Laos’s story :: เรื่องลาว...ของเรา
“ ใช้ชีวิตชิวๆ กับวิวหลักล้าน"
สวัสดีอีกครั้งค่ะ ก่อนหน้านี้เคยตั้งกระทู้ พาไปเที่ยวซาปาที่เวียดนามเหนือมาแล้ว [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้https://pantip.com/topic/37943753
วันนี้จะพามาเที่ยวอีก ซึ่งถ้าถามว่าประเทศไหน ไปแล้วเหมือนอยู่บ้านที่สุด ก็คงตอบได้เต็มปากว่า ประเทศลาว เพราะไม่ว่าจะเป็นภาษาที่ใช้ อาหารที่กิน หรือแม้แต่เพลงที่ฟังก็ล้วนแต่ใกล้เคียง นอกจากเบียร์ลาวถูกๆ เย็นๆแล้ว พวกขนม ของใช้ต่างๆ มาจากไทยหมดจ้า 5555
เมืองพี่ เมืองน้องกันขนาดนี้ แถมยังมีรีวิวที่เที่ยวลาวมายั่วผ่านตากันบ่อยๆ ได้ฤกษ์ที่เราจะออกไปสัมผัสกันเองบ้าง ด้วยเวลา 5 วัน 4 คืน กับ 2 เมืองหลักๆ อย่างเวียงจันทน์ และ วังเวียง ขอบอกว่า สนุก มันส์ ฮา ... อปป้า อาจุงม่า มาครบทุกรส!
#แผนการเดินทางคร่าว ๆ 5 วัน
#Day1 : ดอนเมือง – เวียงจันทน์ - พระธาตุหลวงเวียงจันทน์ – ประตูชัย
#Day2 : วัดสีสะเกด - หอพระแก้ว - วัดศรีเมือง - วังเวียง – ซากุระบาร์
#Day3 : ผาเงิน - บลูลากูน - ถ้ำน้ำ – สะพานส้ม ถ้ำจัง - ล่องห่วงยาง แม่น้ำซอง
#Day4 : ล่องห่วงยาง (อีกครั้ง) – V Town Walking Street
#Day5 : วังเวียง - เวียงจันทน์ – ดอนเมือง
ก่อนจะเล่ารายละเอียด มีคลิปสรุปที่ไปเที่ยวมา 5 วันให้ได้ดู เรียกน้ำย่อยค่ะ
ขอโทษด้วยนะคะ ที่ให้รอ วันนี้มาดึกเพราะมัวแต่เดินทางกลับบ้านที่หัวหินอยู่
ต้องเกริ่นก่อนว่า การเดินทางครั้งนี้เราเน้นประหยัดเวลา และความสะดวกสบาย เลยเลือกใช้บริการสายการบิน AirAsia บินตรงจากดอนเมืองสู่เวียงจันทน์ ซึ่งยังไม่ค่อยมีใครรีวิวแบบนี้มากนัก ส่วนใหญ่จะเน้นบินในประเทศเพราะว่าราคาถูกกว่าแล้วนั่งรถข้ามด่านชายแดนเอา แต่ครั้งนี้เราบินฟรีค่ะ ♥️ เพราะ ใช้สิทธิ์แลกคะแนน BIG Point จาก AirAsia BIG Royalty ทั้งขาไปและขากลับ เป็นการคืนกำไรแก่สมาชิก BIG ที่ใช้บริการและมีคะแนนสะสมทุกคน ให้ได้บินฟรี (ใครคะแนนไม่พอแลกเที่ยวบินก็ใช้เป็นส่วนลดเวลาจองตั๋วได้ อย่าลืม ล็อคอินรักษาสิทธิ์ก่อนจองที่ airasia.com เพื่อรับส่วนลดสมาชิกเพิ่มเที่ยวละ 40 บาท คลิก http://ow.ly/obLL30jeozh
#วันที่1 : ดอนเมือง - เวียงจันทน์ - พระธาตุหลวงเวียงจันทน์ - ประตูชัย
เริ่มต้นการเดินทางจากสนามบินดอนเมือง ทริปนี้เราใช้บริการของสายการบิน แอร์เอเชีย ซึ่งมีบริการบินตรงสู่เวียงจันทน์ และหลวงพระบาง ในทุกๆวัน โดยใช้เวลาเดินทางเพียง 1 ชั่วโมงเท่านั้น แค่พนักงานก็รู้สึกสดใสแล้วค่ะ ^^
อย่างที่บอกไปแล้ว กานต์ใช้สิทธิ์แลกคะแนน BIG Point กับ AirAsia BIG Loyalty ทั้งขาไปและขากลับ เป็นการคืนกำไรแก่สมาชิก BIG ที่ใช้บริการและมีคะแนนสะสมทุกท่าน ให้ได้แลกเที่ยวบินแบบฟรีๆกันเลยค่ะ (สำหรับใครที่คะแนนไม่พอแลกเที่ยวบิน ก็สามารถใช้คะแนนเป็นส่วนลดเวลาจองตั๋วแอร์เอเชียก็ได้นะ และที่สำคัญอย่าลืม ล็อคอินสมาชิกที่ airasia.com จะได้ส่วนลดสมาชิกเพิ่มอีกเที่ยวละ 40 บาทด้วยค่ะ
และนี่คือ รูปร่างหน้าตา ของการแลก Point ไป-กลับ ในครั้งนี้นั่นเองค่ะ
เมื่อมาถึงสนามบินวัตไต เวียงจันทน์ ประเทศลาวแล้ว เราก็ไปแลกเงินกีบ ก่อนเลยค่ะ เรทวันนี้ ตามราคาที่ติดไว้เลยจ้า เราเอาเงินไทยไปแลก 6,000 บาท ได้กลับมาประมาณ 1,500,000 กีบ เรียกว่า “อายุน้อยร้อยล้านกีบกันเลยทีเดียว” 55555
หลังแลกเงินเสร็จเรียบร้อยแล้ว เราก็มองหาCounter ซื้อทราเวลซิมของ Unitel ซึ่งมีแพ็คเกจให้เลือกหลายแบบมาก โดยเราเลือกแบบ 3 วัน 5 GB ( Internet only) ราคา 20,000 กีบ จะอยู่ได้ 3 วัน (นับแบบ 24 ชั่วโมง ) วันสุดท้ายเราเลือกซื้อแบบเติมเงินราคา 5,000 กีบ เพื่อกดสมัครเน็ตแบบ 24 ชั่วโมง
หลังจากจัดการตัวเองเสร็จ เราก็ออกมารอเพื่อนชาวลาวมารับ และพาทัวร์เวียงจันทน์ คืนนี้เราพักที่เวียงจันทน์และเที่ยวรอบๆเมืองกันก่อน โดยเราจะไปวังเวียงกันช่วงสายๆวันพรุ่งนี้ค่ะ ซึ่งสถานที่แรกที่เพื่อนชาวลาวพาเราไปเที่ยวก่อนจะเข้าเชคอินก็คือ พระธาตุหลวงเวียงจันทน์ เหตุที่ต้องรีบมาก่อน เพราะที่นี่จะเปิดให้เข้าชมได้ถึงประมาณ 16.00 น. เท่านั้น สาวๆ แต่งกายให้เรียบร้อยเพื่อให้เกียรติสถานที่ด้วยนะคะ แต่จริงๆใครที่นุ่งสั้นมา เค้ามีผ้าให้เรานุ่งทับด้วย ค่าเข้าอยู่ที่ 10,000 กีบต่อคน แต่ด้วยความที่เรามากับไกด์ส่วนตัว แล้วบอกว่าเป็นคนลาวทั้งหมด เรทราคาเลยอยู่ที่คนละ 3,000 กีบเท่านั้น (โกหกไม่ดีนะทุกโคนนน) 555
พระธาตุหลวงเวียงจันทน์ ถือเป็นศาสนสถานที่สำคัญที่สุดในประเทศลาว เรียกได้ว่าถ้าไม่มา เหมือนมาไม่ถึงเวียงจันทน์ ตามประวัติบอกว่าสร้างขึ้นมาพร้อมเมืองเวียงจันทน์ตั้งแต่ ปี พ.ศ.238 ต่อมาพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช แห่งอาณาจักรล้านช้าง ได้สร้างองค์พระธาตุใหม่ครอบองค์เดิม แต่ชาวบ้านก็ยังเรียกติดปากว่า “พระธาตุหลวง” และด้วยความสำคัญจึงมีการนำสัญลักษณ์ของพระธาตุหลวงไปเป็นส่วนหนึ่งของตราประจำแผ่นดินตั้งแต่ปี 2534 เป็นต้นมา นอกจากนี้เรายังมีโอกาสได้ชิม “กะแล้ม” คำเรียกไอศกรีมของคนลาวค่ะ
จากพระธาตุหลวง ขับรถต่อมาอีก 10 นาที ก็จะเจอประตูชัย แลนด์มาร์คที่สำคัญแห่งเวียงจันทน์ สถาปัตยกรรมของประตูชัยเป็นการผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมของฝรั่งเศสกับสถาปัตยกรรมทางท้องถิ่นของลาว เขมร ถ้าดูไกลๆ จะเห็นว่าคล้ายกับประตูชัยที่ปารีส ฝรั่งเศส (Arc de Triomphe) การเข้าชมบริเวณรอบๆ ไม่เสียค่าใช้จ่าย แต่ถ้าต้องการขึ้นไปชมวิวที่ด้านบนของประตูชัยจะต้องเสียค่าเข้าที่ 10,000 กีบ โชคดีที่เรามาถึงก่อนเวลาปิด เลยได้ขึ้นไปชมวิวด้านบน เจ้ย ไกด์ส่วนตัวไปเสียค่าเข้าชม พร้อมบอกว่า เป็นคนลาวทั้งหมดอีกแล้ว 555
เมื่อตะลุยรอบเมืองเสร็จสิ้น เราเลยมา check in ที่โรงแรม แถวน้ำพุ แต่เรามัวแต่ชิลๆริมโขง กินเบยลาวเพลินตาม คำแนะนำของเจ้ยถึงวิธีการกินเป็นสเต็ปๆ จาก 1.Hoppy 2. White 3.Amber เห้ย..ดีงาม ไล่ระดับจากธรรมดา มารสนุ่มๆขวดกลาง แล้วจบด้วยรสเข้มขวดแดง เลยลืมถ่ายห้องพักมาให้ดู แฮะๆ
#วันที่ 2 : วัดสีสะเกด - หอพระแก้ว - วัดศรีเมือง - วังเวียง - ซากุระบาร์
เช้าวันที่ 2 ก่อนที่เจ้ยจะมารับเราไปวังเวียงตอน 11 โมงตามที่นัดกันไว้ เราเลยใช้เวลาช่วงเช้าในการเดินสำรวจวัดสำคัญๆในเวียงจันทน์ ที่อยู่ไม่ไกลจากโรงแรม เริ่มจากวัดสีสะเกด หรือวัดสะตะสะหัสสาราม (วัดแสน) ซึ่งอยู่ตรงข้ามหอพระแก้วเลยค่ะ จุดเด่นของวัดนี้คือ พระพุทธรูปสำริดนับล้านองค์ ใครมาเวียงจันทร์ไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง!
ต่อด้วยหอพระแก้ว ค่าเข้าชม 10,000 กีบต่อคน เป็นสถานที่เคยประดิษฐานพระแก้วมรกต ปัจจุบันเหลือเพียงพระแท่นที่ประดิษฐาน เพราะพระแก้วมรกตองค์ปัจจุบันได้รับการอัญเชิญมาประทับที่กรุงธนบุรี ในสมัยของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี
*ด้านในห้ามถ่ายภาพ เราเลยเก็บบรรยากาศด้านนอก มาให้ชมแทนนะคะ
และสถานที่สุดท้ายก่อนเดินทางไปวังเวียงกัน คือ วัดศรีเมือง ซึ่งเป็นสถานที่ตั้งของเสาหลักเมืองประจำนครเวียงจันทร์
การเดินทางไปวังเวียงในครั้งนี้ เพื่อนชาวลาวของเราไปส่ง ต้องขอบใจหล๊ายหลาย ระยะทางจากเวียงจันทร์ไปวังเวียง ประมาณ 160 กม. แต่ใช้เวลาในการเดินทาง 4 ชม. จ้า เพราะอะไรนั้นหรอ….ถนนไง!! ทั้งหลุม ทั้งฝุ่น บอกเลยว่า เมารถแน่ๆ แนะนำให้กินยาแล้วนอนยาวๆไปเลยดีกว่า ตื่นมาอีกทีวังเวียงพอดี สบ๊ายยย! แต่ถ้าต้องการหารถไปวังเวียง ต้องไปที่สถานีขนส่งสายเหนือ ซึ่งมีรถออกทุกๆชั่วโมงเลย ทั้งรถตู้ และรถมินิบัส ค่าโดยสารคนละ 40,000-60,000กีบ แล้วแต่จำนวนคนและต่อรองกันได้
เมื่อมาถึงวังเวียง เราก็มาเช็คอินที่ Amari Vang Vieng โรงแรม 5ดาว ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางวังเวียง บนถนนแม่น้ำซอง จะเดินทางไปไหนก็สะดวกมาก ไม่ว่าจะเป็นสถานที่สำคัญๆที่ ใครมาวังเวียงก็ต้องไป เช่น ผาเงิน , บลูลากูน ,สะพานส้ม – ถ้ำจัง,ถ้ำน้ำ จะล่องห่วงยางตัวเปียกๆ ก็เดินไม่ไกล ตกดึกสามารถเดินเล่นชิวๆถนนคนเดิน V town หรือไปส่องหนุ่มๆที่ซากุระบาร์ได้แบบชิวๆเพราะเดินแค่ 230 เมตร
Lobby check in กว้างขวาง โล่ง โปร่งสบายมากๆ พนักงานอัธยาศัยดีมากๆ ดูแลดั่งคนในครอบครัวเลย สามารถสื่อสารเป็นภาษาไทยได้เลยค่ะ และด้านหลัง เราก็สามารถมองเห็นสระว่ายน้ำ และแม่น้ำซองได้ด้วย
เมื่อ check in เรียบร้อย ก็ขึ้นมาที่ห้องพัก เราพักแบบ Superior river view ชั้น 5 วิวหลังห้องเห็นภูเขาและแม่น้ำ อุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน สามารถนอนดูพระอาทิตย์ขึ้น และตกได้จากระเบียงหลังห้องเลย คงไม่มีอะไรฟินกว่านี้แล้ว ถ้ามาพักแนะนำเลือกห้องแบบ river view นะคะ
พวกเราเดินทางมาเหนื่อยๆหลังจากเอาของไปเก็บเรียบร้อย ก็มารับประทานอาหารกลางวันกันที่ห้องอาหาร Essence ภายในโรงแรม มาถึงลาว ก็คงหนีไม่พ้นส้มตำลาว ลาบหมู ไก่ทอดสมุนไพร ต้มยำไก่ อาหารแนะนำอีกมายมาย แต่ละเมนู บอกเลยว่า อร่อยมาก และปริมาณเยอะสุดๆ
คืนแรกของเราทักทายกันด้วยซากุระบาร์ มี free drink เป็น Tiger Whisky พนง.บอกว่าเป็น local whiskey ตั้งแต่ 20.00-21.00น. บอกเลยว่าใครมาวังเวียงแล้วไม่ได้มาซากุระบาร์ เหมือนพลาดอะไรไปเลยละ ของเด็ดที่นี่ แน่นอนคือ ฝรั่งกล้ามโตๆ อปป้าหุ่นล่ำๆที่เต้นอยู่รอบๆตัวเรา ดีเจก็เปิดเพลงได้มันส์สุดๆ
เผลอแปปเดียวเที่ยงคืน เพลิดเพลินลืมเวลาไปเลย....
แล้วมาอ่านรีวิว ของการเที่ยวในวังเวียงกันต่อ วันพรุ่งนี้น้าาาาา
รับรองทั้งสนุก ทั้งมันส์ แน่นอนจ้า😎
#วันที่ 3 : ผาเงิน - บลูลากูน - ถ้ำน้ำ - สะพานส้ม ถ้ำจัง - ล่องห่วงยาง แม่น้ำซอง
วันนี้เราซื้อทัวร์ One day trip รวมกับเดอะแก๊งส์ ทั้งหมด 5 คน คนละ 140,000 กีบ หรือประมาณ 500 บาทต่อคน ( รวมค่ารถ ค่าเข้า) พวกเราไม่เอาอาหารกลางวัน แต่จะหาอะไรง่ายๆกินกันเอง แนะนำหมูกรอบทอด รสเค็มๆ จิ้มข้าวเหนียว เป็นตาแซ่บบ 😋
จุด Start เริ่มที่ ผาเงิน เป็นการปีนเขาขึ้นไปชมวิวเมืองวังเวียง ระยะทาง 650 เมตร แต่ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงได้ เนื่องจากทางขึ้นชันแทบจะ 80 องศาได้ ระยะทาง 100 เมตรแรกสบายมากกก แต่ช่วง 200-400 เมตรนี่เหงื่อหยด ขาสั่น ใจเต้นแรกสุดๆ ใครจะมาควรฟิตร่างกายกันนิดนึงนะคะ
แต่เมื่อขึ้นไปถึงยอดแล้ว ขอบอกเลยว่าคุ้มค่าสุดๆ วิวสวยงามมาก ถ้ามาแต่เช้า ชมพระอาทิตย์ขึ้น หรือช่วงก่อนพระอาทิตย์ตกคงฟินมาก ต้องมาเช็คอินกันให้ได้สักครั้งนะคะ ถึงแม้จะเหนื่อยสักหน่อย แต่คุ้มค่ากับปลายทางที่ได้ชมความสวยงามของธรรมชาติ อย่าท้อนะทุกคน พยายามเดินขึ้นให้ถึง แล้วจะหายเหนื่อย ฟินนน
ที่ต่อมาคือ บลูลากูน เป็นสระมรกต น้ำสีฟ้าเขียว แหล่งรวม อปป้าอีกจุดนึงเลย จุดที่เป็นไฮน์ไลท์ของที่นี่ คือ การกระโดดสูงจากต้นไม้ลงมาในน้ำ มีทั้งระดับ ประถม และมหาลัย จริงๆ มีบลูลากูน 1-5 เราเลยเลือกที่คนส่วนใหญ่มา นั่นก็คือ บลูลากูน 1 นั่นเอง
จากนั้นไปเปียกกันต่อที่ ถ้ำน้ำ เป็นการลอยห่วงยางเข้าไปในถ้ำ แล้วเดินเท้าต่อ ระยะทางประมาณ 1 กม. เพื่อชมหินงอกหินย้อยภายในถ้ำ ท่ามกลางความมืดที่มีเพียงไฟฉายบนหัวให้แสงสว่าง ทั้งแปลกและตื่นเต้นมากค่ะ ไปกันหลายคนสนุกดีค่ะ ต้องมาลองเอง พอสุดทางก็ลงเดินต่ออีกนิดหน่อยโดยมีไกด์นำทาง จนไปถึงจุดหมายปลายทาง ในถ้ำจะลื่นต้องเดินระมัดระวังมาก และยังต้องระวังหัวด้วยนะ หินจะทิ้มหัวเอาเช่นกัน มีช่วงที่ตื่นเต้นอีก คือ ร้องมุดลอดช่องแคบๆ ใครน้ำหนักเกิน 90 กก. ไม่ควรไปนะ มันจะลอดไม่ได้เอาเด้อออ!
เนื่องจากเวลายังเหลือ และแดดแรงเกินกว่าจะล่องห่วงยางไหว เราเลยไปต่อที่ สะพานส้ม – ถ้ำจัง อยู่ห่างจากตัวเมืองวังเวียงประมาณ 1 กม. จะเดินชิวๆมาเรื่อยๆก็ได้นะ สะพานส้ม คือสะพานข้ามแม่น้ำซอง เพื่อจะเดินไปขึ้นถ้ำจัง มีบันไดทางขึ้นลงสบายเพียง 147 ขั้นเองจ้า
ภายในถ้ำจัง แบ่งเป็น 2 ฝั่ง คือ ฝั่งซ้าย สามารถมองเห็นวิวแม่น้ำซองและทุ่งนาเขียวขจี ส่วนฝั่งขวา มีหินงอก หินย้อยรูปร่างต่างๆ สวยงามมาก บริเวณโดยรอบร่มรื่น มีน้ำตกเล็กๆ ไหลผ่าน อากาศเย็นสบายสุดๆ
และแล้วก็มาถึงกิจกรรมสุดท้ายของวันนี้ ที่ถือว่าเป็นไฮไลท์ของการมาเยือนวังเวียง นั่นก็คือ การล่องห่วงยางตามแม่น้ำซอง ซึ่งเป็นอะไรที่ไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง หรือใครใคร่พายคายัคพาย แต่จะมีอะไรชิวไปกว่าการจุ่มตูดลอยโง่ๆ อยู่ในแม่น้ำไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงจุด Stop ยิ่งไปกับแก๊งค์เพื่อนเยอะๆ เป็นอะไรที่ฟินมาก นอนคุยเล่าความหลัง เม้าส์มอยหอยสังข์ไปเรื่อย เตรียมน้ำ ขนม เบียร์เย็นๆสัก 2 ป๋อง บอกเลยว่า ฟินโคตร🤗
แต่....แต่จะลอยไม่โง่ ถ้ารู้ว่าควรเลือกร้านที่ห่วงยางสีเหลือง เพราะจะพบบาร์น้ำ และความสนุกตลอดเส้นทาง และวิว 2 ข้างทางที่สวยงาม แต่วันนี้เราเลือกร้านผิด หรือเรียกว่าไม่รู้น่าจะดีกว่า ไปเลือกสีแดง (หรือส้ม) บรรยากาศวังเวียงเลยวังเวงไปหน่อย มีแค่พวกเรา 5555 โคตรไพรเวท ไม่มีโอกาส Say hi หนุ่มๆเลย เห้อ!!
#วันที่ 4 : ตลาดเช้าวังเวียง - เดินชิลทุ่งนา - ล่องห่วงยาง (อีกครั้ง) – V Town Walking Street
วันรุ่งขึ้นเราตื่นแต่เช้าเพื่อไปซื้อของใส่บาตร ตามสไตล์นักเที่ยวสายบุญ เรียนรู้วิถีชีวิต วัฒนธรรม
บรรยากาศยามเช้าเป็นอะไรที่ดูสโลวไลฟ์มากๆ
จากโรงแรมเดินเลี้ยวซ้ายไปนิดเดียว เพื่อไปดูพ่อค้า แม่ค้า ขายของต่างๆ มีของแปลกๆ ที่ชาวบ้านนำมาขายมากมาย เช่น แพะ นก หนู ปลาไหล แมลง เขียด กบ ผักพื้นเมือง ซึ่งแบขายกับพื้น เลยยยย
หลังจากเดินเล่นยามเช้าแล้ว เราก็กลับมารับประทานอาหารเช้าที่โรงแรมกัน อยากบอกว่าอาหารเช้าที่นี้มีเยอะและหลากหลายมาก ไลน์อาหารมีการจัดแยกโซน แบ่งมุมต่างๆ ไว้อย่างลงตัว มีทั้ง ขนมปัง สลัด โยเกิร์ต ข้าวต้ม ก๋วยเตี๋ยว ข้าวสวยพร้อมกับข้าวหลากหลายเมนู น้ำผลไม้ก็มีให้เลือกเพียบ ยิ่งผลไม้มาเป็นลำเรือเลยยย รสชาติดีเหมือนเดิม เพิ่มเติมมาไวๆนั่งริมหน้าต่างจะได้ชมวิวไปด้วย
ช่วงสายๆอากาศเริ่มร้อน เราลงมาว่ายน้ำที่สระว่ายของโรงแรม ซึ่งสระกว้างมาก ก.ไก่ล้านตัว
เห็นวิวทิวเขาสลับซับซ้อน สะท้อนในสระ ยิ่งช่วงสายๆแบบนี้คนออกไปเที่ยวข้างนอก สระเลยเป็นของเรา เงียบ สงบ เหมาะแก่การพักผ่อนจริงๆ และในส่วนของสระว่ายน้ำ ยังมีเครื่งดื่มเย็นๆให้บริการอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นน้ำผลไม้และเครื่องดื่มเย็นชื่นใจ
ส่วนมื้อเที่ยงวันนี้ เราขอฝากท้องที่ห้องอาหารของทางโรงแรมกันหน่อยละกัน ขอใช้ชีวิตชิวๆในโรงแรมสักวันก่อนกลับ วันนี้เราสั่ง porkchop steak เส้นใหญ่ผัดซีอิ่ว และยำวุ้นเส้น คือพออาหารมาทีไรก็ยังตกใจ ไม่ชินกับปริมาณทุกที
ช่วงบ่ายๆ หลังจากที่อิ่มท้องกันแล้ว เราก็ไปเดินย่อยกันค่ะ จากที่ได้มองผ่านระเบียงหลังห้องพัก ดูทุ่งนาสีเหลืองทองอีกฝั่งของโรงแรมมาหลายวัน เลยอยากได้รูปชิคๆ ในทุ่งนากันสักหน่อย ว่าแล้วก็เดินข้ามสะพานไม้ไปอีกฝั่งนึง ลัดเลาะไปตามทางเพื่อมุ่งหน้าไปยังทุ่งนา แม้อุณหภูมิจะพุ่งสูงมาก แต่อย่าหวั่น!! เพราะความอยากได้รูปทุ่งนาสูงกว่า 555 โดยไม่ต้องไปถึงเวียงธารา เมื่อเดินไปถึงชาวบ้านกำลังเกี่ยวข้าวกันอยู่อย่างขะมักเขม้น🌾🌾
ร้อนแค่ไหน ก็อดทนค่ะ 5555
ยามบ่ายแก่ๆ เราก็ไปลอยห่วงยาวกันอีกครั้ง หลังจากช้ำใจเมื่อวาน แน่นอน!! วันนี้เราเลือกใช้บริการห่วงยางสีเหลือง ล่องผ่านถ้ำน้ำ และบาร์น้ำต่างๆ ค่าบริการล่องห่วงยางจะอยู่ที่คนละ 60,000 กีบ และค่ามัดจำห่วงยางอีกคนละ 20,000 กีบ (จะได้เงินคืนตอนนำห่วงยางมาคืนก่อน 6 โมงเย็น) และหากคนในรอบไม่ถึง 4 คน ก็ต้องจ่ายค่ารถไปส่งอีกคนละ 5,000 กีบ แต่ใครไม่รีบร้อนขนาดนั้น ก็รอสักแปป ไม่นานคนก็มาเช่ากันเหมือนกัน ทางเดียวกันไปด้วยกันจะได้ไม่เสียค่ารถค่ะ การล่องห่วงยางหากไม่แวะบาร์ ล่องไปเรื่อยๆไม่หยุดเลย ใช้เวลาประมาณ 1.30-2.00 ชม. แนะนำให้ล่องยามบ่ายแก่ๆชมพระอาทิตย์ตกไปชิวๆ ใส่ขายาวก็ดีนะคะ เพราะแดดเผา แสบมากจริงๆ
ในค่ำคืนสุดท้ายในวังเวียง เราไปเดินเล่นที่ V Town Walking Street จากโรงแรมเดินเลี้ยวขวาไปเพียง 450 เมตร ก็จะเจอถนนคนเดินอยู่ทางซ้ายมือ ภายในมีทั้ง ของฝาก เสื้อผ้า ขนม ผลไม้อบแห้ง และอาหารต่างๆมากมาย เรามาสะดุดที่หลุมของเตาหมูกะทะ และชอบไอเดียมาก อยากให้บ้านเราทำแบบนี้ 555 เลยลองสั่ง ชุดละ 35,000 กีบ มา 2 ชุด 70,000 กีบ (260บาท) แต่น้ำจิ้มบ้านเค้าจะเป็นน้ำจิ้มถั่วคล้ายน้ำจิ้มหมูสะเต๊ะบ้านเรา ไม่พอ…เค้าว่ากันว่า (เค้าเป็นใคร?) กินคาว ไม่กินหวาน สันดารไพร่ เราต้องตบท้ายด้วยโรตี กล้วย+ไข่+ช๊อค ในราคา 10,000 กีบ หรือ 40 บาทไทย แนะนำว่าใจเย็นๆ ดูปริมาณก่อน อย่าสั่งเยอะ เพราะมันแผ่นใหญ่จริงๆๆ
ไปต่อให้คุ้มกับคำว่าคืนสุดท้าย เราต้องไปบอกลาแม่น้ำซองกันสะหน่อย เราเลยเดินจากถนนคนเดินไปบาร์น้ำริมน้ำซอง เพื่อไปจิบเบียร์ลาว ดึกๆแบบนี้คนน้อย ไม่วุ่นวาย บรรยากาศแสนโรแมนติกเลยละ จิบเบียร์ เอาขาจุ่มน้ำ นั่งมองมองสายน้ำไหลผ่านรอบตัวเรา
#วันที่ 5 : วังเวียง - เวียงจันทน์ - ดอนเมือง
เราตื่นแต่เช้าลงมากิน Breakfast เหมือนเคย แล้วก็ check out เราจองรถตู้กลับเวียงจันทร์ไว้รอบ 8 โมงเช้า จะให้ทางโรงแรมจองให้ หรือจองเองผ่านพวกร้าน one day trip ก็ได้ ไฟล์ท Air Asia กลับไทยวันนี้รอบ 14.30 น. ต้องเผื่อเวลาเยอะๆหน่อยนะจ๊ะ เพราะเส้นทางไม่ค่อยดี ใครเมารถใช้สูตรเดิมได้เลย คือกินยาและนอนซะ 555 เราใช้เวลาบนเครื่องเพียง 1 ชั่วโมง 10 นาที เท่านั้น ยังไม่ทันได้หลับก็ถึงปลายทางแล้วว
สุดท้ายนี้….ใครที่ชอบท่องเที่ยวแบบแอดเวนเจอร์ อยากให้ไปสัมผัสที่วังเวียงสักครั้ง เพราะมีกิจกรรมให้ทำมากมาย ไม่ว่าจะปีนเขา ชมวิวสวยงาม หรือจะเช่ารถ bukky ขับลุยๆก็ได้ โดดน้ำที่บลูลากูน ล่องห่วงยางชิวๆในแม่น้ำซอง บอกได้คำเดียวว่า ฟิน!! จัดเป๋า จองตั๋ว แล้วก้าวขาออกไปลุยกันเล๊ยยย!!
ขอบคุณสำหรับการติดตามมากนะคะ ^^
กานต์เดินทาง
วันอังคารที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2561 เวลา 09.06 น.