หลายคนคุ้นเคย กับ ฮอกไกโด ในภาพของฤดูหนาว หิมะเยอะๆ หรือทุ่งลาเวนเดอร์ ทริปนี้เราจะพาไปชมความงามของช่วงใบไม้เปลี่ยนสี ที่ Tokachi กันบ้าง
Tokachi เป็นภูมิภาคหนึ่งทางตะวันออกของ ฮอกไกโด โดยมีเมือง Obihiro เป็นจุดศูนย์กลางของภูมิภาคนี้ การเดินทางมาเที่ยวที่นี่สะดวกสบาย สามารถเช่ารถขับจาก ซัปโปโร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2-3 ชั่วโมง หรือสามารถนั่งรถสาธารณะก็ได้ มีทั้งรถไฟ JR วิ่งมาลงสถานี Obihiro และรถบัสวิ่งรอบๆเมือง แต่เราแนะนำว่าเช่ารถขับจะสะดวกสุด ระหว่างทางเจอวิวสวยๆอยากแวะจอดตรงไหนก็ทำได้ การขับรถในญี่ปุ่น จริงๆไม่อยากเลย คล้ายกับบ้านเรา เพียงแต่ที่นี่ต้องทำตามกฏของเค้าอย่างเคร่งครัด ห้ามแหกกฏเด็ดขาด
ที่ Tokachi เป็นภูมิภาคที่ยังคงความสวยงามของธรรมชาติอยู่เยอะ สามารถเที่ยวได้หลายฤดู ผู้คนเป็นมิตร มีสถานที่เที่ยวแบบ Unseen ซึ่งแตกต่างกับที่เที่ยวตามโปรแกรมที่หลายคนเคยไปมาแน่นอน ทริปนี้เราอยู่ที่ Tokachi ทั้งหมด 3 วัน ตามไปดูกันค่ะ ว่ามีสถานที่เที่ยว ที่พัก ที่กิน ที่ไหนเด็ดๆที่น่าสนใจบ้าง
ปล.รูปอาจจะเยอะนิดนึงนะคะ เพราะทริปนี้เราถ่ายเยอะมาก สถานที่มันสวยเลยอยากมาแบ่งปันให้เพื่อนๆได้ดูกันค่ะ เพื่อเป็นแนวทางสำหรับคนที่สนใจอยากลองไปเที่ยวที่นี่ดูค่ะ
Day 1
เริ่มที่การเดินทางวันแรกกันก่อนเลย โดยทริปนี้เราไปช่วงเดือน ตุลาคม เป็นช่วงที่ตรงกับฤดูใบไม้เปลี่ยนสีของ ฮอกไกโด พอดี ซึ่งที่ฮอกไกโดนี้ ใบไม้จะเริ่มเปลี่ยนสีเร็วกว่าที่อื่นๆในประเทศญี่ปุ่นค่ะ ตามโปรแกรมวันแรก เราจะมุ่งไปตามล่าใบไม้แดงกันที่ สวน Fukuhara Sansou(福原山荘
จากตัวเมืองซัปโปโร ใช้เวลาประมาณ 2-3 ชั่วโมง เนื่องจากออกเดินทางกันแต่เช้า ระหว่างทางก็แวะกินข้าวก่อนค่ะ เราแวะทานกันที่ร้าน Tokachi -tei ซึ่งตรงนี้จะเป็นจุดชมวิวที่ราบ Tokachi Heiya จุดชมวิวนี้ตั้งอยู่บนถนนหลวงหมายเลข 274 สามารถมองเห็นทิวเขา Daizetsu กับ Akan ได้ มองไปจะเริ่มเห็นใบไม้เปลี่ยนสี ตามทิวเขาเป็นสีเหลือง ส้ม เขียว สลับกันสวยงามมากค่ะ
อิ่มท้องแล้วก็มาลุยใบไม้แดงที่ สวน Fukuhara Sansou(福原山荘) กันเลย ที่นี่เป็นสวนส่วนบุคคล ของคุณ Fukuhara ซึ่งเป็นเจ้าของกิจการและศิลปิน ที่สร้างอาคารแสดงศิลปะของเขาเองในสวนแห่งนี้
โดยในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี ประมาณกลางเดือนกันยายน - กลางเดือนตุลาคม ทางสวนจะเปิดให้เข้าชมความงามของใบไม้เปลี่ยนสีในสวนแห่งนี้ โดยไม่เก็บค่าเข้า ซึ่งคนส่วนมากที่มาเที่ยวก็จะเป็นคนท้องถิ่น คนน้อย และไม่มีทัวร์มาลงเยอะๆ ซึ่งเราถือว่า ที่นี่เป็นอีก 1 สถานที่ Unseen ของ Tokachi เลยทีเดียว
เริ่มจากป้ายทางเข้าสวนเดินเข้าไปจะเห็นสีแดง สีส้ม สีเหลือง สลับกันไปมาสวยงามมาก และเนื่องจากที่นี่เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีความ local และคนยังรู้จักไม่เยอะ ทำให้ทริปนี้เราหามุมสวยๆเก็บภาพบรรยากาศได้เพียบโดยไม่ติดคน ชอบมาก กดชัตเตอร์รัวๆ กันเลยทีเดียว กำลังเก็บภาพอยู่เพลินๆ ฝนก็ตกลงมาซะงั้น และเนื่องจากที่นี่เป็นสวนกลางแจ้ง เลยไม่มีที่หลบฝน เราเลยต้องออกเดินทางกันต่อ
มาต่อกันที่ Shihoro Kogen Nupuka no Sato(士幌高原ヌプカの里) อยู่ที่เมือง Shihoro ซึ่งเป็นที่ตั้งของ บ้านพักตากอากาศที่คนญี่ปุ่นนิยมมาพักผ่อนกันค่ะ ที่นี่มีทิวเขาที่มีใบไม้เปลี่ยนสีสวยงามอีกจุด บ้านพักของที่นี่เป็นสไตล์คอทเทจ และใกล้ๆกันมีร้านอาหาร และชั้นบนยังเป็นจุดชมวิวทิวทัศน์ซึ่งมองเห็นทุ่งหญ้า และทิวเขาที่สวยงาม สามารถมองด้วยตาเปล่า หรือจะส่องด้วยกล้องส่องทางไกลก็ได้ค่ะ ทุ่งหญ้าด้านหน้าเค้าจะเลี้ยงม้าไว้ด้วย เสียดายที่มีฝนตกโปรยๆ เลยทำให้ท้องฟ้าไม่ค่อยแจ่มใส แถมอากาศก็หนาวมากๆด้วย เราอยู่ที่นี่กันซักพักใหญ่ๆ ก็ออกเดินทางไปต่อยังที่พักคืนนี้ของเราค่ะ
เราพักกันที่ โรงแรม Daiheigen(大平原)ตั้งอยู่ในย่าน Tokachi gawa เป็นโรงแรมที่มีห้องพักสไตล์เรียวกัง และมีออนเซ็นที่ขึ้นชื่อของเมืองนี้
ตามมาดูห้องนอนกันค่ะ ภายในห้องกว้างมาก แบ่งส่วนห้องนอน เก้าอี้นั่งเล่น รวมถึงห้องอาบน้ำ และห้องน้ำแยกต่างหาก
ได้เวลาอาหารเย็น เราก็ใส่ชุดยูกาตะซึ่งทางโรงแรมเตรียมไว้ให้ในห้องพัก ลงมาทานมื้อเย็นกัน อาหารเย็นมื้อนี้ เป็นแบบอาหารชุด ซึ่งจะเสริฟมาพร้อมกัน ประกอบไปด้วย หม้อไฟ สเต็กเนื้อ ซาซิมิ ซุป เด็ดสุดของมื้อนี้ที่เราชอบมากที่สุด คือ สเต็กเนื้อ เพราะมันหอมนุ่มมาก แทบละลายในปากเลยทีเดียว อยากขอเบิ้ลมากๆ
กินเสร็จอิ่มๆเราก็มาเดินช็อปซะหน่อย ในโรงแรมมีร้านจำหน่ายของที่ระลึก ขนม เครื่องดื่มและของฝาก น่ารักๆเต็มไปหมด
ที่นี่ขึ้นชื่อเรื่อง ออนเซ็น มาเที่ยวญี่ปุ่นทั้งที แนะนำเลยว่าต้องลองแช่ออนเซ็นกันดูนะ รับรองว่าจะติดใจมีครั้งต่อๆไปอย่างแน่นอน ตอนเรามาญี่ปุ่นครั้งแรกๆ เราก็เขินอาย แล้วยิ่งมากับทัวร์ด้วย ยิ่งไม่กล้าเข้าไปใหญ่ แต่พอได้ลองแช่ดู ซึ่งมันฟินมาก ผ่อนคลาย และช่วยให้หลับสบายมากๆ ถือเป็นยานอนหลับชั้นดีทีเดียว กลับมาจากแช่ออนเซ็นปุ๊บ ก็หลับปั๊บ เดี๋ยวพรุ่งนี้เราจะพาไปขึ้น บอลลูน กันแต่เช้าค่ะ
Day 2
วันนี้ทางโรงแรมนัดเวลาแต่เช้ามาก เรียกว่าตื่นตั้งแต่เช้ามืดกันเลยทีเดียว เพราะเราจะไปขึ้นบอลลูนยักษ์ ชมวิว Tokachi กัน ซึ่งสถานที่ขึ้นบอลลูนก็คือ ด้านหลังของโรงแรม Daiheigen ที่เราพักนี่แหละ เดินลัดเลาะต้นไม้มานิดนึง ก็จะเจอลานกว้างๆ สำหรับใช้ปล่อยเจ้าบอลลูนยักษ์ขึ้นฟ้า ไปถึงทางเจ้าหน้าที่ก็กำลังสูบลมเข้าบอลลูนอยู่ และเตรียมพ่นไฟเพื่อให้บอลลูนลอยขึ้นฟ้า
โดยการขึ้นบอลลูนไปชมวิว เค้าจะจัดแบ่งให้ขึ้นเป็นกลุ่ม ประมาณ 4-5 คน โดยความสูงที่ปล่อยบอลลูนจากพื้นประมาณ 50 เมตร ก็สูงพอสมควรเลยทีเดียว แต่เนื่องจากเราเป็นคนไม่กลัวความสูง ก็เลยไม่ค่อยตื่นเต้นเท่าไหร่
มองจากด้านบนบอลลูน จะมองเห็นวิว Tokachi ได้แบบ 360 องศาเลยทีเดียว ช่วงที่เราขึ้น พระอาทิตย์ขึ้นมาค่อนข้างเยอะแล้ว แสงเลยจะจ้าซักเล็กน้อย แต่ก็มองเห็นวิวแม่น้ำ Tokachi -gawa อยู่ไกลๆ และเนื่องจากคนรอต่อคิวขึ้นเยอะพอสมควร การขึ้นแต่ละรอบก็จะใช้เวลาประมาณ 1-2 นาที เท่านั้นค่ะ เราว่าน้อยไปนิด ยังเก็บภาพบรรยากาศไม่เยอะเลยก็ต้องลงซะแล้ว
กลับมาจากชมวิวบอลลูน ก็มาทานมื้อเช้าที่โรงแรม และเก็บกระเป๋า เช็คเอ้าท์ออกเดินทางกันต่อค่ะ
เราแวะกันที่ Tokachi Girls Farm (十勝ガールズ農場) ซึ่งเป็นฟาร์มใหม่ของภูมิภาค Tokachi เพิ่งเปิดตัวในปี 2016 ซึ่งชื่อของ Tokachi Girls Farm ก็มาจากสาวๆ ที่รวมกันสร้างฟาร์มขึ้นมา เพื่อที่จะทำให้เป็นฟาร์มท่องเที่ยวสไตล์เดียวกับแถบยุโรป เพื่อถ่ายทอดให้นักท่องเที่ยวได้มาสัมผัสบรรยากาศ และเสน่ห์ของการทำฟาร์ม
ซึ่งที่ฟาร์มนี้จะมีกิจกรรมต่างๆ ให้ได้ทดลองทำ เช่น การทดลองขับรถแทรกเตอร์ ซึ่งเป็นครั้งแรกเลยที่เราได้ลองขับ แรกๆก็จะเกร็งๆ แต่เค้าจะมีคนคอยสอนและคุมอยู่บนรถด้วยนะคะ ไม่ต้องกลัว
ที่ฟาร์มเค้าจะปลูกพืชผักมากมาย มีทั้งฟักทอง ,มันฝรั่ง ,ข้าวโพด ,มันม่วง และพืชอื่นๆหมุนเวียนตลอดปี และเรายังมีโอกาสได้ชิม ผลผลิตจากฟาร์ม อาทิ น้ำฟักทอง มันต้ม ซึ่งต้องบอกว่า เป็นน้ำฟักทองที่เข้มข้น อร่อยสุดๆไปเลยจ้า
ทางฟาร์มเค้ายังพาเดินชม พืชผลที่ปลูกไว้ในสวน สอนวิธีเก็บ แถมยังใจดี แบ่งปันผลฟักทอง ,มันฝรั่ง ให้ติดไม้ติดมือกลับมาด้วยค่ะ
ใครที่ชอบธรรมชาติ และวิถีชีวิตแบบชนบทลองแวะมาเที่ยวที่นี่กันดูค่ะ
ออกจากฟาร์ม เราตรงไปที่ร้านขนมปัง Masuya (ますやパン麦の音) กันค่ะ
ที่นี่เป็นร้านขนมปังชื่อดังที่ดีที่สุดและใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น วัตถุดิบมาจากในย่าน Tokachi ทั้งหมด ถือเป็นร้านขนมปังเก่าแก่และขึ้นชื่อ ประจำเมือง Obihiro เพราะเปิดบริการตั้งแต่ปี ค.ศ. 1950
โดยเราจะมาลองทำพิซซ่าด้วยฝีมือของเราเองค่ะ ซึ่งพิซซ่านี้จะเป็นอาหารมื้อกลางวันในวันนี้ด้วย การทำพิซซ่าในครั้งนี้ จะออกมาหน้าตาเป็นยังไง กินได้ไม่ได้ต้องมาลุ้นกันค่ะ ฮ่าๆ
เริ่มขั้นตอนแรกก่อนเลย ทางเชฟ เค้าจะมาสอนการนวดแป้งพิซซ่า และการตกแต่งหน้าพิซซ่า ซึ่งแป้งพิซซ่าของที่นี่ ใช้ข้าวสาลีอย่างดี รวมถึงวัตถุดิบที่ทำหน้าพิซซ่า ก็เป็นผลผลิตจากเมืองนี้ทั้งหมด เรียกว่าคัดแต่ของดีมีคุณภาพทั้งนั้นเลย
หลังจากเรียนรู้และลองทำพิซซ่าดูแล้ว ก็ถึงเวลาเข้าเตาอบ ซึ่งเค้าจะกะระดับความร้อนที่สุกพอดี
ออกมาแล้วจ้า พิซซ่าของเราก็หน้าตาประมาณนี้ แป้งหนาไปนิด แต่โดยรวมเราชอบมาก แป้งนุ่มอร่อย ถั่วลันเตา ผักสด มะเขือเทศ สด หวานอร่อยมาก
นอกจากนี้ภายในร้านยังมีโซนนั่งทานอาหาร ร้านขนมปัง และ สนามหญ้าไว้ให้นั่งเล่นกันด้วย เห็นคนญี่ปุ่น พาครอบครัวและเด็กๆมาทานขนมปังกันที่นี่เยอะมากๆเลย
อิ่มจากพิซซ่ามื้อกลางวันกันแล้ว เราก็ไปต่อกันที่ สถานีแห่งความสุข Kofuku Station (幸福駅)
เป็นสถานีรถไฟเล็กๆ ของรถไฟสายฮิโรโอะ ( Hiroo ) ตั้งอยู่ใน Kofuku เมือง Obihiro ภูมิภาค Tokachi ซึ่งชื่อ โคฟุคุ แปลว่าความสุข จึงเป็นที่มาของชื่อ สถานีรถไฟ แห่งความสุข นั่นเอง
โดยเปิดทำการตั้งแต่ วันที่ 1 พฤศจิกายน ค.ศ. 1956 - วันที่ 2 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1987
โดยปัจจุบันสถานีแห่งนี้ไม่ได้เปิดใช้แล้ว แต่เปิดให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวแทน โดยมีรางรถไฟ และขบวนรถไฟ ที่เคยใช้ในอดีต นำมาจอดเอาไว้ให้สำหรับนักท่องเที่ยวได้มาถ่ายรูปเป็นที่ระลึก
นักท่องเที่ยวจะนิยมซื้อตั๋วรถไฟสีชมพูและนำมาแปะไว้ที่สถานีขอพร ขอความสุข และเป็นสัญลักษณ์ว่าครั้งนึงเคยมาเยือนที่สถานีแห่งนี้
ใกล้ๆสถานี จะมีระฆังแห่งรัก ไว้ให้นักท่องเที่ยวได้มาสั่นระฆังขอพรให้สมหวัง นอกจากนี้ยังมีคู่รักนิยมมาจัดงานแต่งงานเล็กๆที่สถานีนี้อีกด้วย
ออกจากสถานีแห่งความสุข เราก็มาแวะร้านไอศกรีมชีส Tokachino Fromages(十勝野フロマージュ) เป็นโรงงานชีส และร้านไอศกรีม เจลาโต้ ตั้งอยู่ที่เมือง nakasatsunai เจ้าของที่นี่จบการทำชีสมาจากฝรั่งเศสเลยทีเดียว เป็นร้านที่คนท้องถิ่นรู้จักกันดี เมนูยอดนิยมของที่นี่ก็คือ ชีสนั่นเอง เราลองสั่งไอศกรีมรสชีสมากิน ปรากฏว่าหอมชีส และไม่เลี่ยน ส่วนถ้าใครไม่ชอบชีส เค้าก็มีรสชาติอื่นๆให้เลือกเพียบ ใครที่มาเที่ยวเมืองนี้ลองแวะมาชิมกันดูได้น๊า
ก่อนเข้าที่พักสำหรับคืนที่ 2 เราก็มาแวะที่น้ำตก Pyotan Waterfall (ピョウタンの滝) ตั้งอยู่ที่หมู่บ้าน Nakasatsunai ซึ่งมาถึงก็ค่อนข้างเย็นแล้ว เลยมีเวลาชื่นชมความงามของน้ำตก และเก็บภาพนิดหน่อยก่อนแสงจะหมด เพราะที่ญี่ปุ่นช่วงใกล้หน้าหนาว จะมืดไวมากๆ ประมาณ 17:00 น. ฟ้าก็เริ่มมืดไม่เห็นอะไรแล้ว
เรามาถึงที่พักคืนที่ 2 ชื่อว่า Nakasatsunai rural holiday village Feriendorf(中札内農村休暇村フェーリエンドルフ)
ซึ่งมาถึงก็มืดแล้ว เลยถ่ายเก็บบรรยากาศในบ้านมาให้ดูกันก่อน
ที่พักของที่นี่ เป็นแนว Gramping แต่ละหลังจากห่างกันพอสมควร หลังที่เราพักเป็นแบบ คอทเทจ 2 ชั้น ประกอบไปด้วย ห้องนอน 3 ห้อง ห้องน้ำ 2 ห้อง และ ห้องครัว และ ห้องนั่งเล่น พร้อมลานนอกบ้านสำหรับจัดปาร์ตี้ปิ้งย่าง ผิงไฟ คลายหนาวได้อีกด้วย เหมาะสำหรับมาพักผ่อนกับเพื่อนและครอบครัว สามารถซื้ออาหารสดจากข้างนอกมาประกอบอาหารเองได้เพราะทางที่พักเค้าจัดเตรียมอุปกรณ์ไว้ให้ครบเลย
และมื้อค่ำของวันนี้ เราก็มีปาร์ตี้เล็กๆ กันที่บ้านค่ะ โดยแวะซื้ออาหารสดจากซุปเปอร์ระหว่างทางมาทำบาบีคิวทานกัน เป็นมื้อที่มีความสุขและอร่อยมากๆ
Day 3
เช้าวันสุดท้ายของทริป ตื่นมารู้สึกอากาศหนาวมากเนื่องจากที่พักอยู่กลางป่า รีบอาบน้ำแต่งตัวและก่อนเช็คเอ้าท์ ก็ถ่ายเก็บบรรยากาศของที่พักโดยรอบซะหน่อย ก่อนออกเดินทางกันต่อ
จุดแรกเราแวะถ่ายรูปกันที่ สวนพฤกษศาสตร์ Manabe Garden (真鍋庭園)
ซึ่งมีต้นไม้หลากหลายสายพันธุ์ ประกอบด้วยสวน 3 โซน 3 สไตล์ ได้แก่ สวนสไตล์ญี่ปุ่น ,สวนสไตล์ยุโรป , สวนสไตล์อังกฤษ ภายในสวนมีพื้นที่กว้างมาก และล้อมรอบไปด้วยพันธุ์ไม้นานาชนิด รวมถึงมีใบไม้เปลี่ยนสีให้ชมแต่ไม่เยอะมาก เพราะที่สวนนี้จะเห็นต้นสนสีเขียวๆ ซะเป็นส่วนใหญ่ ภายในสวนยังมีพื้นที่ของบ่อน้ำ มองแล้วร่มรื่นและสบายตามากๆ
เนื่องจากสวนค่อนข้างกว้างมีพื้นที่ถึงเกือบ 80,000 ตารางเมตร ต้องใช้เวลาเดินนานพอสมควรกว่าจะทั่ว โดยสวนนี้เป็นที่รู้จักกันดีในฐานะสวนต้นสนแห่งแรกของญี่ปุ่น
สำหรับคนที่ต้องการมาชมสวนแห่งนี้ ที่นี่เค้าจะเปิดให้เข้าชม ตั้งแต่เดือน พฤษภาคม ถึง เดือน พฤศจิกายน เท่านั้น โดยเก็บค่าเข้าชมสวน คนละ 800 เยน
ออกจากสวนเราก็เดินทางกันมาเที่ยวต่อ ที่งาน เทศกาลฤดูใบไม้ร่วง Obihiro no Mori (帯広の森·はぐぐーむ)
ซึ่งจะจัดขึ้นในช่วงเดือนตุลาคมของทุกปี สถานที่จัดงานคือ Obihiro no mori Hagukumu
ภายในงานจะมีกิจกรรมให้ทำมากมาย ทั้งรถม้าขนฟืน สอนการตัดฟืน โดยมีเด็กๆมาทำกิจกรรมกันเพียบ นอกจากนี้ ยังมีซุ้มต่างๆ ที่มาเปิดขายอาหาร เครื่องดื่ม และมีซุ้มที่ให้ได้เรียนรู้และสัมผัสชีวิตชาวไร่อีกด้วย โดยงานนี้จะจัดขึ้นแค่วันเดียว ใครที่สนใจลองเช็ควันดีๆก่อนเดินทางด้วยล่ะ
มื้อกลางวันของวันนี้ เราจะไปกิน ข้าวหน้าหมูกันค่ะ ซึ่งเป็นเมนูชื่อดังของเมือง Obihiro ซึ่งจะมีให้เลือกหลายเจ้าเลย แต่ร้านที่เราไปกินวันนี้อยู่ในโรงแรม Grand Terrace Hotel ค่ะ นอกจากข้าวหน้าหมูแล้ว เค้ายังมีไลน์บุฟเฟ่ต์ เป็นพวก ซุป ขนม ของหวานอื่นๆให้ตักเพิ่มได้ด้วยค่ะ
หลังจากที่ได้ลองชิมแล้ว เนื้อหมูที่นี่ชิ้นใหญ่มาก หมักปรุงรสมาเข้าเนื้อ นุ่มอร่อยดีค่ะ มาเที่ยวเมืองนี้ ก็อย่าพลาดมาลองชิมกันดูน๊า
อิ่มท้องกันแล้วเราก็แวะไปช็อปปิ้งกันซักหน่อย ที่นี่เค้ามีห้าง Fujimaru (藤丸) ซึ่งถือว่าใหญ่โตและมีหลายชั้นเลยทีเดียว หลังจากลงรถทางห้างเค้าก็มาต้อนรับและมีของที่ระลึกมอบให้ด้วยค่ะ
และสถานที่สุด Unseen ที่สุดท้ายของทริปนี้ เราไปแวะที่ กระชังดักปลาแซลม่อนแม่น้ำ Tokachi Totoroad (魚道観察室ととろ~ど) ซึ่งตั้งอยู่ที่เมือง Makabetsu-cho มองจากด้านบนจะเป็นเหมือนเขื่อนกั้นน้ำ จะที่คอยดักปลาแซลม่อนไว้ ตัวที่โดนกักไว้ก็จะถูกจับมารีดไข่เพื่อที่จะช่วยผสมพันธุ์ปลา
ส่วนด้านล่างจะเป็นตู้กระจกสำหรับไว้ให้นักท่องเที่ยวมาดูปลาแซลม่อน ว่ายทวนน้ำกันแบบชัดๆ ยืนดูไปก็ลุ้นไปว่าน้องปลาจะว่ายทวนกระแสน้ำแรงๆไหวไม๊ เพราะบางตัวก็ว่ายไม่ผ่าน โดนกระแสน้ำพัดกลับ กว่าจะถ่ายได้แต่ละรูปไม่ใช่ง่ายๆเลย
ออกจากกระชังดักปลาเราก็ไปแวะจุดสุดท้ายของทริปนี้กัน นั่นคือร้านขนมหวาน Ryugetsu Sweetpia Garden (柳月スイートピアガーデン)
ซึ่งเป็นร้านเก่าแก่อีกร้านของ ภูมิภาค Tokachi เข้าไปภายในร้านคนเยอะมาก ต่อแถวซื้อขนมของฝาก กันหลายคนเลย เราเดินเลือกดูขนมภายในร้าน ซึ่งมีให้เลือกเยอะมาก แต่ที่เป็น ซิกเนเจอร์ของทางร้านคือ “เค้กขอนไม้ “ หรือ ซันโปโระคุ เค้ก เป็นเค้กที่เคลือบผิวด้วยช็อกโกแลต มีหลายรสให้เลือก และขายดีมากๆ บางอย่างมีให้ลองชิมด้วย เราลองชิมพุดดิ้งของที่นี่ปรากฏว่าอร่อยมาก ไม่รอช้าจัดแจงซื้อกลับบ้านทันที
นอกจากพุดดิ้งแล้ว ที่นี่ยังมีซอฟท์ครีมโทคาจิคินาโกะ ซึ่งเป็นซอฟท์ครีมที่มาพร้อมกับถั่วแดงและโมจิโรยแป้งคินาโกะพร้อมซอสถั่วดำ เป็นสูตรพิเศษของที่นี่เลย ตอนแรกว่าจะสั่งชิมแค่ 1 อัน ปรากฏว่าอร่อยมากโดนคนข้างๆ แย่งกินไปเรียบร้อย เลยต้องสั่งเพิ่มอีก 1 อัน
ซื้อของฝากของกินอิ่มท้องกันแล้วก็ถึงเวลาอำลา Tokachi กันค่ะ ทริปนี้ต้องขอบคุณ สปอนเซอร์ของเราจาก ธนาคาร Obihiro Shinkin ด้วยค่ะ
โดยคืนนี้เราจะเข้าไปนอนกันที่ Guesthouse Yuyu Sapporo ซึ่งอยู่ในเมืองซัปโปโร ที่นี่เป็นเกสเฮ้าท์ ราคาไม่แพง และสะอาดมาก ใครที่มาซัปโปโร กับเพื่อนฝูง มีงบไม่เยอะมาก ชอบพักแนวเกสเฮ้าท์ เราขอแนะนำที่นี่ไว้เป็นอีก 1 ตัวเลือกค่ะ
จบทริป Tokachi เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ต้องบอกว่าเป็นการเปิดประสบการณ์ใหม่ของเราเลย เพราะสถานที่แต่ละที่ เป็นสถานที่ Unseen และ Local มากๆ ยังไม่เคยเห็นทัวร์ไหนจัดโปรแกรมแบบนี้ ใครที่เบื่อ สถานที่เที่ยวเดิมๆ ลองเปลี่ยนบรรยากาศมาทริปแบบนี้ดูบ้าง รับรองว่าสนุกและได้พบกับมิตรภาพใหม่ๆของเพื่อนร่วมทริปแบบเราแน่นอนค่ะ ที่สำคัญราคาทริปไม่แพงด้วยค่ะ เพราะแต่ละทริปที่จัดจะมี สปอนเซอร์ช่วยซัพพอร์ตค่าใช้จ่ายบางส่วน และทริปนี้ต้องขอบคุณ สปอนเซอร์ของเราจาก ธนาคาร Obihiro Shinkin และทางเพจ สุโก้ยโฉะ ฮอกไกโด
www.facebook.com/sugoishohokkaido ที่แนะนำทริปดีๆให้เราด้วยค่ะ
แอดมินเป็นคนไทย แถมใจดีมากๆ ขอคำแนะนำเกี่ยวกับที่พักที่กินในฮอกไกโดได้หมดจ้า
สุดท้ายฝากเพจ http://www.facebook.com/somewheresomeone ด้วยค่ะ
ทริปหน้าเราจะพาไปเที่ยวที่ไหนอีกฝากติดตามด้วยนะคะ
Somewhere Someone
วันจันทร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2561 เวลา 06.58 น.