วันแรก เที่ยวสุสานจิ๋นซี

วันที่สอง เที่ยวหัวซาน พิชิตยอดเขาฃ

วันที่สาม เที่ยวลั่วหยาง

วันที่สี่ เที่ยวในเมือง ช้อปปิ้ง ของฝาก

วันที่ห้า กลับไฟล์ทตีสอง ถึงกทม. ตีห้า

การเดินทางไปเมืองจีนครั้งที่สองต่อจากเมืองเซี่ยงไฮ้ ไปคนเดียวอีกแล้ว แค่อยากไปตามหาสิ่งมหัศจรรย์ของโลกและดูให้เห็นกับตาตัวเอง เที่ยวขนาดนี้พี่ว่าชาตินี้คงตายตาหลับหละ

วันเดินทาง 28 ธันวาคม 2561 - 2 มกราคม 2562 4 คืน 4 วัน

สายการบิน แอร์เอเชีย

Depart DMK - XIY

FD 586

Bangkok - Don Mueang (DMK)

Don Mueang International Airport (DMK)
28 Dec 2018, 1935 PM (7:35 PM)

Xi'an (XIY)

Xi'an Xianyang International Airport (T3) (XIY)
29 Dec 2018, 0025 AM (12:25 AM)
Return XIY - DMK

FD 587

Xi'an (XIY)

Xi'an Xianyang International Airport (T3) (XIY)
02 Jan 2019, 0125 AM (1:25 AM

Day 1 การเดินทางจากสนามบินเสียนหยางเข้าเมือง

เนื่องจากไฟล์ทมาถึงค่อนข้างดึกทำให้การเข้าเมืองค่อนข้างลำบากจากที่อ่านรีวิว ซึ่งหายากมากกกก เกี่ยวกับเมืองซีอานบอกว่ามี bus เข้าเมืองโดยซื้อตั๋วได้ที่ภายในอาคารของสนามบิน แต่เพื่อความชัวร์เพราะบางกระทู้ก็บอกว่าปิดแค่ 24.00 เราก็เลยไม่กล้าเสี่ยงเลยใช้บริการรถรับส่วนตัวของ Klook ถามว่าแพงมั้ยราคาอยู่ที่ 700-800 บาทแต่เพราะไปคนเดียวน่าจะดีกว่าเดินเคว้งคว้างในสามบิน แนะนำเว็บ Klook ถ้าเป็นลูกค้าใหม่และแนะนำเพื่อนเมื่อมีการซื้อบริการจะได้รับส่วนลด 100 บาทเราเลยได้มาในราคา 700

แต่มาถึงลงเครื่องไฟล์ทดึก ความโชคดีก็เริ่มต้นหาพนักงานที่มารับไม่เจอและไม่รู้ว่าอยู่จุดใด ทางรอดคือถาม Information สรุปพูดอังกฤษไม่ได้ ถามคนในบริเวณนั้นก็ชี้ไปชี้มา เดินเข้าเดินออกสนามบินอยู่ครึ่งชั่วโมง อากาศหนาวมากติดลบน่าจะประมาณ -4 องศาได้ เอาไงดีวะ เลยเข้าไปขอยืมโทรศัพท์พวกแทกซี่เหมาะที่รอผู้โดยสารในสนามบินขอให้เค้าช่วยโทรเข้าบริษัท Klook ที่เป็นฝ่ายบริการลูกค้า ให้เขาช่วยประสานงานกับพนักงานขับรถที่มารับให้สรุปเจ้าหน้าที่ของ Klook ติดต่อไปให้และให้เรารออยู่ในภายในอาคารบริเวณ Information แหละเดี๋ยวเขาจะมารับ โอ้ย!!! รอด!!! แต่ตอนจะยืมโทรศัพท์ดิ้ ผู้ชายที่ให้ยืมอังกฤษก็ไม่ได้ ใช้ภาษามือกันประกอบกับเรายกมือไหว้ขอร้องให้ช่วยโทร

รอดมาได้ถึง รร.ตีหนึ่งครึ่งกว่าจะนอนตีสอง เราเลือกโรงแรมที่ใกล้สถานที่ท่องเที่ยว ใกล้แลนด์มาร์กพวกหอระฆัง ถนนอาหารมุสลิม แต่ก็ห่างประมาณเกือบกิโลนึงแต่เดินได้นะ ทำให้ที่จองไว้คืนแรกเนี่ยไม่คุ้มเล้ย check in ตอนตีสอง แต่ต้องยอมเช้ามีแพลนแรกคือไปที่สุสานจิ๋นซี

เช้าวันที่สอง สุสานจิ๋นซี มาพร้อม!!! ถามว่าพร้อมมั้ย ส่วนนึงเราหาข้อมูล แผนการเดินทางมาแล้วก่อนที่จะมาเที่ยวแต่พอเอาเข้าจริงมันก็ไม่ค่อยเป็นไปตามแพลน เอาล่ะสิ๊ ต้องขึ้นรถไปสุสานจิ๋นซี ถ้าขึ้นแทกซี่ก็จบแต่สไตล์พี่ อยากทำตัวเหมือนคนที่นี่เค้าเดินทางกันเลยไปทางรถบัส แต่ป้ายแมร่งอยู่ไหนวะ 55 ถามทางตลอดทุกๆ 100 เมตรแต่คุณจะสามารถถามได้จากเจ้าหน้าที่เก็บขยะ เมืองนี้เค้ามีคนเก็บขยะทุกๆ 100 เมตร สะอาดจริงจัง ใครว่าจีนสกปรก เมืองไทยเรานี่กลายเป็นสกปรกไปเลยที่เมืองนี้สะอาดมาก มีเจ้าหน้าที่เก็บขยะเยอะมากเขาจะมีที่คีบแบบหนีบคล้ายๆกรรไกรยาวๆ คอยเก็บขยะตลอด

เช้านี้อากาศน่าจะอยู่ที่ -3 ได้ กว่าจะถึงบัส เฮ้อ รอด รถมาขึ้นค่ะรออะไร พอขึ้นปุ๊บ อ้าว!!! จ่ายเงินไงหว่า

ที่นี่เค้าใช้ระบบ Alipay กันตื้ดๆ กันผ่านโทรศัพท์มือถือ เดินไปถามคนขับทำหน้าเหวี่ยงใส่ก็คนจะถามว่าเท่าไหร่ไม่ตอบแถมด่าเป็นภาษาจีนประมาณว่าไม่จ่ายตังค์ แล้วมันเท่าไหร่ล่ะลุง กรูรู้กรูจะจ่ายให้ อย่าเพิ่งเหวี่ยง

ขณะนี้ยืนเงอะๆ เงิ่นๆ อยู่หลังคนขับรถบัสมีนางฟ้าใจดีมาตืัดๆ จ่ายเงินให้ค่ะ เราส่งเงินให้เค้าส่ายหน้าไม่รับ

เลย Say Thank กับนางไป เห็นมะจริงๆคนใจดีมีน้ำใจก็มีอยู่อีกเยอะไม่ว่าจะเป็นชาติใด

ทีนี้รอดละ หาที่นั่งแล้วมันลงตรงไหนวะ อ่านมาเขาบอกนั่งไปเรื่อยๆ ประมาณ 15 นาทีจากโรงแรมให้ลงตรงกำแพงเมืองอ่ะมันจะมีจุดขึ้นรถบัส ให้เราไปลงตรงสถานีรถไฟซีอาน พอลงแล้วก็ถามเค้าไปหรือเอารูปให้ดูว่าจะขึ้นรถตรงไหนเพราะเราต้องไปต่อรถบัส 5 (306) จาก East square ลานด้านขวาของสถานี ราคา 7 RMB ลงสุดสาย (เก็บค่าโดยสารบนรถ) คนเต็มรถออกค่ะ

หน้าสถานีรถไฟซีอานประมาณนี้ค่ะ ยังเห็นร่องรอยของหิมะที่ตกไป แต่เสียดายที่ไม่ได้เห็นตอนตกแต่ได้เห็นก็ยังดี พี่ไม่เคยเห็นหิมะ ที่เมืองนี้เต็มไปด้วยดอกไม้ เขาจะประดับประดาตกแต่งอย่างสวยงามทั่วเมือง

อ่ะถึงสถานีรถไฟละเดินไปทางไหน ทางเอาตัวรอดของพี่วิธีเดิมถามเจ้าหน้าที่คีบขยะน่ะแหละ นอกจากจะถามทางแล้วยังให้เขาช่วยถ่ายรูปให้ด้วย เจ้าหน้าที่ที่นี่ส่วนใหญ่จะเป็นสาวรุ่นใหญ่นิดนึง แต่ใจดีมาก แม้จะพูดกันไม่รู้เรื่องแต่ก็สื่อสารกันด้วยภาษามือ เพราะพี่ก็พกภาษามาแค่ 1-10 ขอบคุณ ราคาเท่าไหร่ ลดได้ไหม ห้องน้ำไปทางไหน เอาตัวรอดไปวันๆ ได้


เจอละโว้ย ท่ารถบัสถูกต้องตรงตามที่หาข้อมูลมาขึ้นรถโล้ด จุดนี้เขาเรียกว่ากำแพงเมืองทิศเหนือ จะมีรถบัสจอดเต็มไปหมดแต่ระวังขึ้นผิดสายนะจ้ะ ชีวิตเปลี่ยนทันทีเอาเลข 306 เท่านั้นจะเป็นวัยรุ่น หนุ่มสาวเพียบมากันเป็นคู่เป็นกลุ่ม ดูทรงละนางไปเที่ยวที่เดียวกันแน่ๆ ตามเค้าไป ลงไหนพี่ลงตาม นั่งไปเรื่อยๆจ้าสุดสายเลยใช้เวลาประมาณ 40 นาทีได้ สุดสายจริงๆ พอลงตรงบริเวณนั้นจะมีร้านขายอาหารหลายๆร้าน ให้เดินตรงไปที่เห็นประตูรั้วเหล็กๆ น่ะแหละ ไปทางไหนหรอ เซ้นส์ช่วยได้ 55 มองๆ หาๆ เดินไปรอบๆ อ่อเจอละมีประตูรั้วทางเข้าแต่ไม่ใช่ว่าจะถึงนะ พอเข้าไปในบริเวณรั้วจะมีลานจอดรถให้เดินตรงเข้าไป ง่ายสุดเดินตามคนอื่นค่ะ นักท่องเที่ยวเยอะ ฝรั่งเยอะ เดินตามไปเราจะมาถึงจุดขายตั๋ว

หน้าตาของอาคารประมาณนี้ มีภาษาอังกฤษค่ะ Ticket Office มุ่งเข้าไปข้างในเลย โชว์ Passport พร้อมจ่ายเงิน ได้ตั๋วมาจบ ราคาตั๋วประมาณ 750 บาทไทย ซื้อเถอะเชื่อพี่ คุ้ม!!! ิเขารักษากันมาเป็นพันๆ ปีการเก็บรักษาก็ยากแท้จ่ายเถอะคร่า


อันนี้บริเวณทางเข้าเดินวนไปวนมา วนไปวนมา วนไปวนมา จึงถึงจุดรับตั๋ว

หนาวไม่หนาวก็ดูเถอะ ต้องใส่ถุงมือติดลบขนาดนี้มือมันจะชาแต่พอใส่ถุงมือก็กดมือถือไม่ได้ 55 ถอดเข้าถอดออก อยากให้บ้านเรามีอากาศแบบนี้บ้างจังงงง หนาวยันไส้


ไปพร้อมมั้ย!! แต่คนข้างหลังคงคิดในใจว่า ดูมึงเดินไปสักทีเถอะ กรูหนาวจะแย่ละ เซลฟี่อยู่ได้

พอเข้ามาด้านในจะมีรถไปส่งที่ตัวอาคารแสดงหุ่นทหารนะคะ จ่ายเงินประมาณ 10 หยวนเป็นรถกอล์ฟ หรือใครจะเดินก็ได้ แต่พี่นั่งรถ ขาออกค่อยเดินละกัน

พอมาถึงเราจะพบอาคารหลายตึกอยู่ในบริเวณพื้นที่ไม่ไกลกันสามารถเดินถึงกันได้ทุกตึก ก็ค่อยๆเลาะดูกันไปแต่ละแห่งเนาะ ตรงนี้อาจจะไม่ได้บรรยายรายละเอียดอะไรเยอะเพราะสามารถหาอ่านได้จากพี่กูเกิ้ล ว่าประวัติความเป็นมาของสุสานจิ๋นซีเป็นยังไง มีการแสดงหุ่นอย่างไรบ้าง

ด้านในของอาคาร ที่นี่ถือเป็นมรดกโลกที่ใครๆก็รู้จัก ตอนนี้พี่สะสมไมล์เที่ยวสิ่งมหัศจรรย์ของโลกอยู่หลังจากที่ไปนครวัด นครธมมาแล้ว

ให้ภาพเล่าเรื่องละกันภายในอาคารแสดงก็เป็นลักษณะข้างต้น คนที่ชื่นชอบประวัติศาสตร์น่าจะอยู่ได้ทั้งวัน สำหรับพี่ขอแค่ได้มาสัมผัสและเห็นความอลังการด้วยตาแค่นี้ก็พอแล้ว ใช้เวลาที่นี่เดินไปเดินมาหลายๆ อาคารในบริเวณพี่ใช้เวลาไป 2 ชม.กว่าเอาละ พอหิว!!! ตั้งแต่เช้าจนเกือบบ่ายโมงยังไม่ได้กินอะไรเลย

บริวเวณทางเดินไป เดินมาหน้าอาคารแสดงหุ่นนักรบ อย่าถามว่าใครถ่าย ใครมองหน้าพี่ พี่ก็เข้าไปขอให้เค้าถ่ายให้ทั้งนั้นแหละ คนที่นี่ใจดีพี่บอกแล้ว แต่อย่าเอามือถือพี่วิ่งไปก็แล้วกัน TT


หลังจากออกมาจากบริเวณอาคารแสดงหุ่นนักรบ แถวนั้นจะมีร้านค้าขายทั้งของกิน ของฝากเพียบ อะไรก็ได้ละชั่วโมงนี้ลองดูกินได้หมดยกเว้นเนื้อ ต้องถามทุกครั้งก่อนซื้อว่า "หนิวโร่ว" (เนื้อวัว) หรือเปล่า ถ้าเป็น "จูโร่ว" คือเนื้อหมูกินได้

สรุปได้นี่มากินคล้ายๆ ทำแป้งเหมือนเครปแผ่นใหญ่แต่ไม่ใช่อ่ะน่าจะแนวโรตีมากกว่าไส้เป็นผัก มีหมูสับเล็กน้อยและใส่ซอสก็กินได้นะไม่ได้แย่


และก็รอดตายด้วยพวกลูกชิ้น ไส้กรอก ผักๆ ลวกๆ เนี่ยแหละ เขาเสียบเป็นไม้ให้เราเลือกและมีน้ำจิ้มราดให้อารมณ์ประมาณลูกชิ้นปิ้ง ลูกชิ้นลวกบ้านเราน่ะแหละ กินร้อนๆ อากาศเย๊นๆๆ เย็น อะไรก็อร่อย


ถึงเวลากลับเข้าเมือง นั่งรถที่จุดเดิมที่เค้ามาปล่อยแหละคุ๊ณ รถเต็มออก เข้าไปส่งในเมืองเราเลือกลงแถวๆกำแพงเมืองกะเดินเที่ยวต่อ เพื่อไปต่อรถไฟใต้ดินไปโผล่แถวหอระฆัง สำหรับเส้นทางการเดินรถไฟของจีนไม่ยากค่ะ โหลดแอพโล้ด ของ Xian CRT หาได้ทั้ง Android และ IOS อยากลงไหนเลือกจุดขึ้นและลงในแอพบอกหมด จะบอกว่ารถไฟฟ้าของจีนถูกมาก ถูกเว่อร์ ถูกสุดใน 3 โลก ขึ้นเป็นสิบๆ สถานีไม่เกิน 40 บาท โอ๊ยเมื่อไหร่เมืองไทยจะมี และที่นี่เขามีทั่วเมือง สะดวก ง่าย เดินถึงกันหมด


เป้าหมายต่อไปของเราขึ้นมาจากรถใต้ดินจากสถานีรถไฟซีอานเหนือ โผล่มาด้านหน้าที่เราเห็นคือ "หอระฆัง" แลนด์มาร์กของที่นี่เค้าไม่มาไม่ได้ถือว่ามาไม่ถึงซีอาน เดี๋ยวขึ้นไปดูด้านบนกัน มีค่าขึ้นด้วยนะจ้ะ เท่าไหร่พี่ลืม 55 แต่ไม่แพงน่าจะประมาณ 50 บาทได้

อ้าวมาหอระฆังก็ต้องถ่ายกับระฆังดิ้ใช่ป่ะเป็นอันว่าถึงละลงได้


ไม่ใช่จุดแค่ชมระฆังจ้า ขึ้นมาด้านบนเราจะเห็นวิวของเมืองเพราะตรงนี้จะเป็นวงเวียน ซึ่งภายหลังพี่งงมากเพราะขึ้นจากรถใต้ดินมันมีทางออกเยอะเหลือเกิน ขึ้นผิดขึ้นถูก ออกทางผิดจนวันกลับก็ยังผิด ไม่รู้จะทะลุไปถึงไหนกันนักหนา แต่ผิดก็ถามเจ้าหน้าที่ในบริเวณรถไฟฟ้าใต้ดินได้บอกเค้าว่า กู่โหล แปลว่า ระฆัง เขารู้

เพราะหอนี้จะอยู่ตรงกลางของถนนเป็นวงเวียนให้รถวิ่งวนไปมาต้องขึ้นทางออกให้ถูกต้องจึงจะขึ้นมาได้



ลงมาจากหอระฆังบริเวณติดกันจะเป็นย่านช้อปปิ้งของฝาก พี่มานี่แทบทุกวันมาแวะหาของกินก่อนกลับโรงแรมแถวนี้รอบๆ วงเวียนหอระฆังจะมีทั้งห้างสรรพสินค้า ร้านของที่ระลึก ที่สำคัญติดๆกันจะมีหอกลองเป็นอีกหนึ่งของแลนด์มาร์กและถนนของกินคือ ถนนมุสลิม เดี๋ยวไปต่อกันที่นั่นแหละ


เพราะอากาศมันเย็นเลยเดินเล่นได้เรื่อยๆ ในรอบๆ บริเวณวงเวียนหอระฆัง อากาศติดลบถึงเลขตัวเดียวตลอดทั้งวัน จะบอกว่าที่เลือกมาที่นี่เพราะได้ตั๋วถูกมากแม้จะมาช่วงเคาน์ดาวน์ไปกลับในราคาประมาณ 5,000 บาทเพราะหน้าหนาวที่นี่ถือว่าเป็นช่วง Low Season เพราะมันหนาวจริงจัง เดินเที่ยวมันก็จะแข็งๆกันหน่อย ปากขยับไม่ค่อยได้ มือแข็งไปหมด แต่เราชอบนะ ไม่เคยไปเที่ยวที่ที่หนาวขนาดนี้ ลองดูก็ทนไหวนิ


ได้เวลาอาหารเย็น ในบริเวณเดียวกันเดินมาจากสตาร์บัคมะกี้น่ะแหละตรงมุมตึกมีทางเดินไปหอกลอง ด้านหลังที่เห็นคือหอกลองและถนนหรือจะเรียกซอยที่เห็นคือถนนอาหารมุสลิมย่านดังของที่นี่เค้าแหละมาฝากท้องมื้อเย็นที่นี่กัน


รูปนี้ถ่ายหน้าหอกลองมาถ่ายวันที่สามหลังจากกลับมาจากเขาหัวซาน บอกแล้วพี่มาที่นี่ทุกคืน กินอิ่มกลับไปนอนเอาแรงเที่ยวต่อวันพรุ่งนี้


บริเวณถนนอาหารมุสลิม เขาเรียกกันอย่างนั้นนะแต่ไม่ใช่ว่าขายแต่อาหารมุสลิมแต่คนแถวนี้ส่วนใหญ่เป็นคนมุสลิมที่มาขายอาหารกัน เป็นอาหารจีนแหละ


อาหารส่วนใหญ่ก็ปิ้งๆ ย่างๆ เสียบไม้ไปซะทุกอย่าง ปลาหมึกเอย สารพัดเนื้อเอย เสียบไม้ ราดด้วยน้ำจิ้มเผ็ดๆ ใครว่าอาหารจีนเลี่ยนนะ ที่ซีอานนี่ไม่เลย อร่อยนะอร่อยแทบทุกอย่างกินได้เลยอ่ะ เค้ากินรสจัดกันไม่ได้จืดชืดแบบที่เราคิดแต่ส่วนใหญ่ต้องปรุงร้อนๆ เพราะอากาศหนาวช่วยให้อุ่นขึ้นได้


อันนี้น่าจะเป็นเนื้อแพะ ที่นี่มีขายกันหลายร้านเลย เอามาเชือด มาเสียบกันให้เห็นๆ ไม้ใหญ่มาก กินทีเลอะปากไปหมดใส่เครื่องเทศ แต่พอดีไม่ได้ชิมเพราะไม่เคยกินเนื้อแพะ เพราะแค่ได้กลิ่นมันค่อนข้างแรงอ่ะ เลยไม่ลอง


อันนี้มันเป็นขนมอ่ะ เห็นใครๆก็ซื้อเป็นแป้งก้อนๆ เสียบไม้ แป้งเอามาจี่ๆ ให้มันเกรียมๆ และคลุกด้วย น้ำตาล งา รสชาดเฉยๆนะแต่คนที่นี่เห็นซื้อกันเยอะเขาน่าจะชอบกัน



อันนี้สิเด็ดบะหมี่ซีอาน ใครมาก็ต้องลองเป็นบะหมี่เส้นแบน เขาทำกันเองสดๆ ให้เห็นหน้าร้านเลย อร่อยดี ใส่ผัก แตงกวา เต้าหู้โรยหน้า มีซอสเค็มๆ ขลุกขลิก แต่ออกจะมันไปหน่อยสำหรับเรา น่าจะมันเพราะน้ำมันงาแต่รวมๆ อร่อยยย เดินอยู่ประมาณ 2 ทุ่มก็เดินกลับโรงแรมประมาณเกือบกิโลแต่เดินไหว รีบกลับไปพักเช้าพรุ่งนี้เราต้องไปลุยที่เขาหัวซานกันเดินทางโดยรถไฟความเร็วสูง ซึ่งจองมาจากเมืองไทยแล้ว


วันที่สาม ไปเขาหัวซาน

ถานีรถไฟความเร็วสุงของจีนเขาอลังการอย่างกะแอร์พอร์ตบ้านเรา ก่อนอื่นถ้าคนที่ซื้อตั๋วมาก่อนจากไทย

ของเราใช้เว็บ Trip.com ต้องนำตั๋วไปแลกที่จุด Information ก่อนเขาจะเปลี่ยนเป็นตั๋วรถไฟให้ซึ่งจะระบุตู้และที่นั่งขึ้นให้ถูกนะจ้ะ เขานั่งตรงกับตั๋วกันเพราะเดี๋ยวจะมีเจาหน้าที่รถไฟมาตรวจหลังขึ้นรถแล้ว ฉะนั้นเผื่อเวลานิดนึงนะ เพราะอย่างเรามาครั้งแรกมาคนเดียววิ่งวุ่นถามไปหมดว่าแลกตั๋วที่ไหน มาก็เฉียดเวลารถออก รถที่นี่ตรงเวลานะคะ อย่าช้า รถไม่รอ ซื้อตั๋วใหม่เด้อ แต่อาจจะเต็มก็จะอดได้ พอแลกตั๋วมาแล้วจะต้องดูว่าไปขึ้นที่ประตูไหน เหมือนขึ้นเครื่องบินป่ะล่ะ พอดีวิ่ง รีบ สาย ถ่ายรูปในบริเวณสถานีรถไฟความเร็วสูงให้ดูได้แค่ gate ซึ่งจะบอกในตั๋วให้ออกตรงนั้นเดี๋ยวไปผิดชานชาลา ที่นี่ก่อนเข้าก็ตรวจตั๋วและไปยืนรอที่ชานชาลาเอาให้ตรงโบกี้นะ เขามีเขียนไว้ที่พื้นว่าตู้ที่เท่าไหร่ แต่เราไม่ทันยืนรอหรอก รถมาแล้วจ้าวิ่งตาเหลือก แต่รถจะมาถึงก่อนพอถึงเวลาก็ออกทันที



ขึ้นสภาพเหนื่อยๆ แต่ก็ทันตลอด วิ่งออกกำลังกายแต่เช้าก็ดีจะได้ตื่นๆ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 30 ชม.เร็วเว่อร์ ความเร็ว 300 กม.ต่อชม. เมื่อไหร่น้อเมืองไทยจะมี ค่ารถคิดเป็นเงินไทยประมาณ 270 บาท


นั่งไม่ทันชิวก็ถึงหละจ้า


สถานีหัวซานเป่ย คอยฟังเขาจะมีประกาศในรถไฟถ้าฟังไม่ทัน ฟังไม่ออก แนะนำดูเวลาเพราะเขาตรงเวลาจริงถ้าใกล้กับเวลาถึงก็เตรียมตัวได้เลยจ้า สถานีหน้าแน่ๆ


แล้วก็เดินตามทางออกมาจากสถานี เพื่อหารถบัสไปเขาหัวซานเท่าที่อ่านรีวิวมาเขาบอกว่าอยู่ด้านนอกแหละจะมีจอดอยู่ไปถามเขาได้ ทริปของวันนี้โชคดีของเราเจอกลุ่มครอบครัวคนไทย พ่อแม่ลูกค้า 3 คนมาเที่ยวเลยไปพร้อมกับเค้าเลยมีคนใหเ้ม้าท์ภาษาไทยและมีคนช่วยถ่ายรูป อิอิ


หลังจากขึ้นรถบัส ลงตรงไหนหรอ สังเกตุเอามันจะมีเขาสูงๆ นั่นแหละแสดงว่าใกล้ถึงแล้วอยู่ฝั่งตรงกันข้ามกับรถบัสที่วิ่งมา และจะมองเห็นลานแบบนี้ตรงข้ามถนนเป็นทางเข้า ให้ลงป้ายหน้าเลยและเดินข้ามถนนย้อนมาเข้าบริเวณนี้ไม่ยากค่ะ บอกคนขับรถก็ได้หัวซาน


ด้านหน้าก่อนเดินเข้าไปบริเวณด้านในเพื่อซื้อตั๋วขึ้นรถบัสขึ้นเขาไปอีกนะจ้ะไม่ใช่ถึงเลย ขึ้นรถบัสเนี่ยก็ประมาณ 40 นาทีได้นานกว่ารถไฟจากซีอานมาอีกจ้า แต่มันต้องลัดเลาะเขาขึ้นไปเพื่อขึ้นเคเบิ้ลคาร์ ไปยังยอดเขา


อันนี้อาคารที่ต้องไปซื้อตั๋ว

เพื่อเป็นข้อมูลอันล่างก็อปเขามาเพราะพี่จำไม่ได้จริงๆ ประมาณนี้ค่ะ

ภูเขาหัวซานมียอดเขาห้ายอด ได้แก่ ยอดเหนือ (เป่ยเฟิง 北峰) ยอดตะวันตก (ซีเฟิง 西峰) ยอดกลาง (จงเฟิง 中峰) ยอดตะวันออก (ตงเฟิง 东峰) และยอดใต้ (หนานเฟิง 南峰)

ของเราขึ้นทางยอดเหนือ จริงๆต้องเดินไปทางตะวันตกและลงฝั่งนั้นแต่อากาศมันหนาวมากกก ลมแรง ไม่ไหวจริงๆ ติดลบ 7 องศาได้เลยขึ้นไปแค่ฝั่งเหนือและลงฝั่งเดียวกัน ก็ร่วมไปกับครอบครัวคนไทยนั่นแหละ

สรุปบัตรต่างๆ สำหรับขึ้นเขาหัวซานดังนี้ แต่จะค่อยๆซื้อทีละจุดนะเพราะไม่ได้ซื้อผ่านเอเจนซี่มาก่อนมาซื้อที่ทางเข้าแต่ละที่ได้เลย

1.บัตรผ่านประตูหัวซาน 180 หยวน

2. บัตรโดยสารรถบัสขึ้นเขา 20 หยวน

3. บัตรโดยสารเคเบิลคาร์ขาขึ้นที่เป่ยเฟิง 80 หยวน

4. บัตรโดยสารเคบิลคาร์ขาลงที่ซีเฟิง 140 หยวน

5. บัตรโดยสารรสบัสลงเขา 40 หยวน

ทั้งหมด 460 หยวน ประมาณ 2,300 บาท

ซื้อตั๋วเสร็จ นี่ยังไม่ถึงนะจ้ะ เพิ่งทางเข้าต้องเดินขึ้นบันไดไป เห็นประตูที่อยู่ลิบๆ นั่นไหมต้องเดินไป ณ จุดนั้นก่อนจะมีให้ขึ้น Roller Coaster แต่เสียตังค์อ่ะ ทุกอย่างที่นี่เป็นเงินเป็นทองไปหมด

แต่ก็เอาน่ามาทั้งทีเงินหลักพัน วิวหลักล้าน ความอลังการของจีนหาซื้อได้ที่นี่ คุ้มละชีวิตนี้

อ่ะถึงละประตูที่เห็นลิบๆ เมื่อกี้ ยัง ยางๆๆๆ ยังไม่ถึงเดินต่อไปอีกจ้าต้องขึ้นบันไดที่เห็นไกลๆด้านหลังไปอีกเพื่อขึ้นเคเบิ้ลคาร์

นี่่ค่ะบันไดชุดสุดท้ายก่อนไปถึงจุดเคเบิ้ลคาร์ มาที่นี่เดินเยอะมาก ข้าวก็ยังไม่ได้กิน ยาวไป มาเที่ยวนี่ผอมนะไม่ได้ทำให้น้ำหนักขึ้นได้เลย วันๆเดินกับเดิน 555

ได้ขึ้นละค่ามาพร้อมกับแก๊งค์ครอบครัวคนไทย ครบเต็มคันพอดี

นี่ไงคะครอบครัวคนไทยที่พากันมาเที่ยวเห็นแล้วน่ารักดีนึกถึงที่บ้านแต่ท่าทางพ่อกับแม่จะเดินไม่ไหว เดินเยอะเกิ้น

ขึ้นมายิ่งสูง วิวยิ่งสวย บอกเลยว่าเคเบิ้ลคาร์ที่นี่คุ้มมากกกก ค่อนข้างยาวและสูงชัน เขานี่สูงชันแบบปีนกันไงวะคนทำกระเช้าเนี่ยสุดยอดจริงๆ ยิ่งสูงก็ยิ่งเสียว อากาศก็ยิ่งหนาว

พอมาถึงก็มีบันไดอีกละเดินขึ้นมาจากเคเบิ้ลคาร์จะมีบันไดให้ขึ้นไปบนยอดเขาเพื่อดูจุดชมวิวและถ่ายรูป เย้เห็นหิมะครั้งแรกในชีวิต น้ำตาจะไหล ก็คนไม่เคยเนาะ ที่จริงแพลนคือขึ้นจากฝั่งเหนือต้องเดินไปทางตะวันตกและลงทางนั้นซึ่งจะผ่านทางที่อันตรายที่สุดในโลก ถ้าใครเคยเสริจ์ดูคนที่เคยมาเที่ยวจะเป็นการเดินเลาะหน้าผามีไม้กระดานแผ่นเดียวแต่เขาจะค่อนข้าง safety เพราะจะมีสลิงล็อคตัวเรากับที่ยึดตรงผนังเขาให้ค่อยๆเดินเลาะแต่ไอ้ทางเดินนี่ดิ้กระดานแผ่นเดียวไม่อยากจะคิดตอนสวนกันเล้ย อยากไปเสียดายแต่ความหนาวมันทำให้ขาแข็ง มือแข็งเดินไม่ออกไปหมดตอนนั้นประมาณ -8 องศาได้ ไม่ได้กลัวนะแต่กลัวหนาวจนมือแข็งขาแข็งก้าวไม่ออกเลยตัดสินใจลงฝั่งเหนือฝั่งเดิม และเพราะเวลาจำกัดด้วยเราเลยตัดสินใจกลับพร้อมกับแก๊งค์ครอบครัวคนไทยเพราะเขาไม่ไปเหมือนกันเพราะเดินไม่ไหว

คนเห่อหิมะก็เงี้ยเห็นปุ๊บ วิ่งเข้าใส่ แต่ถ้าไม่มีถุงมือหิมะจะกัดได้นะ

ด้านบนจะเป็นจุดชมวิวให้พักและถ่ายรูปที่พักไม่ใช่เหนื่อยนะ มันหนาวววววว

ลมมันก็จะแรงๆประมาณนี้ ตัวจะปลิว แค่อากาศเย็นก็แย่ละมีลมอีกจะหนาวไปไหน

น้องคนไทยที่พาคุณพ่อคุณแม่และน้องสาวน้องชายมาเที่ยว นางน่ารักค่ะ เฟรนด์ลี่ ถ่ายรูปสวยด้วย

วิวอลังการ ล้านแปด สูงเสียดฟ้า มีโอกาสไปเถอะคุ๊ณ คุ้ม เรื่องความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติต้องยกให้พี่จีนเขาจริงๆ ดูจากภาพไม่เท่ากับไปเห็นด้วยตาตัวเอง ภาพถ่ายจากมือถืออาจไม่ค่อยชัดมากเท่าไหร่ เอาตาไปดูเองจะทึ่งค่ะ คุ้มกับค่าเข้าสองพันกว่าที่จ่ายไป

เขาก็มีล็อคกุญแจคู่รักกันด้วยนะ เหมือนเกาหลีประมาณนั้นแล้วโยนกุญแจลงเขาไป

อ่ะได้เวลากลับแล้วลงเคเบิ้ลฝั่งเหนือฝั่งเดิม หลังจากลงมาเราก็เหมารถจากจุดแรกที่รถบัสมาจอดรับ เพราะบ้านครอบครัวไทยเขารีบกลัวตกรถไฟเขาไปเที่ยวเมืองลั่วหยางกันต่อและนอนที่นั่น สำหรับเรากลับเข้าซีอานแต่ก็มีแพลนไปลั่วหยางพรุ่งนี้เหมือนกัน แต่เลือกกลับไปนอนในเมือง

จะบอกอย่างนึงสำหรับตั๋วรถไฟความเร็วสูงจริงๆเราจองรอบกลับประมาณ 5 โมงเย็นแต่กลับก่อนมาถึงสถานีรถไฟสามารถเข้าไปขอเปลี่ยนตั๋วให้เร็วขึ้นได้นะคะ ไม่มีค่าธรรมเนียมใดๆ หากมีที่ว่างเราก็สามารถเปลี่ยนตั๋วรอบที่เร็วที่สุดกลับได้เลย จะได้ไม่ต้องรอ แต่ถ้ามาเกินเวลาจากรถไฟเที่ยวเดิมนี่ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเปลี่ยนได้หรือเปล่าแต่ของเรามาก่อนเที่ยวที่จะกลับ ก็ดีเหมือนกันจะได้มีเวลาไปเที่ยวในเมือง หาข้าวกินและกลับไปพักเตรียมเที่ยวลั่วหยาง

กลับมาถึงสถานีรถไฟความเร็วสูง North Xian เดินทางด้วยรถ MTR ที่จีนเขาเรียกงี้บ้านเรา MRT

ไปลงที่เดิมคือ หอระฆัง และเดินต่อไปตรงหอกลองเข้าสู่ถนนมุสลิมหาของกินอีกแล้ว บอกแล้วว่าพี่วนเวียนอยู่กับถนนนี้ทุกวัน ฝากท้องไว้ที่นี่ถูกและอร่อย มีให้เลือกหลากหลายขนาดมาทุกวันยังกินไม่ครบเลย


เห็นตั้งแต่เมื่อวานละลองซักหน่อยปลาหมึกย่างเสียบไม้ กินยากเกิ้น ปากเลอะไปหมดหามุมไม่ได้ จะฉีกบน ฉีกล่างดี ไม้ก็แหลม กว่าจะหมดแต่ก็เหนียวๆ หนึบๆ พอได้

สิ่งที่ตามหา "เต้าหู้เหม็น" เห็นคนชอบรีวิวกันว่าเหม็นมาแต่ไกล แต่พอเอาเข้าจริงรู้ป่ะไปคืนแรกหาตั้งนานไม่เจอตามกลิ่นไม่เห็นมีอะไรเหม็น อ้าวที่จริงแล้วมันคือร้านนี้เองรึ ก็เหม็นนะแต่ไม่ได้เหม็นขนาดที่คนรีวิวกันหรือจมูกของคนเราไม่เหมือนกันแหะ แต่สำหรับพี่โอเคนะรับได้

มันมีสองรสคือสีขาว กับดำ ดำจะออกเค็มๆ แต่ขาวจะจืดกว่าคลุกๆกับซอสโรยพริก ผักชี อร่อยดีนะแต่อันสีดำเค็มไปหน่อยคนที่นี่น่าจะกินเค็ม ก็เหม็นอยู่แต่อร่อย ผ่านค่ะ!!!

จะกินละนะ ซื้อร้านไหนให้คนขายและถ่ายรูปให้ จบ ง่าย !!!

สายไหมดอกไม้ไม่ได้ลองใหญ่เกิ้น เบาหวานมาแน่

คนที่นี่น่าจะชอบกินเพราะเห็นมีหลายร้านเป็นน้ำทับทิม ของเขาลูกใหญ่มากเสียดายไม่ได้ชิมเหมือนกัน มันอิ่มแน่นไปหมดละ

อิ่มละกลับได้ ทางเดิม โรงแรมเดิม ขอโทษทีไม่ได้รีวิวรูปที่โรงแรมแต่ถูกและสะอาดใช้ได้ แต่ไม่มีลิฟท์นะ

เราพักที่นี่ 4 คืนประมาณ 2,000 กว่าบาทถูกมากและใกล้รถไฟฟ้าใต้ดินกับแหล่งของกินของช้อปปิ้ง

วันที่สี่ ไปลั่วหยาง เดินทางโดยรถไฟความเร็วสูงไปลั่วหยางหลงเหมิน จองผ่าน Trip.com มาล่วงหน้าเช่นกันและต้องมาเปลี่ยนตั๋วที่สถานีเหมือนเดิม และเช่นเดิมมาเกือบไม่ทันวิ่งตลอด แต่วันนี้ทันพอซื้อของกินได้เป็นร้านภายในรถไฟใต้ดินเพราะเราใช้เวลาเดินทาง 1.30 ชม.จะได้มีแรงเที่ยว

ถึงละจ้าพอออกพ้นประตูไป วนไปวนมา อ่านรีวิวมาไปแทกซี่ก็ได้ไม่แพงมาก ก็เลยเดินไปขึ้นคิวรถแท๊กซี่จะมีจอดด้านข้างออกมาจากรถไฟให้เลี้ยวขวาไปจะเห็นจุดจอดรถแท๊กซี่อยู่ ตามมิเตอร์เลยจ้าไม่เกิน 150 บาท

แท๊กซี่จะมาส่งที่ทางเข้าเราต้องเดินมาที่จุดขายตั๋วและนั่งรถกอล์ฟเข้าไป

หลังจากนั่งรถกอล์ฟประมาณ 15 นาทีก็จะถึงทางเข้าให้ซื้อตั๋วก่อน


เดินไปตามเขาไป คนเยอะเหมือนกันแต่ไม่ถึงกับแน่นพอเที่ยวได้สบายๆ


ระหว่างเดินแวะเข้าร้านในบริเวณนั้น หนาวไง หาที่หลบ ไปลองชาอันนี้เป็นแบบสำเร็จรูปเติมน้ำร้อนกินได้เลย ชาสตรอเบอรี่ เหยอร่อยอ่ะแกร เลยซื้อกลับมาไทยด้วย ติดใจ!!!

องค์พระด้านหลังนี่ไง ที่อยู่ในรูปที่ทำให้ใครๆรุ้จักลั่วหยาง พระพุทธรูปสลักกับผนังของเขา

มุมอีกฝั่งทำให้เห็นภาพแกะสลักขององค์พระได้ชัดเจนและสวยงามอลังการ AAAA จะมีสะพานข้ามมาด้านนี้ ภายในบริเวณที่เที่ยวจะมีจุดที่ให้เข้าไปชมหลายจุดขึ้นอยู่กับเราจะเดินไหวมั้ย เราเดินไปประมาณ 3 จุดก็พอละ ใครจะกลับก็ขึ้นรถกอล์ฟไป 10 หยวนจ้า เราเลือกเดินกลับ เพิ่งรู้ว่าไกลโคตรรุ้งี้ยอมเสีย 10 หยวน

เหนื่อยโฮกๆๆๆ

กว่าจะถึงปากทางไอ้ที่กินไปเมื่อเช้าก็หมดละ เห็นขนมแป้งๆ ปิ้งข้างทางลองซื้อกินเห็นร้อนๆ อากาศหนาวๆน่าจะดี แป้งรสจืดๆ มันๆนะแปลกดีพอให้หายหิว หลังจากนั้นก็โบกแท๊กซี่ แต่พี่ยังไม่กลับมีแพลนไปต่อที่ศาลเจ้ากวนอู


เขาบอกว่ามาที่นี่ขอพรเรื่องหน้าที่การงานจะได้ผลสำเร็จดังที่ขอ สาธุ!!!! โบนัสจงมา เงินเดือนจงขึ้น

ซื้อตั๋วด้านนอกวัดนะจ้ะ จะมีเขียนไว้ Ticket Office ซื้อก่อนเดินเข้าไปเดี๋ยวเหมือนพี่ เดินเข้าไปตั้งไกล ไม่รู้ว่าขายตั๋วด้านหน้ามองเห็นแหละแต่คิดว่าไม่ใช่ สรุปเดินกลับออกมาซื้ออีกรอบ

ใช้เวลาอยู่ที่นี่พอสมควร พร้อมกับมาฝากของไว้ที่นี่กินปุ๊บปวดปั๊บไปที่ไหนพี่สำรวจห้องน้ำของที่นั่น จากนั้นเรียกแท๊กซี่กลับรถไฟความเร็วสูงสถานีลั่วหยาง หลงเหมินเพื่อกลับซีอาน หลับสนิทบนรถ เพราะปลายทางคือซีอานไม่ต้องกลัวเลย หึหึ

กลับมาถึงซีอานตอนแรกกะจะขึ้นไปเดินบนกำแพงเมืองแต่หนาวและหิว พี่เลือกไปหาของกินดีกว่าและคืนนี้เป็นคืนเคาน์ดาวน์ด้วย หาร้านอร่อยๆ จิบเบียร์ชิงเต่า คนเดียวก็สนุกได้ ไม่ได้เงียบเหงาเพราะเมืองที่นี่มีชีวิตชีวา อากาศดี คนน่ารัก เมืองสะอาด อาหารอร่อย

เขามีแสงสีเสียงไฟ เพื่อต้อนรับปีใหม่ สวยงามภาพด้านหลังคือกำแพงเมืองซีอานที่ทอดยาว

อันนี้เขาบอกว่าเป็นรากบัวชุบแป้งทอดและผัดคล้ายๆกับเปรี้ยวหวาน แต่ร้อนมากขนาดกินไปตั้งนานข้างในยังร้อนอยู่เขาเน้นทำอาหารร้อนกันอย่างว่าเมืองหนาว แต่ผ่านค่ะ อร่อยจริงต่เยอะมากเช่นกัน ติดนิดเดียวแป้งที่ชุบหนาไปหน่อย

อันนี้มันมีคล้ายๆ ขิงผัดกับหน่อไม้แต่ไม่น่าจะเหมือนหน่อไม้บ้านเราผัดใส่พริกรสชาดร้อนๆ เผ็ดขิงนิดนิด อร่อย 3 ผ่านค่ะ

เลือกมาร้านนี้ตามรอยรีวิว ขอบอกจานใหญ่มากดูเทียบกับหน้าพี่สิ สั่งแค่สองอย่างกินได้สัก 3 คนสบายๆ แถมไม่แพงกับเบียร์ชิงเต่าอีกขวดนึง มีไซส์เดียวอีกต่างหาก กินหมดนี่ก็หลับสบาย

กินเสร็จเดินกลับโรงแรม เคาน์ดาวน์รึไม่ไหวหละค่าง่วง แค่นี้ก็มีความสุขละ พรุ่งนี้ตื่นได้สายหน่อยเพราะไม่มีแพลนไปนอกเมือง ชิวๆ ช้อปปิ้ง เที่ยววัดในเมือง

วันที่ห้า วันสุดท้ายที่ซีอานหละจ้า แต่วันนี้มีเวลาเต็มวันเป็นคนเมืองบ้างหลังจากไปนอกเมืองมา 2 วันตื่นสายได้เช็คเอ้าท์และฝากกระเป๋าไว้ตอน 11 โมงออกจากโรงแรม ไฟล์ทกลับตั้งตีสอง เวลาเพียบ


ออกมาจากโรงแรม มื้อเช้า (รึเปล่า) เพราะเกือบเที่ยงละ ซาลาเปากับน้ำอะไรไม่แน่ใจคล้ายๆ ลำไย ซื้อตรงข้างทางและหามุมนั่งกินข้างถนนก่อนเดินเที่ยว

น้ำจะประมาณนี้มีเส้นวุ้นๆ ด้านในด้วย ไม่หวานมาก อร่อยดี

เป้าหมายวันนี้ไม่มากเพราะเหนื่อยมาหลายวันเที่ยวแบบช้าๆ บ้าง เราไปที่เจดีย์ห่านป่าเล็ก ส่วนใหญ่คนจะไปเจดีย์ห่านป่าใหญ่จะเป็นที่รู้จักมากกว่า แต่เห็นรีวิวบอกว่าห่านป่าเล็กถึงจะพื้นที่ไม่มากก็สวยแถมอยุ่ในเมือง ไม่เสียค่าเข้าเหมือนกับห่านป่าใหญ่ เราเลยเลือกไปที่นี่ ของฟรีก็ไปสิคะ รออะไร

ด้านประตูทางเข้าไม่เสียเงินนะคะเข้าฟรีแค่แสดงพาสปอร์ต

เจดีย์นี่แหละค่ะ ที่เรียกว่า "ห่านป่าเล็ก"

ข้างในมีมุมถ่ายรูป ร้านขายของที่ระลึก

ทำบุญเขียนป้ายแขวนชื่อตัวเองไว้ที่นี่

กว่าจะเขียนได้มือมันแข็งไงอากาศหนาวเช่นเดิม

บริเวณวัดค่อนข้างกว้างขวางและติดกับพิพิธภัณฑ์ของซีอานเราได้แวะเข้าไปเหมือนกันแต่ไม่ได้ถ่ายรูปแต่แวะเข้าไปพักเพราะหนาว ด้านในมีจุดกดน้ำร้อนให้ดื่มฟรี ที่จีนดีอยู่อย่างนึงจะมีจุดกดน้ำร้อนฟรีตามสถานที่ต่างๆ เพราะคนส่วนใหญ่จะพกกระติกน้ำร้อนเล็กๆไปทุกที่เพื่อดื่มน้ำร้อนแก้หนาวและเอาไว้จับให้มืออุ่น


ออกมาจากวัดก็น่าจะบ่ายสอง เห็นมีผลไม้เชื่อมหน้าวัดขายอยากลองเห็นสีสวยๆ เงี้ย 10 หยวนก็ 50 บาทนะถามว่าอร่อยไหม ก็สตรอเบอรี่ชุบน้ำเชื่อมแต่ด้วยอากาศที่หนาวมันเลยแข็งเป็นน้ำตาลกรอบๆ อร่อยแบบหวานๆ ฉ่ำผลไม้

จากนั้นเดินกลับไปที่แหล่งช้อปปิ้งกะว่าจะซื้อของฝาก จุดเดิมแถวหอระฆัง ที่ซีอานมีร้านชาไข่มุกเยอะมากไม่รู้ร้านไหนอร่อย ก็เลือกดูละกันนะ แต่เดินไปไหนก็เจอเลยลองสักร้าน

อ่ะได้มาประมาณนี้ ก็ชาปกติแบบบ้านเราแหละแต่ของเขาจะไม่ค่อยหวานมาก โอย!!!!แต่กว่าจะสั่งกันรู้เรื่อง เลยเอ้า You จะทำอะไรให้กินก็ทำมา ที่นี่ภาษาอังกฤษช่วยอะไรไม่ได้จริงๆ ฉะนั้นคุณต้องรู้ศัพท์พื้นฐานจีนจึงจะรอด หรืออีกทางเลือก Google Translate ช่วยคุณได้ โหลดเลย

จากนั้นพี่กลับไปที่เดิมเดินแทบทุกวัน ถนนมุสลิม เขาไม่ได้ขายเฉพาะกลางคืน กลางวันก็เปิดเช่นกันเพราะกะจะไปซื้อของฝากและยังเดินไม่ทั่วเพิ่งรู้ว่าซอยเยอะมาก เดินไม่หมด ของเยอะไปหมดแต่ก็จะเหมือนๆกัน

ทายสิพี่จบด้วยกินอะไร เต้าหู้เหม็นจ้า อีกแระ ไม่รู้ติดใจที่เหม็นหรือเพราะอะไรแต่ทีนี้รู้ละว่าสีขาวอร่อยกว่าเพราะดำเค็มไป เลยเลือกแต่สีขาว กินทีไรเวลาเข้าห้องน้ำเนี่ยขอบอก สมชื่อเต้าหู้เหม็น 555


เดินไปเดินมาก็เย็นพอดี อันนี้มุมมองจากถนนที่เดินจากโรงแรมตรงไปด้านหน้าจะเห็นหอระฆัง คนจะออกมาเดินเที่ยวเยอะเพราะเป็นวันปีใหม่


กินยังไม่หยุด โลกกลมจำน้องแก๊งค์ครอบครัวไทยได้มะ เจอกันอีกจ้า เจอโดยไม่ได้นัดหมายที่ห้างใกล้โรงแรม น้องแนะนำให้กินชาร้านนี้เพราะเขา recommend ถ้าใครมาจีน เมื่อกี้เพิ่งกินนะ ห๊ะ จะขนกลับไปกี่กิโลจ้ะ นำ้หนักอ่ะ???

อร่อยนะดีกว่าร้านแรกที่ซื้อ ได้ลองหละ ไม่อายใครละบอกเค้าได้ว่าถึงซีอาน

ช้อปปิ้งเสร็จได้เวลากลับโรงแรม กลับไปแพ็คของที่ซื้อและก็พักจริงๆมีเวลาเหลืออีกเยอะไฟล์ทตั้งตีสอง แต่เดินไม่ไหวละล้ามาหลายวันเลยกลับไปนั่งรอเวลาที่โรงแรม หลังจากนั้นจึงออกมาเรียกแท๊กซี่ไปที่สถานีรถ Airport Shuttle bus จริงๆขึ้นรถไฟก็ได้นะแต่ด้วยกระเป๋าและของฝากที่หนักหน่วง (หนักเบียร์) เลยเรียกแท๊กซี่มาส่งท่ารถ Airport Bus ซื้อตั๋วขึ้นเลยรถจะออกตลอดไปถึงสนามบินค่อนข้างเร็วประมาณ 22.30 แต่ก็นั่งรอในสนามบินน่าจะดีกว่าเพราะหากมาช้าจะไม่มีรถมาสนามบินต้องขึ้นแท๊กซี่อย่างเดียวก็ประมาณ 500-600 บาท

ก่อนกลับระหว่างนั่งรอ Boarding Pass เห็นมีตู้นอนแบบนี้ในสนามบินด้วยดีอ่ะ เป็นแนวโรงแรมแคปซูลแต่เท่าที่ดูราคาประมาณสองชั่วโมง 300 บาทก็ดีนะถ้าคนมาถึงสนามบินแต่ต้องรอเวลาก็มาใช้บริการได้ อยากให้ที่เมืองไทยมีเหมือนกัน

จบทริปอำลาไปด้วยภาพนี้ก่อนขึ้นเครื่องกลับไทย จะบอกว่าเที่ยวจีนไม่ได้เป็นอย่างที่เราเคยคิดกันว่าสกปรก ห้องน้ำแย่ ก็มีบ้างแต่ต่างจากไทยตรงไหนล่ะ แถมคิดว่าที่นี่สะอาดกว่าด้วย เดี๋ยวนี้เค้าเป็นจีนสมัยใหม่กันละเปลี่ยนความคิดแล้วลองมาเที่ยวกันค่ะ ตั๋วไม่ถึง 5,000 บาท ค่ากินไม่แพง โรงแรมถูก มีแต่ค่าเข้าสถานที่ที่แพงหน่อยแต่คุ้มจ่ายเถอะ!!! ทริปนี้รวมทุกอย่างช้อปด้วยไม่เกิน 20,000 นะ ลองตามรีวิวมากันได้นะคะ

ขอบคุณที่ติดตามค่ะ

LadiiParun

 วันเสาร์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2562 เวลา 18.19 น.

ความคิดเห็น