🔖 บันทึกการเดินทางแสนพิเศษ “ ล า ว “ 10 วัน 5 เมือง
...............📍เวียงจันทร์ 📍วังเงียง 📍หนองเขียว 📍เมืองงอย 📍หลวงพระบาง.................
สะบายดี (นักเดินทาง) ทุกกกกกคนที่เข้ามาอ่านบทความบันทึกการเดินทางนี้นะครับ กลับมาอีกครั้งและอีกครั้งกับ "บันทึกการเดินทาง" ของ "ล่ามติดเที่ยว" คนนี้เช่นเคย และบันทึกครั้งนี้ต้องบอกก่อนว่ากลับมาเขียนนย้อนหลัง2เดือนหลังจากไปออกทริปล่าสุดที่ประเทศลาวเมื่อปลายปี 2018
และแน่นอนที่สุดว่าบทความครั้งนี้ก็จะเยอะและยาวมากกว่าทริปอื่นๆที่ผ่านมาเพราะ เพราะ เพราะครั้งนี้เป็นทริปที่ออกเดินทางยาวนานที่สุดตั้งแต่เคยเดินทางมา ดังนั้นรายละเอียดข้อมูลจะเยอะมาก พยายามเก็บรายละเอียดต่างๆมาให้ได้มากที่สุด ไม่อยากให้ตกหล่น ไม่เชื่องั้นก็มาลองอ่านกันเล๊ยยย!! ปล.เดี๋ยวตามมาแก้คำผิด เพิ่มเติมอีกหน่อยคือ มีคลิปการเดินทางที่ลงใน YouTube ไว้ อยู่ท้ายบันทึกนะ :)
สำหรับการเดินทางครั้งนี้ก็ยังเป็นทริปที่ออกเดินทางคนเดียวเหมือนทริปผ่านนๆมา ก่อนจะออกทริปก็ได้ชวนเพื่อนๆแล้ว แต่ก็ไม่มีใครว่างที่จะออกทริปด้วยกันเช่นเคยอีกครั้งและอีกครั้ง ฮ่ะๆๆ แต่นั่นหาใช่ปัญหาไม่ เพราะเคยชินกับการโดนปฏิเสธแบบนี้มากนัดต่อนัดแล้วล่ะ
มันเป็นทริปที่ไม่ได้คาดหวังอะไรเลยว่ามันต้องสวย มันต้องเด็ด มันต้องดีไปหมดทุกอย่าง แต่เพียงแค่อยากออกเดินทางไปเรื่อยๆสบายๆชิลๆในแบบที่ชอบ และไม่ต้องกังวลไม่ต้องคิดเรื่องงาน เพราะลาออกจากงานแล้ว ซึ่งเป็นการเดินทางที่มี สนุกและความสุขมากๆ ปลดปล่อย ทุกอย่างตามใจฉัน ไปแบบไม่มีกำหนดการ รู้แค่ว่าจะไปลาว ซึ่งที่พักก็จองไประหว่างทริป ชอบที่ไหนก็อยู่ที่นั่นนานหน่อย ไม่ชอบก็แค่เปลี่ยนไปที่อื่น
ทริปนี้ถือว่าาเป็นทริปส่งท้ายปีเก่า 2018 ต้อนรับปีใหม่ 2019 ( 22/12/2018 - 01/01/2019 ) และยังเป็นทริปสุดท้ายก่อจะเดินทางไปทำงานประเทศญี่ปุ่นในต้นปี ทริปนี้แพลนหลังจากสัมภาษณ์งานแล้วรู้ผลว่าสัมภาษณ์งานผ่าน จึงวางแผนจะออกจากบริษัทที่ไทยล่วงหน้าก่อนเดินทางไปทำงานญี่ปุ่น ซึ่งก็ตรงกับช่วงสิ้นปีและตัดวีคเงินเดือนพอดี แต่ยังไม่มีการแพลนสถานนที่ว่าจะไปไหน
ตอนนั้นรู้แต่ว่าจะไปวังเวียง ฮ่ะๆๆ มันคือเป้าหมายหลักสำหรับทริปนี้ จากนั้นจึงหาข้อมูลที่พัก การเดินทาง สถานที่ที่จะไป ซึ่งข้อมูลเกี่ยวกับการเดินทางไปลาวนั้นมีเยอะมว๊ากกกกกกกก โดยเฉพาะวังเวียงคือเยอะมาก เสิร์ชบนลุงกูว่า "วังเวียง" คือขึ้นมาพรึึ้บบบบบบบบเต็มไปหมด เลือกอ่านตามชอบได้เลย
พอจัดการกำหนดแพลนตัวเองเสร็จก็เริ่มต้นด้วยการจองที่พัก ตั๋วเครื่องบินจองเฉพาะขาไปเวียงจันทร์วันแรก เพราะยังไม่ได้ระบุวันกลับไทย ง่ายๆคือเที่ยวไปเรื่อยๆจนกว่าจะเบื่อหรือรอเงินใกล้หมด (แต่อันนี้เงินที่แลกไปคือหมดเกลี่ยงจริงๆนะ) หมดแล้วทำไงต่อ ไปเจอกันในบทความนะ ฮ่ะๆๆ
เป็นการเดินทางจากเมืองหลวงเวียงจันทน์ล่องขึ้นเหนือเกือบสุดเขตประเทศที่ติดกับเวียดนาม สำหรับการเดินทางไปสถานที่ต่างๆในลาวครั้งนี้ก็ตามที่ระบุไว้ด้านล่างนี้เลย มาดูกันว่าเดินทางไปไหนมาบ้าง!!
📍เริ่มต้นเดินทางจาก Bangkok กรุงเทพฯ 📍23-24 Dec 2018: Vientiane เวียงจันทน์ 📍24-28 Dec 2018: Vang Vieng วังเวียง 📍28-29 Dec 2018: Nong Khiaw หนองเขียว 📍29-30 Dec 2018: Muang Ngoy เมืองงอย 📍30 Dec 18-1 Jan 19: Luang Prabang หลวงพระบาง 📍จบทริปเดินทางที่ Chiangmai เชียงใหม่
📍23-24 Dec 2018: Vientiane เวียงจันทน์
เริ่มออกเดินทางกันเลย วันนี้บินตรงจากกรุงเทพไปลงที่เวียงจันทร์ด้วยสายการบินไทยสมายด์ พอบินมาถึงสนามบินเวียงจันทร์ก็ออกไปรับกระเป๋า จากนั้นสิ่งแรกที่ต้องทำคือ แลกเงินกีบ กับ ซื้อซิมเน็ตนะ เสร็จธุระแล้วก็เดินออกไปรอชัตเติ้ลบัสเข้าเมืองหน้าสนามบิน ออกจากทางออกแล้วเบลี้ยวขวา จะมีที่รอรถบัสเข้าเมืองนะ
พอรถบัสไม่นานก็มาจอดรอรับคนที่จะเดินทางเข้าไปในเมือง อย่ารีบขึ้นแท็กซี่นะ มันงแพงมากเลยว่ะ ขึ้นรถบัสดีกว่า ราคารองรับประชาชนหาเช้ากินค่ำอย่างนักเดินทาง ฮ่ะๆๆ
พอไปถึงในเมืองปุ๊บ รถบัสจากสนามบินก็จะไปสิ้นสุดที่ตลาดเช้าเวียงจันทร์ ตอนลงรถบัสก็ยัง งงๆ อยู่ว่าเอ้าอยู่ไหนแล้วล่ะเนียะ ไปทางไหนดี งง ไปอีก เปิดแผนที่โลดเลย
แต่ยังมีเวลาอีกเยอะก็ตัดสินใจไปเที่ยวแลนด์มาร์คของเวียงจันทร์ซักหน่อยละกัน จะที่ไหนกันล่ะก็ "ประตูไซ" เวียงจันทร์ไง ใครมาเวียงจันทร์ก็ต้องมาถ่ายรูปที่นี่กันทั้งนั้น มั้ง 555+
นั่นนนนนไง "ประตูไซซซซซซซซซซ" เดินมาถูกทางแล้ว มันแลดูสง่า มันดูน่าสนใจดีนะ เข้าไปใกล้ๆกัน
เปิดแผนที่เดินมาเรื่อยๆเกือบ 20นาทีได้ เอ่อกูก็เดินไปได้เนอะ ฮ่ะๆๆ แต่ก็สนุกดี เพราะได้เห็นบ้านเมืองรอบๆด้วย พอเข้าใกล้ประตูไซเท่านั้นแหละ รีบหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายรูปเลย
พอเดินไปด้านหน้าคือ คนเยอะมากกกกกกก ทุกคนต่างตั้งใจถ่ายรูปกัน ตอนถ่ายรูปประตูไซอยู่ก็มีลุงฝั่งคนหนึ่งเข้ามาถามว่า "มาคนเดียวเหรอ งั้นไอถ่ายรูปให้ยูไหม" ก็ตอบไปว่า "เยส มาคนเดียว" (สนทนาภาษาอังกฤษนะ) พอถ่ายเสร็จก็แต๊งคิ้วแล้วถามกลับว่า "ผมถ่ายรูปคู่ให้คุณ2คนไหม" ถือเป็นการแลกเปลี่ยนกัน
จากนั้นก็เดินลอดใต้ประตูไซไปถ่ายรูปจากด้านหลัง ซึ่งคนแทบไม่มีเลย ฮ่ะๆๆ ก็ตั้งกล้องถ่ายรูปวนไป
หลังจากนั้นก็เดินไปเรื่อยๆ เดินเข้าฝั่งในเมือง พร้อมกับหาโฮสเทลไปด้วย ซึ่งต้องหาแหล่งที่หาของกินง่ายหน่อย ไม่รู้ว่าในตัวเมืองจริงๆคือตรงไหน ก็เลยเปิดดูแผนที่ว่าจองแถวไหนดี เดินไปเรื่อยๆหาไปเรื่อยๆจนเจอโฮสเทล "Hive Hostel" คือดูดีมากและราคาไม่แพงด้วย งั้นจัดไป!!
จากนั้นก็เดินไปโฮสเทลตามแผนที่ ซึ่งก็อยู่ในเมือง หาของกินง่าย เข้าไปเช็คอินด้วยภาษาอังกฤษ พอยื่นพาสปอร์ตให้พนักงาน "เอ้าเป็นคนไทยนี่ งั้นคุยภาษาไทยได้เลยนะ" แว๊บแรกคือสตั้นนน หืมมมมม ทำไมพูดไทยได้ ไอ่เราก็ถามกลับว่า "เอ้าเป็นคนไทยเหรอครับ มาทำงานที่นี่เหรอ" พนักงานก็ตอบว่า "เป็นคนลาว แต่ฟังพูดเขียนภาษาไทยได้" โอ่ววววว พีคไปอีก
พอเช็คอินเสร็จก็ขึ้นไปห้องพักกัน แว๊บแรกที่เห็นคือแบบเอิ่มมมมมมม ทำไมมันไม่เหมือนในรูปวะ กุมขมับแป๊บบบ แต่เอาเหอะ พรุ่งนี้ค่อยย้ายที่พักละกัน คืนนี้ทนๆนอนไปก่อน แอร์แม่งก็โคตรเย็นเลยแต่ปรับไม่ได้อีก เก็บกระเป๋าแล้วออกไปเดินเล่นรอบๆ
นี่เป็นครั้งแรกที่ได้มาสัมผัสเมืองหลวงแห่งนี้ แต่พอได้เห็นกับตาตัวเองจึงได้รู้ว่า นอกจาก “ประตูไซ” แลนด์มาร์คสำคัญของเมืองนี้แล้ว แทบไม่มีอะไรน่าสนใจเลย มาให้เห็น ไม่มาก็ไม่รู้ แล้วแต่คนชอบเนาะฮ่ะๆๆ
เดินไปเรื่อยๆจนถึงริมฝั่งแม่น้ำโขง ซึ่งสามารถมองเห็นประเทศไทยที่อยู่อีกฝั่งได้ด้วย วิวพระอาทิตย์ตกที่นี่ก็ถือว่าไม่เลวเลยนะ เห็นอีกฝั่งแล้ว โ ฮ ม ซิ ค ไหม? ไม่เลย ฮ่ะๆๆๆ
พอตกค่ำก็ไม่ได้ไปไหน เพราะไม่รู้จะไปไหน มันไม่มีที่น่าสนใจเลย ส่วนตัวกลับมองว่าเป็นเมืองหลวงมราเงียบสงบมาก มันเงียบเกินไปจนไม่รู้จะไปทาวงไหนต่อละ ฮ่ะๆๆ
งั้นเปลี่ยนแผนเป็นพักที่เวียงจันทร์คืนเดียวพอ พรุ่งนี้ไปวังเวียงดีกว่า ก็เลยจองรถตู้กับที่พักเลย จากนั้นก็เข้าที่พักนอนยาวๆ เพราะพรุ่งนี้ต้องนั่งรถเดินทางไกล!!
📍24-28 Dec 2018: Vang Vieng วังเวียง
วันนี้ตื่นเช้าเพราะรถตู้จะมารับตอน 8 โมงเช้า อาบน้ำล้างหน้าแต่งตัวเก็บของเสร็จก็ไปหาข้าวเช้ากิน พอไม่นานรถตู้ก็มารับหน้าที่พัก พอขึ้นรถปุ๊บอื้อหืออออออ คนเกาหลีเต็มรถเลย คนไทยก็มีคนเดียวนี่แหละนอกนั้นอีก3คนก็ฝรั่ง นั่งรถยาวๆวนนนนนนนไป ถนนหนทางไปวังเวียงนั้นช่างเป็นเส้นทางที่น่าท้ายจริงๆ ถนนหินบ้าง ฝุ่นบ้าง เหวบ้าง แต่ที่เยอะสุดเลยคือ ฝุ่น
วันนี้ตื่นเช้าเพราะรถตู้จะมารับตอน 8 โมงเช้า อาบน้ำล้างหน้าแต่งตัวเก็บของเสร็จก็ไปหาข้าวเช้ากิน พอไม่นานรถตู้ก็มารับหน้าที่พัก พอขึ้นรถปุ๊บอื้อหืออออออ คนเกาหลีเต็มรถเลย คนไทยก็มีคนเดียวนี่แหละนอกนั้นอีก3คนก็ฝรั่ง นั่งรถยาวๆวนนนนนนนไป ถนนหนทางไปวังเวียงนั้นช่างเป็นเส้นทางที่น่าท้ายจริงๆ ถนนหินบ้าง ฝุ่นบ้าง เหวบ้าง แต่ที่เยอะสุดเลยคือ ฝุ่นพอนั่งไปได้ครึ่งทางรถตู้ก็จะจอดแวะระหว่างทางเพื่อให้เข้าห้องน้ำและหาไรกิน มันก็มีร้านเดียวนี่แหละที่ขายของตรงจุดพักรถ มีอะไรก็ต้องซื้อกินไปก่อนจะอดตาย ฮ่ะๆๆ ได้ข้าวจี่มา2ไม้ รสชาติไม่ต้องถามหรอก แต่ก็ไม้ได้แย่ขนาดกินไม่ได้นะ คิดบวกซะว่ากินเพื่ออยู่ จากนั้นก็นั่งรถต่อไปยาวๆ
จนเดินทางมาถึงวังเวียง ซึ่งพอถึงเมืองก็เต็มไปด้วยฝุ่นที่มาต้อนรับนักเดินทางเช่นกัน เยอะมากกกกก รถจะเข้าไปจอดในตัวเมืองวังเวียงจากนั้นก็เปิดแผนที่เดินไปที่พัก เนื่องจากทริปนี้เน้นวังเวียงเป็นหลักก็เลยตั้งใจจะอยู่ที่นี่้หลายวันหน่อย ก็ประมาณ 5 วันได้
ที่พักคืนแรกพักที่ Laos Haven Hotel ราคาที่พักคืนแรก 950 บาท วันแรกนอนดีหน่อยเพราะเหนื่อยกับการเดินทางเลยเลือกโรงแรมที่มีสระว่ายน้ำและไม่แพงด้วย ฮ่ะๆๆ เช็คอิน ขึ้นห้องพัก เก็บกระเป๋าเสร็จแล้วก็หยิบผ้าเช็ดตัวลงไปสระว่ายน้ำ อ่อ ห้องพักที่นี่ถือว่าดีมาก ห้องน้ำนี่ดีเยี่ยมเลย
บรรยากาศที่สระว่ายน้ำถือว่าดีมากนะ เงียบสงบดี ไม่มีคนเลย สระว่ายน้ำไม่ใหญ่มาก แต่หารู้ไม่ว่าน้ำแม่งโคตรเย็นเลย เย็นเกินไปลงน้ำไม่ถึง2นาทีก็ขึ้นจากสระและนอนรีแล็กซ์ริมสระว่ายน้ำนี่แหละ สบายยยย
พอบ่ายแก่ๆก็ออกเดินดูรอบๆ วันนี้ยังไม่ลุยไหน เพราะมาถึงวันแรก ขอชิลๆอยู่ในเมืองนี่ก่อน ซึ่งถนนหนทางในวังเวียงนั้นถือว่าไม่ดีเลย แต่ก็ไม่แย่เกินไปสำหรับคนที่ชอบการเดินทางลุยๆ ฮ่ะๆๆ
เดินไปเรื่อยๆ ก็เจอร้านขายแซนวิชจัมโบ้ (อันนี้เรียกเอง) คือมันใหญ่มากกกกก เริ่มหิวแล้วก็เลยสั่งสักกินสักหน่อย อื้ออออใหญ่ขนาดนี้จะกัดกินยังไงได้ล่ะวะ ฮ่ะๆๆ กินๆไป เลอะปากบ้างไรบ้าง แต่ถือว่าอร่อยและไม่แพงรึเป่านะ แต่มาแล้วก็ต้องลองชิมนะ ลองเหอะ!! คือร้านขายแซนวิชที่นี่จะเยอะมากกกกกกกกกกก
และนี่คือหน้าตาเจ้าแซนวิชจัมโบ้ยักษ์ที่สั่งไป โอ้โหหหห อะไรจะบิ๊กเบอร์นี้วะ กินไงไม่ให้เลอะปากล่ะทีนี้ 555+
ตอนนี้ก็ใกล้ถึงเวลาพระอาทิตย์ตกแล้ว ก็เลยเดินไปตามทางเพื่อไปหาที่นั่งริมแม่น้ำซอง ซึ่งก็ยังคงต้องเปิดแผนที่ดูอีกเช่นเคย ช่วงมาใหม่ๆก็ต้องเน้นเปิดแผนที่นี่แหละ แล้วเดินตามแผนที่ไปก่อน
เห็นเขานั่งเรือหางยางขึ้นล่องแล้วแบบอยากลองไปนั่งบ้าง ไว้ก่อนละกัน ยังอยู่อีกหลายวัน ยังมีเวลา
พอเห็นสะพานไม้ก็แปลว่าถึงที่หมายแล้ว เดินหามุมดีๆ และก็ได้มุมนี้ นั่งติดริมแม่น้ำ สั่งเบียร์ลาวมา1ขวด เอาเท้าสกปรกๆที่เดินทางมาทั้งวันจุ่มลงไปในแม่น้ำ พร้อมกับจิบเบียร์ลาวไปด้วย อื้อออหืออออ มันจะมีอะไรที่ฟินไปมากกว่านี้อีกล่ะ แม่งโคตรชอบบบบบบ!!
แต่พีคในพีคคือ ตอนกำลังนั่งๆชิลๆนั้น อยู่ๆลูกบอลลูนก็ลอยขึ้นมาจากอีกฝั่งของแม่น้ำ เห็นปุ๊บคือ ว้าววววววววแม่งดี โคตรแจ่ม ไม่คิดว่าได้มาเห็นอะไรแบบนี้ด้วย ตอนนี้คือ นั่งดื่มเบียร์ เอาเท้าจุ่มลงแม่น้ำ ฟังเพลงที่ร้านเปิด ดูเรือหางยาวแล่นขึ้นล่องแม่น้ำซอง พร้อมกับดูบอลลูนลอยขึ้นเหนือฟ้าแล้ว แม่งโคะตะระฟินนนนนนนนนนสุดๆเลย
จะช้าอยู่ใยล่ะ กล้องเว้ยกล้องงงงง หยิบกล้องขึ้นมาแชะภาพหน่อย อย่าให้พลาด คือมันโคตรจะมีความสุขเลยเว้ย ไม่เคยมีความรู้สึกแบบเที่ยวสบายใจแบบนี้มาก่อน มันดีย์!! นั่งอยู่ร้านริมแม่น้ำซองนี่ยาวๆจนค่ำเลย เบียร์ขวดเดียวนั่งนานไปนะ ฮ่ะๆๆ
ค่ำแล้วกลับที่พักได้ ระหว่างกลับโรงแรมก็ยึกขึ้นได้ว่าพรุ่งนี้จะออกไปเที่ยวรอบนอกวังเวียงยังไงวะ เอ่อ ลืมไปเลย ก็ต้องเช่ามอไซด์ดิ เช่าเรียบร้อยก็กลับที่พักเอากระเป๋าไปเก็บ อาบน้ำแล้วดิ่งตรงไปบาร์ซิกเนเจอร์ของวังเวียงคือ ซากุระบาร์ (SAKURA BAR)
ตอนเดินไปซากุระบาร์ก็เจอกับป้ายราคารถเดินทางไปหลวงพระบาง ดูๆแล้วก็มีรอบที่น่าสนใจอยู่นะ ไว้ก่อน
รีวิวซากุระบาร์แบบสั้นๆสักหน่อยละกัน แนะนำให้ไปให้ทันก่อน3ทุ่มจะดีมาก เพราะมีฟรีดริ้งค์คอยบริการให้กับคนที่มาก่อน3ทุ่ม มีเรอะจะพลาด ฮ่ะๆๆ แต่รสชาติไม่ต้องพูดถึง ของฟรีเขาก็จะปรุงให้ในราคาแบบของฟรี แต่คิดว่าเอาแค่พอเมานิดๆก่อนจะเข้าไปแดนซ์ข้างใน ที่นี่เพลงสนุกดี สากล เกาหลี ไทย อีสานมีหมด แต่นักท่องเที่ยวที่ครองบาร์แห่งนี้ก็หนีไม่พ้นเกาหลีอยู่แล้ว แม่งโคตรเยอะเลย แต่รับรองว่าสนุก สนุกจริงๆ ดูเวลาอีกที เอ้า ผับใกล้ปิดแล้ว ฮ่ะๆๆ นี่กูอยู่ที่นี่นานขนาดนี้เลยเหรอวะ เกือบตี1ละไง ฮ่ะๆๆ กลับเหอะ
25 DEC 2018
วันรุ่งขึ้นก็ตื่นเช้ามาก ตื่นเช้าเพื่อจะออกไปปีนเขาดูพระทิตย์ขึ้น แต่ก่อนอื่นต้องไปปลุกพี่เจ้าของร้านเชา่ามอไซด์ก่อน นัดไปรับรถ6โมงเช้า คือกุไปถึงแล้ว แต่ก็ยังไม่มีใครตื่น แต่จำได้ว่าตอนเช่าพี่เขาบอกถ้าพรุ่งนี้เช้ามาถึงร้านนแล้วไม่เห็นใครก็ให้เคาะประตูเรียกได้เลยนะ อ่ะ เคาะและเรียกวนไป กว่าจะมานี่กูเกือบเปลี่ยนใจไม่เช่าละ ฮ่ะๆๆ
ทันใดนั้นก็เห็นบอลูนลอยขึ้นมาอีกลูก มาแต่เช้าเลยนะ อยากขึ้นบ้าง แต่แพลนคือรอดูเงินก่อนว่าจะเหลือเท่าไหร่ เหลือเยอะก็ขึ้น น้อยก็อด จากนั้นก็เอามอไซด์ เปิดแผนที่ขับไปตามแผนที่ ที่ที่จะไปคือ ผาเงิน อ่ะขับบบบวนนนไปเรื่อยๆ ช้าๆเพราะไม่รู้ทาง อากาศก็เย็นๆสบายๆ ขับไปเรื่อยๆก็เห็นป้าย ทางเข้าผาแดง ซึ่งตอนนั้นก็คิดว่า เอ่อ ผาแดงกับผาเงินก็คงที่เดียวกันแหละวะงี้ ก็เลยขับเข้าไปตามป้ายเรื่อยๆ
นั่งไง เจอป้ายบอกทางไปจุดชมวิวผาแดงแล้วววววว พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น รีบเลยๆ รีบขึ้นๆ
แต่เริ่มตะหงิดๆละว่าถูกทางเป่าวะ อ่ะขับไปเรื่อยๆก่อน คือขับเข้าไปในป่าจนสึฃุดทางตันป่าแล้วอ่ะ ทำไมขับไปเท่าไหร่ก็ไม่ถึงสักที ฮ่ะๆๆ รีบขับออกมาเลย เริ่มกลัว ตรงทางออกมีคนอยู่ตรงนั้นเลยเข้าไปถามและได้ความว่าที่นี่คือ ผาแดง ไม่ใช่ ผาเงิน และวันนี้ก็ยังไม่มีใครมาเลย
งั้นเปลี่ยนใจไม่ขึ้นดีกว่า ป่าน่ากลัวเกิน เปลี่ยนเป้าหมายไปผาเงินต่อ ขับไปเรื่อยๆก็เจอผาเงินอีก แค่เห็นผาเงินก็อุ่นใจแล้วล่ะ ก็เลยขับเข้าไปตามป้ายอีกเช่นเคย ขับไปถึงด่านขายตั๋ว ซื้อตั๋วแล้วเริ่มเดินขึ้นเขากันเลย
จะบอกว่าใช้เวลาเดินชั่วโมงกว่าๆเลยนะ เดินไปพักไป ดื่มน้ำไป เสื้อแขนยาว กางเกงขายาวกูเนียะจะเอามาทำหอกไรวะ เกะกะชิปหาย ฮ่ะๆๆ บ่นกับตัวเองไปแต่ก็เดินต่อไปเรื่อย ระหว่างทางขึ้นเขาก้ไม่เจอใครเลย เหมือนอยู่คนเดียวในป่าใหญ่
และแล้วก็เดินขึ้นมาถึงจุดชมวิวแล้วววววว ตรงนั้นจะมีลุงชาวม้ง2คนอยู่ ขายขนม ขายน้ำด้วย พอนั่งพักแล้วก็เริ่มบงงจงถ่ายรูปวิวต่อ ถามว่าทันพระอาทิตย์ขึ้นไหม อย่าถามเลย พระอาทิตย์ขึ้นตั้งแต่ตอนไปผิดทางแล้วล่ะ ฮ่ะๆๆ
พอสักพักลุงก็ถามว่าเพิ่งกลับลงมาจากจุดชมวิวบนโน้นเหรอ ตอนได้ยินคำถามคือ หื้ออออออ จุดชมวิวไหน เท่านั้นแหละลุงชี้ขึ้นไปอีกฝั่ง ซึ่งเขาลูกเดียวกันและนั่นคือจุดชมวิวสูงสุด ลุงบอกที่นี่จุดชมวิวผาแดงล่าง ผาแดงบนอยู่ข้างบน โอ่ววววววเข่าอ่อนเลย แต่ไหนๆก็มาทั้งทีมีเวลาเยอะก้ไม่พลาดที่จะขึ้นไปต่อเช่นกัน ลุยโลดดดดดดดด นั่นนนนไง เห็นศาลาเป็นหลังอยู่บนยอดเขาไหม นั่นแหละ อีกเกือบครึ่งทาง ฮ่ะๆๆ
กว่าจะถึงบนนั้นก็เล่นเอาหอบเหมือนกัน ถอดเกงขายาว เสื้อแขนยาวแม่งละ ไม่ไหว ร้อน เหนื่อย ฮ่ะๆๆ แต่วิวจากบนนี้ก็วิวด้านล่างก็ไม่ต่างกันมาก เพียงแค่จะสูงขึ้นเท่านั้นเอง คือไม่มีใครมาจุดชมวิวนี้เลยสักคน กูนี่ก็บ้าจี้มาตามที่ลุงแนะนำนำ ฮ่ะๆๆ แต่ก็สนุกดีนะ ใกล้เวลาละ ต้องรีบลงเขาแล้ว วันนี้ต้องเช็๋คเอ้าท์เปลี่ยนที่พักละ
ประเด็นคือไม่มีใครขึ้นมาบนจุดชมวิวนี้เลยสักคน กูนี่ก็บ้าจี้มาตามที่ลุงแนะนำนำ ฮ่ะๆๆ แต่ก็สนุกดีนะ ใกล้เวลาละ ต้องรีบลงเขาแล้ว วันนี้ต้องเช็๋คเอ้าท์เปลี่ยนที่พักละ
ถึงที่พักก็เก็บของ เช็คเอ้าท์ แล้วออกไปหาอาหารเช้ากินก่อน คือหิวมาก ใช้แรงไปกับการเดินขึ้นเขาหมดเลย ก่อนขึ้นก็ไม่ได้กินไรนอกจากน้ำ ไม่คิดว่าทางจะโหดขนาดนั้นด้วย ฮ่ะๆๆ และนี่ก็อาหารเช้า แพงไปนะ
จากนั้นก็ไปจตามหาที่พักชื่อ บานาน่าบังกะโล จะพักที่นี่ยาวๆตลอดทริปที่วังเวียงเลย ตอนไปเช็คอินพนักงานบอกไม่มีการจองเข้ามาเลยนะ
ตอนนั้นคือแบบอื่มมมมมเนียะ เมล์หาก็ไม่ยอมตอบเมล์ ก้เลยเปิดบุ๊คกิ้งของอะโกด้าให้ดูว่าจองมาแล้ว จนเจ้าของบ้านมาเช็คเองอีกที ยกคอมมาเช็คกันเลยทีเดียว เป็นไงล่ะ บุ๊คกิ้งก็มาตั้งแต่เมื่อวานละ ไม่ยอมเปิดดู ฮ่ะๆๆ ขำๆ บ้านพักเป็นหลังส่วนตัวดี ชอบๆ โอเค เช็คอินเรียบร้อย ไม่รอช้าขับมอไซด์ออกไปลัดเลาะรอบๆต่อเลยละกัน ก็ยังคงไปเส้นเทางเดิมเมื่อเช้า พอเจอวิว เจอมุมที่ชอบก็จอดแล้วไปตั้งกล้องตั้งเวลาเพื่อถ่ายรุป
ตั้งเวลาไว้ 10 วินาที คิดดูว่าทำไมลุงขับมอไซ์มาบังกูตอนกล้องรัวชัตเตอร์ได้เหมาะเจาะขนาดนี้ ลุงงง ฮ่ะๆๆ
จากนั้นก็ขับต่อออกไปเรื่อย
อย่างที่บอกถนนหนทางที่วังเวียงคือโหดมาก จะเรียกว่าเมืองคลุกฝุ่นก็ว่าได้ ขับมอไซด์ไปโดยไม่หาไรป้องกันหน้านี่คือแบบเละอ่ะ
ไม่เชื่อดูนี่ ต้องปิดกันขนาดนี้เลย คือหมวกก็มีแต่ไม่ใส่ เพราะไม่คิดว่าฝุ่นจะเปลี่ยนสีผมได้ขนาดนี้ไง ฮ่ะๆๆ
วันนี้ไม่ได้ขับออกไปไหนไกล เพียงแต่ขับชมวิวไปเรื่อยๆ ลัดเลาะไปตามใจฉัน อยากไปไหนก้ไป จอดไหนก็จอด สบายๆชิลๆ พอเย็นๆก็ขับกลับมาในเมืองต่อ
ระหว่างกลับเห็นพระอาทิตย์กำลังตกและวิวจากถนนตรงนี้คือไม่เลวเลย สวยใช้ได้ ก็เลยจอดมอไซด์และนั่งชมวิวตรงนี้ชิลๆ (จอดข้างถนนเลย)
ฝูงวัว กับ บอลลูนบรรยากาศยามเย็นที่แสนจะเข้ากัน ณ วังเวียง วัวก็ได้เวลาเดินทางกลับเข้าบ้านละ
เซลฟี่กับแม่วัวกำลังท้อง หรือ กินจนอ้วน อันนี้ก็ไม่ทราบนะ ฮ่ะๆๆ แต่น่าเสียดายที่ขยะเยอะไปหน่อยเนอะ
ซึ่งไม่คิดว่าการนั่งมพระทิตย์ตกตรงนี้จะได้เห็นวิถีชีวิตของคนท้องถิ่นที่นี่ มันรู้สึกดี รู้สึกชอบมากๆ วัวเอย เด็กๆเอย ชาวบ้านเอย นักท่องเที่ยวเอย ทุกอย่างมันลงตัวจริงๆ
พอค่ำแล้วก็กลับเข้าวังเวียงเพื่อไปหาข้าวเย็นกิน ก็ยังเลือกไปร้านอาหารแถวริมแม่น้ำซอง ซึ่งที่นี่มันเหมาะแก่การนั่งพักผ่อนชิลๆมากๆ วันนี้เดินทางเหนื่อยๆ ข้าวก็ยังไม่ได้กิน อ่ะจัดไปเน้นๆ พร้อมเบียร์ลาว นั่งพักผ่อนชิลๆตรงนี้วนไป วันนี้ไม่ได้ไปซากุระบาร์นะ เหนื่อย ง่วงนอน กลับห้องนอนละกัน
26 DEC 2018
เช้าแล้วอากาสเย็นมาก อยากนอนต่อ ไม่อยากออกไปไหนเลย แต่ต้องจุดไฟในตัวเองไม่ให้นอนต่อและออกไปผจญภัยต่อ ฮ่ะๆๆ ตื่นมา อาบน้ำ แต่งตัวเสร็จก็ขับมอไซด์ออกไปตามเส้นทางเดิมของเมื่อวานต่อ ออกห้องมาก็เห็นลูกบอลลูนกำลังลอยขึ้นเหนือน่านฟ้าวังเวียง ได้แต่มองสินะ
การตื่นเช้าเวลาออกเดินทางมันทำให้ได้เห็นสิ่งต่างๆ วิถีชีวิตคนท้องที่ไรพวกนี้นะ อย่างเช้านี้ก็เห็นน้องๆปั่นจักรยานไปโรงเรียนกันเป็นกลุ่ม มันเป็นโมเม้นหนึ่งดูน่ารักมาๆ
ระหว่างทางก็ดันไปเห็นบอลลูนกำลังลงจอดเทียบพื้นพอดี ว่าจะเข้าไปดูใกล้ๆก็ไม่ทัน ได้แต่ถ่ายรูป ฮ่ะๆๆ
สำหรับอาหารเช้านี้ก็ไปหากินเอาดาบหน้าละกัน ร้านอาหารหลายๆที่ก็ยังไม่เปิดจัดแซนวิชจัมโบ้ง่ายๆละกัน
จากนั้นก็ขับออกไปยังจุดชมวิว นามไซ (NAMXAY View Point) เป็นจุดชมวิวที่ยังไงก็จะพลาดไม่ได้เลย เพราะที่นี่ก็แจ่มใช่ย่อยเลยนะ ทางขึ้นที่นี่ก็ค่อนข้างชันมากเช่นกัน แต่ระยะทางไม่ไกลมาก ใช้เวลาเดินขึ้นเพียง 30 นาทีได้ งั้นดูกันว่าบนนี้มีอะไรดึงดูดรักเดินทางที่ชื่นชอบธรรมชาติ
พอขึ้นมาถึงยอดแล้วรือแบบบบบบบ โอ้ววววว อะเมซิ่งงงงง มันสวยมาก ชอบมากเช่นกัน แต่ขอนั่งพักก่อน คำนยามที่ว่าเห็นวิวสวยแล้วหายเหนื่อยเลยนั้น สำหรับกูมันใช้ไม่ได้จริงๆ เพราะยังคงเหนื่อยเช่นเดิม ฮ่ะๆๆ
ป้ายนี้อ้ายออกแค่ว่า .... สถานที่จุดชมวิวผานามไซ......มาแล้ว ที่เว้นไปคืออ่านไม่ออกแล้ว งง เลย
ตอนขึ้นมาถึงบนนี้ก็มีชาวเบลเยียมอยู่ก่อนหน้าแล้ว2คน พูดคุยกันเล็กน้อย เพราะต่างคนต่างถ่ายรูปกัน ฮ่ะๆและนี่มันเป็นวิวธรรมชาติที่สวยอลังการมากๆ ภูเขาเป็นลูกๆล้อมรอบเต็มไปหมดเลย
ตรงศาลาที่พักมันจะมีเปลให้นั่งเล่นด้วย ตอนนี้ก็ไม่มีใครอยู่บนนี้ละ นั่งเล่นพักผ่อนบนเปลแป๊บบบบบบบบบบ
สักพักมีสาวแคนาดาเดินขึ้นมาถึง ก็ทักทายกันตามประสาคนเดินทางคนเดียว และสลับกันถ่ายรูปให้กัน และนี่คือรูปที่สาวแคนาดาถ่ายให้ ฝีมือใช้ได้เลยนะเนียะ ชอบๆ
ไม่นานก็ลงจากเขาเพื่อไปยังเป้าหมายต่อไปนั่นก็คือ บลูลากูนนนนนน มันเป็นยไงไงกันนะ ไปดูกัน
แต่ก็อย่างที่บอกไปคือฝุ่นเยอะมากกกกกกก เมื่อวานมีอาวุธไม่พร้อม แต่วันนี้พี่พร้อมสู้รบกันฝุ่น พร้อมแค่ไหนก็ตามรูปนี้เลย ป้องกันให้สุด ฮ่ะๆๆ รู้งี้เอาหมวกไอ้โม่งมาก็ดีเนอะ ปิดให้หมดแม่งเลย ฮ่ะๆๆๆ ไปโลดดด
อยากไปกระโดดน้ำจากต้นไม้ พอไปถึงก็คือแบบ เอิ่มมมมมลุงป้าทัวร์จีนอยู่กันเต็มรอบๆสระบลูลากูนเลย แต่หาสนใจไม่ หยิบโกโปรปีนขึ้นบันไดเลย
ซึ่งบนต้นไม้นั้นมีฝรั่งต่อคิวกันอยู่ 2-3คน แต่ละคนคือกลัว ไม่กล้าโดด ฝรั่งเลยบอก เฮ้ ยูจั้มก่อนเลย ไม่เป็นไร เพราะไอยังทำใจไม่ได้ ฮ่ะๆๆ อ่าๆ ไม่ได้แซงคิวนะ แต่ในเมื่อเสนอมาก็กระโดดก่อนละกัน จากนั้นก็โดดลงบลูลากูนตุ้มมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม น้ำเย็นสะใจมกกกกกก
เสร็จจากบลูลากูนก็ไปกันต่อที่อื่น ไปไหนดีล่ะ ไหนลองมาเช็คแป๊บดิ๊ เช็คๆๆๆๆ โอเค ไปน้ำตกแก่งยุ้ยละกัน ไม่รู้ชื่อถูกไหม แต่ที่แน่ๆคือมันอยู่คนละทิศเลย ลุยโลดดดดดด แผนที่พาไปถูกนะ ไม่ผิด
เส้นทางไปน้ำตกนั้นแสนโหดยิ่งนัก หินเอย ทรายเอย ดินเอย น้ำเอย มาหมดเลย สุดยอดของการผจญภัยจริงๆ มีป้ายบอกทางด้วย รับรองไม่หลงแน่นอน แต่ตลอดเส้นทางคือไม่เห็นใครอีกเช่นกัน สงสัยอยู่ว่ากูเที่ยวในที่ที่คนอื่นเขาไปกันเหรอวะงี้ ฮ่ะๆๆ
ถึงจุดจอดรถก็ซื้อข้าว ส้มตำ เข้าไปกอนที่น้ำตกละกัน พอเห็นน้ำตกคือแบบโอ้โหหหหหห สววยยยยยเว้ย น้ำเยอะมาก ต้นไม้เขียว คนน้อยมาก มีลุงป้าชาวฝรั่งอยู่กัน 2 คนเอง ก็ทักทายกันอีกเช่นเคย ตอนยืนถ่ายรูปอยู่ลุงก็มาถามว่า ถ่ายรูปให้ไหม มาคนเดียวคงไม่ได้ถ่ายรูปตัวเองแน่ๆ มาๆถ่ายให้ ถ่ายเสร็จก็ขอบคุณและถามลุงว่าผใถ่ายให้ยู2คนไหม แลกกันๆ
มีลุงป้าชาวฝรั่งอยู่กัน 2 คนเอง ก็ทักทายกันอีกเช่นเคย ตอนยืนถ่ายรูปอยู่ลุงก็มาถามว่า ถ่ายรูปให้ไหม มาคนเดียวคงไม่ได้ถ่ายรูปตัวเองแน่ๆ มาๆถ่ายให้ ถ่ายเสร็จก็ขอบคุณและถามลุงว่าผใถ่ายให้ยู2คนไหม แลกกันๆ
ก่อนจะมาเห็นกับตาคือไม่ได้คาดหวังว่าน้ำจะเยอะขนาดนี้ ไม่ได้คาดหวังว่าคนจะน้อยแบบนี้ ม่ได้คาดหวังว่าจะสวยขนาดนี้และแน่นอนไม่ได้คาดหวังว่าจะโชคดีได้เห็นรุ้งกินน้ำใกล้ชิดขนาดนี้ พีคในพีคอีกก็คือ รุ้งกินน้ำมากันเป็นคู่เลยล่ะ แม่งโคตรเจ๋งเลย ลองดูว่ารุ้งกินน้ำคู่เป็นยังไง ใครตาดีก็จะเห็น2เส้น ใครตาไม่ดีก็เห็นแค่เส้นใหญ่ที่เห็นชัดๆ
แค่ได้มาเล่นน้ำตกก็ชื่นใจมากแล้ว ทุกอย่างคือดีกว่าที่คิดไว้ แต่ที่ไม่ดีคือแว่นตาหล่นหายไปในน้ำตกตอนเข้าไปถ่ายรูปกับน้ำตก ฮ่ะๆๆ น้ำไหลแรงจนเอาแว่นตาไปด้วย เซ็งเลย เพราะขากลับต้องขับมอไซด์ในสภาพที่ไม่มีแว่นตาแล้วฝุ่นไงฝุ่นเยอะไงงงงงงง
พอเล่นน้ำ พักผ่อนหย่อนใจที่น้ำตกเสร็จก็ได้เวลากลับเข้าเมืองต่อ ว๊าปปปปไปวังเวียงเลยละกันนะ พอกลับเข้ามาถึงในเมือง แล้วตอนเดินกลับห้องเห็นคนเดินออกมาจากถนนหลังบังกะโล ซึ่งก็สงสัยว่า เห้ย ด้านหลังนี้มีไรวะ ต้องมีอะไรเด็ดๆแน่ๆเลย อ่ะรีบหยิบกระเป๋าแล้วก็เดินไปตามถนนแคบๆหลังบังกะโล เดินไปเรื่อยๆตามสัญลักษณ์ที่ใช้ถุงพลาสติกมัดไว้กับไม้ตามทาง เดินตามไปเรื่อยๆ
และยังคงเดินไปเรื่อยๆจนเดินผ่านทุ่งนาที่เก็บเกี่ยวเสร็จแล้ว พอเดินไปอีกนิดก็เห็นภูเขาลูกเล็กๆน่ารักๆและบนยอดเขามีธงสีเหลืองปักไว้ด้วย เอ่อน่าสนใจดีแห๊ะ ลองขึ้นสักหน่อยละกัน แต่พอไปถึงก็ใกล้ 5โมงแล้ว เจอคนฝรั่ง2คน ที่เพิ่งลงมาจากยอดเขา เขาก็ถามว่ายูจะขึ้นไปข้างบนเหรอ น่าจะไม่ทันละนะ เพราะใช้เวลาประมาณ 15นาทีในการเดินขึ้น เดี๋ยวจะมืดซะก่อนนะ เอ่าซะงั้น วันนี้ก็เลยอดขึ้น งั้นมาใหม่พรุ่งนี้ละกัน
ก็เลยนั่งพูดคุยกันตรงด่านเก็บตังค์ค่าขึ้น ซึ่งมี2แม่ลูกอยู่ตรงนั้น น้องก็บอกว่ามาเตะบอลเป็นเพื่อนหน่อย ก็เลยเตะบอลไปมากัน3คนกับฝรั่งและน้อง เห็นทุกคนสนุกก็มีความสุข :)
พูดคุยกันถูกคอก็เลยชวนกันไปนั่งจิบเบียร์ริมแม่น้ำซอง ซึ่ง2คนนี้ไม่รู้ว่ามีแบบนี้ด้วย ดีใจปละชอบกันใหญ่เลย บอกว่ามันโคตรดีเลย เย็นสบายยยยย ใครมาก็ต้องชอบตรงนี้แน่นอน ฮ่ะๆๆจากนั้นก็ไปกินข้าวกันแล้วแยกย้าย
แต่คืนนี้นัดกันไปเที่ยวซากุระบาร์ ซึ่งฝรั่ง2คนนนี้ก็ไม่รู้เหมือนว่ามีบาร์แบบนี้ด้วย ประเด็นคือเขาเพิ่งมาถึงวังเวียงวันนี้เอง เลยยังไม่รู้สถานที่ในวังเวียง
กินข้าวแล้วก็จริงแต่ยังไม่อิ่มเต็มที่ เพราะวันนี้เดินทางมายาวนาน ใช้พลังไปเยอะเลยต้องกินเยอะๆ จัดบาร์บีคิวไป3ไม้ พร้อมเบียร์ลาว กลับมานั่งชิลชมวิว ฟังเพลง ริมแม่น้ำซองอีกครั้ง ก็ยังไม่เบื่อ ฮ่ะๆๆ
คือบอกแล้วจะบอกอีกว่าชอบความเป็นวังเวียงตรงนี้มากๆ ชอบความชิล ความ้รียบง่าย มันโคตรสุขขขขข
จากนั้นก็กลับที่พัก อาบน้ำ แล้วเตรียมตัวออกไปท่องราตรีที่ซากุระบาร์ต่อ แน่นอนว่าไปให้ทันก่อน 3 ทุ่ม ฮ่ะๆๆ ของฟรีใครๆก็ไม่อยากพลาดใช่ไหม ตอนแรกก็กะว่าจะไปไม่นาน แต่ก็อยู่จนบาร์ปิด เอ่อเที่ยวทั้งทีต้องให้มันได้แบบนี้ดิ ม่วนนนน
พอกลับถึงห้องก็เห็นว่าโกโปรมีอาการผิดปกติ ขนาดถอดแบตออกมาแล้วหน้าจอก็ยังไม่ดับ เห้ยยย แบบนี้ก้ได้เหรอวะ 555+ งง เลยกู คิดหนักเลยทีนี้ แต่ดีนะที่ไม่เสีย ยังใช้งานได้ปกติ กู๊ดไนท์ คร๊อกก!
27 DEC 2018
สวัสดีเช้าวันที่4ที่วังเวียง เวลาเริ่มเหลือน้อยลงแล้ว เที่ยวได้วันนี้อีกวัน เพราะพรุ่งนี้ตั้งใจจะขึ้นไปหนองเขียว เดี๋ยวๆ เอาเรื่องวันนี้ก่อนดิ ของพรุ่งนี้อย่าเพิ่ง ฮ่ะๆ สำหรับวันนี้ก็ยังมีแพลนไปอีกหลายๆที่ ที่แรกของวันนี้คือ ถ้ำจัง ใครมาวังเวียงก็ต้องมาที่นี่ด้วยเช่นกัน ที่นี่มีถ้ำ มีสะพานส้ม มีบลูลากูน มีแม่น้ำ อื่มมมมดีนะ ไม่ไกลด้วย
แต่ก่อนจะไปเที่ยวขอหาตั๋วนอนรสบัสไปหลวงพระบางก่อนละกัน ตั๋วรถบัสนอนหาได้ง่ายมากๆ แต่ละร้านราคาม่เท่ากันด้วย บางที่แม่งเก็บโคตรแพงเลย บางที่ไม่แพง แนะนำให้หาหลายๆร้านแล้วเอาราคามาเปรียบเทียบกันก่อนนะ อันนี้พูดจริง พอได้ตั๋วรถบัสนอนแล้วก็ขอหาอาหารเช้ากินก่อน ลองกินเฝอละกันเนาะ หาร้านที่แบบโลคอลๆหน่อย อ่ะร้านป้านี้ละกัน สั่งอาหารไปเรียบร้อย ระหว่างรออาหารก็เซตกล้องถ่ายรูปไปก่อน
พออาหารมาเท่านั้นแหละ อื้อหือออออ ทำไมถ้วยจัมโบขนาดนี้ ไม่พอผักสดก็มาแบบจัดเต็มจริงๆ แถมข้าวสวยมาให้อีก มื้อนี้เยอะและถูกมากกก ถามว่ากินหมดไหม จะเหลือเรอะ!!
พอกินข้าวเช้าเสร็จก็เริ่มออกเดพินทางกันเลย เปิดแผนที่ไปถ้ำจัง ไม่ไกลจริงๆขับมาแป๊บเดียวก้ถึงแล้ว วันนี้อากาศแจ่มใส ท้องฟ้าสดใส พอเห็นสะพานปุ๊บ เอ่อสะพานส้มคือโคตรส้มจริงๆ แต่มันสวยตรงที่มีแม่น้ำตัดผ่านนี่แหละ
และที่ยิ่งสวยไปกว่านั้นคือตอนเรือหางยาวแล่นผ่านแม่น้ำใต้สะพาน มันดูแล้วโคตรแบบยังไงอ่ะ คือโคตรชอบโมเม้นท์นั้นอ่ะ ทุกอย่างมันดูลงตัวไปหมดเลย ชอบมากกกกกก
ชื่นชมแม่น้ำพอละ ได้เวลาเดินเข้าไปข้างในกันละ แต่ไม่ได้เข้าไปในถ้ำละ ส่วนตัวเป็นคนไม่ค่อยสนใจถ้ำอยู่แล้วก็เลยเดินดูรอบๆ บลูลากูน ที่ไหลออกมาจากถ้ำก็สวยดีนะ อยากลงไปเล่นน้ำอยู่แต่น้ำเย็นมาก ไม่เล่นละกัน คนเยอะด้วย ฮ่ะๆๆ
ชื่นชมแม่น้ำพอละ ได้เวลาเดินเข้าไปข้างในกันละ แต่ไม่ได้เข้าไปในถ้ำละ ส่วนตัวเป็นคนไม่ค่อยสนใจถ้ำอยู่แล้วก็เลยเดินดูรอบๆ บลูลากูน ที่ไหลออกมาจากถ้ำก็สวยดีนะ อยากลงไปเล่นน้ำอยู่แต่น้ำเย็นมาก ไม่เล่นละกัน คนเยอะด้วย ฮ่ะๆๆ
จากนั้นที่ต่อไปที่จะไปคือ ถ้ำน้ำบ่อแก้ว "คือเรื่องมีอยู่ว่า โดยส่วนตัวแล้วเวลาจะออกเดินทางไปไหน จะชอบเช็คสถานที่นั้นๆผ่านอินตสตาแกรมก่อนว่าเป็นไงบ้าง มีไรน่าสนใจบ้าง แต่วังเวียงก็มาเจอสาวฝรั่งคนหนึ่งโพสต์รูปเล่นน้ำที่ถ้ำน้ำบ่อแก้ว เห็นว่าน้ำใส เย็นและคนน้อยมาก ก็เลยเสิร์ชข้อมูลบนกูเกิ้ล แต่กูเกิ้ลก็ยังไม่มีแผนที่ระบุไว้ เอาละไง ทำไงดี อยากไป ก็เลยตัดสินใจได้เรคข้อความไปถามสาวฝรั่งว่า มันอยู่ตรงไหนของวังเวียง ไกลไหม ไม่ช้าก็ตอบข้อความกลับมา ก็เลยขอบคุณเขาไป" ยาวเลย ตัดภาพกลับมาที่การเดินทางไปถ้ำน้ำบ่อแก้วต่อละกัน
ขับมอไซด์เข้ามาถูกทางแล้ว มันคือเส้นทางที่ขับผ่านมาตลอดเลย แต่ไม่เคยสังเกตุเห็นป้ายมันเลย ป้ายคือเล็กเกิน ฮ่ะๆๆ จอดมอไซด์ เดินไปตามร่องรอยทางที่คนอื่นเดินไว้ เพราะไม่มีป้ายบอกแล้วว่าให้เดินไปทางไหน และเกิดไรขึ้น เอ้าาาาหลงจ้าาาาา เดินไปเจอปากถ้ำไรไม่รู้ แม่งโคตรหลอนเลย เดินมาได้ไงไกลขนาดนี้ อ่ะเดินย้อนกลับไปที่มอไซด์ต่อ
ลองเปลี่ยนไปเดินอีกทางหนึ่ง ทันใดนั้นก็เห็นลุงคนเก็บตังค์ค่าเข้าพอดี ลุงเลยบอกเดินไปตรงๆเลย แล้วจะถึงที่หมายเอง เอ่อ แบบนี้ค่อยชั่วหน่อย ก็เดินไปเรื่อยๆไม่กี่นาทีก็มาถึงถ้ำน้ำบ่อแก้ว โอ้โหหหหหหห สวยมากจริงๆ น้ำนี่ใสกิ๊กกกกกเลย
คนน้อยด้วย อยู่กันแค่ไม่กี่คนเอง พอผ่านไปไม่กี่นาทีคนที่เล่นน้ำเสร็จแล้วก็กลับกันจนเหลือคนเดียว ก้เลยไม่รอช้าที่จะลงไปดำว่ายน้ำในบ่อแก้วนี้ น้ำไม่เย็นเหมือนที่คิดไว้นะ ไม่เย็นคือดีมาก ฮ่ะๆๆ เพราะบนน้ำคือเย็น ในน้ำคืออุ่นหน่อยๆ ชอบมากกก
น้ำใสขนาดน้ำต้องเอาโกโปรมาถ่ายรูปใต้น้ำสักหน่อย พอดำลงไปเอ่อมันใส่จริง แอบกว้างอยู่นะ ดูจากด้านบนเหมือนน้ำจะตื้นนะแต่แอบลึกนะ แต่เล่นสนุกมาก ผ่อนคลายมากกกกกกกกก
พอเล่นน้ำตรงนี้เสร็จก็กลับเข้าไปในวังเวียง เอามอไซด์ไปจอดที่พักแล้วไปเดินเล่นที่แม่น้ำซอง เดินขึ้นไปตามทางไหลของน้ำ เดินไปเรื่อยๆก็เจอบาร์ริมน้ำที่มีแต่ฝรั่ง เปิดเพลงสนุกเชียว แต่อยู่อีกฟากของแม่น้ำ เดินไปเรื่อยๆก็เห็นเด็กๆเล่นน้ำกัน คนเล่ล่องห่วง พายคายัคกัยสนุกเลย เห็นเรือหางยาวแล่นขึ้นล่องแม่น้ำ ได้เห็นอะไรแบบนี้คือฟินนนนมากกกก
จากนั้นก็เดินข้ามแม่น้ำซองที่ไหลเชี่ยวและแรงมาก ในใจแม่งคิดถ้าล้มกลางน้ำนี่มีลอยและต้องอายแน่ๆ ฮ่ะๆๆ เดินข้ามแบบระวังที่สุดเลย พอเดินข้ามฟากมาได้ก็เดินกลับเข้าไปในเมืองต่อ หิวแล้วไปหาไรกินสักหน่อย
ใครมากับเพื่อนฝูงแนะนำให้ไปบาร์ริมแม่น้ำนี่เลยนะ เพลงสนุกๆ ใจจริงอยากไปมาก ฮ่ะๆๆๆ
เดินหาร้านนานอยู่นะ จนมาเจอร้านนี่ที่ร้านดูๆแล้วเหมือนร้านอาหารอีสานเลย เข้าไปในร้านและเมนูที่สั่งคือ ตำไทยและเนื้อย่วงรวม รสชาติต้องบอกว่า อะหร่อย (อร่อย) มากกกกกกกกกก ผักก็ยังคงจัดมาแบบเน้นๆเหมือนกัน เป็นร้านที่ทำอาหารได้ถูกปากที่สุดของทริปนี้แล้ว
หลังจากกินข้าวเสร็จก็ได้เวลาไปปีนภูเขาน้อยที่เมื่อวานไม่ได้ขึ้นกันละ พอไปถึงก็รีบซื้อตั๋วและเดินขึ้นทันที ทางขึ้นถือว่าชันมากนะ ดิ่งตรงขึ้นเขาไปบนยอดเลย พอขึ้นไปถึงเท่านั้นแหละ
เห็นวิววังเวียงหมดเลย สวยมากกกกกก อีกอย่างที่อยากขึ้นมาเพราะอยู่มาชมวิวบอลลูนลอยขึ้นเหนือเมืองวังเวียงเช่นกัน และก็ไม่ผิดหวังจริวงๆด้วย บอลลูนลอยขึ้นมาแล้วววววววววว
ตอนอยู่บนเขานั้นก็เจอกับครอบครัวคนมาเลเซียที่มากันเป็นครอยครัวเลย ก็แลกกันถ่ายรูปให้กันและแลกเฟซบุ๊คกันด้วย จนทุกวันนี้ก็ยังคงติดต่อกันทางเฟซ ทุกคนเป็นคนร่าเริง นิสัยดีมาก ชวนคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์เดินทางต่างๆ เวลาคนชอบเที่ยวมาเจอกันแล้วได้คุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ต่างๆคือโคตรดีเลย มันมีความสุข สุขที่ได้ฟังและได้แชร์ประสบการณ์
หลังจากนั้นไม่นานก็ลงจากเขา เพื่อมาหามุมถ่ายรูปกับบอลลูนต่อ ฮ่ะๆๆ ไม่ได้ขึ้นบอลลูนก็ถ่ายรูปละกันวะเนอะ มันแพง งบมีไม่ถึง ไว้โอกาสหน้าละกันวะ มันต้องมีสักครั้งดิ ฮ่ะๆๆ
ยัง ยังไม่หมด ถ่ายกับบอลลูนเสร็จก็หันกลับมาตั้งกล้องถ่ายอีกฝั่งที่ตอนนี้ตะวันกำลังตกดินลับขอบฟ้าแล้ว มันเป็นมุมที่กำลังดี กำลังสวยเลย แค่เห็นก็ชื่นใจ มีความสุขอย่างบอกไม่ถูก
พอตกเย็นก็ไปหาข้าวกินที่ร้านอาหารริมแม่น้ำซองตามเคย ใกล้หมดเวลาอยู่วังเวียงแล้ว เพราะต้องขึ้นรถบัสตอน 3ทุ่ม กินข้าวเสร็จก็ไปเก็บของที่ห้องแล้วเอามอไซ์ไปคืน สำหรับคืนนี้ก็นอนบนรถบัสนอนมุ่งสู่หลวงพระบางละกัน แต่ก่อนจะขึ้นรถคือ เน็ตหมดดดดดดดดดด ทำไงดีวะ ยังอยู่ลาวอีกหลายวันเลย เน็ตหมดแล้วทำไงดี เลยกระวนกระวายหาซื้อซิมเน็ต โหหหีือวิ่งไปหลายร้านมาก กว่าจะเจอร้านที่ขายบัตรเติมเงินก็เล่นเอาซะเหนื่อยเลย ได้เน็ตมาละ อุ่นใจละ เจอกันพรุ่งนี้ หลวงพระบาง
▶️บทสรุป #วังเวียง เมืองที่เต็มไปด้วยความสวยงามของธรรมชาติ ไม่ว่าจะ “แม่น้ำซอง ภูเขา น้ำตก ถ้ำ บลูลากูน” และมีกิจกรรมผจญภัยอีกมากมายที่ไม่สามารถเล่นได้หมดภายในวันสองวัน ผับบาร์สนุกๆเยอะมากถึงมากที่สุด การได้นั่งจิบเบียร์ นั่งดูบอลลูน ฟังเพลงชิลๆริมน้ำซองคือที่สุดของการผ่อนคลายก่อนหมดวัน และแน่นอนสิ่งที่มาแล้วต้องทำคือการปีนเขาเพื่อไปจุดชมวิวต่างๆ มีจุดชมวิวให้ได้ปีนเยอะมาก นับๆแล้วปีนเขาไป4จุด วันแรกเหนื่อยสุด เพราะขึ้นเขาที่สูงที่สุด เดินในป่าคนเดียวด้วย แทบหาเพื่อนร่วมเดินขึ้นเขาไม่เจอเลย น้ำตกแก่งนุ้ยเล็กๆไม่ใหญ่มาก แต่สูงมากกกก แล้วถือว่าสวยเลยทีเดียว ต้องขับเข้าไปค่อนข้างลึก ตลอดเส้นทางคือ ขรุขระ+ฝุ่นแดงๆแบบสุดๆ เตือนว่าการเช่ามอไซต์ขับในวังเวียงเวียงควรมีผ้าปิดปากเพื่อป้องกันฝุ่นด้วย แค่หมวกกันน็อกมันเอาไม่อยู่จริงๆ ลองมาแล้ว ฮ่ะๆๆ ผับที่นี่ก็ถือว่าค่อนข้างดี โดยเฉพาะ #ซากุระบาร์ คือของ Must สำหรับสายแดนซ์ สายเฮฮา สายรักสนุก เพราะเพลงสนุก มี Happy Hours ดื่มฟรีช่วง2-3ทุ่ม ไปดื่มให้เมาก่อนเลย จะได้ไม่ต้องซื้อดื่ม 555+ อ่อลืมบอกไปว่าวังเวียงแห่งนี้เต็มไปด้วยคนเกาหลี เยอะแบบเยอะโคตรๆ 80%ของนักท่องเที่ยวเลยก็ว่า แต่บอกเลยว่าวังเวียงมันสนุก โหด มันส์ จริงๆ ลองไปตำดูนะ ตัดมาที่ช่วงเดินทางกลางคืนบ้าง ความจริงแล้วรถบัสนอนจะใช้เวลาประมาณ 7 ชั่วโมงในการเดินทางไปหลวงพระบาง แต่ล้อรถบัสดันมารั่วซะงั้น จอดรอรถมาเปลี่ยนยางซะนานเลย ฮ่ะๆๆ
28 DEC 2018
สวัสดีหลวงพระบาง หลังจากอยู่บนรถบัสนอนอย่างยาวนานกว่า10ชั่วโมง (กลิ่นตรีนติดตัวกันเลยทีเดียว กลิ่นตรีนตัวเองก็มีบ้าง อย่าให้ไดพูด ไว้จะเล่าอีกที แหะๆ) และแล้วก็มาถึงหลวงพระบางจนได้ คือดีเลย์จากกำหนดการเดินรถไป2ชั่วโมงกว่าๆเลยนะ แต่ก็กำลังดีเลย ถึงเช้าเกินก็ไม่รู้จะไปไหนอ่ะ พอลงรถ รับกระเป๋าเสร็จก็ดิ่งตรงเข้าไปขนส่งเพื่อซื้อตั๋วรถตู้ไปหนองเขียว แต่เจ้าหน้าที่บอกว่าที่นี่ไม่มีรถไปหนองเขียวแล้ว ต้องไปขึ้นที่ขนส่งสายเหนือ หือออออออ ซะงั้น
ดังนั้นวิธีที่จะไปให้ทันรถตู้ไปหนองเขียวรอบแรก9โมงเช้าคือต้องนั่งตุ๊กตุ๊กไปขนส่งสายเหนือ ความจริงตอนนี้เพิ่งจะ7โมงเอง ยังไงก็ทันอยู่แล้ว แต่เพื่อความปลอดภัยและให้มั่นใจว่าไม่ตกรถ ก็จัดไปเลยลุกเพ่
ไปขนส่งสายเหนือกันเล๊ยยยยยยย อากาศช่วงเช้าคือเย็นสบาย ได้เห็นวิถีชีวิตของคนที่นี่ด้วย มันช่างมีความสุขจริงๆ มันได้เห็นสิ่งต่างๆรอบๆ ซึ่งหลายๆคนอาจจะคิดว่าในไทยก็มีแบบนี้ไหม คือมันมีนะ ใช่ ไม่ได้บอกว่าไม่มี แต่เข้าใจความรู้สึกของคนเดินทางไหม มันต่างถิ่น แปลกตา ต่างวิถีชีวิต คือมันดีมากนะ ถ้าไม่ได้ลองออกไปสัมผัสด้วยตัวเองก็จะไม่มีทาวงเข้าใจความรู้สึกของการเดินทางหรอก ใช่ไหม อิอิ
นั่งตุ๊กไปเรื่อยๆ ไม่นานก็ถึงขนส่งสายเหนือ ตอนนี้เวลา 09:40น. เอิ่มมมมมมนะ ไวไปนะ ไหนๆก็มาถึงแล้วไปซื้อตั๋วไว้ก่อนละกัน เดี๋ยวจะเต็มก่อน พอซื้อตั๋วเสร็จก็เดินไปดูรถตู้ก่อนว่าจอดตรงไหน จริงๆมันก็จิดตรงนั้นแหละ แต่ดูไว้ จะได้กลับมาถูก ฮ่ะๆๆ
ดูจากรอบรถตู้แล้ว รถตู้ไปหนองเขียวนั้นมีแค่วันละ 3 รอบเท่านั้นเอง ใครจะมาก็ดูตางเวลารถดีๆละกันนะ
ดูเวลาแล้วเหลือค่อนข้างเยอะเลย งั้นออกไปหาข้าวเช้ากินก่อนละกัน เดินไปเรื่อยๆ ไม่รีบ จนไปเจอร้านข้าว สั่งเฝอมากินอีกเช่นเคย มันกินง่ายสุดละ และแน่นอนผักสดก็ยังคงจัดมาเต็มจานอีกครั้ง ฮ่ะๆๆ
พอใกล้เวลาก็เดินกลับไปที่ขนส่งอีกครั้งเพื่อขึ้นรถไปยังเป้าหมายต่อไปคือ หนองเขียว ดินแดนอันไกลโพ้น เป็นหมู่บ้านล้อมรอบไปด้วยภูเขาใหญ่น้อยและมีแม่น้ำอูเป็นขนาดใหญ่ไหลผ่านหมู่บ้าน ก่อนมาก็อยากมาเพราะแบบนี้แหละ มันต้องสวย มันต้องดีแน่ๆเลย
วิวระหว่างทางไปหนองเขียวมันดีมากนะ ได้เห็นวิวธรรมชาติ ผู้คน คือไม่ได้นอนบนรถเลย เพราะชมวิวระหว่างทางตลอด คือส่วนตัวเป็นคนหนึ่งที่ถึงแม้ว่าจะเหนื่อย จะล้าแค่ไหนแต่ถ้าได้ออกเดินทางไปในเส้นทางใหม่ๆที่ยังไม่เคยไปมาก่อนก็จะไม่หลับบนรถเลย
คือมันไม่อยากนอนบนรถ เพราะมันจะตื่นตาตื่นใจกับวิวระหว่างที่เดินทางเสมอ รู้สึกว่าไม่เสียเวลาไปกับการนอน แต่ต้องมาเสียบางอย่างของการเดินทางไป ก็เลยเป็นคนที่จะชอบชมวิวมากๆ เขียนวนไปอยู่นี่แหละ เอ่อ งง ตัวเองอยู่ ฮ่ะๆๆ กำกวมวนไป แต่ถามว่าได้ถ่ายรูปวิวระหว่างทางไหม ก็ถ่ายนะ แต่ถ่ายน้อย เพราะแบตจะหมดเลยไม่ค่อยได้ถ่ายไว้
เนื่องจากการเดินทางจากหลวงพระบางไปหนองเขียวนั้นใช้เวลา 3-4 ชั่วโมง ก็เลยซื้อข้าวหลามมากินระหว่างทาง เป็นข้าวหลฃามที่ซื้อจากขนส่งก่อนขึ้นรถ อร่อยดี ณ เวลานี้อะไรก้อร่อยหมดแหละ ฮ่ะๆๆ
ในรถตู้คือคนเต็มเลยนะและจะมีวันรุ่น2-3คนที่นั่งใกล้ๆกับคนขับรถ คือคุยกันสุดทางงงงงงงง สุดทางจริงๆ แต่ไม่ได้รำคาญหรืออะไรนะ แต่เห็นเขาคุยกัน หัวเราะกันอย่างมีความสุขและคนขับรถก็คุยและหัวเราะมีความสุขไปด้วย ไอ่เราเห็นแล้วก็รู้สึกมีความสุขตามไปด้วย แต่คุยกันเก่งมากจริงๆ 555+
และแล้วก็เดินทางมาถึง หนองเขียว ปลายทางที่แสนยาวไกล ยาวไกลมากๆ รวมๆแล้วเดินทางจากวังเวียงมา หนองเขียว นั้นใช้เวลาไปทั้งหมด 13 ชั่วโมงกว่าเลยนะ ใครไม่อึดการเดินทางจริงคงไม่ไหวและยอมแพ้แน่ๆ
แว๊บแรกที่เดินทางเข้ามาถึงหนองเขียวแล้วอึ้งมากคือ วิวภูเขาแบบเห้ยภูเขาาาาาา ภูเขาลูกใหญ่มากกกกกกกกกก ภูเขา แม่น้ำอู คือมันแจ่มมากเว้ย ชอบมาก บรรยายไม่ถูกจริงๆ พอรถตู้ไปจอดที่ขนส่งแล้วลงรถมาก็ยิ่งตื่นตาตื่นใจไปอีก เพราะ Background ของขนส่งคือ ภูเขาที่สูงมากกกกกก สวยมากเช่นกัน โอ้ยยยยยยฟินเว้ยยยยยชอบบบบบบบ อยากให้มาเห็นกับตาตัวเองจริงๆ ธรรมชาติจริงๆ ใจจริงคืออยากถ่ายรูปคู่กับขนส่งแห่งนี้มากๆ เพราะมีนดูมีเสน่ห์ที่ไม่เหมือนที่อื่น มันเจ๋งมาก ชอบบบบบบบบบว่ะ
จากนั้นก็รอรับกระเป๋าแล้ว ระหว่างนั้นก็เซลฟี่กับอะไรไม่รู้แปร๊บบบบบบบ ฮ่ะๆๆ จากนั้นก็แบกกระเป๋าใบไม่ใหญ่มาก แต่น้ำหนักนั้นบอกเลยว่าโคตรหนักเลย
และตอนนั้นเองก้เพิ่งนึกขึ้นได้ว่า เชี้ยแล้วไง ยังไม่ได้จองที่พักเลย รีบหยิบมือถือขึ้นมาเช็คที่พักเลย พอเห็นว่ามีที่พักว่างเยอะอยู่ก็เลยโล่งอก สบายใจ งั้นเดินไปหาที่พักเอาละกันเนาะ ไม่รีบๆ
ปกติจะมีรถสองแถวจากขนส่งไปส่งในกลางเมืองหนองเขียวนะ แต่ดูจกแผนที่แล้วมันก็ไม่ได้ไกลขนาดต้องนั่งรถไปเลยนี่หว่า งั้นเดินไปละกัน จะได้เดินดูภายในหมู่บ้านด้วย จากนั้นก็แบกกระเป๋าเดินออกมา
ไม่นานก็เดินมาถึงแลนด์มาร์คสำคัญของหมู่บ้านหนองเขียว นั่นก็คือ สะพานนนนน อื้ม สะพาน ไงงง แต่รูปวันนี้ไม่ได้ถ่ายสะพานเลย มีแต่วิวแม่น้ำกับภูเขาที่ถ่ายจากกลางสะพาน ไว้ไปดูข้างล่างนะ แหะๆ
อยากได้ห้องพักที่อยู่ติดริมแม่น้ำอู ก็เลยเลือกเดินไปดูที่พักชื่อ ผาน้อยเกสเฮ้าส์ ก่อนละกัน เพราะเห็นราคาถูกและอยู่ติดริมแม่น้ำเลย พอไปถึงก็สอบถามราคาที่พัก อื้มมมม ไม่แพง ราคารับได้ จัดไปเลยละกัน จากนั้นก็สั่งข้าวกินก่อนละกัน มื้อนี้กินเยอะหน่อยเพราะเดินทางมายาวไกล นั่งเฉยๆก็หมดแรงนะ ฮ่ะๆๆ หมดเพราะเอาแต่ชมวิวระหว่างทางไง ไม่หลับไม่นอน งั้นสั่ง ข้าวผักและลาบ แต่มันคือลาบไก่หรือลาบหมูวะ จำไม่ได้ละ!! กินเสร็จก็เอากระเป๋าไปเก็บที่ห้องพัก งีบ20นาที ตั้งนาฬิกาปลุกไว้ด้วย ไม่งั้นจะหลับยาว ฮ่ะๆๆ
ภารกิจแรกของวันนี้ที่หนองเขียวคือ เดินขึ้นจุดชมวิวผาแดง ไม่รู้เหมือนกันว่าถนนหนทางขึ้นเดินขึ้นเขาจะเป็นยังไง ว่าแต่มันไปทางไหนล่ะเนียะ ฮ่ะๆ ต้องถามทางกับชาวบ้านนะ แต่ถึงแม้ชาวบ้านบอกทางก็ยังไปแบบ งง เพราะต้องเดินไปเรื่อยๆจนกว่าจะเห็นป้ายทางขึ้น นั่นเท่ากับว่าถ้าไม่สังเกตุดีๆ อาจจะเดินเลยป้ายก้ได้นะ ฮ่ะๆๆ
เดินไปเรื่อยๆ คือไม่ได้สนใจว่าใครจะเดินสวนผ่าน จะเดินผ่านใครหรอก แต่ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงผู้หญิง2คนพูดคุยกระซิบกันและภาษาที่กระซิบกันนั่นคือกระซิบภาษาไทยซะด้วย กระวิลงุ้งงิ้งๆกันว่า "คนไทยเป่าป้า" "น่าจะใช่" "เสื้อถนนคนเดินเชียงใหม่" พอได้ยินก็ทักก่อนว่า "อะไรนะครับ" ฮ่ะๆๆ เท่านั้นแหละ พูดคุยกันเล็กน้อย เพราะพี่ๆเพิ่งจะมาถึงและกำลังออกไปหาข้าวกิน ก่อนแยกย้ายก็บอกว่า งั้นเจอกันบนเขานะครับ จากนั้นก็แยกทางกัน ซึ่งไม่คิดว่าจะได้มาเจอคนไทยที่นี่ด้วย เพราะตั้งแต่วันแรกถึงวันนี้ที่เดินทางมาคือยังไม่เจอคนไทยเลยนะ จริงๆ ฮ่ะๆๆ
ตอนนี้ก็ได้เวลาเดินขึ้นเขากันแล้ว ก่อนขึ้นก็ดูป้ายดูแผนที่ก่อน ในแผนที่เขียนไว้ว่าใช้เวลาเดินขึ้น 1.30ชั่วโมง อื้อหือออออออ มันต้องขนาดนั้นเลยเหรอวะ อีกใจก็แบบไม่อยากขึ้นละ นานไป แต่อีกใจก็อยากขึ้นไปเห็นไปสัมผัสวิวสวยๆข้างบนและความกระหายความอยากก็เอาชนะความขี้เกียจจนได้ เฮ้ ดีมาก!! งั้นเริ่มลุยกันเล๊ยยยยยยยยยย Let's goooooooo ฝากด้วยนะเจ้า2เท้าของข้า
ช่วงแรกก็ยังไม่ค่อยเหนื่อยเท่าไหร่ เดินได้สบายๆ แต่ทางค่อนข้างชันนะ เดินไปพักไปตามสเตป จะมีจุดพักบางจุดที่เห็นวิวหมู่บ้านหนองเขียว นั่นคือวิวที่เห็นไม่หมด แต่มันสวยตราตรึงใจมากๆ แต่ถามว่าเห็นแล้วหายเหนื่อยไหม มัจะหายเหนื่อยได้ไงงงงงงง ฮ่ะๆๆ เหนื่อยต่อไป แค่เหนื่อยน้อยลงนะ ป่ะไปต่อ
เหมือนจะเดินนานแล้ว แต่ป้ายที่เห็นนั่นคือป้ายบอกว่ามึงมาถึงครึ่งทางแล้ว ห๊ะะะะะะ นี่เพิ่งครึ่งทางเหรอวะ คือแบบเหมือนเดินมาไกลมากละนะ ฮ่ะๆๆ แต่พักไม่นาน แต่ละที่พักไม่เกินนาที เพราะรีบขึ้นเขา กลัวไม่ทันตะวันตก แต่ระหว่างทางขึ้นเขาคือ เหมือนป่านี้กูเดินอยู่คนเดียว เพราะไม่เจอใครสวนทางกลับลงมาเลย ถามว่าหลอนไหม ก็แอบหลอนอยู่นะ แต่ทำไงได้ เดินต่อไปให้สุด
และแล้วความพยาม (กระเสือกกระสน) ก็นำพาตัวเองมาถึงจุดชมวิวบนยอดเขาสูงสุดแห่งนี้จนได้ วิวแรกที่เห็นคือแบบ โอ้วววววววววเชรดดดดดดดดดด อิทส อะเมมมมมซิ่งงงงงงงงงงงงงงงงงง วิวแม่งสวยมากกกกกก สวยเกินบรรยายจริงๆ วิวพาโนราม่า เห็นหมู่บ้าน เห็นแม่น้ำอู คือเห็นทั้งหมู่บ้านหนองเขียวเลยอ่ะ มันเด็ดมาก ต้องมาเห็นกับตานะ แนะนำมากๆ ใช้เวลาเดินขึ้น 50นาที
ตอนเดินขึ้นไปถึงข้างบนก็มีฝรั่งชาติไหนไม่รู้ อยู่กัน 5-6คน ทุกคนยืนชมวิวที่อยู่ตรงหน้ากันอย่างมีความสุข มันสุขใจ อิ่มอกอิ่มใจมาก ไม่คิดว่าจะได้มาเห็นอะไรแบบนี้ อยู่บนนนี้นานมากนะ 3-4ชั่สโมงได้มั้ง อยู่บนนนี้ก็ทำได้เพียง นั่งชมวิวกับการบันทึกภาพนะ งั้นมาดูวิวจากบนนี้ด้วยกันละกัน
พอไม่นานพี่ๆคนไทย2คนก็มาถึงยอดเขาจนได้ คือได้ยินพี่ๆหายใจกันแบบเหนื่อยมาก รู้เลยว่านั่นพี่ๆที่เจอกันข้างล่างแน่ๆเลย และใช่จริงๆด้วย พี่ๆโชคดีมากที่มาได้เหมาะเจาก่อนเวลาพระอาทิตย์ตก พอได้พูดคุยกับพี่ๆก็เริ่มคุยกันสนุกปาก หัวเราะบ้าง แลกกันถ่ายรูปแบบ None-Stop อ่ะ เพราะต่างคนต่างเข้าใจซึ่งกันและกันว่ามาทั้งทีใครก็อยากได้รูปภาพกับวิวสวยๆแบบนี้แน่นอน
งั้นขออณุญาติแนะนำพี่ๆหน่อยละกัน (ขออณุญาติเอารูปลงในบันทึกนี้แล้วนะ) คนนี้ชื่อพี่: อ้อย
ส่วนคนนี้ชื่อพี่: นี หรือ ณี สักชื่อนี่แหละ ฮ่ะๆๆ
และนี่ก็ผมเอง เอาลงบ้างจะได้เหมือนๆกัน มุมเดียวกัน แต่คนละท่า ฮ่ะๆๆๆ
และนี่ก็รูปที่ถ่ายด้วยกัน 3 คน ฝรั่งอาสาถ่ายให้ เพราะเห็นว่ามากัน3คน คงอยากได้รูปกลุ่ม
พี่ๆเป็นคนใจดี ร่าเริง ยิ้มแย้มมากๆ คุยสนุกถูกคอมากๆด้วยเลยล่ะ และแน่นอนเรื่องที่คนเดินทางมักจะพูดคุยถามไถ่กันก็ต้องเกี่ยวกับการเดินทาง เลยถามพี่ๆว่าพรุ่งนี้ไปไหนกันต่อ พี่ๆก็ตอบว่าไปเมืองงอย พอได้ยินเมืองงอยเท่านั้นแหละ เห้ยยยยยยยย จริงดิ ผมก็แพลนไว้ว่าจะไปเมืองงอยนะ แต่ยกเลิกแพลนแล้ว เพราะแม่ตามให้กลับบ้านได้แล้ว ก็เลยว่าจะอยู่หนองเขียวแค่คืนเดียวแล้วกลับไปเที่ยวหลวงพระบางต่อ แล้วค่อยบินกลับเชียงใหม่
ซึ่งพี่ๆจองที่พักกันไว้แล้ว ตอนนั้นก็เลยแบบ เห้ยยย อยากไปเมืองงอยมาก เพราะตั้งใจไว้ตั้งแตกก่อนเดินทางแล้ว เอาไงดีๆ อยากไป ไหนๆก็มาถึงหนองเขียวแล้ว อีกแค่เอื้อมก็เมืองงอยแล้ว ก็เลยบอกพี่ๆว่า ขอกลับไปคิดพิจารณาดูก่อน พี่ๆก็ยุกันจัง ลังเลมาก อ่อนไหวกับคำชวนง่ายมากด้วย คิดก่อนๆ
และแล้วก็ได้เวลาตะวันตกดินแล้ว วิวตอนพระอาทิตย์ตกที่คือไฮไลท์ที่ทุกคนมาเพื่อชมและไม่อยากพลาดแน่นอน เพราะมันสวยจับใจมากๆ อ่ะๆ ชมวิวตะวันตกเลยละกันเนอะ ไม่พูดเยอะ
คือได้มีโอกาสนั่งชมตะวันตกแบบเรียลไม์อ่ะ ได้เห็นทุกการเคลื่อนไหวช่วงที่ตะวัยตกคือดีสุๆ อ่ะๆ มาดูกันว่าเรียลไทม์ที่ว่านี่เป็นยังไง ถ่ายมาได้หลายชอตอยู่นะ รุปอาจจะไม่สวย อย่าว่ากัน ดูเลย
พอพระอาทิตย์เริ่มตกดิน คนอื่นๆก็เริ่มทยทยกันเดินกลับลงไปกันแล้ว แต่3คนไทยนี่ยังไม่ยอมกลับลงไปนะ คือยังอยู่ถ่ายรูปจนตะวันตกดินแล้วก็ยังอยู่จนแสงสุดท้าย ฮ่ะๆๆๆ มืดแล้วกลับกันเหอะ ตอนเดินกลับลงไปก็คือเดินกลับลงไปท่ามกลางความมืดมิดในป่าใหญ่ ดีนะมีใือถือเป็นไฟฉาย ไม่งั้นคงได้นอนหนาวบนเขาอ่ะ ฮ่ะๆๆ
พอเดินลงไปถึงข้างล่างก็นัดกันกินข้าวเย็นด้วยกัน แต่แยกย้ายกันไปอสาบน้ำก่อนเหอะ ฮ่ะๆๆ พออาบน้ำเสร็จก้ไปตามนัดเพื่อกินข้าว ตอนนั้นก็ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะไปเมืองงอยไหม ฮ่ะๆๆ คืนนั้นไปกินข้าวที่ร้านอาหารชื่อไรไม่รู้ ลืมอีกละ สั่งอาหารไปแล้ว รอนานมากกกกกว่าอาหารจะมา ข้าวสวยมาก่อน แต่ละคนเริ่มหงุดหงิดกับระบบการทำอาหารเสิร์ฟ ฮ่ะๆๆ ตลกดี ไม่อยากลงรายอะเอียดเรื่องนี้ คิดละขึ้นๆ และพรุ่งนี้เช้าก็นัดกันเดินขึ้นเขาเพื่อไปชมวิวอีกครั้ง โฮ้ววว เอาให้สุดไปเลย จากนั้นก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน
29 DEC 2018
สวัสดีโคตรเช้าตรู่ที่หนองเขียว ขณะนี้เวลา 04:30น. อากาศเย็นแบบนี้ไม่อยากออกไหปไหนเลย อยากมุดกลับเข้าไปในผ้าห่มต่อจังเลย ได้แต่คิดแล้วก็ลุกจากเตียง ล้างหน้าแต่งตัวแล้วไปขึ้นเขากัน พอเดินขึ้นไปบริเวณถนนคือลมพัดเย็นมากกกกกก พี่นีพี่อ้อยไปไหนนนน ออกมาเร็ววววว ฮ่ะๆๆ รอพี่ๆแป๊บ
จากนั้นไม่นานก็รวมตัวกันครบ 3 คน ทีนี้ก็ถึงเวลาลุยขึ้นเขาอีกครั้งกับสภาพอากาศที่เย็น เหมาะแก่การเดินขึ้นเขามากๆ แต่มันมืดมากๆนะ ต้องพกไฟฉายไปด้วย พอเดินไปเรื่อยๆก็เจอบ้านหลังหนึ่งจัดงานอะไรไม่รู้ คือเช้าตรู่มืดขนาดนี้ก็ยังไม่หลับไม่นอนกันนะ ยังมีงานรื่นเริงสังสรรค์ได้อีก
ทีนี้ก็มาถึงทางขึ้นกันแล้ว เมื่อวานเดินคนเดียวใช้เวลาไป 50นาที มาดูกันว่าวันนี้เดินกับพี่ๆจะใช้เวลานานแค่ไหน เพราะพี่ๆบอกว่าพวกพี่ใช้เวลานานหน่อยนะ อ่ะๆ ผมชิลๆสบายๆ ฮ่ะๆๆ เดินไปฝรั่งก็เดินแซงไปตุบตับๆ เดินคนเดียวมันก็จะไวแบบนั้นแหละ
และแล้วพวกเราก็มาใกล้ถึงยอดเขาแล้วววววว พอช่วงปลายทางสุดท้าย เริ่มสว่างแล้ว ตื่นเต้นอยากรีบขึ้นไปให้ถึงไวๆ ก็เลยบอกพี่ๆว่า อีกนิดเดียวแล้ว งั้นเจอกันข้างบนนะครับบบบ ฮ่ะๆๆ จริงๆมันคือทางขึ้นสุดท้ายแล้ว ไม่กี่นาทีก็ถึง ใช้เวลาไป 2ชั่วโมงเบาๆ
ก่อนขึ้นมาเช้านี้ก็แอบคาดหวังว่าจะได้เห็นทะเลหมอกเหนือหนองเขียว แต่หมดกัน ทะเลหมอกหายไปไหนนนนนหม๊ดดดดดดด ไม่มีเลย เหลือไว้แต่วิวเดิม ฮ่ะๆๆ อากาสเย็นขนาดนี้ เช้าขนาดนี้ควรจะมีทะเลหมอกไง โชคไม่เข้าข้างเลย ฮ่ะๆๆ แต่ก็ชิลๆ ไม่มีก็ไม่เป็นไร ขอดูพระอาทิตย์ขึ้นต่อ ชมวิวถ่ายรูปไปก่อน พอขึ้นมาได้ไม่เกิน 20นาที พระอาทิตย์ก็เริ่มฉายแสงอาทิตย์อุทัยขึึ้นมาจากอีกฝั่งของภูเขา มันเป็นวิวพระอาทิตย์ขึ้นที่สวยที่สุดเท่าที่เคยเห็นกับตามาก่อน มันสวยมาก แสงแบบสวยยยยยยย ถ่ายรูปรัวๆ
ในเมื่อมันสวยขนาดนี้ก็อยากได้รูปตัวเองกับพระอาทิตย์ขึ้นบ้าง แต่พี่ๆก็วุ่นกับการถ่ายรูปเลยไม่อยากรบกวนเวลาอันน้อยนิดที่จะได้ชมพระอาทิตย์ขึ้น ก็เลยตั้งกลับมาพึ่งตัวเองด้วยการตั้งกล้องถ่ายรูป ซึ่งไม่ใช่ปัญหา เพราะเคยชินกับการตั้งกล้องถ่าบรูปแล้ว ฮ่ะๆๆ หามุมกล้อง หาจุดเก๊กท่า อ่ะพร้อมละ ตั้งเวลาแล้วถ่ายยยโลดดดดดด ได้ภาพที่ชอบมา 3 ชอตตามนี้เลย
พอพระอาทิตย์โผล่ขึ้นมาเหนือภูเขาแล้วก็กลับเข้าสู่โหมดชมวิวทั่วไปรอบๆ ก็เป็นวิวเดิม แต่ก็ยังชอบในความสวยงามของธรรมชาติที่นี่ เห้ยยยยยหมอก หมอกมาแล้ววววว กำลังจะถ่ายรูปกับหมอก พอจะไปถ่าย เอ้าหมอกละลายหายไปแล้ว ฮ่ะๆๆ คือหมอกมันลอยมาจะถึงเหนือหมู่บ้านหนองเขียวแล้ว แต่ก็หายไปซะก่อน ฮะๆๆ
อ่าๆมาเซลฟี่กัน 3 คนซะหน่อย ได้ภาพที่มีหมอกลอยติดมานิดนึงก็ยังดีเนอะ ทำให้ภาพดูสวยขึ้นนิดนึง
มิตรภาพและความทรงจำทุกชั่วขณะระหว่างการเดินทางมักจะเป็นสิ่งที่สวยงามเสมอ
ดูเอานะ พี่ๆเขาน่ารัก ถ่ายรูปให้กัน
ตอนนี้ก็เข้าสู่ช่วงเวลาถ่ายรูปรัวๆอย่างจริงจังก่อนจะลงไปเก็บของ เพื่อเดินทางไปยังเป้าหมายต่อไป เอ่อ สรุปตัดสินใจแล้วว่าจะไป เมืองงอย ด้วยกันกับพี่ๆ พี่ๆก็ยุซะใจอ่อนเลย เพราะอยากไปมากๆ ดังนั้นตอนนี้ก็แชะรูปยาวๆวนไป
ต้องบอกเลยว่า จุดชมวิวผาแดงของหมู่บ้านหนองเขียวนั้นเป็นวิวที่สวยงามอลังการงานสร้างของธรรมชาติมากๆ สวยแบบไม่ต้องดักแปลง ไม่ต้องตกแต่งให้เป็นที่เที่ยว แต่มันกลัวสวยแบบธรรมชาติ เจ๋งมาก
จากนั้นก็ได้เวลาร่ำลาความสวยงามของจุดชมวิวหนองเขียวแล้ว ป่ะเดินลงกันเหอะ ขาเดินลงมักจะใช้เวลาน้อยกว่าขาขึ้นเสมอ แต่มาสะดุดตรงป้ายบอกทางว่า อีก200เมตรจะถึงจุดชมวิวแล้วและลูกศรเขียนติดไว้ว่าใช้เวลา 5 นาที แต่บางคนมองว่ามันใช้เวลานานกว่านั้น เลยมีคนเขียนแก้เป็น 10นาที แต่ก็ยังมีคนคิดว่ามันนานกว่านั้นก็พี่ๆ2คนนี้แหละ ฮ่ะๆๆ เลยจัดการแก้ให้เป็น 15นาทีเลย ไม่รู้ว่าจะมีคนคิดว่านานกว่านี้อีกไหม ตอนนี้ป้ายคงไม่มีที่ว่างให้แก้เวลาล่ะ นอกจากเปลี่ยนไม้ ฮ่ะๆๆ
พอเดินลงมาถึงข้างล่างก็หาร้านอาหาร และเลือกร้านพิซซ่าสั่งแบบใส่กล่อง เอาสำหรับกินบนเรือระหว่างเดินทางขึ้นเมืองงอย ตอนสั่งก็ดูเมนู อันไหนดูน่ากินก็สั่งๆแล้วไปเก็บกระเป๋าก่อน พอเก็บของเช็คเอ้าท์เสร็จก็ไปเอาพิซซ่าที่สั่งไว ท้องร้องหิวแล้ว อยากกินพิซซ่าแป้งนุ่มๆราดซอสมะเขือเทศ (จินตนาการไว้สูงมากกกกก) พอไปเอา อื้ออออหืออออนี่คือพิซซ่าเหรอวะ แต่ละคตนใส่หัวให้กับพิซซ่าราคาหลักแสนชิ้นนี้เลย ไม่ได้ถ่ายรูปไว้ ไม่อยากถ่ายเก็บไว้จริงๆ ฮ่ะๆๆ มันยังคงฝังใจมาถึงทุกวันนี้ เพราะไม่เคยจ่ายค่าพิซซ่าแพงขนาดนี้มาก่อน ไม่พอแป้งราขึ้นอีกโอ่วววว สุดจริงๆ ฮ่ะๆๆ
เอาแล้วๆ ได้เวลาไปขึ้นเรือแล้ว เรือรอบ 11 โมง ต้องไปให้ทันนะ เราไม่มีเวลามาถ่ายรูปกับสะพานแลนด์มาร์คของหนองเขียวแล้วนะ เอาไว้กลับมาถ่ายพรุ่งนี้ละกัน วิ่งงงงงง พอไปถึงท่าเรือก็ซื้อตั๋วแล้วไปต่อแถวขึ้นเรือ โอ้โหหหหห คนต่อแถวขึ้นเรือเยอะมากกกก เรือลำเดียวไม่พอ ต้องใช้2ลำกันเลยทีเดียว
▶️ #หนองเขียว ปลายทางที่ยาวไกลแสนไกล รวมระยะเวลานั่งรถจากวังเวียงมาถึงนี่ก็ใช้เวลาไปร่วม13ชม. หมู่บ้านที่อยู่ห่างออกไปจากหลวงพระบาง 3-4 ชม. นั่งรถกันยาวๆ เป็นหมู่บ้านเล็กๆที่อยู่ท่ามกลางภูเขาใหญ่ มีแม่น้ำอูเป็นเอกลักษณ์ตัดผ่านหมู่บ้าน ที่นี่มีจุดชมวิวที่อลังการมากๆ แต่ต้องแข็งแรงพอที่จะเดินขึ้นไปบนเขาได้ ระยะทางไม่ไกลมาก แต่ด้วยความที่ทางชัน คดเคี้ยว มันจะใช้เวลาพอสมควร ส่วนตัวใช้เวลาไป 50นาที แต่พอได้ขี้นไปแล้ววิวมันเด็ดจริงๆ เช้าพระทิตย์ขึ้น = สวย เย็นพระทิตย์ตก = โคตรสวย มันคุ้มค่ากับการเดินขึ้นเขาจริงๆ ใครชอบก็ลองไปดูนะ แต่แนะนำมากๆ
เอาละทีนี้ก็ คนพร้อม เรือพร้อม ออกเดินทางสู่เมืองงอยกันเล๊ยยยยยยยย ตื่นเต้นๆ มันจะเป็นไงน้ออ
เกือบลืมบอกไปเลยว่า เมืองงอยอยู่บนหนองเขียว ไม่ไกลกันมาก ดังนั้นต้องนั่งเรือล่องขึ้นทางเหนือนะ
ถ้าถามว่าทำไมต้องนั่งเหลือล่ะ ทำไมไม่นั่งรถเข้าไป คือแบบนี้นะ คนท้องถิ่นที่นั่งเรือไปด้วยกันบอกว่าถนนหนทางมันแย่มากๆ สภาพแย่จนอาจจะใช้เวลานานกว่านั่งเรือซะด้วย ทุกคนเลยเลือกเดินทางโดยเรือโดยสารหางยาว
น้องๆเดินทางกลับบ้านจากทางเรือเช่นกัน ตอนน้องๆลงจากเรือคือขาจุ่มลงน้ำแปะ ขาเกงเปียกเลย
แต่ที่แน่ๆคือวิวระหว่างทางล่องแม่น้ำคือฟินมากกกกกกกกก ได้เห็นอะไรหลายอย่างมากมาย นั่งเรือชิลๆ ปล่อยเวลาไหลผ่านไปกับสายน้ำ มันมีความสุขมากที่ได้มีโอกาสเดินทางและได้สัมผัสอะไรแบบนี้ คือมันมีความสุขมากจริงๆ
แต่ๆๆๆๆๆ ยังไม่ได้ที่พักเลย ในขณะที่พี่ๆจองที่พักมาตั้งนานแล้ว อ่ะเปิดแอพเช็คที่พักต่อ พอเห็นที่พักราคารับได้ก็กดจองไว้ก่อนเลย
ไม่นานก็เดินทางมาถึงเมืองงอย เมืองเล็กๆที่เป็นปลายทางของนักเดินทางหลายๆคน ที่อยากมาสัมผัสมาใช้ชีวิตแบบสโลว์ไลฟ์ คือมันใช่จริงๆนะ พอไปถึงก็ลงเรือ รับกระเป๋า แวะถ่ายรูปที่ท่าเรือก่อนแล้วค่อยเดินไปที่พัก แต่ส่วนใหญ่แล้วจะมีเจ้าของที่พักหรือพนักงานเดินทางรับถึงท่าเรือเลย
พอเดินขึ้นจากท่าเรือก็จะมีความมาถามว่าจองที่พักมาหรือยัง จองไว้ที่ไหน ก็บอกข้อมูลไป ส่วนใหญ่ถ้าจองมาแล้วจะมีความมารับแน่นอน แต่สำหรับคนที่มาแบบไม่ได้จองก็ไม่ต้องห่วงหรอก สามารถถามหาห้องพักจากคนที่อยู่แถวท่าเรือได้เลย สำหรับที่พักที่เมืองงอยก็จองไว้ที่ Riverview Bungalows คือกดจองก่อนนาทีก่อนถึงปลายทางอ่ะ ฮ่ะๆๆ บอกแล้วไงว่าไม่รีบ ก็มีคนมารับเหมือนกัน ลืมชื่อเจ้าของละ รู้แต่ว่าแต่งงานกับสามีชาวสวีเดน มาเปิดโรงแรมอยู่ที่เมืองงอย
พอเจอพี่เจ้าของก็แจ้งข้อมูลเรียบร้อยก็เดินตามพี่เจ้าของไปที่พักกันเลย สำหรับที่พักที่จองไว้นั้นบอกเลยว่าเป็นห้องพักเป็นหลังโดดๆที่ติดแม่น้ำอูอีกเช่นเคย ติดแม่น้ำ วิวภูเขา อื้ออหืออออ มันใช่มากมาย โคตรชอบเลยว่ะ มันโคตรจะฟินนนนเลย
และอีกสิ่งที่ชอบที่สุดนอกจากวิวห้องพักแล้วก็นี่เลย เปล ตัวนี้เลย มันควรค่าแก่การนอนเล่นพักผ่อนบนเปลพร้อมกับชมวิวไป จินตนการไปก่อน เพราะเก็บของแล้วก็ต้องออกไปเจอพี่ๆเพื่อกินข้าวเที่ยงกัน
ระว่างที่เดินชมเมืองงอยนั้นก็ผ่านไปเห็นงานอะไรสักอย่างที่คิดว่าน่าจะเป็นงานแต่งนะ ชาวบ้านเต้นรำกันอย่างสนุกสนาน ใจจริงก็พูดกันว่าไปเต้นไหม ไปนั่งกินข้าวงานแต่งกัน ฮ่ะๆๆ แต่ก็แค่พูดนะ ไม่ได้ไปหรอก อายเขา หาร้านอาหารวนไป และร้านอาหารที่จะไปก็ดันอยู่อีกฝั่งของงานแต่ง ซึ่งต้องเดินผ่านทะลุงานเข้าไปถึงจะเจอร้านอาหาร ฮ่ะๆๆ แค่เดินผ่านยังอายเลย
เป็นร้านอาหารที่วิวดีมากเช่นกัน ติดแม่น้ำ ภูเขา คือวิวมันดีงามมากกกกกกก สำหรับเมนูมื้อนี้ก็ประมาณนี้ รสชาติอร่อยมาก ทำอาหารไวด้วย กินกันอย่างเอร็ดอร่อยเลย สงสัยทุกคนหิวจัดดดดด เพราะอกหักจากพิซซ่าหนองเขียว ฮ่ะๆๆ
หลังจากกินข้าวกันเสร็จก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน งั้นก็ใช้เวลาของตัวเองแบบสบายๆตามใจฉันกันเลย พอถึงห้องก็หยิบลำโพงลูกเล็กมาต่อบลทูทกับมือถือ ขึ้นนอบนเปล เปิดเพลงฟังแบบเบาๆชิลๆ พร้อมกับชมวิวไป ปล่อยให้สมองได้พักผ่อน โดยไม่ต้องคิดเรื่องอะไร แต่แล้วก็หลับไปตอนไหนก็ไม่รู้ รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนเย็น ตื่นมาได้ยินเสียงแม่น้ำ เสียงนก เสียงไก่และเสียงเพลง ฮ่ะๆๆ ลุงฝรั่งหลังข้างห้องก็งีบอยู่ในเปลเช่นกัน คือมันรู้สึกสบายตัวมาก มันเหมือนธรรมชาติบำบัดเลย มีความสุขจังเลย
ได้เวลาออกไปเดินชมรอบๆหมู่บ้านในยามเย็นแล้ว ตอนบ่ายอาจจะดูไม่ค่อยออกนะว่าบ้านหลังไหนเป็นร้าน พอตกเย็นมาเท่านั้นแหละ บอกเลยว่าที่นี่ถึงแม้จะเป็นหมํู่บ้านเล็กๆ แต่ร้านอาหาร ร้านเหล้านั่งเล่นคือเยอะมาก เยอะแบบไม่น่าเชื่อว่าจะเยอะขนาดนี้
แต่ร้านที่ชอบที่สุดก็ร้านนี้เลย เป็นร้านที่มีป้ายไฟ 7-11 ติดอยู่ ดูวิวด้านหลังดิ มันได้องค์ประกอบที่สมบูรณ์แบบมากๆ บ้านสไตล์เก่าๆ มีแสงสี มีดนตรีสากล มี Happy Hour Cocktails ด้วยช่วง 17:00-21:00 ง่ายคือจนร้านเกือบปิดอ่ะ มีเหรอจะพลาดของฟรี ฮ่ะๆๆ
สำหรับคอกเทลก็นี่เลย จำชื่อไม่ได้อีกละ ลืมไปละ ราคาก็ไม่แพงนะ สมเหตุสมผลอยู่ อร่อยใช้ได้ แต่2แก้วนี้ก็แม่งเอาเรื่องอยู่นะ แก้วเดียวก็รู้สึกถึงความมึนเลย ฮ่ะๆๆ ตอนนี้ยังออกมานั่งคนเดียว เพราะคิดว่าพี่ๆคงเหนื่อย คงนอนพักอยู่ คงไม่ออกมาแล้วล่ะ ก็เลยส่งรูปไปอวดว่าอยู่ร้านบาร์นี้ๆนะ บรรยากาศดีมากกกกกกงี้ ไปนั่งผิงไฟดีกว่า คือแบบบบบบแม่งโคตรฟินเลย ชอบบบบบบ สักพักไม่นานพี่ๆก็ตามมาจอยน์กันถึงร้านด้วยและสั่งคอกเทลด้วย คืนนี้ก็ชิลๆยาวๆวนไป
พอเสร็จจากร้านนี้ก็เปลี่ยนร้านไปอีกที่ ไปนั่งผิงไฟเช่นกัน แต่ร้านนี้คนน้อยมาก เพราะอยู่ลึกไปหน่อย แต่ก็ดี มีดนตรี มีกองไฟให้นั่งผิงไฟ แต่ไม่นานก็แยกย้ายกันกลับไปพักผ่อน เพราะร้านเริ่มทยอยกันปิดแล้วงั้นคืนนี้ก็ หลับฝันดีที่เมืองงอย
30 DEC 2018
สวัสดีเช้านี้ที่เมืองงอย เช้านี้ตื่นมากับบรรยากาศที่เย็น มีหมอกลอยผ่านหน้าห้องแบบบางๆ ไม่เยอะมาก อาบน้ำ แต่งตัว แล้วออกไปเดินดูวิถีชีวิตของคนท้องถิ่นยามเช้ากัน เดินออกมาจากที่พักปุ๊บก็เห็นชาวบ้าน ส่วนใหญ่ก็จะเป็นป้าๆออกมายืนรอใส่บาตรกัน ดีนะออกมาทันเห็นพอดี เณรก็เป็นเณรวัยรุ่นหมดเลย
เดินชมไปเรื่อยๆ ระหว่างเดินกลับที่พักก็ผ่านร้านเฝอ พอดีเห็นป้าคนลาวกับสนทนากับชาวต่างชาติ ซึ่งดูแล้วสื่อสารกันไม่เข้าใจ ก็เลยเข้าไปถามว่ามีไรให้ช่วยไหม พอเห็นหน้าชาวต่างชาติปุ๊บก็ดูออกเลยว่าน่าจะเป็นคนญี่ปุ่น ก็เลยสนทนาถามเป็นภาษาญี่ปุ่นและได้ความและแปลให้ป้าแม่ค้าว่า เขาอยากสั่งเฝอ แต่ไม่เอาเส้น เอาแต่ผักกับน้ำแกง เพราะแค่อยากชิมและกลัวกินเส้นไม่หมด พอเห็นอาหารแล้วก็หิวเหมือนกัน ก็เลยสั่งเฝอไป1ถ้วย อร่อยมาก อุ่นๆ จากนั้นก็นั่งสนทนากับคนญี่ปุ่น เขาก็เดินทางมาคนเดียวเหมือนกันและจะไปไทยต่อ พอกินเสร็จก็แยกย้ายกัน แต่ลืมไปว่าตัวเองไม่ได้พกตังค์ออกมาด้วย ก็เลยบอกป้าว่าเดี๋ยวผมกลับที่พักก่อนแล้วจะไปเอาเงินมาจ่ายให้นะ ไม่รอช้าวิ่งไปเอาเงินทันทีเลย ฮ่ะๆๆ
จากนั้นก็กลับที่พักไปเก็บกระเป๋าแล้วเช็คเอ้าท์ เพราะวันนี้ต้องขึ้นเรือรอบ 09:30 เพื่อกลับไปหนองเขียวแล้วต่อรับตู้กลับไปหลวงพระบาง ตอนเดินไปท่าเรือก็หิวอีกละ เวลายังมีอีกเยอะ งั้นหาไรกินก่อนละกัน ซื้อลิ้นหมูย่างแล้วก็ขนมไรไม่รู้เหมือนปาท่องโก๋ ออกหวานๆหน่อย
แต่นั่นก็ยังไม่อิ่มนะก็เลยแวะเข้าร้านขายอาหารเช้าบุฟเฟต์ ในราคา120บาท มันถูกมากนะ กินได้เต็มที่ แต่สิ่งที่ไม่ค่อยประทับใจของร้านข้าวร้านนี้คือ คนขายทำหน้าเหมือนไม่อยากรับลูกค้าที่ไม่ใช่ฝรั่งเลย ตอนไปสอบถามก็ไม่ยิ้มเลย พูดเสียงแข็ง พอฝรั่งเข้ามาร้านเท่านั้นแหละเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือเลย ทำไมวะ ทำไมถึงเป็นแบบนี้ เอ่อได้แต่คิดแล้วก็สงสัย ช่างมันเนอะ กินๆไป อย่าไปใส่ใจเลย เอาที่สบายใจ
ตอนกำลังนั่งกินอยู่ก็เห็นพี่อ้อยพี่นีเดินมาละ อ่าไหนๆก็มาละ ถ่ายรูปให้ผมหน่อย ฮ่ะๆๆๆ อาหารอร่อยนะ คุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไปอยู่ เหลือแค่ปรับปรุงเล็กๆน้อยๆเกี่ยวกับความสองมาตรฐานนะ มันไม่ถูกนะป้า
ตอนนี้ก็ได้เวลาไปซื่อตั๋วสำหรับเดินทางกลับหนิงเขียวกันแล้ว เวลามันช่างไวแท้ ไวมากจริงๆ ยังรู้สึกอยากอยู่ที่นี่ต่อ ยังอยากไปเดินเที่ยวรอบๆอยู่บ้าน อยากรู้ว่าธรรมชาติรอบๆเป็นยังไง แต่ก็นะ ได้แต่คิด ่ะๆ
จากนั้นก็เดินมารอที่ท่าเรือและคนเดินทางกลับก็ยังคงเหยอะเหมือนขามาเมื่อวานไม่เปลี่ยนเลย ไม่พอได้นั่งเรือลำที่2เหมือนเมื่อวานอีก แต่วันนี้มีเรือถึง3ลำเลยล่ะ รู้งี้ไม่รีบดีกว่า จะขึ้นลำที่คนน้อยๆ แหะๆ
พอคนพร้อม เรือพร้อม ก็ทยอยกันเดนทางออกจากเมืองงอยแห่งนี้ บ๊ายบาย ไว้มีโอกาสจะมาใหม่
วิวระหว่างทางขากลับลงหนองเขียวช่วงเช้าก็ยังคงสวยมากเช่นกันนะ หมอกลอยเหนือภูเขาคือมันโคตรดี
การเดินทางแบบไม่ฟิคเวลา ไม่ฟิควันคือการเดินทางที่ทำให้การเดินทางมีสีสันและสนุกมากที่สุดเลย เพราะไม่ต้องกังวลว่าจะไปได้ตามแผนที่วางไว้ไหมนะ จะได้ไปที่นี่ที่นั่นไหมวะ แต่กลับกันมันทำให้สมองได้พักผ่อนมากขึ้น เพราะสมองไม่ได้กังวลอะไร ดังนั้นการเดินทางแบบไม่ฟิคคือ ที่สุดของที่สุดแล้วล่ะ
แต่สิ่งที่ไม่น่าเกิดขึ้นเลยก็คือ มีฝรั่งคนหนึ่งที่นั่งหน้าสูบบุหรี่อย่างไม่เกรงใจคนที่นั่งข้างหลังเลย เพราะควันบุหรี่มันลอยมาด้านหลัง ซึ่งหลายๆคนไม่ชอบและไม่โอเคกับกลิ่นบุหรี่ แต่ก็ยังฝืนอดทนไปก่อน แต่พอเห็นพี่ๆปิดปาดปิดจมูกกันแบบเห็รนแล้วสงสาร ดังนั้นก็เลยรวบรวมกล้าแลัตะโกนไปบอกไอ่ฝรั่งคนนั้นว่า "เฮ้ ยูหยุดสูบบุหรี่ได้ไหม มันเหม็น เกรงงใจคนอื่นหน่อย บนเรือนี้ไม่ได้มียูคนเดียวนะ" เท่านั้นแหละลุงกับป้าฝรั่งก็สวนและด่ามันเสียงดังลั่นเลย โดยเฉพาะลุงฝรั่งที่ทุบข้างๆเรือเพื่อให้มันได้ยิน จากนั้นมันก็หยุดสูบบุหรีแล้วทิ้งลงน้ำไป แต่มันเองก็ทำหน้าไม่พอใจเหมือนกัน แต่มึงผิดไง ฮ่ะๆๆ
พอจากนั้นอีกไม่นานเรือก็แล่นมาถึงปลายทางที่ท่าเรือหนองเขียวแล้ว ตอนลงเรือก็แอบกลัวนะว่ามันจะมาต่อยกูเป่าวะงี้ ฮ่ะๆๆ แต่มันไม่เห็นหน้าเพราะมันนั่งหน้า จากนั้นก็ลงเรือแล้วเดินไปที่สะพานเพื่อไปถ่ายรูปชดเชยจากที่ไม่ทันเมื่อวานนี้ วันนี้เหลือเวลาเยอะเลย เอ้าาาาาถ่ายเต็มที่เลยยยยย
มันเป็นแลนด์มาร์คที่ไม่ว่าใครจะผ่านมาทางนี้ต้องถ่ายรูปกับสะพานตรงนี้ ถ้าได้เห็นกับตาตัวเองจะเห็นว่ามันอลังการงานส้รางของธรรมชาติมากๆ อ่าๆถ่ายรูปวนไป เอาให้หนำใจไปเลยเนอะ
จากนั้นก็เดินไปท่ารถที่ทางเข้าหมู่บ้าน ก็ไกลพอสมควรนะ ส่วนมากจะนั่งรถสองแถวไปกัน แต่ไหนๆก็มีเวลาเยอะอยู่แล้ว ไม่รีบๆ ค่อยๆเดินชมวิวไปละกัน พอไม่นานก็ไปถึงท่ารถและไปถามซื้อตั๋ว แต่สิ่งที่คนขายตั๋วบอกคือ รถรอบบ่ายโมงออกไปหมดแล้ว ห๊ะะะะะนี่เพิ่งจะเที่ยงนิดๆเองนะ ไม่ได้มาช้าเลย มาก่อนเวลาเยอะมาก แต่คนขายบอก คนมาเยอะก็เลยเอารถรอบบ่ายไปด้วยเลย เอ้าาาาาาาไหงงั้นไปปปปปป เอาไงดีล่ะ คนขายบอกว่ารถรอบต่อไปเป็นรถเสริมให้นะ รอบบ่ายโมงละกัน โอเคค่อยยังชั่วหน่อย แต่เขาบอกต้องรอให้คนเต็มรถก่อนนะถึงจะออกรถ นั่นไงอีกละ ฮ่ะๆๆๆ
อ่าๆไม่เป็นไรอย่างน้อยก็มีรถกลับละกัน ก็อยู่รอเวลาวนไป งั้นไปหาไรกินก่อน เพราะอีกนานเลย บ่ายสองกว่าก้แล้วรถยังไม่ออก ฮ่ะๆๆ อย่างที่เขาบอกว่าที่นี่ทำอะไรก็เชื่องช้า ดังนั้นใครที่จะมาเที่ยวลาวนั้นต้นทำใจเรื่องเวลาหน่อยนะ พอถึงเวลารถออกก็ขึ้นรถแล้วนอนนนนนยาวๆไปเลย เหนื่อยแล้ว แหะๆ แล้วเจอกันที่หลวงพระบางละกันนะ
▶️ #เมืองงอย ตอนแรกยกเลิกแพลนจะไปที่นี่แล้ว แต่ด้วยความที่อยากไปมากๆเลยไม่พลาด หมู่บ้านเล็กๆที่อยู่ห่างออกไปจากหนองเขียว1ชม.ด้วยเรือ แต่ระยะทางโดยรถไม่แน่ใจ ดังนั้นการเดินทางโดยเรือจึงเป็นการเดินทางหลักในการเข้าสู่หมู่บ้านนี้ หมู่บ้านเล็กมาก สงบ บรรยากาศเยี่ยม แต่ร้านอาหาร บาร์ ที่พักก็เยอะตามจำนวนนักเดินทางที่มากขึ้นเช่นกัน เป็นเขตที่อยู่เกือบติดกับประเทศเวียดนาม อีกไม่กี่กิโลก็ถึงเวียดนามแล้ว ถ้ามาถึงหนองเขียวแล้วเมืองงอยเองก็ไม่ควรพลาดที่จะไปสัมผัสนะ
พอเวลาใก้6โมงก็เดินทางมาถึงหลวงพระบาง ไปถามหาซื้อตั๋วรถบัสกลับเชียงใหม่ก่อน ถ้ามีก็จะกลับวันนี้เลย ถึงพรุ่งนี้เช้า แต่วันนี้ไม่มีรอบรถไปเชียงใหม่จ่าาา พรุ่งนี้ก็ไม่มี ถ้าอยากไปจริงๆต้องไปต่อรถที่ห้วยทรายชายฝั่งที่ติดกับเชียงราย งั้นไม่ละ แต่ความจริงพรุ่งนี้ยังไงก็ต้องบินกลับเชียงใหม่ แต่ลองเช็คตั๋วเครื่องบินในมือถือแล้วราคามันแพงมากกกกกกกก และเที่ยวบินตรงไปเชียงใหม่ของวันที่ 31 คือเต็มมมมมมมมมมมมแล้วววววววว เอ้าาาาาาา ทำไงดีล่ะ กลับวันไหนดี ต่อเครื่องที่กรุงเทพก็แพงโคตร ก็เลยบอกแม่ไปว่า ตั๋วเต็มนะแม่ ยังกลับวันนี้พรุ่งนี้ไม่ได้ เลยเลื่อนวันเดินทางกลับไปอีก ทั้งที่ใจจริงแล้วนั้นก้ดีใจไใ่น้อยเลยที่จะได้อยู่เที่ยวที่นี่ต่อ ฮ่ะๆๆๆๆ ปล.ไม่ค่อยได้ถ่ายรูปที่หลวงพระบางนะ
สรุปก็ได้ตั๋วกลับเชียงใหม่สวันที่ 1 มกรา 2019 ซึ่งเหลือแค่2ที่นั่งเอง จัดไปโลดเลย ตอนนั้นคือเงินกีบลาวหมดแล้ว เหลือแต่เงินที่4000บาท แต่ราคาตั๋วคือ 4100บาท สรุปตอนนี้เงินกีบหมดเกลี้ยงละ งั้นแลกเพิ่มอีกสักหน่อยละกัน นั้นก็เท่ากับว่าจะได้อยู่ Countdown ที่ลาวแล้วดิ ดีใจๆ ฮ่ะๆ งั้นก็ได้เวลาไปหาที่พักกันแล้วล่ะ ตอนแรกก็นึกว่ากดจองที่พักไว้แล้ว ฮ่ะๆๆ เปล่าเลย ยังไม่ได้กดจองแต่ดันกดออกซะก่อน งั้นไปเดินหาโฮสเทลละกัน ง้ันก็นี่เลยใกล้ๆร้านบาร์ ถนนคนเดินหลวงพระบาง พอเช็คอิน จ่ายตังค์เสร็จปุ๊บก็ขึ้นห้องพักกัน พอเข้าไปในห้องปุ๊บ คือแบบจุกเลย จุกมาก จุกนานด้วย จุกแบบทำไงดีวะ จุกแบบไม่มีทางเลือก คือจุกอ่ะ ฮ่ะๆๆ ห้องแคบ กลิ่นก็ใช่ย่อย เตียงก็ไม่สะอาด 3เตียง มีคนเดนมาร์ก คนญี่ปุ่นลและกูนี่แหละ เอาวะ ไหนๆก็จ่ายเงินไปละ ราคาก็ถูกด้วย อดเอาวะ ใหญ่ละ ฮ่ะๆๆ แต่ประเด็นคือต้องพักอยู่หลวงพระบาง2คืนเลยนะ พรุ่งนี้คงพักที่นี่ต่อไม่ไหวอ่ะ ไว้พรุ่งนี้ค่อยว่ากันอีกที ไม่ขอระบุชื่อที่พักนะ ไม่อยากให้เสียหาย
ตอนนี้ก็ได้เวลานัดกินข้าวเย็นกับพี่ๆละ เดินไปเรื่อยๆ เรื่อยๆและเรื่อยๆก็ยังไม่เจอร้านที่อยากเข้า จนเดินวนกลับมาแล้วเดินเข้าไปในตลาดที่ขายแต่อาหาร เจอร้านที่จะกินละ ที่นี่คนเยอะมาก แน่นไปทุกโต๊ะเลย ทางเดินแทบไม่มี เบียดกันเดินละกัน รักกันๆ
อาหารที่ร้านบุพเฟ่ต์นี่คือแบบสีสันสวยงามมากๆ เหมือนอาหารอินเดียที่เต็มไปด้วยสีสันเลยอ่ะ น่าลองนะ
สำหรับอาหารของมื้อนี้ก็นี่เลย แลดูเหมือนอาหารไทยมากๆเลยนะ รสชาติก็ใช้ได้เลย กินหมดด้วยนะ ฮ่ะๆๆ
พอกินเสร็จก็ออกมาเดินเล่นถนนคนเดิน ซึ่งถนนคนเดินที่นี่เก็บของกันไวมาก ยังไม่สี่ทุ่มเลยเก็บกันหมดละ แต่ช่วงกลางคืนมันก็มีมุมสวยๆให้ดูเหมือนกันนะ อย่างวิววัดนี้ก็อยู่ที่ถนนคนเดินเลย อย่าถามว่าชื่อวัดอะไรเลย เพราะไม่ได้จำ ฮ่ะๆๆ
ตอนนี้ก็ดึกและเริ่มเงียบแล้ว งั้นก็แยกย้ายกันกลับไปพักผ่อนเลยละกัน พรุ่งนี้มีทริปไปน้ำตก แต่ตอนนี้ก็เริ่มคิดละว่า เงินก็ใกล้หมดอีกละ ถ้าพรุ่งนี้ไปน้ำตกก็ต้องเช่ามอไซด์อีก เงินไม่พอแน่ๆ แต่ก็ยังพยายามหาวิธีจะไปให้ได้ คืนนี้ก็ฝันดี
31 DEC 2018
กูด มอร์ นิ่ง เช้าวันสุดท้ายของปี 2018 ที่สดใสดดดดดดด อากาศดีมากกกก รีบตื่นเช้ามา เพราะอยากเห็นเขาใส่บาตรตอนเช้า แต่ถามว่าตื่นทันไหม อดดิ ตื่นไม่ทันเว้ย ฮ่ะๆๆ ใครจะไปรู้ว่าจะตักบาตรกันเช้าขนาดนั้น ฮ่ะๆๆ งั้นก็เปลี่ยนเป็นไปเดินตลาดเช้าละกัน
ซึ่งเช้านี้ก็นัดกันไปกินข้าวเช้ากับพี่ๆอีกเช่นเคย ถ้าจำไม่ผิดก็ชื่อร้านประชานิยมไรสักอย่างนี่แหละ พี่ๆบอกว่าที่นี่อร่อย ถูกด้วย มันก็จริงนะ ร้านนี้คือคนไทยเยอะมากกกกกกก นึกว่าอยู่ไทยซะอีก ฮ่ะๆๆ แต่กาแฟดำนี่ไม่ไหวนะ ง่ายๆคือปกติเป็นคนไม่ดื่มกาแฟอยู่ละ แต่เขาว่ากาแฟร้านนี้เด็ด ก็เลยอยากลองดูว่า ไอ่ที่ว่าเด็ดอ่ะมันเด็ดยังไง คำแรกที่ดื่มเข้าไปก็แบบ มันก็เหมือนทั่วๆไปนี่หว่า ฮ่ะๆๆ
หลังจากนั้นก็นัดเจอกันที่ร้านเช่ามอไซด์เพื่อไปเที่ยวน้ำตกตาดกวางสี งั้นก็กลับไปเก็บของหาที่พักใหม่ก่อน เพราะให้นอนต่อที่เดิมคงไม่ไหว แต่พอดูเงินอีกทีคือคิดละว่า เอาไงวะ ถ้าต้องจ่ายค่าเช่ามอไซด์อีกคงไม่พอแน่ๆ เพราะไหนจะค่าที่พักอีกคืน ค่ากินอีกวัน งั้นก็สรุปไม่ไปน้ำตกกับพี่ๆละ ก็เลยแชทบอกพี่ๆว่า"ผมคงไม่ไปแล้วนะ เงินไม่พอจริงๆ ขอโทษด้วยครับ คืนนี้เจอกันตอนเคาท์ดาวน์ละกันเนอะ" จากนั้นก็เลยเดินไปเรื่อยๆเพื่อหาที่พัก จนมาเจอที่พัก Central Hostel ที่พักที่นี่ก็ดีกว่าที่เดิมละกัน นี่เพิ่งจะ9โมงเช้าเอง แต่พนักงานก็ให้เช็คอินได้แต่เช้าเลย เพราะเตียงงยังว่างอยู่ เช็คอิน ขึ้นห้องแล้วนอนพักยาวๆ วันนี้ขี้เกียจเดินละ ตอนบ่ายค่อยออกไปเดินเล่นยละกัน
ตื่นมาอีกก็บ่ายโทงแล้ว นี่กูหลับนานขนาดนั้นเลยรึเนียะ งั้นก็เตรียมตัวออกไปเดินเล่นรอบๆหลวงพระบางละกัน เดินเล่นวนไป หิวก็หาร้านกินข้าว ในเมืองหลวงพระบางจริงๆก็แทบไม่มีไรเช่นกัน ว่าจะขึ้นไปชมวิวหลวงพระบางจากวัด แต่อากาศมืดฝน ขึ้นไปก็คงไม่เห็นอะไร
เดินนวนไปวนมาอยู่รอบๆหลวงพระบางนี่แหละ ไม่ได้ไปไหนไกลเลย เดินข้ามสะพานเหล็กนี้ไปก็จะเป็นทางตรงไปสนามบิน ซึ่งมันเป็นสะพานที่รถยนต์ไม่สามารถผ่านได้ ผ่านได้เฉพาะรถมอไซด์ จัรกยาน มั้งนะ
ตอนแรกว่าจะลองเดินไปสนามบินดูสักหน่อย แต่พอเอาเข้าจริงมันแอบไกลอยู่นะ ก็เลยไม่ไหปมันละ
มีอยู่ที่หนึ่งที่ดูแล้วน่าสนใจมากคือ เจดย์วัดในรูปนี้เลย มันแลดูสวยงามมากๆ น่าไป แต่ตอนนั้นทำไมตัดสินใจไม่ไปที่วัดนี้กันนะ ก้เลยไม่ได้รู้ชื่อวัดเลย เอ่อ งง กลับมาบ่นกับตัวเองอยู่ว่าพลาดไปได้ไง ไว้มีโอกาสค่อยกลับไปเที่ยวละกัน แหะๆ
สรุปวันนี้ก็แทบไม่ได้ไปไหนเลยนอกจากเดินเล่นในเมืองหลวงพระบาง พอตกเย็นก็หาข้าวกินแล้วไปหาพี่ๆที่ลานกิจกรรม (วันนี้เป็นลานเบียร์นะ) ได้เวลานับถอยหลังปีเก่าต้อนรับปีใหม่กันแล้ว คืนนี้คืนสุดท้ายของปี2018 งั้นก็ก็สนุกสนานให้เต็มที่ไปเลย ปล่อยทุกอย่างของปี2018ให้จบที่คืนนี้ แล้วกลับมาเริ่มต้นกันใหม่ในปี 2019 สำหรับคืนนี้ก็ได้เวลาแล้ เอ้าาาาาาา 9 8 7 6 5 4 3 2 1 สวัสดีปีใหม่ 2019 ขอให้ทุกคนพบเจอแต่เรื่องดีๆ มีความสุขตลอดปี 2019 งานจบแล้วและนั่นก็คือเวลาที่ต้องร่ำลากับๆพี่อ้อยพี่นีแล้ว เพราะพี่ๆจะเดินทางกลับไทยเช้าตรู่ของพรุ่งนี้ "ดีใจที่ได้พบเจอ จากคนแปลกหน้ากลายเป็นคนรู้จัก ขอบคุณมิตรภาพดีๆระหว่างทริปทุกๆช่วงเวลา หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเราคงจะได้พบเจอและออกทริปด้วยกันสักวันนะครับ" ไม่ได้พูดกับพี่ๆหรอก แค่อยากเขียนบอกในนี้ฮ่ะๆๆ หลังจากร่ำลา บ๊ายบาย อวยพรกันเสร็จก็แยกย้ายกลับไปพักผ่อนกันต่อ
1 JAN 2019
สวัสดีเช้าวันแรกของปีใหม่ เช้านี้ก็ไม่ได้เร่งรีบตื่น เพราะบินกลับไฟลท์เที่ยง ตื่นมา อาบน้ำ แต่งตัว เก็บของแล้วก้เช็คเอ้าท์ ตอนแรกกะว่าจะเดินไปสนามบินก็เลยเดินไปเรื่อยๆตามทางไปสนามบิน ซึ่งร้านอาหารที่พี่ๆแนะนำให้ไปกินนั้นอยู่ทางผ่านพอดีก็เลยแวะร้านอาหารเพื่อกินอาหารเช้าก่อน และนี่คือเมนูที่สั่งกิน มันคือ กะเพราไก่ไข่ดาว เห้ยยยยราคาถูก รสชาติเยี่ยมเลย เป็นเมนูแรกที่กินแล้วถูกปากที่สุดเลย ฮ่ะๆๆ กินหมดเกลี้ยงเลย
พอกินข้าวเสร็จก็ได้เวลาไปสนามบินแล้ว แต่ดูจากเวลาแล้วถ้าให้เดินไปคงไม่ทันแน่ๆ เพราะไม่ได้ใกล้ๆเลย และเส้นนี้ตุ๊กๆก็ไม่ค่อยจะผ่านมาด้วย ลุงเจ้าของร้านก็เลยถามว่าจะไปไหน เลยบอกลุงไปว่ากำลังจะไปสนามบินครับ ลุงบอกเดินไปมันไกลนะหรือให้ลุงไปส่งที่สนามบินไหม ก็เลยถามว่าลุงคิดเท่าไหร่ครับ ลุงบอกแล้วแต่จะให้เลย ก็เลยบอกลุงไปว่าเหลืออยู่เท่านี้ๆนะ จากนั้นก็ซ้อนมอไซด์ไปสนามบินกับลุง เอ่อระยะทางมันไม่ได้ใกล้ๆจริงๆด้วย
และแล้วก็มาถึงสนามบิน จ่ายค่ามาส่งให้ลุงแล้วขอบคุณ บ๊ายบายยยยย มาถึงตอนนี้คือแบบทำไมเวลา10วันมันผ่านไปเร็วขนาดนี้ล่ะ ความรู้สึกตอนนี้คือยังอยากอยู่เดินทางต่อ ยังอยากไปโน่นไปนี่ ยังไม่อยากกลับบ้านเลย แต่ก็อย่าลืมว่าเงินก็ไม่มีแล้วเช่นกัน ฮ่ะๆๆ ไม่กลับไม่ได้ เพราะซื้อตั๋วเครื่องและบอกกับแม่แล้ว เลื่อนจากวันที่แม่ให้กลับมาตั้ง2วันแล้ว ฮ่ะๆๆ กลับไปแม่คงบ่นแน่ๆ
เช็คอิน เข้าไปรอในเกท และได้เวลาขึ้นเครื่องเดินทางกลัเชียงใหม่กันแล้ว เที่ยวบินขากลับนั้นใช่บริการของสายการบินประจำชาติลาว นั่นก็คือ สายการบินสาว เป็นเครื่องบินใบพัดด้วยนะ ก็แอบหวั่นๆอยู่ เพราะไม่ค่อยไว้ใจเครื่องบินใบพัดเท่าไหร่ ฮ่ะๆๆ กลับไทยแล้วนะ เจอกันใหม่นะ " ล า ว" บ๊ายบาย
▶️ #หลวงพระบาง จากเมืองงอยกลับมาหลวงพระบาง กลับมาเพราะจะได้เดินทางกลับเชียงใหม่ง่าย แต่อุปสรรคก็ย่อมตามมาเสมอ ตั๋วบินเต็ม รถบัสไม่มี ทำไงล่ะ ก็อยู่ต่อไป ฮ่ะๆๆ เป็นเมืองที่นักเดอนทางเยอะ ร้านอาหาร บาร์ เยอะมาก แต่ในตัวเมืองหลวงพระบางจริงๆแล้วก็แทบไม่มีไรน่าสนใจเช่นกัน แต่อยู่กันไปแบบสโลวไลฟ์ สบายๆ เคาน์ดาวน์ปีใหม่ที่เมืองนี้ในแบบลาวมันก็สนุกดีนะ
ขอบคุณ "ล า ว" ตลอดระยะเวลา 10 วันของการเดินทาง ในการเดินทางแบ็คแพคครั้งนี้ถือว่าเป็นทริปหนึ่งที่ชอบที่สุดและสนุกที่สุดเท่าที่เคยออกเดินทางมา ได้พบปะผู้คนแปลกหน้าจากต่างถิ่นมากมาย ไม่ว่าจะไทย ต่างชาติ จากคนไม่รู้จักกลายเป็นคนรู้จัก แลกโซเชียลกัน พูดคุยหัวเราะกัน ชนแก้วกัน ทำให้ได้มิตรภาพระหว่างทางกลับมาเป็นความทรงจำของการเดินทางและประสบการณ์ต่างๆอีกมากมายที่ไม่อาจจะบรรยายได้หมด ถือว่าเป็นทริปปิดท้ายปี2018ข้ามไปเป็นทริปแรกของปี2019 ที่ยอดเยี่ยมมากๆ
สุดท้ายนี้ก็ต้องขอบคุณตัวเองที่ดูแลตัวเอง ไม่เจ็บ ไม่ป่วย จนจบการเดินทาง ขอบคุณประสบการณ์ทั้งหมดทั้งมวลจากประเทศลาว จากคนรอบข้าง ขอบคุณมิตรภาพดีๆของทุกคนที่ได้พบปะระหว่างการเดินทาง ขอบคุณสถานที่ต่างๆที่ได้ไปมา ขอบคุณธรรมชาติ ขอบคุณความสวยงามของประเทศลาวและหวังว่าสักวันหนึ่งคงจะได้กลับมาเที่ยวลาวอีกนะ 🙏🏻😍
สิ่งที่ได้กลับมาทุกครั้งจากการออกเดินทางคนเดียว
- ได้ใช้เวลากับตัวเองมากขึ้น เพราะว่าการออกเดินทางท่องเที่ยวคนเดียวนั้น ทำให้ได้มีโอกาสคุยกับตัวเองมากขึ้นกว่าปกติและการออกเดินทางคนเดียว คือการได้กลับไปเป็นตัวของตัวเองจริงๆ และเหมือนได้ออกไปปลดปล่อยความเป็นตัวเองด้วยนะ มันคือความสุขที่แบบสุขจริงๆ
- ได้ลั้นลา กิน เที่ยว ตามใจฉันแบบไม่ต้องปรึกษาใครและไม่มีใครมาห้าม กินเต็มที่ อยากกินอะไรก็กิน
- ได้พบปะคนใหม่ๆ ถ้าได้ลองออกเดินทางคนเดียวแล้ว แน่นอนว่าจะได้พบผู้คนระหว่างทางที่จะมาแต่งแต้มสีสันให้การเดินทางนั้นสนุกขึ้น ไม่ว่าจะมิตรภาพที่เกิดขึ้นจากการถามเส้นทาง ได้เพื่อนคุยแชร์แลกเปลี่ยนประสบการณ์การเดินทางของแต่ละคน ทำให้ได้เรียนรู้ที่จะรู
้จักคนอื่น วิธีเข้าหา และรู้จักการพูดเพื่อสร้างม ิตรภาพใหม่ๆ - ออกไปหาประสบการณ์ชีวิตใหม
่ๆให้กับตัวเอง ออกไปลองทำสิ่งต่างๆที่ไม่เคยทำ ออกไปใช้ชีวิตแบบท้าทายในแบ บของตัวเอง - ได้ฝึกการเรียนรู้วิธีการแก้ปัญหาที่พบเจอ เรียนรู้การวางแผนจัดการต่างๆด้วยตัวเอง
- จะได้รู้จักกับคำว่า “ความอิสระ” ที่แท้จริงนั้นเป็นอย่างไงก็ตอนที่ออกเดินทางคนเดียวนี่แหละ เพราะเราจะได้อิสระต่างๆการใช้ชีวิตคนเดียวและ อิสระ คือเหตุผลหนึ่งที่ชอบออกเดพินทางคนเดียว
ถ้าได้ลองออกเดินทางคนเดียวแล้วจะได้รู้ว่ามันให้อะไรแก่เรามากมาย เช่นเป็นการพักผ่อนคลายจิตใจ ผ่อนคลายสมอง ได้เปิดหูเปิดตาพบเจอสิ่งใหม่ๆ เปิดมุมมองความคิดต่างๆให้กับตัวเองมากขึ้น และแน่นอนว่าสิ่งที่ได้กลับมาจากการเดินทางคนเดียวนั้นมันคุ้มค่ามากเกดินกว่าจะบรรยายได้ แต่ในทุกๆเส้นทางที่เดินทางไปนั้นก็มักให้ประสบการณ์บางอย่างที่พิเศษกลับมาเสมอ นอกเหนือจากการถ่ายรูปและความทรงจำต่างๆแล้ว ยังมีอีกหลายๆสิ่งที่ได้กลับมาจากการออกเดินทางคนเดียว ถ้าอยากรู้ อยากสัมผัส อยากลอง “สิ่งๆนั้น” มันคืออะไรกันก็ลองแบกเป้แล้วออกเดินทางคนเดียวดูนะ!
ชีวิตคนเราเกิดมาครั้งเดียว ไม่มีครั้งที่2 ดังนั้นต้องใช้ชีวิตให้คุ้มค่า คุ้มค่ากับการที่เราได้เกิดมาใช้ชีวิต อย่าปล่อยให้เวลาผ่านไปแบบสูญเปล่า แต่เข้าใจว่าคนเราทุกคนต่างก็มีนิยามของคำว่า "การใช้ชีวิต" ที่แตกต่างออกไปในแบบของแต่ละคน
ยังไงก็ขอเป็นกำลังใจให้กับทุกๆคนที่อยากลองออกเดินทางคนเดียว แต่กล้าๆกลัวๆ เริ่มต้นไม่ถูก ลองเปิดใจและรวบรวมความกล้าของรตัวเองแล้วออกไปลุยดูนะ สู้ๆนะ สุดท้ายนี้ก็ขอจบบันทึกความทรงจำที่แสนพิเศษจากปลายทาง "ล า ว" ไว้เพียงเทานี้ก่อน ขอบใจ๋ :)
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาเดินทางในบันทึกการเดินทางฉบับนี้ ดีใจที่มีคนอ่านบันทึกจบ แต่จะมีไหมนะ แหะๆ
วิดีโอประมวลความทรงจำของการเดินทาง
ล่ามติดเที่ยว
วันศุกร์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2562 เวลา 22.34 น.