สวัสดี...ที่เจแปน

ชั่วโมงนี้เรียกได้ว่า หันไปทางไหน ก็มีแต่คนไปญี่ปุ่น เพื่อนๆที่รู้จักมีแต่คนลงรูป เชคอินญี่ปุ่นกันเยอะมากกก

เลยเกิดคำถามขึ้นมาว่า ทำไมต้องญี่ปุ่น? วันนี้เราจะมาหาคำตอบไปพร้อมๆกันค่ะ



ปล.ทุกรูปที่ลง ไม่มีการแต่งสีเพิ่มเติมเป็นรูปสดๆ จากโกโปร, กล้อง OLYMPUS และ FUJI นะคะ



สวัสดีเพื่อนๆใน Pantip ที่รักการท่องเที่ยวและคิดจะเดินทางไปญี่ปุ่นเป็นครั้งแรกเหมือนกับเรา นี่คือการไปญี่ปุ่นเป็นครั้งแรกในชีวิต

เมื่อช่วง 12-16 ธันวาคม 2018 เรียกว่าเพิ่งกลับมาเมื่อวาน ยังร้อนวิชา อยากรีวิวแชร์ประสบการณ์ให้เพื่อนๆ ที่คิดเดินทางด้วยตัวเองครั้งแรกบ้าง เพราะก่อนที่จะเดินทาง เราก็หาข้อมูลจากในพันทิปเหมือนกัน ต้องขอบคุณทุกรีวิวจริงๆ มันทำให้เราได้นำมาปรับใช้ในการเดินทาง



สำหรับรีวิวก่อนหน้านี้มีที่ ซาปาเวียดนาม [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้https://pantip.com/topic/37943753

และที่วังเวียง ประเทศลาว [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้https://pantip.com/topic/38295193

ฝากเพื่อนๆ ติดตาม เพจน้องใหม่ทาง facebook : https://www.facebook.com/กานต์เดินทาง-2077478755896630/ ด้วยนะคะ



สำหรับใครเคยไปแล้ว หรือไปมาหลายรอบ อาจข้ามกระทู้นี้ไปได้เลยนะคะ เพราะสำหรับเรา การไปครั้งแรก เป็นอะไรที่ตื่นเต้นมาก เพราะเป็นประเทศที่อยากไปมานานมากแล้ว ถ้าอยากรู้ว่าเป็นยังไง เดินทางไปด้วยกันเลยคร่าา



#วันที่ 1 : ดอนเมือง - นาริตะ - โรงแรม Hotel Mystays Ueno East - วัดอาซากุสะ - Tokyo Skytree - Caretta Shiodome Winter Illumination 2018



เริ่มต้นจากการเดินทาง เราใช้บริการของ Nokscoot บินตรงจาก ดอนเมือง - นาริตะ Flight XW102 เครื่องออกจากดอนเมือง ตี 2.45 ถึงนาริตะ 10.25 น. เราเลือกกินอาหารก่อนขึ้นเครื่อง เพื่อที่จะได้หลับยาวๆ ตรงนี้ขอดอกจันไว้เลยว่า



**** ไม่มี online check-in แนะนำให้มาถึงดอนเมืองสักสี่ทุ่ม แล้วรีบมาต่อแถว เพราะยาวววมากกก ถ้าไม่อยากต่อท้ายกรุ๊ปทัวร์ ตอนเราไป check in ถ้าจำไม่ผิดคือเค้าเตอร์ 3 นะคะ ได้ต่อคิวเป็นคนแรกๆ เลยได้ขอนั่งริมหน้าต่างฝั่งซ้าย แถว A เพื่อลุ้นเห็นฟูจิก่อนถึงสนามบิน ถ้ามาช้า คิดว่าที่นั่งริมหน้าต่างน่าจะเต็ม ส่วนขากลับจากนาริตะ เราก็ไปถึงเป็นคนที่ 2 ได้ขอนั่งริมหน้าต่างฝั่งขวา แถว K เพื่อชมฟูจิอีกครั้งค่ะ *******

และนี่คือภาพฟูจิซัง ตอนขากลับจากนาริตะ คุ้มค่าการมาสนามบินคนแรกๆจริงๆ

ลืมบอกว่า ก่อนมาญี่ปุ่น เราได้ไปเดินงาน เที่ยวญี่ปุ่นด้วยตนเองที่พารากอน เราซื้อตั๋วรถไฟ Keisei skyliner + subway 72 hrs. + 24 hrs. ราคา 3,780 บาท/ 2 คน และเช่า pocket wifi ของซามูไร 5 วัน ราคา 500 บาท พอมาถึงสนามบิน ตรวจคนเข้าเมือง รับกระเป๋าเรียบร้อยเราก็มองไปทางซ้ายมือ เดินตามป้ายคำว่า Train ลงไปชั้นล่าง จนเจอป้ายสีน้ำเงินเขียนว่า SKYLINER & KEISEI INFORMATION CENTER

จากนั้นยื่นใบที่เราซื้อผ่าน H.I.S. ที่ไทย เจ้าหน้าที่จะให้ตั๋ว keisei และตั๋ว subway สีเขียวอ่อนแบบ 72 hrs. ตั๋วสีแดงแบบ 24 hrs.

ครั้งแรกที่เห็นตั๋ว งงมาก ว่าใช้ยังไง จริงๆเราแค่สอดบัตรผ่านเครื่อง แล้วอย่าลืมหยิบบัตรคืนด้วยนะคะ เดินเข้าประตูไป มองที่บัตรจะขึ้นเวลา อย่างในตั๋วที่ซื้อ ได้รอบ 12.02 น.ออกจาก นาริตะ ไปถึงสถานี อูเอโนะ (Ueno) ตอน 12.43 น. รถ Skyliner ของ Keisei จะเป็นแบบระบุที่นั่ง ให้เราสังเกตจากวงกลมสีแดง 2 จุดที่ต้องรู้คือ car กับ seat คำว่า car เหมือนเป็น โบกี้ให้เรารู้ว่าเราขึ้นรถโบกี้ที่สาม (มีทั้งหมด 8car) ที่นั่ง 9B

เดินอ่านไปเรื่อยๆ จะเจอ car boarding point ที่ตรงตามตั๋วของเรา แบบนี้ ตั๋วคือ car3 ตรงกับเลขที่ชานชาลา แปลว่าเรามารอถูกแน่นอนนนน

นั่งไปสักพักก็ถึงสถานี Ueno เราลงจาก Skyliner แล้วเริ่มใช้ subway แบบ 72 hrs. ตั๋วสีเขียวอ่อน ตอน บ่ายโมงของวันที่ 12 ธันวา เพื่อไปยังที่พักของเราชื่อ Hotel Mystays Ueno East อยู่สถานี Inaricho

ขอดอกจัน ถึงเทคนิคการใช้ Subway ซึ่งหากใครไปครั้งแรกคงกังวลแน่นอน เคยมีคนขู่แบบเรามั้ย? ว่าหลงแน่นอน ยังไงก็หลง แต่จะบอกว่า เราภูมิใจมากกก ที่ไม่หลงสักครั้ง และไม่ยากแบบที่คิดเลย แค่...

*** 1.รู้สถานีต้นทาง - ปลายทางที่จะไป

2.รู้ชื่อสายที่ใช้ เช่น G = Ginza line , H = hibiya line จะจำจากสีก็ได้

3.โหลดแอพไว้ช่วย โดยครั้งนี้เราโหลดไว้ 2 แอพ มันช่วยเราได้มาก เพราะแอพ tokyosubway ช่วยให้เรารู้ว่าทางออกไหน ไปเจออะไรบ้าง แอพนี้จะบอกวิธีเดินทางทั้งหมดที่ใช้เฉพาะ subway กับอีกแอพที่ใช้คู่กันคือ Japan Travel แอพนี้ทำให้เรารู้ว่า จากสถานีต้นทาง ไปยังปลายทางเราต้องใช้ชานชาลาอะไร ****

จากตัวอย่างเราใช้แอพ Japan Travel ทำให้รู้ว่าตอนนี้เราอยู่ G16 กำลังไป G17 เราต้องไปที่ Platform 2

พอถึงสถานี เราก็ลากกระเป๋าขึ้นมาแล้วเดินต่อตาม GPS ไปอีกแปปเดียว ค่ะ ก็เจอโรงแรมของเราแล้ววว

ห้องพักที่ญี่ปุ่นค่อนข้างเล็ก และนี่คือบรรยากาศในห้อง สองคนเดินสวนกันแบบเบียดๆ แต่เน้นเที่ยวเลยไม่ซีเรียสเท่าไหร่

แต่อุปกรณ์ในห้องน้ำ ครบครัน มีอ่างเล็กๆไว้แช่ตัวตอนอาบน้ำ สนนราคา 4 คืน ราคา 12,900 บาท พัก 2 คน

ที่นี่สามารถเข้าห้องพักได้บ่ายสาม เราเลยเลือกฝากกระเป๋าไว้ที่พัก ล้างหน้า แปรงฟันที่ Lobby เสร็จก็ออกเดินทางมาที่วัด อาซากุสะ แน่นอนค่ะ เปิดแอพ Japan Travel จาก G17 ไป G19 ใช้ชานลาที่ 2 ลุย!!!

เพื่อไม่ให้ออกทางออกผิด เราเปิดแอพ Tokyo subway ไปด้วยทำให้รู้ว่าต้องออกทางออก 1,3 เพื่อไปวัด Sensoji หรือวัดอาซากุสะ นั่นเอง

ถ้ากลัวหลงแนะนำให้เปิด google map แล้วเดินตามแต่ด้วยความที่เราหิว เลยเปลี่ยนใจมากินข้าวหน้าปลาไหลที่ Unatoto สาขา อาซากุสะก่อนจะเดินเข้าไปในวัด มีคนต่อคิวเยอะมาก แต่เราก็รอออ เพราะมีคนรีวิวถึงความอร่อย และหอมกลิ่นถ่านมาก ซึ่งไม่ผิดหวังจริงๆ มือนี้หมดไป 1,750 เยน หรือประมาณ 507 บาทเอง

กินเสร็จเราก็เดินอ้อมมาเข้าที่ด้านหน้าวัด เปิด GPS search ว่า Kaminarimon Gate เลยค่ะ ก็จะเจอกับโคมแดงที่บริเวณทางเข้า แค่ตรงจุดนี้ก็เจอคนไทยเยอะมากแล้วว

พอเดินผ่าน Kaminarimon gate เข้ามา ก็จะเจอกับ Nakamise shopping stree มีของกิน ของใช้ ให้ได้เลือกเยอะมาก แต่เราเพิ่งมาถึงเลยไม่ได้แวะช้อปอะไร อดเปรี้ยวไว้กินหวานค่ะ 555

เดินมาเรื่อยๆก็จะเจอกับประตูเข้าวัดชื่อ Hozomon Gate ซึ่งมีขนาดสูงกว่าประตู Kaminarimon gate ซะอีก

เดินผ่านเข้ามาก็จะเจอกับตัววัด Sensoji มีกระถางธูปตั้งเด่นอยู่บริเวณตรงกลาง

แน่นอนค่ะ ต้องเอามือปัดควันธูปเข้าหาตัวเอง เพื่อความเป็นสิริมงคล บางคนปัดควันใส่กระเป๋า เพื่อจะได้มีเงินมีทอง ตามความเชื่อ

ด้านซ้ายมือ จากยอดเจดีย์ เรายังสามารถมองเห็น Tokyo skytree ด้วยค่ะ

หลังจากเดินทำบุญ ถ่ายรูปกันตามอัธยาศรัย เราก็เปิด google map เดินอ้อมมาหลังวัดเพื่อไปชิม ไอศกรีมชาเขียว premium No.7 ชาเขียวเจลาโต้ ที่เข้มข้นที่สุด ที่ร้าน ซุซุกิเอ็น x นานายะ บอกเลยว่า อร่อยมากกกกกกกกกกกกก พูดแล้วก็อยากกินอีก คนรักชาเขียวไม่ควรพลาดเลยจริงๆ โคนที่กินไอศกรีม 2 ลูก ราคาประมาณ 680 เยน

เวลาประมาณ สี่โมงกว่าคือเริ่มมืดแล้วค่ะ หน้าหนาวที่นี่มืดไวจริงๆ ตอนเดินกลับอากาศเย็นมากกกก ยังเห็นต้นไม้เปลี่ยนสีอยู่บ้าง บางจุด แม้ไม่มาก แต่แค่นี้ก็ทำให้เราฟินกับ บรรยากาศและ สถานที่แล้ว ♥️

ก่อนจะกลับโรงแรม เราเลือกแวะไปถ่ายรูปกับ Tokyo skytree สักเล็กน้อย ไหนๆก็อยู่ใกล้แค่นี้ จากสถานีอาซากุสะ ที่เมื่อกี้เราลง G19 เปลี่ยนเป็นไปสาย A18 แทน ซึ่งอยู่ที่สถานีเดียวกัน แต่คนละสาย ถ้ากลัวหลงเหมือนเดิมค่ะ ดอกจัน *** จำสถานีต้นทาง-ปลายทาง / จำสายที่จะใช้ ตัว G ตัว A ตัว H *** เวลาเดินเข้าสถานี พยายามมองตัวอักษร ตัว G,A,H สายที่เราจะขึ้นเอาไว้ ตามเสาในสถานี จะมีลูกศรชี้ตลอดไม่ต้องกลัว ว่าสายนี้ต้องเดินไปทางไหน จากนั้นเปิด Japan Travel ช่วยเพื่อให้รู้ว่าเราขึ้นถูกชานชาลามั้ย

Tokyo skytree ตอนกลางคืน ก็สวยไม่แพ้ตอนกลางวันเลยค่ะ

พอใกล้จะสองทุ่มเราเลยกลับที่พัก ไปเก็บกระเป๋า ก่อนที่จะออกไปงาน Illumination ซึ่งช่วงนี้ที่โตเกียว มีงานแสดงไฟเยอะมากกก คืนแรกเราเลือกไปที่ Caretta Shiodome Winter Illumination 2018

เพื่อนๆเริ่มใช้ แอพในการเดินทางด้วย subway เป็นแล้วใช้มั้ยคะ เรา search จากแอพ Japan Travel จาก Inaricho (G17) ไป Shimbashi (G08) ใช้ชานชาลาที่ 1

มีการแสดงทุกๆ 20 นาที พอขึ้นมาจากสถานี search google map มาที่ Caretta Shiodome ได้เลยค่ะ ปีนี้เป็นธีมดิสนีย์ สวยงามมากก



อาหารเย็นวันนี้ตั้งใจจะไปกินไก่ Yamachan ที่ Ueno เพราะไม่ไกลจากที่พัก และเคยกินที่สาขาตึกธนิยะแล้ว เลยอยากชิมแบบ Original ดูบ้าง แต่พอไปถึงปรากฎว่าวันนี้ร้านปิดค่ะ!! ได้แต่ยืนงงๆ เลยหันหลังให้ร้านไก่ แล้วไปซบอกราเมงหยอดเหรียญแบบไม่มีแพลน ไม่มีรีวิวใดๆ อาศัยดูคนก่อนหน้าว่าหยอดเหรียญหรือใส่แบงค์ก่อน จากนั้นเลือกเมนูที่จะกิน แล้วบัตรออเดอร์กับเงินทอนจะหล่นลงมา หยิบบัตรออเดอร์เดินไปให้ พนักงานที่ด้านใน เป็นการกินราเมงหยอดเหรียญครั้งแรก ตื่นเต้น งงๆดีค่ะ แถมอร่อยมากด้วยย

วันแรกผ่านไปแบบไวมาก เผลอแปปเดียวเที่ยงคืน... แต่เพราะที่ไทยเพิ่งจะสี่ทุ่ม เราเลยยังปรับตัวไม่ถูก แต่ก็พยายามนอนค่ะ เพราะว่าเราจะออกเดินทางไปดูฟูจิซัง ที่ kawaguchiko แต่เช้า



#วันที่ 2 shinjuku - kawaguchiok - Mt. Fuji



เช้าวันที่สอง เราเลือกไปดูฟูจิซัง โดยการจองตั๋ว shinjuku express bus มาล่วงหน้าจากเว็บไซค์ [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ https://highway-buses.jp/thai/course/kawaguchiko.php เราเลยรีบตื่นแต่เช้า เพื่อนั่ง subway จาก Inaricho มาลงที่ shinjuku ให้ทันรถรอบ 7.15 คิดว่าเพื่อนๆน่าจะเริ่มเข้าใจ platform และการเปลี่ยนสถานีเป็นแล้วใช่มั้ยคะ สถานีเดียวกัน แต่เปลี่ยนสายที่ใช้ เดินมองสัญลักษณ์ตัวอักษรภาษาอังกฤษตามเสาไปเรื่อยๆได้เลย แค่รู้ว่าขึ้น Platform ไหน ยังไงก็ไม่หลง

จากนั้นเปิด google map เดินหา Shinjuku express bus หน้าตาอาคารเป็นแบบนี้ค่ะ

เดินขึ้นบันไดเลื่อน ไปที่ชั้น 4 ได้เลย

เราจองผ่านเว็บไซค์มาแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องไปแลกตั๋วอะไรอีก แค่ยื่นหลักฐานการจองจากในเมล์ล หรือปริ้นกระดาษมาให้คนขับดูเท่านั้น ราคาไป-กลับ 6900 เยน/ 2 คน

เราเลือกลงที่สถานี ชูโอโด ชิโมะโยชิดะ เพราะอยากเห็นฟูจิซังจากเจดีย์แดง ในเวลา 8.50 น.เพราะอ่านรีวิวบอกว่าควรไปช่วงเช้าจะไม่ย้อนแสง พอถึงสถานีฟังคนขับประกาศดีๆนะคะ ก็เดินข้ามถนน ตามป้ายไปเรื่อยๆเพื่อขึ้นไปบนเจดีย์แดงหรือ Chureito Pagoda

ถึงแล้วค่ะทางขึ้นไปบนเจดีย์แดง

ทางขึ้นเป็นบันได ขาขึ้นเหนื่อยใช้ได้เลยค่ะ

***แนะนำ ถ้าพาผู้สูงวัยมาด้วย ให้เดินทางรถวิ่งด้านซ้าย ขึ้นไปนั่งพักด้านบน จะมีเก้าอี้ให้ แถมได้เห็นฟูจิด้วยค่ะ*** อย่าเดินทางบันได้เพราะมันเหนื่อยมาก วิวที่ได้จะประมาณนี้

แต่เราเลือกเดินขึ้นบันไดกันต่อ เพราะถ้าเดินทางรถวิ่งเราจะไม่ได้เห็นวิวฟูจิซัง เพราะตัวบันไดจะบัง อยากได้วิวสวยๆ ก็ต้องยอมเหนื่อยหน่อยค่ะ

ไม่กี่อึดใจเราก็ขึ้นมาถึงงงงง

อากาศเย็นมากนะคะ ตอนที่ไปแค่ 2 องศา แนะนำใส่เสื้อกันหนาวแบบกันลม และถุงมือด้วยค่ะ เราเห็นว่าเวลาใกล้สิบโมง เลยรีบมุ่งไปที่สถานี รถไฟ Shimoyoshida เพื่อนั่งไปลงที่สถานี Kawaguchiok ราคา 300 เยน/คน

**** คำนวณเวลารถไฟดีๆนะคะ รถไม่ได้มีตลอด เรากะมาให้ทันรอบ 10.16 แต่ปรากฎว่าเบลอ คิดว่าเป็นรอบ 10.26 ช้าไปสิบนาที ชีวิตเปลี่ยนค่ะ ต้องรอรอบต่อไปคือ 11.11 ****

พอมาถึงที่ kawaguchiok เรารีบตรงไปที่เค้าเตอร์ขายตั๋ว เราเลือกซื้อแบบ Retro bus เหมารอบสายสีแดง ขึ้นลงกี่ครั้ง กี่สถานีก็ได้ 2 วัน ราคา 1,500 เยน /คน

แต่โชคไม่เข้าข้างเลยค่ะ ช่วงที่ไป Rope way ที่เราใฝ่ฝันอยากขึ้น ปิดทำการช่วง 12-17 ธันวาพอ แถมรอบทะเลสาบมีเมฆมาก เรามองไม่เห็นฟูจิซังเลยค่ะ

เราเลยได้แค่เดินถ่ายรูปเล่นรอบๆทะเลสาบ ที่สถานี 22 และสถานี 16

พอบ่ายโมงฟ้าก็เริ่มปิดค่ะ จนสุดท้ายฝนเริ่มตก เรามีโอกาสเห็นเกล็ดน้ำแข็งตกใส่ถุงมือ... ใช่ค่ะ หิมะ!! ครั้งแรกเลย แต่แค่แปปเดียวเพราะรถมา เรารีบขึ้น retro bus กลับมาตั้งต้นที่สถานี kawaguchiko ยังโชคดีที่ตอนเช้าเรามีโอกาสเห็นฟูจิซังที่ เจดีย์ไปแล้ว ไม่งั้นวันนี้คงเศร้าแน่ๆ ด้วยความหัวหมอ และเสียดายตังค์ค่าตั๋ว retro bus เราเลยเดินไปตรงที่คนต่อคิวซื้อตั๋วในความโชคร้ายมีความโชคดี เราเจอ 2 สาวชาวจีนกำลังตัดสินใจจะซื้อตั๋ว แบบเรา เราเลยเสนอขายในราคา 1,500 เยน buy 1 get 1 free สรุปขายได้คร่าาา อย่างน้อยก็ได้ทุนคืนมาครึ่งหนึ่ง 555

เราเลยเอาเงินที่ได้ไปกิน hoto ราเมงซุปผักชามโต ที่อยู่ใกล้ๆสถานี kawaguchiko แทน คนต่อคิวยาวมากก

เราสั่งบะหมี่ กับของทานเล่นอีกอย่าง หมดไป 1,500 เยนค่ะ ทานเสร็จยังพอมีเวลาเหลือ เลยเดินถ่ายรูปเล่น รอขึ้นรถรอบ 16.40 น.

พอได้เวลาขึ้นรถ เราก็โบกมือลา ฟูจิซัง และคิดว่าจะต้องกลับมาซ้ำอีกรอบแน่นอน

เรามาถึงสถานี ชินจูกุ 18.25 น. ขอบอกว่ามืดมากเหมือนสี่ทุ่ม มีเหรอที่เราจะพลาดตามหางาน Illumination 555 เราเดินจาก Shinjuku express มาที่งาน Shinjuku Terrace city Illumination บริเวณทางออก new south exit จะ search google หา Starbuck shinjuku ก็ได้ค่ะ อยู่ติดกันเลย

ถ้าเทียบกับเมื่อคืน ที่ชินจูกุถือว่างานเล็กกว่ามาก ถ่ายเป็นที่ระลึก 2-3 รูปเสร็จ เราก็ไปกินข้าวเย็นที่ Isomaru Suisan สาขา ชินจูกุ

อาหารทะเล ขอบอกว่าสดมาก สามารถสั่งเมนูผ่านไอแพด ชอบกุ้งค่ะหวานมากๆ แนะนำมันปู กินคลุกกับข้าวคือฟินสุดๆ ถึงราคาแต่ละอย่างจะสูง แต่คุ้มค่ากับรสชาติที่ได้รับจริงๆค่ะ

พออิ่มแล้ว เราเลยไปเดินย่อยก่อนกลับ เพื่อชมบรรยากาศยามค่ำที่ย่าน Kabukicho แสงสีตระการตามากค่ะ เหมือนเป็นแหล่งรวมสถานบันเทิงและของมึนเมา

เดินพอรู้จักว่าเป็นยังไง เราก็เดินกลับมาที่ย่าน Omoide Yokocho ตรอกเล็กๆ ที่ยังมีความเป็นญี่ปุ่นแบบดั้งเดิม ร้านอาหารขนาดเล็กๆ มีไม่กี่โต๊ะต่อร้าน ปิ้งย่าง กินแกล้มกับเบียร์

แปปๆก็เกือบห้าทุ่มแล้วค่ะ เราเลยกลับโรงแรม อาบน้ำ นอนพักก่อนลุยต่อวันพรุ่งนี้

#วันที่ 3 : Imperial Palace - Meiji Jinggu Shire - Tokyo tower - Tokyo Midtown Illumination



เช้าวันนี้เรายังฝากท้องกับข้าวปั้นจากแฟมิลี่มาร์ทเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือขนมซูเฟล่พุ้ดดิ้ง ราคา 278 เยน อร่อยมากกกกกกก หวานกำลังดี ไม่เลี่ยน อยากให้มีขายที่ไทยจัง จะซื้อทุกวันค่ะ

เช้านี้เราเลือกไปที่สะพานแว่นตาก่อน เดินทางเหมือนเดิม เปิด Japan Travel เพื่อตรวจสอบ Platform ที่ใช้ สายที่จะไป รวมถึงสถานีที่ต้องเปลี่ยนสาย จาก Inaricho (G17) มาลงที่ Nijubashimae (C10) พอขึ้นมาจากสถานีก็เดินข้ามทางม้าลาย เดินเลาะสวนสาธารณะมาเรื่อยๆได้เลยค่ะ

เราถึงสะพานแว่นตา ตอนช่วงเก้าโมง มองเห็นเป็นแว่นตามั้ยคะ

เนื่องจากเห็นหลายรีวิวเดินจากสะพานแว่นไปถ่ายรูปที่ ตึกส้มๆสถานีโตเกียว ชมสถาปัตยกรรมที่สวยงาม เราก็อยากไปบ้าง แต่จาก google map ใช้เวลาเดินตั้ง 22 นาที เราเลยเลือกนั่ง subway เพราะไหนๆก็ซื้อแบบเหมามาแล้ว แค่สถานีเดียวจาก (M18) ไป (M17) ก็ขึ้นค่ะ 555

***แต่ออกทางผิด ชีวิตเปลี่ยน**** เราคิดว่าพอขึ้นมาก็จะเจอสถานีตึกสีส้มๆน้ำตาลๆแบบที่คิด แต่ความจริงสถานีโตเกียวใหญ่มากๆๆๆ และเราไม่สามารถเดินทะลุตึกได้ เพราะข้างในเป็นระบบของรถไฟ JR เราพยายามเดินอ้อมไปอีกด้านนานมากก สรุปว่าถ้าเดินจากสะพานแว่น น่าจะถึงนานแล้ว ตรงนี้พลาดมาก และมารู้ทีหลังว่า ทางออกที่เจอสถานีโตเกียวเลยคือ M8!!!

แต่ตัวอาคารสวยจริงๆค่ะ

เราดูเวลาคือ ช้ากว่าที่ตั้งเป้าเอาไว้มาก การเดินทางด้วยตัวเองจริงๆก็มีข้อดี เรื่องความยืดหยุ่น แม้ข้อเสียคือ หลงง่าย แต่ตรงไหนไม่ทันก็ตัดออกได้ จริงๆ ช่วงเย็นเรากะไปเดินเล่นย่าน Akihabara แต่เวลาไม่พอเราเลยตัดออก

จากโตเกียว เวลาใกล้เที่ยง เราเลยนั่งรถไฟจากสถานี Tokyo (M17) มาลงสถานี Meiji-jingumae (C03) ขออนุญาตข้ามวิธีเดินทางแล้วน้าาาา พอขึ้นมาจากสถานีให้เดินไปทางซ้ายมือก็จะเจอสะพานหิน Jingu Bashi

เดินข้ามสะพานมา เราจะเจอกับทางเข้าเป็นเสาไม้ขนาดใหญ่ เรียกว่า โทริอิ (Torii)

จากตรงนี้ เดินเข้าไปอีกประมาณ 10 นาทีก็จะเจอกับอาคารหลัก แต่ระหว่างทางเราก็จะเจอกับถังสาเก วางเรียงราย เป็นอีกหนึ่งมุมมหาชนค่ะ

ก่อนจะเดินเข้าไปตัวอาคาร ด้านซ้ายมือจะมีซุ้มชื่อ Temizuya ไว้ให้คอยล้างมือ สเต็ปที่จำง่ายๆคือ ล้างมือซ้าย -> ล้างมือขวา ->ล้างปาก ->ล้างมือซ้าย ->ถือกระบวยตั้งฉากล้างกระบวย

จากนั้นเราก็เดินเข้าไปชมที่ด้านในกันค่ะ

วันนี้เรามีโอกาสได้เห็นพิธีแต่งงานแบบชินโตของชาวญี่ปุ่นด้วยค่ะ

นอกจากนี้ ที่ศาลเจ้าเมจิ ยังมีให้เราได้เขียนแผ่นไม้ Ema เพื่อขอพร ราคา 500 เยน มีครบทุกภาษาจริงๆ แต่ที่ไล่อ่านดูเจอภาษาไทยซะส่วนใหญ่ 555

บ่ายแก่ๆแล้ว เราเลยเดินกลับออกมาที่สะพานหิน เพื่อข้ามถนนไปย่านฮาราจูกุ เห็นหลายคนชอบไปถ่ายรูปกับทางเข้าห้าง Tokyu Plaza มีเหรอคะที่เราจะพลาด 555 แต่ปรากฎว่ามืดมากค่ะ ภาพย้อนแสง

ถ่ายได้ รูป สองรูป เราเลยเดินย้อนกลับมาที่ Takeshita street และวิญญาณนักช้อปก็เริ่มเข้าสิง เพราะอะไรก็ดูน่าซื้อไปหมด ประเดิมด้วยรองเท้า แล้วไปต่อที่ร้าน 100 เยน หรือ Daiso นั่นเอง ร้านนี้มีหลายชั้นมาก ใช้เวลาดูขนม , ของน่ารักๆ นานมาก เพราะ 100 เยน คิดเป็นเงินไทยแค่ชิ้นละ 30 บาท แต่หมดรวมๆไปก็หลายร้อยเลยค่ะ

ช้อปเพลินจนลืมดูเวลา ว่าจะบ่ายสามแล้ว แต่เรายังไม่ได้กินข้าวเลย จึงหยุดช้อปแล้วไปกิน Ichiran ramen หรือ ราเมงข้อสอบ สาขาที่ฮาราจูกุ จริงๆ อยู่ใกล้กันหมดค่ะ แต่เราแค่เดินเองไม่ถูก เปิด GPS เดินตามง่ายสุดแล้วค่ะ พอมาถึงที่ร้าน เรามุ่งตรงไปที่ชั้น 2 ค่ะ เหมือนเดิมคือ หยอดเหรียญ หรือใส่แบงค์เข้าไปก่อนจากนั้นเลือกเมนูที่ต้องการ เราอาศัยดูจากรูปเอา 😂 เสร็จก็หยิบเงินทอนและใบออเดอร์เข้าไปให้พนักงานด้านใน เราจะได้นั่งเป็นเค้าเตอร์ ของใครของมันเหมือนกำลังทำข้อสอบของจริงเลยค่ะ

ตรงนี่จะมีกระดาษอีก 1 ชุดให้เราวงกลม เพื่อเลือกระดับความเข้มของน้ำซุป เพิ่มกระเทียม ต่างๆ ถ้าไม่รู้จะเลือกอะไร เลือกตามเส้นประ ที่เค้าทำไว้ให้ก็ได้ค่ะ เพราะคือ recommend จากทางร้าน

หน้าตาราเมง ที่วงๆ สั่งไป อร่อยมากค่ะ มีให้ซื้อแบบกล่องไปทำเองที่บ้านด้วยนะคะ แต่ว่าไม่ได้ซื้อมา กินที่ร้านน่าจะฟินกว่าาา 😋

ไม่น่าเชื่อเลยว่าเรากินเสร็จ เดินออกจากร้านน่าจะสี่โมงครึ่งได้ แต่มืดมากจนตกใจนึกว่าหนึ่งทุ่ม เราเลยนั่ง subway มาลงที่สถานี Akabanebashi (E21) เพื่อถ่ายรูป แลนมาร์คของโตเกียว นั่นก็คือ Tokyo tower พอขึ้นมาจากสถานีก็เจอเลยจ้า

ในรูปคือเวลาประมาณ ห้าโมงไม่เกิน ห้าโมงครึ่ง แต่มืดมากจริงๆ อีกรูปของ Tokyo Tower จากเกาะกลางถนน แบบไม่มีอะไรบัง และเห็นตึก 2 ฝั่งอยู่ประกบ Tokyo tower

จาก Tokyo Tower สถานี Akabanebashi (E21) เรานั่งไปลงสถานี Roppongi (E23) เพื่อไปชมไฟที่งาน Tokyo Midtown Illumination โดยส่วนตัวที่ไปมา 3 วัน ชอบที่นี่สุดแล้วค่ะ

พอเริ่มมืดก็ยิ่งหนาว เราเลยกลับที่พัก เอาของจากช้อปปิ้งไปเก็บก่อน ก่อนที่จะ search หาร้านเนื้อย่าง ย่าน Ueno จนได้ร้านชื่อ Yakiniku (Grilled meat) Niku no Machi ร้านจะหายากหน่อยนะคะ เพราะต้องเดินขึ้นไปชั้น 3 ป้ายร้านไม่ชัดเจน แต่อยู่ใกล้ๆกับ 7-11 ค่ะ

ปกติไม่ทานเนื้อ แต่พอลองชิมแล้วรสชาติใช้ได้เลยค่ะ

กินเนื้อย่างเสร็จ วันนี้เราเดินไปย้ำไก่ Yamachan กันอีกรอบค่ะ อยากกินต้องได้กิน 555 เปิดประตูร้านเข้าไป พนง.จะถามว่า smoking / non smoking แล้วจะบอกให้เรากดลิฟท์ไปที่ชั้นไหน

เมนูเด็ด หนีไม่พ้นไก่ทอด ราดพริกไทยฉ่ำๆ กินคู่กับเบียร์ สุโค่ยมากค่ะ

เรานั่งจนร้านปิดเลยค่ะ ห้าทุ่มกว่า เลยกลับที่พัก นอนหลับฝันดี ไม่รู้เพราะเหนื่อย หรือ ฤทธิ์ แอลกอฮอล์

วันที่ 4 ของการเที่ยวโตเกียวแล้วว เอาจริงๆ เหลือวันนี้วันสุดท้ายที่จะได้เที่ยวแบบเต็มวัน เพราะ ไฟล์พรุ่งนี้เครื่องออก 13.55 น. แปลว่าเราต้องออกจากโรงแรมตั้งแต่ช่วงแปดโมงครึ่ง

ต้องขอขอบคุณเพจ Japanthaifanclub ด้วยนะคะ ที่เอารีวิวของเราส่งต่อให้เพื่อนๆได้ลองศึกษา วิธีการมาญี่ปุ่นตาม เอาล่ะ ไปต่อกันเล้ยย



#วันที่ 4 : Shibuya - Ameyoko market - Ueno park

เช้าวันนี้ เราออกจากโรงแรมประมาณ 8 โมง เพราะตื่นสาย 55 เลยสลับเอาชิบูย่ามาไว้อันแรก นี่แหละข้อดีของการเลือกเที่ยวเอง เราตั้งใจอยากไปเดินข้ามทางม้าลายที่ 5 แยกชิบูย่ามาก จากสถานี Inaricho (G17) ใช้ Platform 1 นั่งมาสถานีชิบูย่า (G1) พอขึ้นมาจากทางออก Hachiko gate ก็จะเจอกับรูปปั้นสุนัขผู้ซื่อสัตย์ฮาจิโกะ ยิ่งใครดูหนังมาก่อนน่าจะยิ่งอินนะคะ

จากรูปปั้นมองไปก็จะเจอกับ 5 แยกชิบูย่า ที่ใครๆก็ต้องลองมาข้ามสักครั้งหนึ่ง

เรารีบข้ามถนนไปฝั่งตรงข้ามซึ่งเป็น Starbuck แล้วเดินขึ้นไปชั้น 2 *** มุมฝั่งขวามือดีสุด*** เพราะจะไม่มีป้ายสัญญาณไฟ หรือเสาอะไรบัง ถ้ามากันสองคนสลับให้คนนึงลงไปเดิน อีกคนถ่ายจากชั้น2 ก็จะได้รูปประมาณนี้ค่ะ

แม้จะพยายามใส่กางเกงสีแดงสู้ แต่มีคู่รักมาถ่าย pre-wedding เราเลยยอมถอยจริงๆไม่เดินข้ามต่อเป็นรอบที่ 3

จาก Starbuck เราเดินเล่นรอบๆ จนได้รองเท้า Adidas มาอีกคู่ และเดินช้อปของต่อที่ร้านดองกี้ เป็นของซื้อฝาก และของฝากซื้อจากเพื่อนๆ อันนี้ความคิดเห็นส่วนตัวจากที่เดินสำรวจหลายร้านมานะคะ

*** ร้านดองกี้แพงกว่า ตึกม่วง Takeya ส่วนร้านขายพวกเครื่องสำอางค์ชื่อ Mutsumoto Kiyoshi สาขาในตลาด Ameyoko ร้านที่สองด้านใน คือถูกที่สุด ***

แต่ด้วยความที่ซื้อก่อนแล้วค่อยมาเปรียบเทียบกับร้านอื่นทีหลัง ทำให้แอบมาเจ็บช้ำกับราคาเล็กน้อยกับพวกลิปมัน และโฟมล้างหน้า ซึ่งส่วนตัวได้ใช้โฟมแล้ว ชอบค่ะ หลอดนี้จากดองกี้ 498 เยน

ส่วนลิปมัน ราคาจากร้าน Mutsumoto Kiyoshi ที่ชิบูย่า แท่งละ 478 เยน ซึ่งมาเจอร้านเดียวกัน แต่เป็นสาขา Ameyoko ราคาถูกกว่า

เราเริ่มช้อปเยอะ ทั้งรองเท้าและของกิน เลยเอาของกลับไปเก็บที่ห้องก่อน 1 รอบ แล้วนั่งรถไฟมาที่สถานี Ueno เพื่อเดินช้อปที่ Ameyoko ตอนนี้เวลาใกล้บ่ายโมงของวันที่ 15 ธันวา ซึ่งบัตรสีเขียวอ่อนแบบ 72 hrs. น่าจะใกล้หมดเวลา เราเลยเปลี่ยนเป็นใช้แบบ 24 hrs.บัตรสีแดงแทน

เดินเข้ามาจะเจอทางแยก ฝั่งซ้ายจะเป็นตลาดอะเมโยโกะ ขายพวกอาหาร ของกิน

เราได้สตอเบอร์รี่ แพคละ 600 เยนมาจากซอยนี้ด้วย หวาน อร่อยมาก

ส่วนฝั่งขวามือจะเป็น อุเอชุน ย่านช้อปปิ้ง จริงๆร้านเนื้อย่างเมื่อคืนก็อยู่แถวนี้ค่ะ เราเดินช้อป ดูของไปเรื่อย เข้าร้าน Daiso อีกครั้ง เพราะติดใจขนม รสวาซาบิ ราคา 100 เยน ซื้อกลับมาฝากเพื่อนที่ไทยค่ะ 555 ขออนุญาตภาพประกอบจากเน็ท

เผลอแปปเดียวลืมดูเวลา ยังไม่ได้กินข้าวเที่ยง เราเลยเลือกกินราเมงตรงบริเวณทางเข้าตลาด จำชื่อร้านไม่ได้ แต่หน้าร้านมีบะหมี่ชามโตๆ พร้อมตะเกียบทำท่าคีบเส้น ขึ้นๆลงๆอยู่ ราเมง ชามละ 500 กว่าเยน แต่อร่อยดีค่ะ

กินเสร็จเราก็ช้อปปิ้งอีกเล็กน้อย แล้วข้ามไปเดินเล่นที่ Ueno park ฝั่งตรงข้ามตลาด Ameyoko

สวนที่นี่ใหญ่มาก เราเดินไม่หมดจริงๆ เสน่ห์ของที่นี่น่าจะเป็นตรงที่มีศาลเจ้าแทรกอยู่ตามมุมต่างๆ พอเข้ามาขึ้นบันไดด้านขวามือเราก็จะเจอกับรูปปั้นของ Saigo Takamori ซึ่งถือว่าเป็น “ซามูไรคนสุดท้ายที่แท้จริง”ของญี่ปุ่นค่ะ

จากรูปปั้นเราเดินเข้าไปด้านในสวนสาธารณะ ก็จะพบกับวัดเล็กๆสีแดงๆชื่อว่า Kiyomizu Kannon Temple

จากระเบียงวัด เราจะมองเห็นทางเดินไปยังวัด Shinobazunoike Bentendo Temple

บริเวณทางเข้าจะมีร้านขายของกินเยอะมาก แบบ local รู้สึกได้สัมผัสญี่ปุ่นจริงๆ

เราได้มีโอกาสลองชิมขนมท้องถิ่น ที่มีขายเฉพาะย่าน Ameyoko ชื่อ Ameyoko Yaki

รสชาติตัวแป้งคล้ายๆ ทาโกะ แต่เหมือนจะมีแต่ผักกับไข่ แต่อร่อยดีค่ะ ราคา 350 เยน

พอกินเสร็จเดินไปด้านซ้ายมือ เราจะเจอกับเสาโทริอิของศาลเจ้า Hanazonoinari Shrine

มื้อเย็นวันนี้ เรามีนัดกับเจ้านายเก่าชาวญี่ปุ่น เหมือนกลายเป็นธรรมเนียมที่เห็นหลายคน พอมาเที่ยวญี่ปุ่นก็จะนัดเจอเพื่อนเก่า เจ้านายเก่า หรือคนรู้จักที่ญี่ปุ่น วันนี้เจ้านายกับภรรยา พาเรามากินซูชิที่แถวๆ Ameyoko market นี่เอง

สั่งมาเยอะมากค่ะ เจ้านายจำได้ว่าเราชอบแซลมอน 555 แต่เหมือนคนญี่ปุ่นบอกว่าเป็น โลว์ฟิช ยูต้องกินพวกทูน่านะ แต่เราก็ยังยืนยันรักแซลมอนอยู่ดี

จานนี้ถือเป็น recommend ของที่ร้านเลยค่ะ ใช้ส่วนต่างๆของทูน่ามาทำเป็น Sushi ทั้งส่วนท้อง ส่วนหลัง อร่อยยยยย

จริงๆ เราเริ่มจะอิ่มแล้ว แต่นายไม่ยอมค่ะ สั่ง Sushi มาเพิ่มอีก จานนี้ชอบ Sushi ตรงกลางที่คล้ายๆหญ้ามากค่ะ นายบอกว่าเป็นต้นอ่อนของต้นหอมญี่ปุ่น

ส่วนคำนี้คือหอยไข่เม่นหรืออุนิ เป็นครั้งแรกที่ได้ลองชิม คำละร้อยกว่าบาทไทย จริงๆไม่คาวนะคะ แต่ตอนอยู่ในปากรู้สึกนิ่มๆ หยึยๆแปลกๆ 555

ส่วนคำนี้ ชอบมากกกก ตัวไข่ปลาแซลมอนแตกตอนเคี้ยวในปาก ฟินสุดๆเลย

ตามคำพูดของคนโบราณที่บอกว่า กินคาว ไม่กินหวานสันดานไพร่ ถึงแม้ว่าเราจะอิ่มมาก แต่ขาก็ก้าวตามนาย ไปยังร้านของหวานฝั่งตรงข้ามร้านซูชิ ขอโทษที่จำชื่อร้านไม่ได้จริงๆ แต่อยู่ย่านเดียวกันหมดค่ะ ร้านนี้นายบอกว่า เป็นของหวาน สไตล์ญี่ปุ่น เมนูก็จะเน้นไปที่ ถั่วแดง มีทั้งแบบร้อนและแบบเย็น จานนี้แบบร้อนครึ่งหนึ่งเป็นถั่วแดง อีกครึ่งเป็นถั่วเหลือง เวลาทานให้ทานสองอย่างพร้อมกัน

เมนูของร้อนจานต่อมาคือถั่วแดง ด้านในใส่เหมือนแป้งที่เอาไปย่างมา หอมกลิ่นถ่านมากๆๆๆๆ

มาด้านแบบเย็นกันบ้าง ชามนี้เป็นไอศกรีมถั่วแดง อร่อยยยย

ส่วนชามนี้ ตัวซอฟท์ครีมเป็นรสนม อร่อยอีกแล้วอ่าาาา

เรากินกันเยอะมาก จนแทบจะกลิ้ง ปกติถ้ามากินกันเองคงไม่สั่งเยอะขนาดนี้ คนญี่ปุ่นเดินกันเก่งมากจริงๆค่ะ ขากลับจาก Ameyoko market ตรงสถานีรถไฟ Ueno นายเดินมาส่งเราถึงโรงแรมเลย เราเลยร่ำลา และให้ของฝากกันเป็นที่ระลึก ก่อนจะพบกันใหม่โอกาสหน้า

คืนนี้เรานอนกันค่อนข้างดึก เพราะเริ่มแพคของกลับบ้าน ซึ่ง Nokscoot ให้น้ำหนักกระเป๋า 20 กิโล และถือขึ้นเครื่องได้อีก 7 กิโล เราเลยนั่งจัด นั่งรื้อ แกะกล่องรองเท้า ยัดขนมกันนานพอสมควร ****แนะนำซื้อถุงสูญญากาศ***** เวลาพับพวกเสื้อแขนยาว เสื้อโค้ช หรือ เสื้อผ้าต่างๆ มันช่วยประหยัดพื้นที่ในกระเป๋าไปได้มากจริงๆ ส่วนขนมพวกพุดดิ้ง เหมือนจะเอาขึ้นเครื่องไม่ได้นะคะ เราซื้อซูเฟล่พุ้ดดิ้งจาก แฟมิลี่มาร์ทมา กะเสี่ยงถือขึ้นเครื่องเหมือนกัน แต่อ่านรีวิวในพันทิปว่าเอาขึ้นไม่ได้ เราเลยยอมโหลดใต้ท้องเครื่องแทน พอถึงไทย รสชาติยังโอเคอยู่ค่ะ หาอะไรห่อกันกระแทกดีๆเท่านั้น



#วันที่ 5 : Inaricho - นาริตะ - ดอนเมือง



วันนี้เราต้อง Check out แล้ว เวลาผ่านไปไวมากจริงๆ 4 วันเหมือนไม่พอ เราเลือกไปสถานี Ueno ให้ทันขึ้นรถ Keisei skyliner รอบ 8.50 น. ระหว่างทางเดินหน้าโรงแรม เราก็โบกมือลา Tokyo skytree จากมุมไกลๆ

เราไปถึงสนามบินเกือบๆสิบโมง เหมือนเดิมค่ะ รีบไปต่อแถว check in ไว้ก่อนตั้งแต่เค้าเตอร์ยังไม่ทันเปิด จนได้ที่นั่งริมหน้าต่าฝั่งขวา **เคล็ดลับอยากเห็นฟูจิซัง ให้นั่งริมหน้าต่าง ไปซ้าย (แถว A) -กลับขวา (แถว K) **** เชคอินเสร็จเราจึงมาฝากท้องที่ร้าน Yoshinoya ในสนามบิน เป็นเช็ตค่ะ ประมาณ 700 เยน

จากนั้นก็เดินเข้าไปด้านใน เพราะอยากเผื่อเวลาไปช้อปขนมอีกนิดหน่อย จะบอกว่าร้านของฝากร้านแรกที่เห็นชื่อ Akihabara ร้านค่อนข้างใหญ่จริง แต่คนต่อคิวยาวมากกกกก เรารอต่อแถวจ่ายเงินนานนนนนนสุดๆ แต่พอเดิน ยิ่งเข้าไปด้านใน ร้านของฝากยิ่งเยอะ!! เราซื้อพวกคุ้กกี้ Shiroi , Royce แล้วก็พวกขนมเซ็มเบ ซึ่งร้านด้านในมีให้เลือกหลายร้านแถมไม่มีคิว จริงๆถ้าใครเดินมาด้านในน่าจะสะดวกกว่า แต่ราคาเราไม่ได้เดินสำรวจนะคะ

พอเข้ามาถึง gate ที่ 88 ซึ่งอยู่ลึกมา เราเลยกดน้ำมากินอีกครั้ง ชานมอร่อยมาก อันนี้ชอบบบ

ไม่นานก็ได้เวลากลับประเทศไทย หมดเวลาสนุกแล้วว แม้เป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่มันทำให้เราได้คำตอบแล้วว่าทำไมใครๆก็มาญี่ปุ่น ถ้ามีโอกาสก็จะกลับมาเที่ยวอีกแน่นอน ยังไม่อีกหลายที่ หลายย่าน อีกหลายเมืองที่เราอยากไป การมาเปิดประสบการณ์ครั้งแรกนี้ ถือว่าคุ้มค่ามากจริงๆ

สุดท้ายนี้ ขอบคุณทุกๆคนมากนะคะ สำหรับการติดตาม ที่เข้ามาอ่าน มาคอมเม้นท์ กานต์หวังว่ารีวิวนี้จะมีประโยชน์กับเพื่อนๆ ที่คิดอยากไปเที่ยวญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก ด้วยตัวเอง...จริงๆแล้วไม่อยากแบบที่คิดเลยค่ะ ไม่ต้องกลัวหลงด้วยซ้ำเพราะคนไทยเยอะมาก 555555 แล้วเราอาจได้เจอกันที่ญี่ปุ่นนะคะ

ความคิดเห็น