่ทริปนั้น เราก็หาเรื่องเที่ยวกันตลอด ละดูพี่ณดาจะติดอกติดใจทริป backpack เหลือเกิน

อ่างข่าง?............นอนเต๊นท์?......ช่วงเทศกาล?

ม่ายเอาอ่ะ คนต้องมหาศาลแน่นอน

“ไปไหนดีอ่ะ?”

เราเริ่มถามคำถามนี้กันทุกวัน จนวันนึงมันเริ่มจวนตัวจริงๆละ กลับบ้านต่างคนต่างเปิดคอม

นั่งเปิดเวปสายการบิน นั่งไล่เลยว่าเราไปไหนได้บ้าง

พี่ปุ่น: “เวียดนามมั้ย”

ลูกไผ่: “พี่ปุ่นเคยไป ‘ซาปา’ มาแล้วนี่คะ”

พี่ปุ่น: “ไปฮอยอันกัน เราว่ามันน่าไปอยู่นะ”

ลูกไผ่: “โอเค ปะ ไป! จองเลย!



ละนึกขึ้นได้ว่า พี่ณดาก็มาชวนเที่ยวปีใหม่อยู่นี่นา เออ! ชวนไปเวียดนามด้วยกันเนี่ยแหละ

นึกได้ก็ line ไปหาตอนห้าทุ่ม

ลูกไผ่: “พี่ณดา ไปเวียดนามกัน ไปฮอยอันค่า ไปป่าว”

พี่ณดา: ไป!

นั่น! บ้าจี้พอกัน สรุปปีใหม่ที่ผ่านมา เราก็เลยไป ‘ฮอยอัน’ กัน

จองสิค้า รออะไร เราไป 25-29 ธันวา เลือกไปช่วงก่อนปีใหม่ เอาแบบว่ากลับมาทัน countdown กับที่บ้าน

- ค่าตั๋วเครื่องบินสายการบิน Jet Airway ไป-กลับ กรุงเทพ – โฮจิมินห์ คนละ 4,000 บาท

- ค่าตั๋วเครื่องบินสายการบิน Viet Jet ไป-กลับ โฮจิมินห์ – ดานัง คนละ 2,300 บาท

ฮอยอัน เป็นเมืองที่อยู่ภาคกลาง ไม่มีบินตรงไปลง (มีลงแค่ที่ โฮจิมินห์ กับ ฮานอย) เราเลยเลือกบินลงที่โฮจิมินห์ แล้วไปต่อสายการบินภายในอีกที

จริงนอกจากการเดินทางด้วยเครื่องบินภายในประเทศแล้ว ยังเดินทางด้วย รถเมล์ และรถไฟ ได้ด้วย แต่เราค้นข้อมูลดูแล้ว 2 อย่างนี้ใช้เวลาเดินทาง เกือบ 20 ชั่วโมง คือแบบหลับไปไม่รู้กี่ตื่นกว่าจะถึง แถมค่าเดินทางพอๆกับนั่งเครื่องบินที่ใช้เวลาบินประมาณชั่วโมงเดียว เอ่อม...เวลาเรามีน้อย พี่ขอนั่งเครื่องเลยละกันนะ

หลังจากจองตั๋วเครื่องบินเราก็ทยอยจองโรงแรมไว้

- คืนแรกลงเครื่องดึก นอนค้างที่ดานัง 1 คืน คืนละ 660 บาท

- แล้วย้ายมานอนที่ฮอยอัน 2 คืน คืนละ 750 บาท

- คืนสุดท้ายมาค้างที่ โฮจิมินห์ ก่อนบินกลับกรุงเทพ คืนละ 1,500 บาท

สรุป 5 วัน 4 คืน เราเสียค่าที่พักคนละ 970 บาท

ส่วนที่เที่ยว ที่กินไปตายเอาดาบหน้า (เหมือนเดิม 555)

ปะ พร้อมละ คืนคริสมาสต์ เดินทางกัน!



Day 1:

เรานัดเจอกันที่สุวรรณภูมิ กะว่า check-in เสร็จ แล้วพี่ปุ่นบอกว่าจะพาลงไปทาน Food court ของสุวรรณภูมิที่ชั้นล่าง เราก็เพิ่งรู้จากพี่ปุ่นเนี่ยแหละว่าสุวรรณภูมิมี food court แถมราคาถูกมากอยู่ด้วย นี่แบบโง่ทานอิที่แพงๆข้างบนมาตั้งนาน พอรู้นี่ก็แบบว่าหมายหมั่นปั้นมือจะไปทานสุดฤทธิ์

เรา check-in เรียบร้อย

พี่ปุ่น check-in เรียบร้อย

แล้วเรื่องตื่นเต้นก็มาตั้งแต่ยังไม่ทันออกจากประเทศ

พี่ณดาชื่อที่จองไม่ตรงกับ Passport!



เรื่องของเรื่องคือพี่ณดาแกเปลี่ยนชื่อ ตอนจองตั๋ว แกก็ให้ชื่อใหม่เรามาจอง แต่แกยังไม่ได้เปลี่ยนชื่อใน Passport

เอาแล้วไง นี่ก็ยืนพยายามหาทางแก้กันหน้า counter อยู่พักใหญ่ ขอจ่ายเงินเพิ่มเพื่อเปลี่ยนชื่อก็ไม่ได้

เอาแล้วไง พี่ณดา ก็ตั้งใจ เตรียมตัวจะไปเที่ยวเต็มที่แล้วไง หน้าหงอยเลย เค้าก็เริ่มถอดใจละ

“ก็ไม่เป็นไร พวกแกก็ไปกันเลย อย่างมากพี่ก็เรียก taxi กลับบ้าน”

คือ เข้าใจอารมณ์คนบิ้วตัวเอง เตรียมมาเที่ยวเต็มที่ป่ะ ละมา เฮ้ยยย จะไม่ได้ไป ตอน last minute อ่ะ มันเฟลมากนะแก๊!!!

รอเรื่องกันอยู่นานมาก ผลสรุป ทางแก้ที่ยังพอทำได้มีทางเดียว คือ

พี่ณดาต้องทิ้งตั๋ว แล้วซื้อตั๋วใหม่ทั้งหมด ไม่ใช่แค่นั้นนะ พี่ณดาต้องวิ่งให้ทัน เพราะ counter จะปิดแล้ว ต้องรีบวิ่งไปซื้อตั๋วให้ทัน ไม่งั้น จบ! เตรียมเรียก taxi กลับบ้านเลยจ้า

ระหว่างที่พี่ณดาวิ่งซื้อตั๋ว อิ 2 ตัวนี่ก็วิ่งไปแลกเงินสิค้า คือแบบ ชิลไง ไม่ได้แลกมาก่อน กะว่าเหลือเวลาเหลือเฟือ ค่อยมาแลกที่สนามบิน สรุปคือเป็นวันที่วิ่งวุ่นเป็นหนูติดจั่นที่สนามบินมาก ไม่ต้องพูดถึง food court สุวรรณภูมินะ แซนวิชยังไม่มีเวลาไปซื้อกันเลย

พอแลกเงินเสร็จวิ่งขึ้นมาหาพี่ณดา สรุปว่าได้ไฟลท์แล้ว แต่บินตามเราไป เฮ้อออ โอเค หาทางไปได้แล้ว เราก็มองนาฬิกา

ชิท! นี่มันเวลา boarding ของเรากับพี่ปุ่นนี่หว่า! เขี๊ยะ! ตอนนี้ไม่ใช่พี่ณดาแล้วที่จะตกเครื่อง แต่เป็นกรูทั้งสองเนี่ยแหละ

วิ่งสิค้า รออะไร!



ในที่สุดเราก็เข้ามาอยู่ใน gate แล้วนั่งอยู่บนเครื่องโดยสวัสดิภาพ เฮ้อออ...ขาทั้งสองข้างที่พาเราวิ่งมาทันเวลา ( - -“)

นี่เป็นครั้งแรกที่เราเดินทางโดย Jet Airway ละก็เพิ่งรู้ว่าเป็นสายการบินแขก

การบริการดีมาก มีอาหารบนเครื่อง หน้าตาแปลกดี อร่อยรึเปล่าไม่รู้ จุดนั้นหิวมาก ฟาดเรียบ

ฟ้าบนเครื่องวันนี้สวยมาก…………



ไม่นานเราก็มาถึงสนามาบินนานาชาติโฮจิมินห์ ลงเครื่องมาเราก็เงอะๆ งะๆ ต้องไปทางไหนอะไรยังไงต่อ เห็นชาวต่างชาติเค้าเดินไปเข้าแถวเอา immigration form เราก็เดินตามเค้าไป อ้าว แล้วฟอร์มเอาตรงไหนหว่า เลยเดินไปถามเจ้าหน้าที่ เค้าเลยบอกมาว่า “คนไทยไม่ต้องกรอก ไปต่อแถวที่ ตม ได้เลย” อ่อ....อย่างนี้นี่เอง

ระหว่างรอตรวจ ตม พี่ปุ่นก็ snap เก็บรูป ซักพัก มีคนไทยที่ต่อแถวอยู่อีกแถวแอบกระซิบบอกว่า “ในนี้เค้าห้ามถ่ายรูปนะครับ” น่านนน โชว์ความ Thailand Only เลยเรา

ผ่าน ตม แล้วไปเอากระเป๋า เรียบร้อย ก็งมทางกันต่อไป ประเด็นคือเราก็ล่กกันด้วย เพราะเราต้องรีบไปต่อเครื่อง domestic เพื่อบินไปดานังต่อ สายการบิน International กับ Domestic ของที่นี่จะอยู่คนละตึกกัน แต่ก็เดินลากกระเป๋าไปได้ ไม่ไกลมาก

พอเข้าไปถึงส่วนของ Domestic เท่านั้นแหละ โอ้ แม่เจ้า...นี่มันหมอชิตบ้านเราหรือเปล๊า......สาบานได้ว่านี่สนามบิน คนเยอะมาก ตัวอาคาร counter การจัดการ เหมือนหมอชิตบ้านเราเลยค้า

พอดูจากแถวคนที่ยาวคดเคี้ยวเป็นงูแล้ว เรากับพี่ปุ่นก็เริ่มกลัวแล้วว่า เราจะ check-in ทันเหรอว้า

“เราเลยตัดสินใจเดินไปถามเจ้าหน้าที่ว่า เราบินไฟลท์นี้ แต่แถวยาวมาก เราจะทำยังไงได้บ้าง”

เค้าก็บอกว่า ให้เข้าแถวไป ถ้าใกล้เวลาเรียกขึ้นเครื่อง เดี๋ยวจะมีคนชูป้ายเรียกเอง บร๊ะ นี่มันวิถี local จริงๆ

เห็นสภาพแล้ว เราก็คุยกันว่า “เรายังดีนะมากัน 2 คน แล้วพี่ณดาจะเป็นไงมั่งเนี่ย” 555

ในที่สุดเราก็หลุดเข้ามาหน้า Gate จนได้ วันนี้คนเดินทางเยอะจริงๆ เราก็ลืมไปว่านี่มันคืนวันนคริสมาสต์ ใกล้จะปีใหม่นี่นา ใครๆเค้าก็เดินทางกลับบ้านกันทั้งนั้นนี่เนอะ

เราเดินมาหาของทานรองท้องข้างในสนามบิน ดูเหมือนของในสนามบินนี่จะแพงกว่าที่บ้านเรานะ เราได้แซนวิชกับ Pepsi มา

กระป๋อง Pepsi เวียดนาม หน้าตาสวยดี แต่ราคาไม่ค่อยสวยตามนะ กระป๋องนี้ราคา 20,000 ดอง (36 บาท)



ปรากฎว่าความพยายามที่เรารีบทั้งหมดทั้งปวง เพราะกลัวมาต่อเครื่องไม่ทันน๊านนนน....เครื่องดีเลย์ชั่วโมงกว่าค่า! ละไม่มีการบินว่าจะดีเลย์ด้วยนะ คือแบบบินตามใจฉัน เครื่องมาเมื่อไหร่ก็ออกเมื่อนั้นแหละคู้ณณณณ สวัสดีที่นี่เวียดนาม.....



ในที่สุดเราก็มาถึง ‘ดานัง’ ตอนประมาณ 5 ทุ่ม เราใช้บริการ taxi นั่งจากสนามบินมาที่โรงแรม พอเราเอาของขึ้นไปเก็บในที่พักโรงแรมแรกของเรา ‘โรงแรมบัค เกียง’ เรียบร้อยแล้ว เราก็เดินลงมาข้างล่าง กะหา 7-11 เพื่อซื้อของใช้ ปรากฎว่า มืด เงียบ ทุกตึก ทุกบ้านปิดไฟหมด อย่าว่าแต่ 7-11 เลยจ้า จุดนี้ minimart ซักที่ก็ยังหาไม่เจอ เราก็เลยสุ่มเดินตามถนนข้ามแยกกันไปเรื่อยๆ อากาศดีมาก ถนนโล่ง ละเราก็เจอ ทะเล!

เฮ้ยยย มีทะเลอยู่ใกล้ๆโรงแรมเราแค่นี้เอง แถวข้างทางตรงหาดก็มีรถเข็นของกินด้วย เรากับพี่ปุ่นไม่รอช้า เดินพุ่งเข้าไปเลยจ้า

ที่นี่มีของกิน กับตั้งโต๊ะขายริมหาดก็จริง แต่ไม่เหมือนบางแสน หรือพัทยาบ้านเรานะ คนที่มากินส่วนใหญ่เป็นวัยรุ่นก็จริง แต่ไม่เสียงดัง โหวกแหวก ริมหาดก็สะอาด ละอีกอย่าง ท้องฟ้าที่ดานังสว่างมาก ถึงจะไม่มีแสงไฟ ก็เห็นวิวรอบข้างได้สบายๆ ไม่มืดเลย



เราเลือกเดินไปสั่งของกินที่รถเข็นนึง ก็ใช้ภาษามือ กับชี้ๆไปที่วัตถุดิบกันไป 555 เพราะว่าในเมนูเป็นภาษาเวียดนาม ถึงจะมีภาษาอังกฤษด้วย เราก็ไม่รู้หรอกว่าไอเมนูที่ว่านั่นหน้าตาเป็นไง สรุปเราก็ได้อาหารมาตามที่เห็นในรูป

มีต้มหอยลาย (คิดว่าคือหอยลายนะ) ที่มีน้ำซุปอร่อยมากกก มีความเผ็ดร้อนนิดๆ เมนูนี้อร่อยเลย แต่พอทานไปเรื่อยถึงตรงก้น จะเห็นว่าน้ำเริ่มดำๆ ประมาณว่าเศษดินจากหอยแหละ 555 แต่ทานได้ไม่ตายหรอก เราลองมาแล้ว

ละก็มีข้าวโพดเหมือนผัดกับเนย ใส่กระเทียม ก็รสชาติแปลกๆดี นอกจากนั้นก็เป็นลูกชิ้นทอดทั่วไปเหมือนบ้านเรา

เป็นมื้อที่ชิล ลมโชยริมทะเล อิ่มและอร่อยมากกก ไม่รู้ว่าพวกเราหิวหรืออะไร 555

ทานเกือบเสร็จพี่ณดาก็โทรเข้า line มาพอดี อ้อ ลืมบอก ตอนลงเครื่องจากสนามบิน เราแวะซื้อซิมชั่วคราวของที่นี่ไว้ เล่นเน็ต 3G ได้ และโทรออกได้นิดหน่อย แต่ทั้งทริปก็ไม่ค่อยได้โทรกันหรอก

เราเดินกลับมายืนรอพี่ณดาที่หน้าโรงแรม แล้วเดินขึ้นไปสลบเลยจ้า



Day 2:

เราตื่นมาอาบน้ำ แต่งตัว เก็บของกันเสร็จ ก็ลงมา check-out แล้วฝากกระเป๋าไว้ที่ counter กะว่าจะเดินไปถ่ายรูปกันที่ทะเล แล้วก็หาอะไรทานกันก่อนที่จะเดินทางไป ‘ฮอยอัน’ กันต่อ



ท้องฟ้าที่ ดานัง สว่างจริงๆ นี่เกือบ 11 โมงแล้วยังไม่มีแดดเลย อากาศดีมากๆ ระหว่างทางเราเจอตู้ขายขนมปัง Baguette ที่มีอยู่ทุกๆ 1 เมตร ถี่ยิ่งกว่า 7-11 บ้านเราอีก (ซึ่งเรายังคงไม่เจอ 7-11 ที่นี่เลย)

พี่ปุ่นกับพี่ณดา ก็เลยเสร็จ Baguette ไปคนละ 1 ชิ้น อร่อยดีนะ (ชั้นแย่งพี่ปุ่นกินแงะ!) รสชาติคล้ายๆขนมปังเวียดนามที่ขายอยู่ในร้านอาหารเวียดนามบ้านเราแหละ



ถ่ายรูปกันเสร็จ ก็เดินไปหาของกินกัน แถวนั้นมีร้านอาหารทะเลเต็มไปหมด



“ร้านนี้มั้ย คนเยอะดี ท่าจะอร่อย”

“นั่นสิ มีของทะเลสดหน้าร้านเต็มเลยด้วย น่าจะมีอะไรให้ทานหลายอย่าง”

พอเข้าไปนั่งป๊าป ร้านนี้ไม่มีเมนูจ้า บวกกับพนักงานก็คุยกับเราไม่รู้เรื่อง ร้านนี้เหมือนกับว่าต้องเลือกของทะเลแล้วบอกร้านว่าจะทานเอะไร ลำบากละ เรา 3 คนมองหน้ากัน

“ปะ ลุกกันเถอะ เปลี่ยนร้านๆ” 5555

สุดท้ายมาได้ร้านอาหารทะเลตรงหัวมุมอีกร้าน ร้านนี้ดีหน่อย มีเมนูให้เราเลือกจิ้มๆได้

เราเลยจิ้ม

ข้าวผัดปู



ผัดเนื้อ



ละก็ปลา (อะไรซักอย่าง) ต้มน้ำปลา เมนูนี้ พนักงานเค้าไปช้อนกันสดๆ หน้าร้านแล้วเอามาให้เราดูว่า “ตัวนี้นะ?”



มื้อนี้ อย่าเรียกว่าอิ่ม เรียกว่าจุกกันเลยดีกว่า นี่ขนาดจุกนะ ระหว่างนั่งทาน ก็จะมีรถมอไซค์เอาผลไม้มาเสนอขายเราเป็นระยะๆ คันแล้วคันแล้ว จนสุดท้าย

“อุ่ย พี่เอาทุเรียนดีกว่า”

พี่ณดาซื้อทุเรียนอีกจ้า โอเค เอาเลยค่ะ เอาให้เต็มท้อง 555

ทานเสร็จเราแวะ minimart ที่หาโคตรยากกกที่นี่ เพื่อซื้อของใช้ ดูป้ายที่หน้าร้าน คือเค้าปิดตั้งแต่ 4 ทุ่มไง ถามว่ามาถึง 5 ทุ่มเมื่อคืน แกจะเจออาร๊าย!!!!!

แล้วเราก็มาเอากระเป๋าแล้วให้โรงแรมช่วยเรียก Taxi ไปฮอยอัน ให้

จากที่นี่ไปฮออยอัน ไม่ไกลกันมากนัก แต่ด้วยพี่ Taxi ขับแบบ ทิง นอง นอย มาก เข้าใจว่าแกคงอยากให้เราได้ดูวิวทิวทัศน์ข้างทาง เลยใช้เวลาประมาณชั่วโมงกว่าๆ กว่าจะถึงฮอยอัน

ค่า Taxi ถ้าเราจำไม่ผิด ประมาณ 1,000 บาท หาร 3 คนแล้วก็ถือว่าโอเคอยู่

และแล้วก็มาถึง ‘โรงแรม ฐานบิน’ โรงแรมที่ 2 ของเรา ด้วยราคาตอนแรกเราก็กังวลนิดๆว่าจะดีรึเปล่า แต่ เฮ้ย มันดีเลย เป็นโรงแรมตึกแถวเล็กๆ สไตล์จะออกจีนๆ หน่อย ห้องพักของเราอยู่ชั้น 1 โรงแรมอยู่ตรงเมืองเก่าเลย เดินได้ สะดวกเลย เราเก็บของกันเสร็จ พักแพพ แล้วก็ออกมาเดินเล่นในเมืองเก่ากัน



ฮอยอันเรียกได้ว่าเป็นเมืองเก่า ที่เป็นเมืองถนนคนเดินเลยจริงๆ ส่วนของเมืองเก่า เราจะเจอแค่จักรยานกันมอเตอร์ไซค์ และคนเดินเต๊มมมมมไปหมด ชาวต่างชาตินี่ไม่ต้องพูดถึงเพียบ!

อากาศช่วงที่เราไปนับได้ว่าดีมาก ประมาณ 24 องศาได้ ไม่มีแดดเลย เดินกันสบายๆเลย

เดินไป 5 ก้าว หยุดถ่ายรูป

เดินต่ออีก 3 ก้าว หยุดถ่ายรูป

เดินอีก 2 ก้าว หยุดถ่ายรูป

คือไม่พ้นหน้าโรงแรมซักที จนพี่ปุ่นบอกว่า

“เอ่อ...เดินกันก่อนมั้ย จะมืดแล้ว มีที่ให้ถ่ายอีกเยอะ”

5555



เดินกันไปซักพัก ยังไม่ทันพ้นรัศมีโรงแรมเลย ก็มีป้าหาบผลไม้ยิ้มแป้น เดินพุ่งตรงมาหาเราจากอีกฝากถนน

“Take photo Take photo No money”

แล้วแกก็เอาที่หาบมาวางพาดบนบ่าเรา ถอดงอบแกมาใส่หัวเรา แล้วยิ้มเฉ่ง

“Take photo Take photo”

เราก็แบบ เฮ้ยยย ที่นี่เค้า friendly อ่ะ นี่มันเมืองมิตรแท้นักท่องเที่ยวนี่!



พอถ่ายรูปกันเสร็จ คืนหาบ คืนงอบแกเท่านั้นแหละ

แกหยิบผลไม้ยัดใส่ถุง ยัดใส่มือเรา เก็บตังค์ทันทีจ้า

มาถึงจุดนี้ละ รูปก็ถ่ายไปละ ทำอะไรไม่ได้แล้วนี่ เราก็เลยบอก “เอาแค่นี้พอ ถือแค่ถุงส้มถุงเดียว แล้วก็คืนอย่างอื่นหมด

ส้ม 3 ลูก 70,000 ดองจ้า (127 บาท) คือแบบ ป้าไปเก็บมาจากป่าหิมพานเหรอค้า!

นี่คือแบบบวกค่า Pro Fee ที่เราถ่ายรูปไปแล้วสินะ ทำอะไรไม่ได้ ก็จำใจต้องจ่ายไป

นั่นไง วันแรกที่ฮอยอัน ชื่อเสียงที่เคยอ่านๆมาในเน็ตของเวียดนามก็แพลงฤทธิ์ซะแล้ว

ส้มที่จำใจซื้อมา ไม่ได้อยากทานเลยนะ แต่พี่ณดานี่แกะเคี้ยวยุบยับๆ ตลอดทางเลย 555

ลูกไผ่: “อร่อยมั้ยคะพี่ณดา”

พี่ณดา: (เคี้ยวตุ้ยๆเต็มป้า ตอบหน้านิ่งๆ) “ก็ดีนะ แต่จืดไปหน่อยอ่ะ”

เป็นมนุษย์ที่ทานได้ตลอดเวลาจริงๆ 555



เดินกันต่อไปเรื่อยๆ ฮอยอัน เป็นเมืองน่ารัก ทุกมุมในเมืองถ่ายรูปได้หมด แทบทุกซอก ทุกมุมของเมือง เป็นร้านนั่งเก๋ๆ

สถาปัตกรรมและการตกแต่งของที่นี่จะออกแนวจีนๆ หน่อย เน้นสีเหลืองซะเป็นส่วนใหญ่



เราเดินกันไปจนสุดถนนจะเจอแม่น้ำ ที่มีสะพานพาดข้ามให้ไปอีกฝั่ง ซึ่งทางโรงแรมบอกว่าเป็นถนนคนเดิน

“ไปทางไหนกันต่อดีอ่ะ”



“ซ้ายละกัน”

เรายังไม่ข้ามสะพานไป แต่เดินต่อไปทางซ้ายเรื่อยๆ

ตอนนั้นเป็นช่วงเย็นๆ แล้ว เริ่มมีร้านมาตั้งริมทาง ร้านค้าต่างๆบางร้านเริ่มเปิดไฟละ



มีขนมหน้าตาแปลกๆ บนรถเข็นขายข้างทาง

ลูกไผ่: “อึ๊ย นี่อะไรอ่ะ น่าลองเนอะ”

“ไผ่ลองๆ เอาชิ้นนึงมาทานด้วยกัน”

พี่ณดา: “พี่เอาด้วยๆ”



- ขนมชิ้นละ 20,000 ดอง (36 บาท)

จริงๆมันคือ ปูชุบแป้งทอด, กล้วยชุบแป้งทอด (อันนี้หวานๆ อร่อยๆ ไผ่ชอบ) ทานร้อนๆ อร่อยเลย



พอดึกๆ หน่อย เราเลยลองเดินข้ามไปดูอีกฝากนึง ที่เค้าบอกว่าเป็นถนนคนเดิน

ถนนคนเดินที่นี่ จะเห็นขายโคมไฟซะส่วนใหญ่ มีหลายร้านเลยตรงหน้าทางเข้าถนน นอกนั้นก็จะเป็นพวกของที่ระลึกเอาไว้ขายชาวต่างชาติ

เราเดินๆไป ได้ยินเหมือนมีเสียงงานคอนเสิร์ตดังมากอยู่ปลายถนน ยังคิดอยู่เลย

เฮ้ยยย นี่เรามาประจวบได้ดูคอนเสิร์ตเวียดนามด้วย!

พอเดินเข้าไปถึงหน้างาน

เปล่า!

งานแต่งงานเฟ้ย!

เฮ้ยยย จัดกันในถนนคนเดินงี้เลย แถมตอนนี้เจ้าบ่าวกำลังร้องเพลงอย่างเมามันส์อยู่บนเวที เสมือนว่าเป็นพี่ตูน บอดี้แสลม

พี่คงกะใช้งานแต่ง เป็นงานเปิดตัวพี่ใช่มั้ย พูด!

เยื้องๆกับงานแต่งงาน หันไปเจอ ร้านเฝอ ข้างทางพอดี local มากๆ นั่นแหละความหิวก็มา นั่งสิคะ รออะไร

เฮ้ยยย มันอร่อยเหอะ ราคาก็ไม่แพงด้วย

เสียดาย พี่ณดาได้แต่นั่งมองตาปริบๆ เพราะมันเป็น เฝอเนื้อ พี่ณดามิทานเนื้อค่า

แต่ไม่ต้องห่วงพี่ณดาไปนะเคอะ เดี่ยวแกก็หาอะไรทานได้สุดทางอ่ะค่ะ



จริงๆ เราว่าถนนคนเดินฝั่งนี้ไม่ค่อยมีอะไรนะ ฝั่งที่เราอยู่ยังมีอะไรให้เดินมากกว่าอีก เราเดินชิวริมน้ำกันซักพัก ก็เดินข้ามกลับกัน



ตรงกลางแม่น้ำตรงนี้ จะมีเรือที่มีกระทงใส่ประทีปวางอยู่คอยเรียกลูกค้าให้ไปนั่งล่องเรือถ่ายรูปกันเต็มไปหมด แม้แต่ข้างทางก็มีกระทงประทีปพวกนี้วางขาย มองตอนกลางคืนนี่สวยเลย



อ่า อีกอย่าง ฮอยอัน เป็นอีกเมืองที่คนฮิต มาถ่าย Pre Wedding กัน ดูดิ ดึกแล้วก็ยังถ่ายกันอยู่เลย



พอข้ามกลับมา ตอนนี้เราจะเห็นร้านขายเหมือนพวกปอเปี๊ยะ กับไก่ย่างเสียบไม้ตั้งวางขายริมแม่น้ำ มีโต๊ะให้คนมานั่งทานเต็มขอบฝั่งเลย น่าทานทุกร้าน มาถึงแล้วก็ต้องลองให้มันครบๆ พุงจะแตกก็อย่าไปกลัว!



ทานเสร็จ ก็เดินเล่นกันต่อ ระหว่างทางไปเจอร้านขายขนมหวาน อารมณ์มีถังไม้วางอยู่กับพื้นข้างทาง เหมือนเฉาก๊วยบ้านเราอ่ะ ก็เลยไปลองนั่งดู เค้ามีขนมหลักๆ ที่ขายเหมือนๆกันทุกร้านอยุ่ 2 อย่าง อันนึงจะเป็นสีดำสนิท รถชาติมันเหมือนเป็นงาดำบดหวานๆ กับอีกอันนึงเป็นสีขาวใส่น้ำเชื่อม เอาจริงๆ เหมือนเต้าฮวยบ้านเรา

- ขนมราคาถ้วยละ 18,000 ดอง (32 บาท)



“เดินเยอะละ เราไปหาร้านกาแฟนั่งกันแมะ นั่งกันชิลๆก่อนแล้วค่อยเข้าโรงแรม”

ละก็มาหยุดที่ร้านกาแฟหน้าตาดูดี ‘Hoi An Roastery’ ร้านดูดีจริง ของในร้านดีจริง แต่!

พนักงานแย่มากค่า! คือ...เข้าใจว่าที่นี่เวียดนาม ไมใช่สยามเมืองยิ้ม จะไม่เจอคนหน้าตายิ้มแย้มอยู่ตลอดเวลาก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เฮ้ย แต่นี่พูดจาแย่อ่ะ คือ เราสั่งไปแล้วว่าเราจะเอาอะไร แต่พนักงานหน้าบูดถามกระโชกใส่เราประมาณ “แล้ว you อ่ะ เอาไร” คือ

1. คุณไม่สนใจสิ่งที่แขก order ไปแล้ว

2. คุณยังมาชักสีหน้าใส่ประมาณ เมื่อไหร่จะสั่งซักที แล้วถามกระโชก อย่างงี้

เราจะไม่พูดถึงคำว่า ‘Service mind’ น่ะมีมั้ย เพราะดูแล้ว พนักงานคนนี้คงไม่เคยได้ยินคำนี้เลยมาทั้งชีวิต

ร้านไหนดีเราก็บอกดี ร้านไหนไม่โอเค ก็คือไม่โอเค

นั่งชิลกันถึง 4 ทุ่ม เราก็กลับโรงแรมกัน คือ Reception ที่โรงแรมนี่ปูนที่นอนหน้า counter กันเรียบร้อยแล้วนะจ๊ะ ตอนเรากลับมาเนี่ย ที่นี่ 4 ทุ่ม ทุกอย่างก็เงียบสงบแล้ว ทุกคนแยกย้ายกันเข้าที่พักนอนค่า!



Day 3:

เราตะเกียกตะกายตื่นแต่เช้าจากเตียง แปรงฟัน แล้วเดินออกมาเลยทั้งสภาพอย่างนั้น เพื่อไปทานอาหารเช้ากัน

ตอนแรกที่พวกเรามาเช้าพัก เราก็ยังสงสัยกันอยู่ว่าโรงแรมนี้เค้าจัด breakfast กันตรงไหน เพราะเล็งแล้วเล็งอีก ก็ดูไม่น่าจะมีห้องอาหาร มาถึงบางอ้อ ตอนที่ reception บอกว่า ต้องเดินไปทานที่ ‘โรงแรมฐานบิน3’ นะฮ้า

อ้อออ...เพิ่งรู้ตอนนี้นี่เองว่า โรงแรมฐานบินมีทั้งหมดตั้ง 3 สาขาแน่ะ ที่ที่เราอยู่เป็น ฐานบิน1

ก็เดินต๊อกๆ ข้ามถนนในตัวเมืองฮอยอันในสภาพชุดนอน ใส่แว่น หัวกระเซิง เดินไปทาน breakfast 555

คือ...สภาพตอนนั้นเรียกว่ากากมาก คนที่ปั่นจักรยาน ขี่มอเตอร์ไซค์ เค้าคงประมาณ ‘3 ตัวนี่คือไร นี่พวกแกเพิ่งตื่นกันเหรอ ชั้นตื่นมาทำงานได้ไปตั้งหลายอย่างแล้ว’

โรงแรมฐานบิน 3 ใหญ่กว่าของเรามาก มีสระว่ายน้ำด้วย! เอาน่า แลกมากับความใกล้ถนนคนเดินในเมืองเก่าอ่ะนะ พูดอย่างกะมีสระแล้วจะลงว่ายงั้นแหละ - -“

ทานเสร็จก็เดินกลับโรงแรมมาอาบน้ำแต่งตัว เตรียมเดินเล่นกันต่อ



อากาศที่ ฮอยอัน แปลกมาก ตอนเช้าแดดจะเปรี้ยงมาก แต่พอหลังเที่ยงไปไม่มีแดดเหลือให้เห็นเลย ละอากาศจะเย็นสบายมาก วันนี้เราตั้งใจจะเดินเก็บตรอก ซอกซอยที่เราไม่ได้เดินเมื่อวาน ซอยเล็ก ซอยน้อย เดินมันให้หมด



พอกลางวัน เราข้ามแม่น้ำ ลองไปหาร้านอาหารฝั่งถนนคนเดินเมื่อคืนทานดู



พอเป็นตอนกลางวัน ฝั่งนี้เงียบมากกก เราลองจิ้มเลือกเข้าไปซักร้าน ข้าวกลางวันวันนี้เราทาน basic มาก

มีข้าวผัดรวมมิตร



ผัดทะเลรวมมิตร



ปลา (อะไรซักอย่าง) ราดซอส



ละก็

ทะแดนนนน!!!! ต้มหอย เหมือนตอนที่เราทานข้างหาดที่ดานังเลย! แต่สะอาดกว่า 555



ทานเสร็จ เราข้ามฝากกลับมานั่งชิลรอเวลา ระหว่างทางเจอจักรยานขายของทานเล็ก คนมุงกันเต็มเลย แต่ตอนนั้นเราพุงจิแตกแล้ว เลยไม่ได้ลองซื้อชิมเลย



เย็นนี้เราจะปั่นจักรยานออกนอกเมือง ไปทะเลกัน!

เรานั่งฆ่าเวลาที่ร้านกาแฟร้านนึง ร้านที่จะคล้ายกันอยู่อย่างคือ หน้าร้านจะมีหลังคาปิดมิด แต่พอเข้าไปข้างใน ตรงกลางตัวร้านจะเป็นที่เปิดโล่ง มันดีตรงที่ที่นี่ไม่มีแดด ถึงไม่มีหลังคาก็นั่งชิลกันเย็นสบายเลย



ซักบ่าย 3 เกือบ 4 โมง อ่ะ ได้เวลาไปปั่นจักรยานกันละ เราเดินไปเช่าจักรยานที่ตรงหัวมุมข้างๆโรงแรมเรา

- ค่าเช่าจักรยาน 20,000 ดอง (36 บาท) แต่ต้องเอามาคืนตอน 1 ทุ่มนะ

พี่ณดานี่ชิลเลย ปกติปั่นอยู่แถวบ้านบ่อยๆ สกิลการปั่น มิต้องพูดถึง

ส่วนเราเหรอ มีพี่ปุ่นนี่ค้า จะปั่นเองทำไม 5555



พอปั่นออกมานอกตัวเมืองแล้ว อากาศดียิ่งขึ้นไปอีก ชิลมาก วิวข้างทางก็เป็นทุ่ง ธรรมชาติสุดๆ



พี่ปุ่น: “เอ้ย ทุ่มตรงนั้นสวยอ่ะ น่าถ่ายรูป”

ลูกไผ่: “เดี๋ยวเรามาแวะตอนขากลับมั้ยคะ”

พี่ปุ่น: “เรากลัวแสงมันจะหมดก่อนน่ะสิ”

อ่ะ โอเค กลับรถค่า ปั่นเข้ามาตรงกลางทุ่ง แหมะ แดดริมไลท์กำลังสวยเลย ยืนถ่ายรูปกันตรงทุ่งนี่เป็นชั่วโมงค่า ได้มาเป็น 100 รูปมั้งน่ะ



เฮ้ยยย แต่มันสวยจริง ฮอยอันมานี่ครบมาก มีเมืองน่ารักๆ มีทุ่งนา ละยังมีทะเลอีก



เราปั่นกันต่อไปเรื่อยๆ ไม่ถึงซักทีแฮะ ดูจากในแผนที่มันไม่น่าไกลขนาดนี้นี่ เริ่มไม่แน่ใจกันละว่ามันมีทะเลจริงป่าวว้า

แต่เราก็เชื่อในพี่ google จนในที่สุด เฮ้ยยย มีทะเลจริงๆด้วย!

ลมทะเลนี่แรงมว๊ากกก ตัวแทบปลิว



บนหาดจะมีของบางอย่างลักษณะคล้ายๆไม้สานเป็นทรงถ้วยขนาดใหญ่วางอยู่หลายอันเลย

อันนี้มันคือเรือที่ชาวประมงที่นี่ใช้สำหรับออกไปหาปลาแหละ



เรามาถึงก็เย็นมากแล้ว เดินถ่ายรูปชิลๆ ซักพัก ก็คุยกันว่า กลับกันเถอะ เดี๋ยวฟ้าจะมืดแล้วจะปั่นกลับกันลำบาก



เรากลับมาทันเวลาคืนจักรยานพอดี ละก็หิวพอดีด้วย เลยไปเดินหาร้านทานข้าวในเมืองเก่ากัน

ด้วยความหิว หันไปเจอร้านพิซซ่า มีป้าย ‘Trip Advisor’ ติดอยู่หน้าร้าน “อ่ะ ร้านนี้แหละ”



‘Casa Italia’ คนเต็มร้านเลย เราสั่งพิซซ่าถาดใหญ่กับ ซีซ่าร์ สลัดไป เฮ้ยยย อร่อยทุกอย่าง!



ท้องอิ่มแล้วเดินเที่ยวกันต่อได้

อ๊ะ! เดินไปยังไม่ทันพ้นหน้าร้านพิซซ่าเลย ก็เจอรถเข็นขาย เนื้อห่อใบชะพลู น่าทานมาก เรากับพี่ปุ่นนี่ไม่พลาด

คนขาย: Korean?

ลูกไผ่: no no. I’m from Thailand.

คนขาย: Oh Thai football good good.

นั่น...Football Thai ไปเวียดนามแล้วนะค้า 555

เราสั่งมาชิมกันคนละไม้ เพราะว่าจุกพิซซ่ามาก

- เนื้อห่อใบชะพลู ไม้ละ 5,000 ดอง ( 9 บาท) เอง!

พอเดินไปๆ เริ่มรู้สึก “รู้งี้ สั่งหลายๆไม้ดีกว่า มันอร่อยมาก” พอเดินกลับไป พี่แกหายไปแล้ว แงงงงง........

เฮ้ย แต่พอตอนเดินกลับโรงแรม เราเจอพี่เค้าอีกแล้วเว้ย! 5555 เดินพุ่งไปหาพี่แกเลย อร่อยและถูกมากจริงๆ

Line ไปเล่าให้แม่ฟัง แม่บอก “ระวังเป็นเนื้อหมาล่ะ เวียดนามเค้ากินหมานะ”

แม่..................... (- -“)



Day4:

วันนี้เรายังตื่นหัวกระเซอะ กระเซิง เดินไปทาน Breakfast ที่ฐานบิน 3 เช่นเคย

โปรแกรมคือเราจะลองไปทาน ‘ร้าน Street’ ที่เราเดินผ่านแถวๆโรงแรมทุกวัน และจะไปจิบชาที่ ‘ร้าน Reaching Out Tea Time’ ทั้งสองร้านเป็นร้านที่ Trip Advisor Recommended! โดยเฉพาะร้านชา

แต่ตอนนี้เรายังอิ่ม breakfast เมื่อเช้าอยู่ เราเลยจะเดินเล่นกันก่อน วันนี้เราเดินตามตรอก ซอกซอยเล็กๆ ที่เรายังเก็บไม่หมด



แล้วก็เดินอ้อมโลกเฉียดออกนอกเมืองนิดหน่อย เป็นเส้นที่เราไม่เคยเดิน

ด้านนอกตัวเมืองเก่าก็จะเหมือนเมืองทั่วไป ไม่ได้มีมุมถ่ายรูป หรือตึกน่ารักๆอะไร

นอกจากจักรยานและมอเตอร์ไซค์แล้ว ฮอยอันจะมีภาหนะอีกอย่างคือ ‘รถลาก’ เอาไว้ให้นักท่องเที่ยวนั่งเล่นกันโดยเฉพาะ เราว่าอารมณ์เหมือน ไปนั่งรถม้าที่ลำปางอ่ะ



วันนี้อากาศค่อนข้างร้อน เหงื่อเริ่มมา เราเริ่มอยากได้ที่หนังยางรัดผม ไม่น่าเชื่อว่าหนังยางแค่เนี๊ยะ หาซื้อยากมากกก เราเดินไปจนเจอร้านขายของชำร้านนึง เลยเดินเข้าไปถาม เค้าบอกว่าไม่มี แต่ซักพักเค้าเดินไปค้นๆอะไรซักอย่างหลัง counter แล้วก็หยิบยางรัดผมน่ารักสีชมพูมาให้ เราถามเค้าว่าเท่า เค้ายิ้ม ส่ายหน้าแล้วบอกว่า “Free Free”

เฮ้ยยย เค้าน่ารักมากอ่ะ!

เดินกันจนเหนื่อย เราก็คุยกันว่า ปะ เรากลับไปทานข้าวที่ ‘ร้าน Street’ กันเถอะ ด้วยความหิว เราเก็บรูปอาหารมาฝากไม่ทันจริงๆ แต่สมกับที่ Trip advisor recommended จริงๆ อาหารอร่อยมาก และบริการดีมากกก



เราถ่ายมาทันแค่ของหวาน เป็นไอติมกะทิ เสิร์ฟพร้อมกับสับปะรดเชื่อม อร่อยมาก!



ทานเสร็จ เราเปิด google map ตามหา ‘ร้าน Reaching Out Tea Time’ กัน

ระหว่างทาง เจอขนมอะไรซักอย่างปิ้งอยู่ เราเล็งมาหลายวันละ แต่ไม่ได้ซื้อ วันนี้ได้พี่ณดาเลยจ้า เดินตรงเข้าไปถาม

สายกินจริงๆคนนี้ 555

พอรู้ว่ามันคือ มันปิ้ง เท่านั้นแหละ อยากทานขึ้นมาเลยจ้า แต่ตอนนั้นจุกมากจริงๆ

แต่ความจุกนี้ทำอะไรพี่ณดาไม่ได้ เราก็ไปแย่งพี่ณดาทานสิค้า 5555

แงะ ไม่อร่อยมากถึงขึ้นอย่างที่คิด มันเหมือนมันปั้นผสมกับขนมบ้าบิ่นบ้านเรา แล้วเอามาปิ้ง เราชอบทานมันเพียวๆมากกว่า



ละแล้ว เราก็เจอแล้วววว

‘ร้าน Reaching Out Tea Time’ ข้างในเป็นร้านชาที่ตกแต่งแบบ Traditional มาก ข้างในร้านมีคนนั่งเต็มเกือบทุกโต๊ะ แต่ร้านเงียบมาก แขกส่วนใหญ่เป็นฝรั่ง มานั่งจิบชา อ่านหนังสือกันเงียบๆ



“เฮ้ย อันนี้อะไรอ่ะ แท่งไม้น่ารักดีอ่ะ”

บนโต๊ะ จะมีกระดาษ ดินสอ ละก็แท่งไม้ที่ติดกระดาษเป็นคำๆ ไว้ ตอนแรกเราก็สงสัยว่าเอาไว้อะไรหว่า เอาไว้ให้วาดรูป จะได้มีสมาธิป่าวหว่า

พอพนักงานเอาเมนูมาให้ เราถึงรู้ว่า

พนักงานร้านนี้เป็นคนใบ้ทั้งหมด กระดาษ และแท่งไม้ เอาไว้ใช้สื่อสารกับพนักงาน



เราประทับใจร้านนี้มาก ด้วย concept ของร้าน ชุดชาแต่ละชุดที่ต่างกันออกไปแล้วแต่เมนู รวมถึงขนมที่ทานคู่กับชา ก็เป็นของง่ายๆ ไม่ได้หวือหวาอะไรเลย

- ขนมจานละ 2 ดอลลาร์

ราคาร้านนี้ก็พอๆ กับร้านชาในกรุงเทพ เรียกว่าจะถูกกว่าด้วยซ้ำ กับของที่เราสั่งมา เราหมดกันไปคนละประมาณ 300 บาท

เป็นร้าน Recommended จริงๆร้านนี้



นั่งกันไปซักพักก็ถึงเวลาต้องรีบกลับโรงแรมแล้ว เพราะนัดให้โรงแรมเรียก Taxi ไว้ตอน 4 โมงเย็น เพื่อขับพาไปส่งที่สนาม เรามีขึ้นเครื่องกลับไปที่โฮจิมินห์ตอน 2 ทุ่ม

ปรากฎว่า Taxi late จ้า มาตอน 6 โมงกว่าๆ เรานี่นั่งกันไม่ติด เดินไปถามพนักงานเป็นระยะๆ พนักงานดูกระวนกระวาย แต่ Taxi ไม่มา อยุ่ไหนไม่รู้ ก็ไม่รู้จะทำไง จนเรายื่นคำขาดว่าถ้ายังไม่มา เราจะออกไปโบกเองละนะ

พี่แกก็มาจ้า เหยียบสิค้าทีนี้ Fast & Furious กันเลยทีเดียว

ละก็มาถึงสนามบินกันทันเวลาพอดี มีครั้งไหนมั้ยที่ไม่ต้องลุ้นเวลาจะขึ้นเครื่องงี้ T^T

พอมาถึงสนามบิน ตั๋วพี่ณดามีปัญหาอีกแล้วจ้า เนื่องจากเป็น booking ซ้ำ เดินไปเดินมาถาม counter นู้นที counter นี้ที กว่าจะรู้เรื่อง แล้วยอมปล่อยให้พี่ณดา check-in



มื้อเย็นของเราวันนี้ ฝากท้องไว้ที่ Burger King

พอกลับมาแล้ว เราเพิ่งรู้ว่า Burger King ที่ไทย ไม่มี Cheese Stick เหมือนที่เวียดนามแฮะ อดทานเลย



พอถึงโฮจิมินห์ เราเรียก Taxi ไปส่งที่โรงแรมสุดท้ายของเรา ‘โรงแรมเวียนดอง’ ตอนจองเราเห็นใน Agoda ว่าที่นี่เป็นแหล่งใจกลางชุมชน ก็เลยเลือกจะได้เดินทางสะดวก มีนู้นนี่ให้เดินเล่น

ปรากฎว่า ชุมชน ที่ว่านั้น มันคือ แหล่งท่องเที่ยวยามราตรี เหมือนข้าวสารบ้านเรานี่เองจ้า

เราเก็บของเสร็จ ก็เลยเดินลงมาดูกันซะหน่อย ที่นี่จะมีรถเข็นขายของข้างทางเยอะมาก มีอย่างนึงที่น่าสนในคือรถขายหอยหลากชนิด เราไปยืนรอคิวเจ้าแรกนานมาก คนขายไม่มีทีท่าสนใจเราเลย ถึงเราพยายามคุยด้วยเค้าก็ไม่ตอบ เราเลยตัดใจ ไม่ทานก็ได้ว้า



เดินไปเรื่อยๆ ก็ไปเจอร้านขายข้าวเหนียวที่เป็นของหวาน หน้าตาน่าทาน

มีรึพี่ณดา สอยมา 1 กล่องจ้า หน้าตามันน่าทานจริงนะ แต่พอทานแล้วจืดมาก ข้าวเหนียวสังขยาบ้านเราอร่อยกว่าเยอะเลย



ส่วนไผ่กับพี่ปุ่น ได้ร้านก๋วยเตี๋ยว สั่งมาชามนึงแบ่งกันทาน อร่อยมาก



ท้องอิ่มละ กำลังเดินกลับ ก็ไปเจอร้านหอยอีกเจ้า เฮ้ยยยย มันน่าทานมากจริงๆเหอะ เราก็ไปยืนรอเหมือนเดิม

คนขายเหมือนกันเลยเว้ย ไม่สนใจ ไม่ยอมคุยกับเรา ซักพักมีสาวเวียดนาม 2คนเดินมาสั่ง เค้าก็ทำให้ทันทีเลย

พี่ณดาเลยหันไปคุยกับสองสาวแทนว่าช่วยสั่งให้หน่อย นั่นแหละ เราถึงได้ทานกัน

ระหว่างรอหอย ก็มีเรื่องระทึก (ซึ่งพี่ณดามาเล่าให้ฟังตอนหลัง)

เยื้องๆกับรถเข็นขายหอย จะเป็นบาร์ที่มีผู้หญิงแต่งตัววับๆแวมๆ มานั่งรอแขกอยู่หน้าร้าน พี่ณดาก็ยกโทรศัพท์ถ่ายรูป

ซักพัก มีผู้หญิง 2 คน เดินตรงเข้ามาหาพี่ณดา หน้าตาหาเรื่องมาก บอกประมาณว่า

“You ไม่รู้เหรอว่าเค้าห้ามถ่ายรูป ถ่ายได้ยังไง ลบเดี๋ยวนี้”

พี่ณดาก็ตอบเค้าไปว่า

“ชั้นไม่ได้ถ่าย ชั้นยกขึ้นมาถ่ายบรรยากาศถนนด้านนู้นต่างหาก”

ผู้หญิงสองคนนั้นทำท่าจะไม่ยอม แต่สุดท้ายก็เดินกลับไปอิท่าไหนไม่รู้

ตอนนั้นไผ่กับพี่ปุ่นจดจ่ออยู่ที่หอยอย่างเดียว ไม่ได้รู้เรื่องเล้ยยย 5555

เฮ้ย หอยมันอร่อยมากจริงๆ จนอยากกลับไปสั่งอีก แต่เราก็ไม่มีสองสาวนั่นมาช่วยสั่งแล้ว เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า มีเงินอย่างเดียว ทานไม่ได้นะฮ้า



ก่อนกลับเราแวะ Family Mart เฮ้ยยย ถึงไม่เจอ 7-11 แต่เราก็เจอ Family Mart ที่แรกตั้งแต่มาเวียดนามแล้วเว้ยยยย

ซื้อขนมจุกจิกเสร็จก็กลับโรงแรม เตรียมตัวบินกลับกรุงเทพพรุ่งนี้

Day 5:

วันนี้เราตื่นสายหน่อยๆ เพราะที่นี่ไม่มี Breakfast ให้ พี่ณดาต้องไปขึ้นเครื่อง 5 โมงเย็น แสดงว่าต้องถึงสนามบินตั้งแต่ประมาณบ่ายสาม เราเลยไปไหนไกลไม่ได้ ก็เลยเดินเล่นหาของกินแถวๆนั้น



ตัวเมืองโฮจิมินห์หน้าตาเหมือนกรุงเทพมากกก จะต่างกันก็ที่รถมอเตอร์ไซค์มหาศาล ที่เวลาสี่แยกปล่อยรถทีนี่ วิ่งกันให้วุ่นเลย

สมคำร่ำลือจริงๆ



เราเข้าไปทานร้านอาหารเวียดนามหน้าตาโอเคร้านนึง ใช้วิธีจิ้มสั่งตามเมนูเหมือนเดิม

มีเมนูนึงเป็นต้มยำมันปูอะไรซักอย่าง อร่อยมาก!



ทานเสร็จเราก็เดินไปนั่งฆ่าเวลาที่ Starbucks ซักพักก็เดินกลับมาให้โรงแรมเรียก Taxi ไปส่งที่สนามบิน



พี่ณดาต้องเดินเข้า Gate ก่อนเรา เราเลยมีเวลาเวิ่นเว้อที่สนามบินเยอะเลยทีเดียว



ว้า ยังไม่อยากกลับเลย รู้งี้ซื้อตั่วเที่ยวยาวไปจนหลังปีใหม่ countdown ที่นี่ดีกว่า เพราะสุดท้ายก็ไม่ได้กลับบ้านที่ลำปางอยู่ดี เพราะตั๋วแพงแล้ว

พี่ปุ่น: “ซื้อตั๋วไปฮานอยต่อมั้ย”

ลูกไผ่: (หันไปมองหน้า) “เอาจริงอ่ะ”

พี่ปุ่น: “เดี๋ยวเช็คตั๋วก่อน”

ลูกไผ่: “หรือไปลาวดีคะ”

นั่น เริ่มฟุ้งละ สุดท้ายก็ต้องบินกลับกรุงเทพ เพราะตอนนั้นตั๋วราคาแพงมากกกแล้ว



คิดถึงจัง อยากไปอีก

ไว้ไปเที่ยวกันอีกนะ



ดูรูปทริปเพิ่มเติมได้ที่

http://www.facebook.com/wherewegopage



เจอกันทริปหน้าค่ะ

Where We Go

 วันพฤหัสที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561 เวลา 11.19 น.

ความคิดเห็น