วิวกรุงเทพฯ สวย ๆ บนชั้น 32 โรงแรมปรินซ์ พาเลซ

เทศกาลตรุษจีน เป็นเทศกาลมงคลที่หลาย ๆ คนรอคอย เพราะเป็นเทศกาลแห่งความสุข ความเจริญ ความมั่งคั่ง และร่ำรวย ด้วยความเชื่อที่ว่า วันนี้จึงเป็นวันที่หลาย ๆ คนมักจะทำกันแต่สิ่งที่เป็นมงคล สิ่งดี เช่น การกินดี อยู่ดี เป็นต้น

ภัตตาคารไชน่า พาเลซ ชั้น 32 โรงแรมปรินซ์พาเลซ

แน่นอนที่สุดในวันพิเศษวันนี้ เรามักจะอยู่กับครอบครัว เพื่อนฝูง เพื่อหาอะไรดี ๆ ทำกัน เช่นการหาร้านอาหารดี ๆ และยิ่งเป็นเทศกาลตรุษจีน จะมีอะไรดีไปกว่าอาหารจีนในห้องอาหารดี ๆ วิวสวย ๆ อย่าง ภัตตาคารไชน่า พาเลซ โรงแรมปรินซ์ พาเลซ มหานาค ที่มีประวัติความเป็นมานานกว่า 24 ปีแล้ว

การตกแต่งหรูหรา ในสไตล์โมเดิร์นไชน่า ด้วยสีแดงเลิศหรู

เรานัดหมายกันในเวลา 11.30 น. ที่ห้องอาหารไชน่า พาเลซ ชั้น 32 ของโรงแรมปรินซ์ พาเลซ มหานาค การเดินทางก็ไม่ได้ลำบากอะไร เพราะเราสามารถเดินทางได้ทั้งทางรถ และทางเรือที่วิ่งมาตลอดคลองมหานาค และจอดที่ท่าน้ำหน้าโรงแรม หรือหากจะขับรถมา โรงแรมก็มีทีจอดรถมากมายโดยจัดไว้เป็นการเฉพาะให้แก่ลูกค้าของโรงแรม

หูฉลามขนาดใหญ่ ที่อยู่ในตู้โชว์

โถงทางเดินไปสู่ห้องส่วนตัว ที่มีให้บริการอยู่หลายห้องของภัตตาคารแห่งนี้

เริ่มกันด้วยเมนูติ่มซำ สั่งกันมาเต็มโต๊ะ

เมื่อไปถึงและแจ้งจำนวนผู้ร่วมมื้ออาหารครั้ง บริกรสาวในชุดกี่เฝ้าสีแดงสดใส ก็แนะนำให้เราใช้ห้องรับประทานอาหารขนาด 10 ท่าน ซึ่งไม่ได้มีค่าบริการเพิ่มเติมแต่อย่างใด อีกทั้งยังมีความเป็นส่วนตัว ไม่ต้องเกรงใจใครในเวลาที่เพื่อนฝูงหยอกล้อ หรือคุยกันเสียงขล่ม

อาหารชุดแรกที่สั่งมา เป็นติ่มซำ ถือว่าเป็นสตาร์เตอร์ที่ดี เพราะในระหว่างที่กิน เราได้แลกเปลี่ยนพูดคุย ถึงเรื่องราวต่าง ๆ รวมถึง รูปลักษณ์ และรสชาติของอาหาร เริ่มกันจาก กุ้งนึ่งสามรส (80 บาท) (บนซ้าย) รสชาติของกุ้งสด ๆ หวานเด้ง กับน้ำซอสสามรส เผ็ด เปรี้ยว อมหวาน ช่วยเรียกน้ำย่อยได้เป็นอย่างดี ตามมาด้วย ขนมจีบกุ้ง (บนขวา) และฮะเก๋ากุ้ง (ล่างซ้าย) (ราคา 90 บาทเท่ากัน) ที่เป็นตัวยืนยันว่า "เมนูกุ้ง" ของที่นี่ "ดีงาม" เป็นอย่างยิ่ง เพราะทั้งสด หวาน และเด้ง ยิ่งได้ซอสเปรี้ยวอย่าง จิ๊กโชว่ มาตัดรสเพิ่มความเข้มข้นของรสชาติ แทบจะแย่งกันสั่งเพิ่มแทบไม่ทัน

อีกเมนูหนึ่งที่กิ๊บเก๋ไม่แพ้กัน ที่มองด้วยตาเปล่า อยากจะด่าเพื่อนว่า สั่งกระหรี่พัพมาทำไม แต่มันไม่ใช่กระหรี่บัพ มันคือ เกี๊ยวปลาแซลมอนทอด (ขวาล่าง) (100 บาท) จานนี้ กรอบนุ่ม และหนึบ รสปลาหวาน ๆ แป้งเกี้ยวกรอบ ๆ กินกับครีมซอสเปรี้ยว ที่ออกรสเปรี้ยว มันหวาน ยิ่งทำให้เคี้ยวสนุกยิ่งขึ้น

ฟองเต้าหู้ทอด (80 บาท)

อยากบอกว่า ฟองเต้าหู้ทอดจานนี้ ถือเป็นราชาแห่งติ่มซำของวันนี้เลยก็ว่าได้ เพราะนอกจากตัวฟองเต้าหู้สด ๆ ที่นำมาพันห่อไส้ที่ปรุงจากหมูสับและกุ้งปรุงรสได้อย่างกลมกล่อม หอมหวาน ก่อนจะนำไปทอดจนสุก เหลืองกรอบ กินกับซอสบ๋วย ออกรสเปรี้ยวหวาน ต้องบอกเลยว่า ติดใจจนอยากจะกลับไปกินอีก

ปอเปี้ยะกุ้ยหลินทอด (90 บาท)

ถ้าจะบอกว่า ฟองเต้าหู้ทอดเป็นราชาแห่งติมซำวันนี้ ปอเปี้ยะกุ้ยหลินทอด ก็ถือได้ว่า เป็นราชินีเลยทีเดียว เพราะเนื้อกุ้งสด ๆ สับออกรสหวานฉ่ำเด้ง ห่อด้วยใบปอเปี้ยะ คลุกด้วยงาขาว ก่อนนำไปทอดจนเหลืองกรอบ กินกับน้ำจิ้มบ๋วย ยิ่งช่วยขับรสความหวานของกุ้งให้เด่นขึ้นมาอย่างชัดเจน

เกี๊ยวปูนึ่ง (100 บาท)

เมนูถัดไปเป็นที่ถกเถียงกันในหมู่เพื่อนฝูงว่ามันคืออะไร หลาย ๆ คนเดาไปจนถึงเสี่ยวหลงเปา แต่จริง ๆ แล้วมันคือ เกี๊ยวปูนึง ขุ่นพระ !!! เกี๊ยวอะไรหน้าตาดีขนาดนี้ เกี๊ยวปูนึ่ง ที่หน้าตาเหมือนเสี่ยวหลงเปานี้ เสิร์ฟมาบนน้ำซอสซีอิ้วนึ่งกับขิง รสชาติเค็ม ๆ มัน ๆ หอมกลิ่นขิงแก่ โปรยตกแต่งมาด้วยไข่ปลาแซลมอน สีสันสดใส

ด้านในของเกี๊ยวปูนึ่ง เป็นเนื้อปู ผสมเนื้อกุ้ง ปรุงรสให้รสชาติหวานหอม ยิ่งกินกับน้ำซอสซีอิ้ว ขิงที่ขลุกขลิกมา ยิ่งให้รสชาติหอมหวาน กลิ่นขิงที่ลอยอวลอยู่ในปาก ยิ่งทำให้สดชื่นยิ่งขึ้น

ก๋วยเตี๋ยวหลอดกุ้ง (120 บาท)

จานนี้หนักขึ้นมาอีกนิดด้วย ก๋วยเตี๋ยวหลอดกุ้ง กุ้งเป็นตัว ๆ ถูกพันมาด้วยเส้นก๋วยเตี๋วยและนำไปนิ่ง ราดด้วยซีอิ้วให้รสชาติเค็มมัน กับผักกรอบ ๆ สีเขียวสด ยิ่งขับให้รสหวานของกุ้งโดดเด่นขึ้นมาอีก

มาเข้าโหมดซาลาเปา กันบ้างน๊า

เราสั่งเมนูซาลาเปาที่น่าสนใจมาแค่ 2 อย่างเพราะ ซาลาเปานั้น ถูกจัดให้เป็นเมนูตัดกำลังอย่างแท้จริง ดังนั้น 2 เมนูก็เพียงพอแล้ว เริ่มจาก ซาลาเปาใส้ครีมพิเศษ (ซ้าย) (30 บาท) หรือ ซาลาเปาลาวา ที่สั่งมาเพราะมันพิเศษ และเราก็พบกับความพิเศษ เพราะนอกจากจะเป็นซาลาเปาที่แป้งบางแล้วยังมีใส้ที่หวานมัน รสชาตินุ่มนวล สวนทางกับไส้ที่ไหลทะลักอย่างกับลาวา เมื่อเราจับมันบิออกจากกัน

เมนูต่อมาของเรา คือ ซาลาเปาเจี๊ยนปักกิ่ง (ขวา) (30 บาท) แค่ชื่อก็น่าสนใจแล้วมั้ยค่ะ แป้งซาลาเปาบาง ๆ นุ่ม ๆ เอาไปอบจนเหลืองกรอบว่าพิเศษแล้ว แต่พอมาดูไส้ยิ่งพิเศษกว่า เพราะเป็นไส้หมูสับปรุงรส รสชาติเค็มมัน บนไข่แดง และหมูแดง รสชาติหวานฉ่ำ กินร่วมกันแล้ว ให้รสสัมผัสและรสชาติที่ฟินสุด ๆ

จบจากเมนูติมซำ เรามาเริ่มที่อาหารหลักกันเลยดีกว่า และด้วยความที่เรากินติมซำกัน จนเรียกว่าเกือบจุก แต่ด้วยความที่ไม่มีใครยอมใคร เมื่อถึงคราอาหารหลัก ทุกคนก็เตรียมพร้อมลุยกันอย่างไม่ยั้ง

โชว์จานเด็ด เป็ดปักกิ่ง

จานแรกที่นำมาเสิร์ฟ คือ อาหารจีนยอดฮิต สุดยอดมงคล เจ้าแห่งความหรูหรา "เป็ดปักกิ่ง" หนังเป็ดย่างถูกแล่มาอย่างบางกรอบ เวลาเคี้ยวเราจะได้ยินเสียงแตกของความกรอบที่ให้รสชาติพิเศษที่จะมีเพียงเฉพาะแค่ในหนังเป็ดปักกิ่ง ส่วนเครื่องเคียงเป็นผักสามสี สามอย่าง แห่งมงคล อันได้แก่ ต้นหอม แครอท และแตงกว่า หั่นเป็นแท่งสวยงามพร้อมห่อ มาพร้อมกับพริกสีแดงสด

เป็ดปักกิ่ง (850 บาท รวมเมนูเนื้อเป็ดผัดกระเพรา)

ใบห่อของที่นี่ ไม่ได้ใช้ใบปอเปี้ยะธรรมดา แต่เป็นใบปอเปี้ยะทำเอง ที่ปรุงมาสำหรับใช้ห่อเป็ดปักกิ่งโดยเฉพาะ มาพร้อมซีอิ้วหวานปรุงรสให้ออก หวานเค็มมัน เมื่อเอาทุกสิ่งมารวมกัน ความหนึบหนับของใบแป้ง ความกรอบของหนังเป็ดย่าง และผักสด ๆ เข้ากันได้ดีกับความเผ็ดเล็ก ๆ และหวานเค็มของซีอิ้วหวาน เรียกได้ว่าเคี้ยวกันไปเพลิน ๆ ไม่มีเลี่ยน ไม่มีมัน กินกันจนหมดจาน

เนื้อเป็ดผัดกระเพรา

หนังเป็ดย่างเราก็เอามากินเป็นเป็ดปักกิ่งแล้ว เนื้อเราก็ให้ทางเชฟปรุงมาด้วยเมนู เนื้อเป็ดผัดกระเพรา เป็ดเนื้อนุ่ม ๆ หนา ๆ หั่นมาพอดีคำผัดกับกระเพรารสเข็ม และรสเผ็ดอ่อน ๆ ของพริก กินกับข้าวสวยร้อน ๆ ลืมไม่ลงทีเดียว

หมูกรอบ (350 บาท) จานขึ้นชื่อของที่นี่

จานถัดมาเป็นจานขึ้นชื่อของที่นี่ นั่นก็คือ หมูกรอบ หมูสามชั้นอบกรอบ ลดชั้นไขมันที่ถูกแทนที่ด้วยเนื้อหมูแน่น ๆ หนับ ๆ จิ้มกับซีอิ้วหวานผสมงาขาวคั่ว กลิ่นหอมกรุ่น เวลาที่กัดจะได้ทั้งรสสัมผัส ของความกรอบกรุบ ความหวานหนุบของเนื้อหมูที่มีชั้นมันแทรกพอให้นุ่มและหวาน สมแล้วกับที่เป็นจานขึ้นชื่อของที่นี่

อาหารคาวมื้อนี้

กับข้าวก็มาแล้วมาดูข้าวของเรากันบ้างค่ะ เราสั่งมา 2 ประเภท ทั้งประเภทข้าว และประเภทเส้น เริ่มกันจาก ผัดหมี่ซั่วฮ่องกง (ขวาบน) (380 บาท) ที่จะขาดเสียไม่ได้ของเทศกาลตรุษจีน ถือเป็นอาหารมงคลยิ่ง ยิ่งได้เส้นหมี่ซั่วที่สั่งตรงมาจากฮ่องกง ผัดกับส่วนผสมจากทะเล อย่างปลาหมึกชิ้นโต กุ้งกรอบ ๆ เด้ง ๆ และเครื่องปรุงอืน ๆ ที่คลุกเคล้าเข้ากันได้อย่างกลมกล่อม จานนี้ถ้าจะติก็ตรงที่ส่วนตัวจะชอบเส้นที่เหนียวกว่านี้สักหน่อย

ส่วนจานข้าวของเรานั่นก็คือ ข้าวผัดคะน้าปลาเค็ม (380 บาท) (ขวาล่าง) สีเหลืองอร่าม เพราะเชฟผัดด้วยไข่แดงล้วนโดยไม่ปนไข่ขาวเพื่อให้ข้าวผัดได้สีเหลืองทอง ถือเป็นอาหารมงคลอีกอย่าง รสชาติเค็มมัน หอมกลิ่นปลาเค็มที่ยีและผัดมากับข้าวเม็ดสวย ปรุงรสผัดกับคะน้าอ่อน ๆ ใส่ไก่เพื่อเพิ่มรสสัมผัสให้นุ่มลิ้น

สาคูแคนตาลูป (90 บาท)

จบจากของคาวที่แทบจะทำให้ท้องแตก ก็มาเจอกับของหวานที่ไม่สามารถปฏิเสธได้ นั่นก็คือ สาคูแคนตาลูป แคนตาลูปสดหวานฉ่ำเสิร์ฟมาเป็นลูกกลม ๆ พร้อมด้วยสาคูเม็ดกำลังสวยในน้ำแคนตาลูปคั่นหวานหอม ใส่น้ำแข็งปั่นให้เย็นชื่นใจ รสหวานหอมของแคนตาลูปความหวานอันเป็นธรรมชาติ ความนุ่มลื่นของเม็ดสาคู ยิ่งช่วยทำให้จานนี้ หอมหวาน ชื่นใจ ดับกลิ่นและรสคาวของอาหารก่อนหน้านี้ได้เป็นอย่างดี

เผือกหิมะ (350 บาท)

จานนี้ถือว่าพลาดไม่ได้เมื่อมากินอาหารที่นี่ เผือกหิมะ ต้องยกนิ้วให้เลยว่า "เด็ด" เพราะได้เผือกเนื้อร่วนแต่นุ่มชุ่มฉ่ำด้วยเทคนิคการทอดเฉพาะตัว พร้อมด้วยน้ำตาลเกล็ดที่ผสมกับต้นหอมซอยที่ไม่บางไม่หนาจนเกินไป เมื่อกัดเข้าไปจะได้ลิ้มรสเผือกนุ่ม เนียน มันตัดด้วยความหวานและกลิ่นของต้นหอมกลมกล่อม รสชาติแบบที่ไม่เคยกินที่ไหนมาก่อน

ก่อนกลับเราได้มีโอกาสพบกับเชฟทรงวุฒิ มรรคอนันต์โชติ เชฟผู้คร่ำหวอดในวงการอาหารจีน และประจำอยู่ที่ภัตตาคารไชน่า พาเลซแห่งนี้มากว่า 20 ปี ก่อนที่จะกล่าวชมรสชาติอาหารที่น่าติดใจ และกล่าวลาเพื่อจะกลับมาพบกันใหม่ ในมื้ออื่นต่อไป

ห้องอาหารจีนไชน่าพาเลซ ชั้น 32 โรงแรมปรินซ์พาเลซ กรุงเทพฯ
เวลาเปิด-ปิด มี 2 รอบ เปิดทุกวัน : 11.30-14.30 น. (มีติ่มซำ) และ
18.00-22.00 น. (ไม่มีติ่มซำ)
โทรสำรองที่นั่ง 02 6281111 ต่อ 1402

สายลม ที่ผ่านมา

 วันจันทร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562 เวลา 23.09 น.

ความคิดเห็น