โมโกจู…ระหว่างทางมีความหมายมากกว่าปลายทาง
ช่วงเวลาค่ำคืนเรายืนคุยกันที่แค้มป์พักคลองสอง ยังไม่ถึงแค้มป์ตีนดอย ยังห่างจากยอดสูงสุดราวๆ ชั่วโมงครึ่ง วันนี้เรามาสุดทางได้เท่านี้ เราเดินฝ่าสายฝนตั้งแต่ออกเดินจากแค้มป์พักแม่เรวา ตอนนี้เกือบสองทุ่มกว่ายังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ความหวังที่จะขึ้นสู่ยอดเขาโมโกจู อยู่ที่ว่าเช้าวันรุ่งขึ้นมันจะหยุดมั้ย เสียงพูดคุยสนทนาคาดการณ์ต่างๆนานา เรื่อยไปจนถึงเรื่องราวของผู้พิทักษ์ผืนป่า มีเรื่องราวดีๆมากมายท่ามกลางสายฝน เพราะสุดท้ายปลายทางอาจจะไม่สำคัญเท่ากับระหว่างทาง…
รับชมเรื่องราวความทรงจำดีๆ…https://youtu.be/tZuuD8oA9Ec
เจ็ดโมงเช้าในห้วงเวลาเหมันต์ กลางธันวาหน้าหนาว ที่ อุทยานแห่งชาติแม่วงศ์ สายฝนกระหน่ำแบบถล่มทลาย ตกหนักมาก มันใช่เหรอ… เรามีนัดทานมื้อเช้าก่อนออกเดินทางสู่ ยอดดอยโมโกจู ที่สุดของเส้นทางเดินป่าในประเทศไทย ภายใน 1 ปี มีเวลาให้ชื่นชม แค่เพียง 2 เดือนกับจำนวนผู้มาเยือนได้ปีละ 250 คนเท่านั้นจากยอดผู้ให้ความสนใจนับหมื่น เป้าหมายของเราคือแค้มป์แม่เรวา ตกได้ตกไปยังไงก็ลุย…ไปโลดดดดด
ก่อนออกเดินทาง ต้องมีการอบรมการใช้ชีวิตอยู่กลางป่าเป็นเวลาหลายวัน
ต้องบอกกล่าวเล่าขาน ขอบคุณผู้ใหญ่ใจดี การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ที่ให้โอกาสดีๆ ในการร่วมเส้นทางพิชิตยอดโมโกจู เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการมาบอกต่อ ส่งต่อ สิ่งที่ได้รับรู้ได้เห็นกับตาตัวเองจาก เส้นทางเดินป่าที่หินที่สุด ต้นกำเนิดของสายน้ำลำธาร เป็นบ้านของ ช้างป่า เสือดาว เสือดำ นกเงือก เป็นผืนป่าที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศ…เดินทางกันต่อ
16 กิโลจากที่ทำการถึงแค้มป์แม่กระสา กับอีก 4 กิโลจากแค้มป์แม่กระสาถึง จุดหมายแรกแค้มป์แม่เรวา ท่ามกลางสายฝนที่ไม่ยอมลดราวาศอกกันเลยจริงๆ คือ กล้องถ่ายรูปที่เอามายังนอนแน่นิ่งอยู่ในกระเป๋า จะมีรูปบ้างก็จาก gopro แอ๊กชั่นคาเมร่าสายทนถึก ถึงแค้มป์แม่เรวา
เส้นทางสู่แค้มป์แม่เรวา…
บรรยากาศสวยๆ ที่แค้มป์แม่เรวา…
จากแค้มป์แม่เรวา เราเดินไปชมน้ำตกแม่เรวา ระยะทาง 3 กิโลเมตร เดินแบบสบายๆ ทางไม่ชันไม่โหดร้าย แต่วันนี้ทุกเส้นทางที่ก้าวย่ำไปมีสายฝนโปรยปรายสร้างความชุ่มฉ่ำพร้อมกับชุ่มแฉะไปด้วย…
น้ำตกแม่เรวา
ใช้เวลาชั่วโมงกว่าๆ เราก็มายืนอยู่หน้าน้ำตกขนาดกลาง ไม่ใหญ่มากแต่ดูทรงพลัง เป็นน้ำที่ไหลลงมาจากผาสูง มีสามชั้น แอ่งเบื้องล่างที่รองรับสามารถลงน้ำได้ ในช่วงปลายๆของฤดูเดินป่าโมโกจู ถ้าเป็นตอนนี้หมดสิทธิ์จ๊ะ น้ำค่อนข้างแรงและไหลวน ถ้าลงไปมันจะดึงเราให้จมลง ไม่ควรไม่ใช่สิ คือต้องไม่ลงไปเล่นเด็ดขาด ชื่นชมสมปรีดา ก็ต้องกลับแค้มป์แล้วล่ะ ต้องไปทำ อีกหลายๆเรื่อง เต็นท์ก็ยังไม่ได้กาง ข้าวก็ยังไม่ได้หุง แล้วต้องรีบพักผ่อนด้วยพรุ่งนี้ของจริง เดินอย่างโหด…
เส้นทางเดินไปน้ำตกแม่เรวา…
น้ำตกแม่เรวา ชุ่มฉ่ำจริงๆ…
ขากลับใช้เวลาพอๆกับตอนเดินมา ถึงแค้มป์แม่เรวา ทุกอย่างก็ถูกกระทำเรียบร้อยแล้วทุกสิ่งอย่าง คือเราออกเดินมากลุ่มแรก โดยมีทีมลูกหาบพร้อมกับพรรคพวกกลุ่มหลังตามมา เค้าเลยจัดให้อย่างดี ขอบคุณมากมาย…
ทำอะไรล่ะที่นี่ ไปอาบน้ำสิ อาบทั้งๆที่หัวและตัวยังเปียก แค้มป์แม่เรวา อยู่ติดริมลำธารแม่เรวา บรรยากาศดีมากมาย น้ำเย็นเจี๊ยบ ลงไปสัมผัสแรกนี่ถึงกับสะดุ้ง ต้องแช่สักพักถึงจะรู้สึกดี อาบน้ำเสร็จทานข้าวก็ได้เวลาพักผ่อน พรุ่งนี้หนักจริง…
เช้าวันใหม่กับสภาพอากาศที่ยังเหมือนเดิม เปาะแปะๆ มันเป็นอย่างงี้มาทั้งคืนยันเช้าเลย ไม่หนักแต่นาน เรื่อยๆขาดเป็นช่วงๆแต่ไม่ขาดสาย ก็ไม่รู้จะทำไง เก็บของ เตรียมตัวเดิน วันนี้อย่างหนัก 8 กิโลโดยประมาณ ขึ้นเขาอย่างเดียวชันดิ๊ก…
จัดมื้อเช้า เตรียมมื้อเที่ยงไปกินระหว่างทาง แปดโมงฤกษ์งามยามเหมาะ มุ่งหน้าสู่แค้มป์ตีนดอย ออกเดินช่วงแรกก็เริ่มกันที่ความชันเบาๆ ผ่านป่าไม้รวก ก่อนเข้าสู่ป่าไผ่ ไต่ระดับความชันไปเรื่อย เส้นทางช่วงนี้จะมีเห็บป่านะ เราโดนมาตัวนึงเกาะมาที่ไหล่ กว่าจะรู้ตัวกลับบ้านมาสามวันแล้ว เพราะฉะนั้นอย่าพยายามเดินออกนอกเส้นทาง…
เดินตามกันมาเรื่อยๆเนาะ…
ผ่านเส้นทางป่าไผ่ ก็เข้าสู่โหมตขึ้นเขาจริงจัง ลืมบอกสายฝนช่วงแรกเหมือนจะหยุดแล้ว แต่ท้องฟ้ามีเมฆมาก ครึ้มตลอด เรือเล็กไม่ควรออกจากฝั่ง เดินขึ้นเขาควรพกเสื้อกันฝน เกี่ยวกันป่ะ…
เส้นทางช่วงนี้จะเข้าสู่ป่าเบญจพรรณ รก ทึบ ไม้ใหญ่ มองแทบไม่เห็นแสงตะวัน ความชื้นสูง อาจเนื่องจากโดนฝนถล่มทั้งคืน ทางชันมาก บางช่วงต้องไต่เชือกช่วย ขี้ช้าง ขี้เสือ รอยเท้าสัตว์มีให้เห็นตลอดทาง และ…ฝนเริ่มลงมาอีกแล้ว
เราเดินมาจนเกินครึ่งทางแวะพักกินข้าวก่อนจะถึงจุดเติมน้ำคลองหนึ่ง สภาพอากาศไม่ดีเลยมากๆ พี่เจ้าหน้าที่ที่นำมา บอกกับเราว่าวันนี้อาจขึ้นยอดหินเรือใบไม่ได้ เพราะเส้นทางค่อนข้างอันตราย ถ้าฝนยังตกมาเรื่อยๆ ต้องลุ้นขึ้นเช้าวันพรุ่งนี้ ก็ไม่เป็นไร…เดินต่อ
จากจุดพักทานข้าวลงมาเติมน้ำที่คลองหนึ่ง เราเดินยาวรวดเดียวถึงแค้มป์คลองสอง แต่ยังไม่ถึงแค้มป์ตีนดอย นั้นคือ การสิ้นสุดเส้นทางสำหรับวันนี้ สภาพอากาศเลวร้ายเกินกว่าจะไปต่อ คือ…ตั้งแต่ออกเดินจากจุดพักกินข้าว ฝนเทมาไม่หยุดเลย มีหนักสลับเบา เดินจนถึงแค้มป์ ยิ่งตกยิ่งหนัก ทุกอย่างต้องทำท่ามกลางสายฝน
ทีมชุดแรกมาถึงแค้มป์คลองสองพร้อมสายฝน…
สภาพอากาศ บรรยากาศมืดมัวมาก…
กางเต็นท์ ขึงฟลายซีส ก่อกองไฟ ทำกับข้าว กินข้าว เรามาถึงก่อน ก็ช่วยกันทั้งพี่ลูกหาบ ทีมที่มาถึงด้วยกัน ทุกสิ่งอย่างทำภายใต้ท้องฟ้าที่มืดมนตลอดเวลา เริ่มกังวลใจเล็กๆ ว่าพรุ่งนี้จะรอดมั้ยเนี่ย คุยกับพี่เจ้าหน้าที่ เค้าบอกว่าก็ต้องลุ้น แต่ถ้ายังตกอย่างงี้หมดสิทธิ์ขึ้นยอดดอย……
แค้มป์กลางสายฝน…
บทสนทนาข้างกองไฟ ในค่ำคืนที่สายฝนโปรยปราย จากเรื่องราวความเป็นกังวลว่าจะขึ้นสู่ยอดสูงสุด โมโกจู ได้หรือไม่ได้ ค่อยๆเปลี่ยนไปเป็นเรื่องราวของ ผู้พิทักษ์ผืนป่า การเดินลาดตระเวนบนเนื้อที่กว่าห้าแสนไร่ บนบ่าทั้งสองข้างรับน้ำหนักของยังชีพเกินกว่า 30 กิโลกรัม ใช่เวลาครั้งละ 5 วันบ้าง 7 วันบ้าง เดินกัน เกือบ 300 กิโลเมตรต่อหนึ่งเดือน เพียงเพื่อผืนป่ายังคงดำรงอยู่ การดูแลรักษาต้นน้ำลำธาร อนุรักษ์สัตว์ป่า ศึกษาพฤติกรรมความเป็นอยู่ เพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า นักเดินทางสามารถเข้ามาสัมผัสชีวิตกลางป่าในวิถีที่ไม่รบกวนชีวิตในป่า…หลากหลายแง่มุม รายละเอียดที่ถ้าจะบรรยาย น่าจะพิมพ์กันยาวเลย
หลายนาทีที่ได้คุยกัน หลายมุมที่เราไม่เคยรับรู้ ล้วนเป็นเรื่องราวดีๆที่เกิดขึ้นในป่าใหญ่แห่งนี้ เราเข้าเต็นท์นอน เมื่อเห็นสมควรแก่เวลา รอลุ้นในวันรุ่งขึ้นแบบแทบไม่ค่อยจะได้ลุ้นเท่าไหร่……
เช้าวันเดินทางกลับ เตรียมอาหารก่อนออกเดิน…
การเดินทางสู่ยอดดอย โมโกจู ของเราได้สิ้นสุดเส้นทางลงแล้ว เสียดายแต่ไม่เสียใจ เช้าวันรุ่งขึ้นไม่มีปาฏิหาริย์ สายฝนยังคงไม่ปราณี เมื่อไปต่อไม่ได้ ก็ต้องกลับ แม้จะผิดหวังที่ไม่สามารถไปจนสุดทางได้ แต่ก็ไม่อาจไม่สำคัญเท่ากับเรื่องราวระหว่างทาง
ขอบคุณเพื่อนร่วมทางทุกคน ทุกเส้นทางที่ได้เดินผ่านคือ ประสบการณ์ คือเรื่องราวใหม่ๆ ไม่ว่ามันจะดีงามหรือมันจะโหดร้าย มันความทรงจำ……นิดนึงก่อนจบ โมโกจู เราได้เจอกันอีกรอบแน่นอน
คน ฟ้า ป่า น้ำ
วันเสาร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2561 เวลา 14.40 น.