และแล้ว ก็ได้เวลา มารีวิว สักที

รอบนี้ เราไปเที่ยวกันที่เวียดนามกลางนะคะ 4 วัน 3 คืน

10-13 Nov 18 ตามมาเที่ยวกันค่ะ ว่าจะมีอะไรน่าเที่ยวบ้าง

จริงๆแล้ว ทริปนี้เป็นทริปกะทันหัน มาก เพราะตอนแรกจองตั๋วโปร ของ air asia ไว้คือจะไปเวียดนามเหนือ จะไปเที่ยวซาปา

แต่ดันถูก cancel เลยได้เปลี่ยนแผนมาเวียดนามกลางแทน ซึ่งก็ถูกใจเจ้มากๆ เพราะอยากไปอยู่แล้ว



การเดินทาง


เดี๋ยวนี้สะดวกสบายมาก เพราะสามารถบินตรง จาก กทม. ไปถึง ดานัง ได้เลย

เราเลือกไปสายการบินแอร์เอเชีย ค่าตั๋วไปกลับ อยู่ประมาณ 3000 - 4000 บาท

ประมาณนี้นะ จำราคาไม่ได้ แต่ถ้าจองเร็วก็น่าจะถูกกว่านี้นะ



การเตรียมตัวก่อนไป

1 เตรียม passport ให้พร้อมก่อนไป ที่เวียดนามไม่ต้องใช้ visa


2 เตรียมแลกเงิน ย้ำว่า ควรแลกไปก่อนจะได้ไม่เสียเวลา แนะนำว่าไม่ต้องแลกไปเยอะ เพราะมันจะงงตอนนับเพราะได้เงินดอง กลับมา เป็นล้านดอง จากประสบการณ์ เราว่า แลกแค่จำเป็นก่อนไม่พอ ค่อยไปแลกเอาที่เวียดนามได้ โดยอาจจะแลกเป็นเงินดอง ไปเลย ที่superrich ซึ่ง rate ก็ได้ราคาดีอยู่ หรือทำแบบเรา คือแลกดอลลาร์ก่อน แล้ว พอถึงที่สนามบินเวียดนามค่อยมาแลกเป็นดอง แล้วเก็บดอลล่าห์ ไว้ เผื่อไม่พอ ค่อยแลก เพราะถ้าเป็นเงินดอง ถ้าเหลือ แลกคืน ไม่คุ้ม แต่ถ้าเหลือเป็นดอลลาห์ แลกคืนคุ้มกว่า

ปล. จุดแลกเงินที่สนามบินดานัง คิอ ออกจากสนามบิน แล้วเลี้ยวซ้ายจะเจอเลย มีหลายร้านมาก rate ก็ดีอยู่


3 สำหรับซิม internet ไปหาซื้อที่สนามบินดานัง ได้เลย (เริ่มเปิดขาย 7 น. ) เลือกว่าอยู่นานเท่าไหร่ ถ้าไม่เกิน 7วัน ทุกร้าน 4 ดอลลาห์ หมด หรือใช้เป็นเงินดอง ทุกร้านก็รับเงินไทยนะ และอยากบอกว่า เน็ตที่นี่ เร็วกว่าบ้านเรามาก ชอบสุด ๆ


4 จองที่พัก อันนี้แล้วแต่สะดวก และตามงบ ของแต่ละคนเลย ของเรา ตอนแรกเลือกจองที่บานาฮิลล์ 1 คิน (พัก mecure french village ราคารวม 2348.77) และที่ฮอยอัน 1 คืน ( พักที่ Hoi An Ivy Hotel คืนละ 1053 บาท อยู่ใกล้เขตเมืองเก่าและnight market มาก เดินไปถึงเลย) ส่วอีกคืนค่อยหาเอาอีกที


สุดท้าย เตรียมเสื้อผ้า หน้าผมให้พร้อม แล้ว ลุยเลย

เวลาที่ไทยกับที่เวียดนาม เท่ากันไม่ต้องปรับเวลาเลย พอไปถึงสนามบิน เราก็จะต้องหารถไปบานาฮิลล์ เคยอ่านรีวิวมา ว่า ใหใช้ grab taxi

ตอนแรก แอบงง ว่า มันต้องโหลด app ของเวียดนามป่ะน่ะ สุดท้ายอ่อ มันคือใช้ app grab taxi แบบเดียวกับบ้านเรานี่แหละ 555

พอเราคนเลือก มันก็จะขึ้นมา ให้เลือก ซึ่งก็ง่ายนะ แต่เราขี้เกียจรอไง เพราะหิว และอยากไปถึงเร็ว เพราะถ้าเรียก grab ราคาประมาณ 300000-400000 ดอง บวกค่าเข้ามาในสนามบินอีก 100000 ดอง ตกราคาประมาณ 500- 700 บาท



เราเลยเลือกขึ้นแบบเหมาเลย 500000 ดอง รวมค่าเข้าสนามบิน แล้ว แล้วก็ตรงไปบานาฮิลล์เลย

จากรูปจะเห็นว่าสถานี Cable Car ด้านล่าง นั้นจะมี 2 สถานี คือ

1. ตรงที่เขียนว่า Ba Na Cable Entrance ตรงนี้สำหรับนักท่องเที่ยวทั่วไปที่จะขึ้นไปด้านบนต้องซื้อตั๋วและขึ้นที่นี่

2. ส่วนที่เขียนว่า สถานีที่ 5 (Station 5) หมายเลข 1 ในรูปจะเป็น Reception ของโรงแรม Mercure

แท็กซี่จะไปส่งเราที่สถานีที่ 5 นี้

เมื่อถึงหน้า Reception จะมีพนักงานออกมารับแล้วพาไปเช็คอิน

ที่เค้าท์เตอร์เช็คอิน ให้ยื่นใบจองให้พนักงาน ยื่นพาสปอร์ตของผู้เข้าพัก จากนั้นจะมีเอกสารให้เซ็นต์นิดหน่อย

ถ้าห้องพักที่จองเป็นแบบไม่รวมอาหารเช้า แล้วต้องการซื้ออาหารเช้าเพิ่ม ให้แจ้งพนักงานและจ่ายเงินที่ตรงนี้

ค่าอาหารเช้าแบบบุฟเฟ่ คนละ 215,000 ดอง (ประมาณ 320 บาท) ต่อมื้อ

* แนะนำให้จองห้องรวมอาหารเช้า หรือทำการซื้อไปเลย เนื่องจากตอนเช้าร้านอาหารจะยังไม่เปิด



ต่อมาเราจะต้องจ่ายค่ากระเช้าเพื่อขึ้นไปบนโรงแรม สำหรับผู้ที่เข้าพักกับโรงแรมเมอเคียว ผู้ใหญ่ 400,000 ดอง เด็ก 300,000ดอง



อันนี้เป็นราคา ค่ากระเช้าของคนที่พักที่นี่ ถ้าไม่ได้พัก น่าจะราคาประมาณ 650000 ดอง

เมื่อเรียบร้อย พนักงานจะให้

- เอกสารมาห้องละ 1แผ่น (น่าจะเป็นเอกสารสำหรับเข้าพัก)

- นามบัตรสำหรับเอาไปแลกคีย์การ์ดห้องพักที่ด้านบน

- บัตรขึ้นกระเช้า

- แผนที่โรงแรม

พร้อมทั้งอธิบายเงื่อนไขต่างๆ เช่น

- อาหารเช้าเริ่ม 6.30-10.30

- สามารถใช้สระว่ายน้ำ(ในร่ม),ฟิตเนสได้ฟรี

- สามารถเข้าสวนสนุก Fantasy Park และเล่นเครื่องเล่นได้ฟรี (ส่วนใหญ่ฟรี มีบางส่วนที่เสียเงินเพิ่ม)

- สามารถนั่งกระเช้าที่ Gare Morin ไปเที่ยวสวนดอกไม้ LE JARDIN D’AMOUR และชมโรงไวน์ DEBAY WINE CELLAR ฟรี


และแล้วก็ถึงเวลานั่งกระเช้า ที่ยาวที่สุดในโลก แล้วจ้า

ที่เห็นยิ้มๆน่ะ จริงๆ กลัวมาก เสียวท้องมาก เพราะมันสูงมากจ้า

แต่ถ้าใครไม่ไหวจะอ้วก ข้างๆประตูมีที่ใส่ถุงอ้วก ให้ด้วยนะ เรานี่เกือบแล้ว

“Ba Na Hills” เมืองดานังแห่งนี้ ถือเป็นที่พักตากอากาศดีที่สุดของเวียดนาม และเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่นิยมมากที่สุดแห่งหนึ่งด้วย อยู่ห่างจากตัวเมืองประมาณ 40 กิโลเมตร นักท่องเที่ยวนิยมนั่งกระเช้าเพื่อชมความสวยงามของธรรมชาติระหว่างทางไปเทือกเขาบาน่า โดยกระเช้าของที่นี่ได้รางวัล Guinness World Records ว่าเป็นกระเช้าที่ยาวที่สุดถึง 5,042 เมตร (ไม่หยุดระหว่างทาง) และกระเช้าที่สูงที่สุด 1,291 เมตร



และแล้วก็มาถึงด้วย เดินออกมาเห็นแบบนี้ หายเหนื่อยเลยจร้า



ตืนตะลึงกับวิว สักพัก แล้วเกิด อาการงง ไปเช็คอิน ตรงไหนต่อว้า

สุดท้ายดูจากแผนที่ ที่ทางlobby ให้มา สรุปงง เดินวน อยู่นาน


สรุปสุดท้าย ตึกที่ ต้องไปติดต่อ คือเดินออกจาก cable car เลี้ยวขวา ถึงเลย ตึกตรงข้ามโบสถ์ ชื่อตึก paris

เดี๋ยวหาแผนที่ เจอ จะมาโพสต์ลงอีกที นะคะ 555

จากรูปก็คือ ตึก ด้านขวามือ แหลมๆ นั่นแหละค่ะ เข้าไป check in แล้วเจ้าหน้าที่จะพาไปห้องพักอีกที

อันนี้รูปในห้องนอน ของเรา พักแป๊บ นึงจากนั้นก้ตะลุย เที่ยวก่อนเลยจร้า ตอนขึ้นมามีฝนโปรยๆ นิดๆ แอบใจเสีย ถ้าตกแรงคงเที่ยวไม่สนุกแน่ๆเลย แต่สุดท้ายตกแป๊บเดียว จากนั้นก็แดดจร้าเลยจ้ะ แต่อากาศเย็นสบายเชียว




อันนี้ถ่ายจากหน้าต่าง ตรงห้องพัก สวยไหมค่ะ














วันนี้คนมาเที่ยวกันเยอะเลยค่ะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยตืนแต่เช้า แล้วตามเก็บถ่ายรูปอีกที



แต่ตอนนี้หิวมาก หาของกินก่อน

นี่คืออาหารมื้อแรกของเรา เรียกว่าอะไรจำไม่ได้ แต่อร่อยอยู่นะ

ไปหาข้อมูลมา ว่ามันคือ

บุ๋นจ่า (Bun cha) ชาวเวียดนามนิยมรับประทานเป็นมื้อกลางวัน วิธีสังเกตง่ายๆ คือสัก 11 โมง เราจะเริ่มเห็นร้านที่นำเนื้อหมูมาย่างจนควันโขมง นั่นแหละเขากำลังเตรียมบุ๋นจ่าอยู่ โดยมีทั้งเนื้อหมูหมักปั้นก้อน และหมูสามชั้น ย่างถ่านจนเกรียมได้ที่ รับประทานพร้อมน้ำแกงใส เส้นขนมจีน และผักสดชามใหญ่ๆ ในชุดของบุ๋นจ่ามักมีปอเปี๊ยะทอดไส้ปู (nem cua be) เสิร์ฟมาพร้อมกันด้วย






ทางเดินไปขึ้นกระเช้าไป golden bridge









จากนั้นก็ไปนั่งกระเช้า เพื่อไปดูสะพาน golden bridge สุดฮิต กับสวนดอกไม้ค่ะ










ขึ้นมาตอนแรกคนเยอะมาก แต่เราพักที่นี้ เลยอยู่รอเย็นๆ คนจะน้อยลง ที่นี้แหละ ถ่ายรูปเพลินเลย

คนน้อย ถ่ายรูปสวยเลยค่ะ

สะพานตรงนี้ บรรยากาศดีมาก มีเปิดเพลงเบาๆ อากาศเย็น หมอกลอยมาเป็นระลอก โรแมนติคสุดๆค่ะ




อันนี้เป็นรูปบริเวณสวนดอกไม้ และตรงพระใหญ่แต่เราว่าตรงจุดนี้ สะพานมือ golden bridge นั้น สวยสุดแล้วจร้า



พอตกกลางคืน ที่บานาฮิลล์จะน้อยมาก จะเหลือแค่คนที่พักที่นี่ คนที่มากับทัวร์ เวลาอาหารเย็น เค้าจะซื้อรวมบุฟเฟห์ไว้

ส่วนเราไปกันเอง ทำไงล่ะทีนี้ ร้านอาหารปิดหมดแล้ว ไม่มีมินิมาร์ทด้วย สุดท้ายก็ต้องมาซื้อบุฟเฟห์ อาหารนานาชาติกิน

ราคาคนละ 400000 ดอง แต่อาหารอร่อยเลยค่ะ คุ้มอยู่นะ ส่วนมื้อเช้า ของเราซื้อรวมที่พัก ก็เลยมีของกิน แต่ถ้าใครจะเลือกแบบไม่รวมอาหารเช้า ก็ต้องรอ ร้านค้าเปิด น่าจะสัก 8 โมงได้ค่ะ




เช้าวันรุ่งขึ้น เรารีบตื่นตั้งแต่ 6 โมงเช้า แต่งตัวรีบพุ่งมา ถ่ายรูปเลยค่ะ ก่อนนักท่องเที่ยวจะขึ้นมากันรูปภาพที่ออกมาก็จะได้ประมาณนี้ค่ะ ฟินเลยค่ะ ขอบอก



เครื่องเล่นที่ห้ามพลาด ของที่นี่ก็คือ

เรานี่ไปรอต่อแถวก่อนเปิดเลย เพราะกลัวคนเยอะ

และแล้วก็ได้เล่น สนุกดีนะ ความเร็วขึ้นอยู่กับเราปล่อยคันเร่ง ถ้าอยากได้เร็วก้ปล่อยเลย

และที่สำคัญ มีจุดที่มีกล้องไว้ถ่ายภาพให้เราเอาซื้อกลับไปเป็นที่ระลึกด้วยนะ



นอกเหนือจากนั้น ก็เครื่องเล่นทั่วๆไป ถ้าใครมีเวลาก็ไปเดินตามเล่นกันได้

วันนี้ พอแค่นี้ก่อนนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้มาต่อ Hoi An กันต่อจร้า

วันนี้ เราจะไปเที่ยว ฮอยอัน ต่อนะคะ

สำหรับการเดินทาง ของเรา ก็นั่งกระเช้าลงมาที่ lobby โรงแรมข้างล่าง แล้วให้ทางโรงแรมเรียก Taxi ให้ค่ะ หรือใครจะเนชรียก grab taxi ก็ได้นะคะ แต่เห็นมีบางคนก็นัดรถ TAXI ที่มาส่งขามา มารับอีกทีก็ได้ค่ะ



เมืองฮอยอัน อยู่ห่างจากเมืองท่าดานัง ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ระยะทางประมาณ 30 กิโลเมตร ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำทูโบน ห่างจากชายฝั่งทะเลเข้ามาตอนในระยะทางไม่กี่กิโลเมตร เมืองเก่าโบราณที่เต็มไปด้วยเสน่ห์แห่งนี้ ครั้งหนึ่งในอดีตเคยเป็นเมืองที่มีความเจริญรุ่งเรืองมาก ในบริเวณที่เคยเป็นไดเวียดกลางภายใต้การปกครองของขุนนางเหวียน และปรากฏอยู่ในแวดวงของนักเดินทางตะวันตกในศตวรรษที่ 17 และ 18 แรกเริ่มเมืองฮอยอันเคยเป็นเมืองท่าชายทะเลในอาณาจักรจามปา เรียกกันในชื่อว่า ได๋เจียน โดยมีเมืองหลวงอยู่ที่ตราเกียว และมีศานสถานอันศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่หมี่เซิน ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากฮอยอันมากนัก



และแล้วก็มาถึง ฮอยอัน หลังจาก check in เก็บกระเป๋าเรียบร้อย เราก็พุ่งตรง ไปเดินเล่น เขตเมืองเก่าเลยจร้า



จากที่พัก Ivy hotel เดินไปแป็บเดียวก็ถึงเลยค่ะ

สะพานญี่ปุ่น (Japanese Covered Bridge)

สัญลักษณ์อย่างหนึ่งของเมืองฮอยอันที่คุณต้องมาชมคือ สะพานญี่ปุ่น ได้รับการก่อสร้างโดยชุมชนชาวญี่ปุ่นเมื่อ 400 กว่าปีที่แล้ว รูปทรงโค้งของสะพานและหลังคามุงกระเบื้องสีเขียวและเหลืองเป็นคลื่น ตรงกลางสะพานมีเจดีย์ทรงจัตุรัสที่สร้างอุทิศให้แก่ดั๊กเดและตรันหวู ก่อนเดินข้ามสะพานด้านซ้ายมือจะมีรูปปั้นสุนัขกำลังนั่ง และเมื่อข้ามไปแล้วก็จะเจอกับลิงอีกตัว นับเป็นสิ่งที่ช่างสมัยก่อนแสดงให้เห็นถึงระยะเวลาในการก่อสร้าง สะพานแห่งนี้ เมื่อข้ามสะพานมายังอีกฟากหนึ่งของเมือง คุณจะพบเห็นบ้านเรือนเก่าสไตล์ญี่ปุ่นแท้ๆ ตลอดจนร้านสไตล์อาร์ตแกลอรี่ ริมถนนคนเดินสองฟากฝั่งถนนให้คุณได้เลือกซื้อเลือกชม

ที่นี่ นักท่องเที่ยว นิยมซื้อชุดอาวหญ่าย มาใส่ถ่ายรูป เราก็เป็นคนนึง ที่เห็นแล้วก็อยากใส่ เลยอดไม่ได้

ค่าเข้าเมืองโบราณฮอยอันนั้น จะอยู่ที่คนละ 120,000 ดอง (ประมาณคนละ 185 บาท)สามารถเข้าชมได้ 5 สถานที่ภายใน 1 วัน หลังจากได้ตั๋วมาแล้ว ก็ได้เวลาเดินเที่ยวค่ะ ที่ฮอยอันนี้ เราจะเลือกเดินเล่นไปตามตรอกซอกซอยเองก็ได้ หรือ จะเช่าจักรยานปั่นเที่ยวก็ได้ค่ะ ราคาค่าเช่าจักรยานจะอยู่ที่คันละประมาณ 25,000 ดอง (38 บาท)



ปี พ.ศ. 2542 องค์การยูเนสโก ก็ได้ประกาศให้ฮอยอันเป็นเมืองมรดกโลกทางวัฒนธรรม เพราะความงดงามและเก่าแก่ของบ้านเมือง รวมทั้งเอกลักษณ์อันโดดเด่นที่ยังคงสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งนั่นทำให้ผู้คนหลั่งไหลเข้ามายังเมืองแห่งนี้ ประดุจน้ำในแม่น้ำทูโบนที่ไหลหล่อเลี้ยงผู้คนไม่เคยเปลี่ยนแปลง

มาค่ะ มาดูบรรยากาศในเมืองกันค่ะ แนะนำให้มาช่วงเย็นๆนะคะ จะได้เดินสบาย เพราะอากาศที่นี้ร้อนพอๆกับบ้านเราเลยค่ะ



รถแบบนี้ นักท่องเที่ยว ชอบมานั่งกันค่ะ ใครอยากลองก็เชิญน้า ของเราขอป็นเดินเที่ยวดีกว่า อิอิ

สมาคมฟุกเกี๋ยน (Phouc Kien Assembly Hall)

ถนนสายตรันฝู นอกจากจะเป็นศูนย์กลางของการเที่ยวชมเมืองโบราณฮอยอันแล้ว ยังเป็นศูนย์รวมของชาวจีนที่อพยพเข้ามาในช่วงปี พ.ศ.2388-2428 จะเห็นได้จากบ้านเก่าแก่ประจำตระกูลกว่า 20 หลัง ตลอดจนจั่วฟุกเกี๋ยนที่สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2335 ซึ่งถือเป็นสามคมชาวจีนที่ใหญ่และเก่าแก่ที่สุดของเมืองฮอยอัน ใช้สำหรับเป็นที่พบปะของคนหลายรุ่นที่อพยพมาจากฟุกเกี๋ยนที่มีแซ่เดียวกัน และยังใช้เป็นที่ระลึกถึงถิ่นกำเนิดและบูชาบรรพบุรุษของตน



และภายในยังเป็นที่ตั้งของวัดที่สร้างขึ้น เพื่ออุทิศให้กับลัทธิของพระนางเทียนเห่า

อันนี้ ภาพในตลาดฮอยอัน อยู่ในเขตเมืองเก่า เดินไปเรื่อยๆจะเจอ ตลาดเหมือนเราเลยจร้า

ตกเย็นก็มาเดินเล่น ริมแม่น้ำทูโบน กันค่ะ ที่นี่ตอนเย็นๆ บรรยากาศดีมาก

มีนั่งเรือชมวิว แล้วพอตกค่ำ มีลอยกระทงด้วยนะ

เราอยู่ ฮอยอัน 2 คืนเพราะอยากจะเที่ยวให้รอบๆ เลยไม่ได้ไปเที่ยวเว้ ต่อ เพราะเวลาไม่พอ

แต่ถ้าใครพักที่ฮอยอัน แล้วอยากไปเที่ยวที่เว้ ต่อ ง่ายมาก เพราะไม่ว่าจะเป็นที่โรงแรม หรือบริเวณย่านเมืองเก่า ที่เดินเที่ยว จะมีขาย package one day trip หลายที่มาก เลือกเอาเลย ว่า จะไปเที่ยวที่ไหน ไปบานาฮิลล์ ก็มี ไปเว้ ไปเที่ยวเกาะจาม



แต่สำหรับเรา หลังจากที่ไปต่อราคาชุดอาวหญ่ายมาได้ ใน ราคา 400000 ดอง เลยคิดว่า เช้าวันรุ่งขึ้น จะรีบตื่นมาถ่ายรูป ก่อนคนมาเยอะ

เลยจะเอารูปมาโชว์นะ ว่าใส่ชุดอาวหญ่าย ถ่ายรูป มันสวยไหม



เริ่มกันเลยจร้า



มาค่ะ ต่อไปมาในส่วน ของ ของกินในเวียดนามกันบ้างค่ะ



อันนี้เป็นของกินอันแรก ที่มากินเมื่อถึงฮอยอัน

มันเรียกยากอ่ะ จำไม่ได้ แต่รสชาติ เหมือนข้าวเกรียบปากหม้อ มีหมูยอด้วย อันนี้รสชาติ โอเค ทานได้ค่ะ แนะนำ

อันนี้ น่าจะเป็น อาหารยอดฮิต ของเวียดนาม ที่เรียก Cao lau อันนี้มีขายเยอะมากในเวียดนาม

รสชาติ กลางๆอ่ะ จืดๆ แต่ก็พอกินได้ เหมือนก๋วยเตี๊ยว ที่ยังไม่ได้ปรุง😀😀😜



เกาเหลา (อ่านอย่างนี้จริงๆ) อาหารถิ่นยอดนิยมอีกหนึ่งอย่างของเวียดนาม เปิดขายกันทั่วบ้านทั่วเมือง ถ้าเป็นในไทยเราเข้าใจว่าเป็นก๋วยเตี๋ยวไม่ใส่เส้น แต่ของที่นี่จะมีเส้นก๋วยเตี๋ยวหนาๆ หน่อย คล้ายเส้นอุด้งใส่ไปด้วย ส่วนผสมอย่างอื่นก็มีแป้งเกี๊ยวกรอบ เนื้อหมู ถั่วงอก ถั่วลิสง



อันนี้ ไม่รู้เรียกอะไร แต่คล้ายๆเกี๊ยวน้ำอ่ะ แต่มันจืดอ่ะ😂😂

อันนี้ไม่ได้กิน แต่ถ่ายรูปมา มีขายเยอะมาก



บั๋นหมี่ (Banh mi) แซนด์วิชเวียดนามแท้ๆ แฝงด้วยอิทธิพลจากฝรั่งเศส เป็นการนำเอาขนมปังฝรั่งเศส หรือบาแกตต์ (ที่ประยุกต์สูตรแล้ว แป้งขนมปังจะอ่อนนุ่มกว่าบาแกตต์ที่ทั้งแห้ง และแข็ง) มายัดสารพัดไส้จนแน่น ในเวียดนามมีหลายสูตรมากต่างกันไปแล้วแต่ภูมิภาค ถ้าทางเหนือนิยมรับประทานแบบง่ายๆ มีแค่ขนมปัง มาร์การีน และปาเต (pâté เนื้อบดละเอียดหรือส่วนผสมของเนื้อและตับบดหยาบ ๆ เป็นอาหารยุโรปประเภทหนึ่ง) แต่ถ้าลงมาทางใต้ก็จะครบเครื่อง มีทั้งหมูยอ หมูย่าง ชีส ไส้กรอก ไข่ดาว ผักชี ผักสด ซอสพริก ฯลฯ เป็นอาหารเช้าที่มีคุณค่าทางโภชนาการครบถ้วน



อันนี้ลูกชิ้นทอดอ่ะ ไม่ค่อยอร่อย บ้านเราอร่อยกว่า อันนี้แป้งมันเยอะอ่ะ🤣🤣🤣



อันนี้ป้าคนขายบอก มันเรียกmango cake แต่กินไป ไม่เห็นได้รสชาติ มะม่วงเลย555 แต่ก็กินได้อยู่นะ

อันนี้ปลาหมึกย่างจร้า

อันนี้น้ำดอกบัว ที่ใครไปฮอยอัน ต้องแวะกิน มีร้านเดียว แก้วละ10000 ดอง

รสชาติเหมือนน้ำผึ้งมะนาว นะ อร่อยดี

เวลากลางคืน ที่ฮอยอัน จะมี night market ให้เดินเล่น ก็จะมีของขาย พวกของที่ระลึก ร้านโคมไฟ จะขายเยอะมาก เพราะใส่ไฟ เปิด กลางคืน สวยมากค่ะ มาดูกัน



อันนี้ ถ่ายจากมือถือ นะคะ ก็จะประมาณนี้ ถ้าพกกล้องดีๆไป รับรองถ่ายออกมา สวยกว่านี้ แน่ค่ะ



ส่วนบรรยากาศ night market ก็จะมีร้านนั่งกิน street food และมีร้านขายของที่ระลึก

ส่วนระยะเดินก็ไม่ยาว เท่าถนนคนเดิน เชียงใหม่ นะคะ เดินสักพักก็ครบ






ของขาย ก็จะประมาณนี้ค่ะ




จบไปอีก 1 วัน ที่ฮอยอัน

พรุ่งนี้เช้า เราจะตระเวน ขี่รถเที่ยวรอบเมือง เพราะเราเช่ารถมอเตอร์ไซค์ที่ โรงแรมหาให้ วันละ 250000 ดอง แต่รถที่นี่ขับชิดขวา นะจ้ะ ช่วงแรกๆ ก็จะงง เล็กน้อย เวลาเลี้ยวรถ แต่สักพัก ก็ปกติจร้า





ภาพยามเช้าที่ฮอยอัน สงบ เรียบร้อย มัน slow life จริงๆ



ตอนบ่ายๆ เย็นๆ เราสามารถขี่ไปทะเล ได้แล้วนะ ห่างจากเมืองแค่ 5 Km เองจร้า

An Bang & Cua Dai Beach : ทะเลเวียดนาม

ฮอยอัน ใช่ว่าจะมีแต่เมืองเก่าเท่านั้น แต่ก็ยังมีทะเลสวยๆ ให้เที่ยวด้วย มีอยู่ 2 หาด ที่สวยงามและเป็นที่นิยม นั่นก็คือ หาด An Bang และ หาด Cua Dai ซึ่งทั้ง 2 หาดก็อยู่ติดกัน และอยู่ห่างจากตัวเมืองฮอยอัน ไปราว 5 กิโลเมตรเท่านั้น



มาดูทะเล เวียดนามกันจร้า



ที่นี่มีฝรั่งเยอะมากเลย ค่ะ

อันนี้คือเรือกระด้ง ค่ะ มีให้ดูที่เวียดนาม นะคะ อันนี้เค้าออกหาปลากัน

จริงๆ นักท่องเทียว ถ้าอยากลองนั่งเรือกระด้ง แถวชายหาด ก็มีนะคะ แต่เราไม่ได้นั่งจ้ะ

โอเค และแล้ว ก็ต้องจบทริป เวียดนามกลาง ของเรา 4 วัน 3 คืน เป็นอีกทริป ที่ประทับใจ นะคะ เพราะได้เที่ยว ทั้ง เมืองใหม่ สไตล์ ยุโรป

เมืองเก่า ฮอนอัน แล้วยังได้มาทะเลอีก

จริงๆ เหลือที่เที่ยวอีกหลายที่ แต่ เราจะยังไม่เที่ยวให้หมด ในทีเดียว เพราะจะได้เก็บไว้มาอีก



ขอบคุณ คนที่ติดตาม อ่านมาถึงหน้านี้นะคะ

จริงๆ ขี้เกียจ ทำรีวิวมาก เพราะรูปมันเยอะมาก

แต่ก็ต้องฮึด มาทำ เพราะมีคนถามถึง5555

แต่ก็ทำได้แค่นี้นะ มือสมัครเล่น แอบรีวิว😜😜😜😜



ไว้รอบหน้าไปเที่ยวแล้ว จะมารีวิวอีกนะ

อย่างน้อย ก็เป็นสมัดบันทึก ของตัวเองได้

เวลาย้อนกลับมาอ่าน ก็จะนึกถึงเวลาที่มีความสุขทุกครั้งที่ได้ไปเที่ยว❤️❤️❤️❤️



Bye bye vietnam 🇻🇳🇻🇳🇻🇳

แล้วเราจะไปเที่ยวใหม่

ความคิดเห็น