“Oh, sh**!! .... ตกลงไอ้สองคืนสุดท้ายในญี่ปุ่นเนี่ย เราไปพักที่โอซาก้าหรือโกเบไม่ได้แล้วนะ"
ฉันร้องบอกสองหนุ่มด้วยความตกใจ หลังจากที่ตัวเองจองตั๋วเครื่องบินและห้องพักสำหรับทริป 12 วันในคันไซ (ญี่ปุ่น) และโซล (เกาหลีใต้) เรียบร้อยไปแล้วตั้งแต่เมื่อวาน พอวันนี้มานั่งเช็คเรื่องการเดินทางไป-กลับสนามบิน แล้วพบว่ารถไฟเที่ยวเช้าจากโกเบ (ที่จองโรงแรมเสร็จไปแล้วตั้งแต่เมื่อวาน) หรือโอซาก้านั้นมาถึงสนามบินคันไซไม่ทันเวลาเที่ยวบินเช้าที่ฉันทำการจองไปกับสายการบิน Peach ซึ่งเป็นสายการบินโลว์คอสของญี่ปุ่น
“แล้วทำไงอ่ะ" คุณสามีถาม
“ดี จะได้ไม่ต้องไป ไม่อยากไป" เจ้าลูกชายบอก
“ยังไม่รู้เลย เดี๋ยวขอฉันเช็คดูก่อน" ฉันตอบคุณสามี แล้วก็หันไปแลบลิ้นปลิ้นตาใส่เจ้าลูกชายวัยทีนที่ชอบแหย่แม่มันอยู่ตลอดเวลา
หลังจากเข้าไปเช็คข้อมูลในเว็บไซต์ของ Peach แล้ว ฉันก็พบว่าหากต้องการเปลี่ยนไฟลท์ขากลับจากคันไซมาฮ่องกง เราจะต้องเพิ่มเงินอีกคนละสองพันกว่าเหรียญ (ฮ่องกง) ทั้ง ๆ ที่ราคาตั๋วในช่วงที่ฉันจองและซื้อไป (ช่วงคริสต์มาส-ปีใหม่) ก็โหดสัสกว่าปรกติอยู่แล้วเนื่องจากเป็นช่วงพีคซีซั่น ฉันตัดสินใจในทันทีว่าจะไม่เปลี่ยนไฟลท์เด็ดขาด และจะเก็บโรงแรมในสนามบินหรือโรงแรมใกล้กับสนามบินคันไซไว้เป็นทางเลือกสุดท้าย
จากนั้นฉันก็เข้าไปดูในเว็บไซต์ของ JR แล้วก็พบว่ารถไฟเที่ยวเช้าจากเมืองหรือย่านต่าง ๆ ในแถบคันไซที่จะมาถึงสนามบินคันไซได้เร็วที่สุดคือรถไฟจาก Wakayama แล้วพอกูเกิลพบว่าเมืองเล็ก ๆ ที่ตัวเองไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อนอย่าง Wakayama นี้ มันก็มีสิ่งที่น่าสนใจพอให้ฉันได้ใช้เวลาสองวันสุดท้ายในญี่ปุ่นได้อย่างไม่น่าเกลียดนะ ฉันก็ป่าวประกาศกับสองหนุ่มอย่างเป็นทางการ ...
“Ok guys, we are going to Wakayama!"
“Wa-Ka-Ya-What?" คุณสามีถาม
“Wa-Ka-Ya-Where? คุณลูกเอาบ้าง
“Wakayama, 50 minutes train journey from the airport" ฉันตอบ แล้วก็เข้าสู่โลกส่วนตัว ง่วนกับการยกเลิกการจองโรงแรมในโกเบที่ทำไปเมื่อวันก่อน แล้วจองโรงแรม Hotel Granvia ใน Wakayama แทน ด้วยเหตุผลที่ว่ามันอยู่ติดกับสถานีรถไฟ จึง (น่าจะ) สะดวกสำหรับเราที่จะขึ้นรถไฟเที่ยวตีห้าสิบหกนาทีไปยังสนามบินคันไซในวันสุดท้าย
เจ้าลูกชายจอมกวนนั่งหลับไปตลอดทางจนถึงสนามบิน เราผ่านขั้นตอนเช็คอินและพิธีการตรวจคนออกจากเมืองแล้วก็เหลือเวลาอยู่นิดหน่อย ตั้งใจจะหาอะไรกินกันในสนามบินก่อนขึ้นเครื่อง ฉันปล่อยสองหนุ่มออกไปเดินหากันก่อน ส่วนตัวเองยืนเฝ้าของรออยู่
สองหนุ่มหายไปนานแถมกลับมามือเปล่า บอกว่าไม่มีอะไรที่เจ้าลูกชายกินได้เลย ฉันอาสาออกไปเดินหาบ้างพร้อมกำเงินวอนที่เหลืออยู่หลายหมื่น ตั้งใจว่าจะใช้ให้หมดด้วยการซื้ออาหารเช้าและเครื่องสำอางของเกาหลี (ที่ตัวเองก็ไม่ได้เป็นติ่ง ไม่ได้รู้จัก หรือชอบยี่ห้อไหนเป็นพิเศษ)
ก็ไปเจอร้านขายแซนด์วิชอยู่ร้านหนึ่ง รีบคว้ามา 3 กล่องแล้วก็ไปต่อแถวยาวเหยียดรอจ่ายเงิน พอถึงคิวจ่ายเงินสั่งกาแฟเพิ่มแล้วก็ต้องรออีก หมดเวลาที่นี่ไปไม่ต่ำกว่า 20 นาที วิ่งกลับไปหาสองหนุ่ม ส่งมอบแซนด์วิชให้เสร็จ ฉันก็วิ่งตื๋อกลับไปช้อปปิ้งต่อ โดยมีเวลาเหลืออีกเพียง 10 นาทีก่อนถึงเวลาเรียกขึ้นเครื่อง
เมื่อคืนก่อนนอน ด้วยความที่ไม่รู้จักและไม่เคยสนใจเครื่องสำอางเกาหลีมาก่อน (แต่ตั้งใจว่าจะลองซื้อและลองใช้กันในทริปเกาหลีนี้) ก็เลยกูเกิลดูว่าจะซื้ออะไรยี่ห้อไหนดีหนอ ที่สุดก็ไปปิ๊งกับ innisfree ที่เป็นแบรนด์ออร์แกนิก ก็เม็มไว้ในมือถือว่าจะซื้ออะไรบ้าง
พอถึงตอนนี้เลยคว้าไอ้ที่เม็มไว้เมื่อคืนส่งต่อให้น้อง BA ช่วยหาของ แถมบอกน้องบีเอไปว่า “ป้าไม่รู้นะว่ามีเงินพอหรือเปล่า ตะกี้ซื้ออาหารเช้าไปหลายพันวอนแล้ว ลองใช้เครื่องคิดเลขคิดเงินให้ป้าดูก่อนว่าเท่าไหร่" น้องบีเอก็ "โอเคโอเค" แต่ไม่ทำตามวะ?? นางคีย์รหัสของสินค้าที่นางคว้า ๆ มาเข้าเครื่องไปเลย (ไรว้า !!) ครบหมดแล้วก็ขอบอร์ดดิ้งพาสของยัยป้าหน้าตาเฉย
ฉันชะโงกดูค่าของทั้งหมดแล้ว เสียดายจัง จ่ายเงินแล้วก็ยังเหลือเงินอีกหลายหมื่น ซื้อของได้อีกตั้งหลายชิ้น (ทั้งฉันและคุณสามีเพิ่งจะลั่นวาจาไว้ว่า “ครั้งเดียวก็เกินพอสำหรับโซล" ดังนั้นไม่จำเป็นต้องเก็บเงินที่เหลือไว้ ตั้งใจใช้ให้หมดที่สนามบินนี่แหละ) ละล้าละลังจะซื้อของเพิ่มเหรอก็ไม่มีเวลาแล้ว ได้เวลาเรียกขึ้นเครื่อง เลยตามเลยค่ะ จ่ายตังค์แล้วก็วิ่งแจ้นไปสมทบกับสองหนุ่มเพื่อต่อแถวขึ้นเครื่อง
ซื้อตั๋วเสร็จก็ลากกระเป๋าไปขึ้นรถไฟ เพียงแค่ 10 นาทีเราก็ถึงจุดหมายแรกคือ Hineno ซึ่งเราต้องลงที่นี่ แล้วขึ้นรถไฟอีกสายหนึ่งไปยัง Wakayama โดยมีเวลาเปลี่ยนรถไฟแค่ 5 นาที คุณสามีอาสาลากกระเป๋าเดินทางใบยักษ์ 2 ใบออกมาจากรถไฟ แล้วพวกเราก็ออกมายืนงงกันที่ชานชาลา เพราะสถานีนั้นมีอยู่ชานชาลาเดียวก็จริงแต่มีทางรถไฟ 2 ฝั่ง แล้วเราต้องขึ้นกันฝั่งไหนล่ะเนี่ย?
ฉันรีบวิ่งแจ้นไปหานายท่า แล้วพูดแค่ว่า “ Wakayama (วะกะยาหมะ)" เท่านั้นนายท่าก็ชี้ให้ดูว่าต้องข้ามไปยังอีกฝั่งหนึ่ง เราตาลีตาเหลือกวิ่งไปขึ้นบันไดไปยังสะพานข้าม คุณสามีหิ้วกระเป๋าทั้ง 2 ใบ (น้ำหนักรวมกันประมาณ 50 กิโล) เดินขึ้น-ลงบันได ทันรถไฟอีกสายไปยัง Wakayama พอดี ก่อนจะขึ้นรถไฟสายตาฉันเหลือบไปเห็นว่า สถานีเล็ก ๆ แห่งนี้มันมีลิฟต์ให้ผู้โดยสารใช้ขึ้นลงกันด้วย อ๊ายยยย แค้นใจ!!
พอถึง Wakayama เราก็ถามทางกับนายท่า (อีกแล้ว) ว่าโรงแรมของเราอยู่ที่ไหน ก็ได้รับการชี้ไม้ชี้มือว่า "ออกประตูนั้น" แค่เดินออกไปจากสถานีนิดเดียวก็พบกับโรงแรม เป็นอันสิ้นสุดการเดินทางอันทรหดตั้งแต่ช่วงเช้ายันบ่าย เช็คอินเอาข้าวของเข้าห้องทั้ง 2 ห้องเรียบร้อยแล้ว หิวซ่กกันขึ้นมาเลยค่ะ เพราะแซนด์วิชกล่องน้อยที่รองท้องมาเมื่อเช้ามันหายไปกับการวิ่งขึ้น-ลงสะพานที่สถานี Hineno หมดแล้ว ลงไปถึงล็อบบี้เห็นคาเฟ่ของโรงแรมเปิดอยู่ ดูเมนูด้านหน้าแล้วทุกคนโอเค ก็ตกลงปลงใจฝากท้องกันไว้ที่นี่แล
เราใช้เวลาดูของดาด ๆ ในห้างสรรพสินค้ากันอยู่พักนึง แล้วก็เดินออกไปยังสถานีรถไฟ JR Wakayama ไปพบกับเคาน์เตอร์การท่องเที่ยวเมืองวากายามาเข้า (เราไม่ได้วางแผนการท่องเที่ยวกันมาเลยล่ะค่ะ งานรัดตัวกันทั้งสองคน) ก็เข้าไปทักทาย ขอคำแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจในเมืองกันเลย
วันที่เราไปถึงวากายามานั้นคือวันที่ 31 ธันวาคมค่ะ เจ้าหน้าที่สาวที่เคาน์เตอร์คว้าแผนที่มาให้ เอาปากกามาวงสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจต่าง ๆ ให้เราสองคนดู แล้วก็เอ่ยประโยคเด็ดออกมาว่า
“พรุ่งนี้มันเป็นวันหยุดขึ้นปีใหม่ เกือบทุกที่ปิดหมดนะยู ไม่ว่าจะเป็นห้างสรรพสินค้า ตลาด ย่านช้อปปิ้งต่าง ๆ ในเมือง"
อ๊ายยยย ฉันอยากจะกรี๊ด โกรธตัวเองที่เจ็บแล้วไม่จำ เรื่องราวมันเป็นอย่างไรน่ะเหรอ?
เมื่อปีที่แล้วในช่วงเวลาเดียวกันนี้ ฉันและครอบครัวไป Fukuoka กันค่ะ แล้วก็ประสบปัญหาที่ว่าวันสิ้นปีและวันขึ้นปีใหม่นั้น ร้านค้าและห้างสรรพสินค้าส่วนใหญ่ปิดหรือไม่ก็ปิดทำการเร็วกว่าปรกติ ตลาดต่าง ๆ ปิด ที่น่าเสียดายคือตลาดปลาที่เขาว่ากันว่าเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของคิวชูก็ปิด ร้านอาหารในโรงแรมก็ปิด เป็นอะไรที่เข็ดมาก
วันสิ้นปีเราหาร้านอาหารกันไม่ได้ ต้องไปกินอาหารเย็นกันที่ Yoshinoya ใกล้กับโรงแรมซึ่งเป็นร้านเดียวที่เปิดโด่เด่อยู่ในคืนนั้นเป็นที่อนาถใจของตัวเอง เพราะอยู่ฮ่องกงฉันยังไม่เคยเข้าเลยนะ Yoshinoya เนี่ย ตอนนั้นโกรธตัวเองที่ไม่ (มีเวลา) ได้วางแผนท่องเที่ยวไว้ล่วงหน้า ตั้งใจไว้ว่าจะไม่มาญี่ปุ่นช่วงคริสต์มาส-ปีใหม่อีกแล้ว
พอเจ้าหน้าที่สาวกล่าวประโยคเด็ดดังกล่าวข้างต้น ฉันก็นึกถึงไอ้ที่สัญญิงสัญญากับตัวเองไว้แต่ลืมสนิทขึ้นมาทันที หมดอารมณ์เที่ยวค่ะ นึกห่วงเรื่องกินขึ้นมาเลย (ฮา) เย็นนี้ร้านอาหารในโรงแรมจะปิดไหมวะ? แล้วในห้างมันมีร้านอาหารด้วย มันจะเปิดหรือเปล่า? ก็กึ่งลากกึ่งจูงคุณสามีที่เพิ่งจะกินอาหารกันไปเมื่อตะกี้ไปเดินหาที่กินกันก่อน (แหม พูดแล้วก็อาย) ก็พบว่าร้านอาหารในห้างจะปิดตอนหกโมงเย็น ส่วนห้องอาหารญี่ปุ่นของโรงแรมจะเปิดบริการในช่วงเย็นตั้งแต่ 5 โมงไปจนถึง 3 ทุ่ม (ครัวปิด 2 ทุ่มค่ะ) มีที่กินแล้ว ยิ้มออกสิคะ เรื่องเที่ยวไว้คืนนี้ค่อยตัดสินใจว่า ไอ้ส่วนน้อยที่ไม่ปิดวันปีใหม่น่ะ มันมีที่ไหนบ้าง แล้วฉันจะไปที่ไหนดี
ไปถึงห้องอาหารเช้า คนเต็มเลยวะ ไม่มีโต๊ะว่างเลย แถมยังมีแขกทยอยเข้ามาอีกหลายคน ฉันต้องควักสันดาน เอ้ย … แนวปฎิบัติของชาวฮ่องกงมาใช้ในทันที ปล่อยให้สองฝรั่งยืนเจี๋ยมเจี้ยมรอพนักงานหาโต๊ะให้อยู่หน้าเคาน์เตอร์ต้อนรับ
คือคนฮ่องกงเนี่ยนะ เขาสามารถไปยืนค้ำหัว จ้องคนที่กำลังนั่งกินกันอยู่ในร้านอาหารเพื่อรอโต๊ะกันได้อย่างไม่รู้สึกผิด ส่วนไอ้คนที่นั่งกินอยู่ก็ไม่ได้รู้สึกเขินอายหรือเกรงใจแต่อย่างใด ยังตั้งหน้าตั้งตาคุย หรือดื่มน้ำชิลล์ ๆ หรือแคะขี้ฟันกันได้อย่างหน้าตาเฉยน่ะ
สักพักแขกของโรงแรมชาวญี่ปุ่น (โต๊ะที่ฉันไปยืนคุมอยู่ห่าง ๆ ไม่ให้น่าเกลียดนัก) ก็ลุกจากโต๊ะ (คงจะด้วยความเขินอายหรือเกรงใจ กร๊ากกส์) ฉันโค้งคำนับพร้อมกล่าวคำขอบคุณ (แน่ะ คนฮ่องกงคนไหนทำอย่างฉันบ้างวะ) ได้โต๊ะวิวดีติดหน้าต่างกันแล้ว สามเราก็เริ่มเดินไปจกอาหารกันในทันที (ยัยป้านี่โพสต์รูปอาหารอีกแล้ว เมื่อไหร่จะได้เที่ยวกันนี่??)
ระหว่างที่นั่งอยู่บนรถไฟ ฉันเห็นป้าคนนึง (คือวัยขนาดป้าของฉันอีกทีนึงน่ะนะ) เธอนั่งอ่านหนังสืออยู่โดยที่วางกระเป๋าเป้ไว้บนพื้นข้างตัว แล้วจู่ ๆ ป้าก็วางหนังสือลงบนเบาะ ถอดแว่นสายตาวางทับ แล้วเดินหายไปนานร่วม 10 นาที
“ถ้าเป็นเมืองไทยนะ ไม่แว่นก็กระเป๋าหาย แต่หนังสืออยู่นะ คนไทยอ่านหนังสือปีละไม่เกิน 8 บรรทัด" ฉันเมาท์มอยราวกับตัวอิจฉาในละครหลังข่าว
“ถ้าเป็นที่อังกฤษนะ เปอร์เซ็นต์หายกับเปอร์เซ็นต์อยู่เนี่ยเท่ากัน แล้วแต่คน แล้วแต่สถานการณ์" หนุ่มอังกฤษฝอยบ้าง
แล้วป้าก็เดินกลับมาตัวเบาเชียว (รู้นะว่าไปไหนมา!!) มานั่งอ่านหนังสือต่อ โดยที่ของไม่หายแต่อย่างใด ส่วนฉันก็ถึงสถานีปลายทางที่ตั้งใจพอดีค่ะ
ออกจากสถานี JR Kainan เราก็เดินหาป้ายจอดรถโดยสารไปยัง Wakayama Marina City กันค่ะ ที่นั่นเป็นรีสอร์ทซึ่งมีโรงแรม ออนเซน จุดท่องเที่ยวเล็ก ๆ ซึ่งเต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมสไตล์ยุโรป และที่สำคัญคือตลาดปลาที่ฉันตั้งใจจะมาดู หลังจากที่เมื่อวานสาวการท่องเที่ยวเธอว่าตลาดปลาในเมืองปิด ฉันเสิร์ชหาข้อมูลพบว่าตลาดปลาทีมีชื่อว่า Kuroshio ใน Marina City แห่งนี้มันเปิด คนชอบตลาดปลาอย่างฉันก็ไม่พลาดมาดูให้เห็นกับตา (ฉันว่าฉันไปเที่ยวตลาดปลา Tsukiji ที่โตเกียวก่อนที่เขาจะฮิตกันอีกนะ)
เดินออกจากสถานีไปนิดเดียว ฉันก็พบกับป้ายรถโดยสารไปยัง Marina City ซึ่งมีหนึ่งหนุ่มกับสามสาว (รุ่นลุง-ป้าเช่นเดียวกัน) ยืนรอรถกันอยู่ก่อนแล้ว ฉันได้ยินเสียง (ภาษา) ที่พวกเขาคุยกันก็แอบยิ้มกับคุณสามี เพราะทั้งสี่เป็นคนฮ่องกงค่ะ ไม่อยากจะเชื่อว่าคนฮ่องกงก็มาเที่ยว Wakayama กันด้วย ฉันทำงานแปลเนื้อหาเกี่ยวกับโรงแรมให้ Booking.com มา 4 ปีกว่า เพิ่งจะได้ยินชื่อ Wakayama ก็เพราะเหตุสุดวิสัยนี้เอง เดาเอาว่าพวกเขาน่าจะซื้อตั๋วของ Peach แล้วประสบปัญหาเดียวกันกับฉันละกระมัง (ก็ยังไม่อยากจะเชื่อนี่ ว่าใครหนอจะรู้จัก Wakayama กันด้วย)
ฉันปรามาสอากาศของ Wakayama ไปนิดค่ะ เพราะเมื่อสัปดาห์ก่อนฉันพักอยู่เกียวโต แล้วอุณหภูมิมันเท่า ๆ กันกับที่นี่ในวันนี้นี่แหละ แต่แหม .. วันนี้เนี่ยมันหนาวไปถึงกระดูกเลยนะ ความชื้นในอากาศมันมีส่วนอยู่มากนะคะ ขอเปรียบเทียบฮ่องกงซึ่งอุณหภูมิต่ำสุดประมาณ 10 องศา แต่ด้วยความที่อากาศชื้นมันเลยหนาวกว่าเกียวโต โอซาก้าที่อุณหภูมิ 1-3 องศาเสียอีก ที่นี่ก็เหมือนกันค่ะ
ยืนรอรถอยู่ประมาณ 10 นาทีเห็นจะได้ เราสองหนาวจนฟันกระทบกันโดยไม่ได้นัดหมาย เลยตัดสินใจไม่รอแล้วเรียกแท็กซี่ไปดีกว่า จะหันไปเรียก 4 ลุง-ป้าที่ยืนหนาวให้ขึ้นรถไปด้วยกันก็อ่ะนะ ที่นั่งไม่พอ กลัวผิดกฎหมายเขาด้วย นั่งแท็กซี่ไปได้ประมาณ 10-15 นาทีเท่านั้น เราก็มาถึง Marina City กันแล้ว รู้งี้ไม่เสียเวลายืนหนาวตั้งนานหรอกนะเนี่ย
ทางตลาดประกาศแจ้งเวลาประมูลทูน่ารอบต่อไปพอดี ซึ่งต้องรออีกเกือบชั่วโมงแน่ะ แต่เราสองไม่ใช่พวกที่ใช้เวลาที่ไหนนาน ๆ ค่ะ (นอกจากที่กิน) และไม่ได้ใส่ใจจะดูด้วย ก็เลยเดินดูแค่สินค้าในตลาดนี่แหละ ก็เป็นสินค้าแนวหลอกกินเงินนักท่องเที่ยวอ่ะนะคะ อาหารก็ไม่ได้ถูกกว่าข้างนอกเลย (แต่น่ากินอยู่นะ ฮ่าฮ่า) เดินเป็นพระยาน้อยชมตลาดจนทั่วแล้ว เราก็เดินขาสั่นไปป้ายรถเมล์ ถ่ายรูปเขื่อนกั้นคลื่นกั้นน้ำในความเห็นข้างบน สักพักรถเมล์ก็มาพอดี โชคดีจัง
ปรากฏว่าเข้าใจผิดสิคะ หลงตามไปจนมั่นใจว่าเขาไม่ได้ไปวัด (กร๊ากส์) หันไปเห็นทางขึ้นด้านข้างของวัด (ไม่คึกคักเท่าทางขึ้นด้านหน้าซึ่งเรามาพบตอนขากลับ) เราก็เดินขึ้นเขาตามเส้นทางนั่นไปทันที
เรามาที่วัด Kimii-dera นี้กันในวันขึ้นปีใหม่พอดี คนญี่ปุ่นชอบมาไหว้พระขอพรกันในวันนี้นะคะ คนเต็มวัดเลย ทำให้วัดมีบรรยากาศคึกคักไปอีกแบบ ชอบอยู่เหมือนกันค่ะ
เราเดินขึ้นบันไดสูงไปจนถึงด้านบนของวัด ก็ได้เห็นทิวทัศน์ของเมืองเล็ก ๆ ริมทะเลนี้กันเกือบเต็มตา โดยมีต้นไม้และกิ่งไม้แห้ง ๆ ในหน้าหนาวปิดบังวิวบางส่วนไว้อย่างน่ากวนโทสะ
เดินลงเขามาถึงเบื้องหลังก็พบกับทางขึ้นวัดด้านหน้า มีร้านรวงต่าง ๆ สองข้างทาง ทั้งร้านอาหารและร้านขายสินค้าที่ระลึก เราได้แต่เข้าไปดู ๆ ดม ๆ ค่ะ กระเป๋าเต็มแล้ว มาคราวนี้ไม่ได้ตั้งใจมาซื้ออะไรเป็นพิเศษ
หลังจากนั้นเราก็เดินออกจากวัดตรงเข้าเมือง ตั้งใจจะหาแท็กซี่หรือรถโดยสารไปยัง Wakayama Castle ที่หมายสุดท้ายของเราในวันนี้
“How can we go to Wakayama Castle from here?"
หนุ่มคนนั้นหัวเราะเสียงดัง แล้วตอบกลับมาเร็ว ๆ รัว ๆ เป็นภาษาญี่ปุ่น โนเนะ โนเนะ ฉันฟังไม่ออกสักคำ คุณสามีควักแผนที่ที่ได้มาจากสาวการท่องเที่ยวคนเมื่อวาน แล้วชี้ไปที่เป้าหมาย ฉันยังพูดคำว่า “บัสสึ" ตามไปด้วย หนุ่มคนนั้นก็เข้าใจทันที ชี้ว่าป้ายรถเมล์อยู่อีกฝั่งหนึ่ง แหม... น่ารักจริง ๆ
เราเดินจากหนุ่มคนนั้นมากำลังจะข้ามถนนไปอีกฝั่งหนึ่ง ก็เห็นแท็กซี่ผ่านหน้ามาพอดี เรียกขึ้นทันทีสิคะ บอกไปว่า Wakayama Castle (ออกเสียงว่า “วะกะยาหมะ" เหมือนคนญี่ปุ่นเองด้วยนะ) คนขับไม่รู้เรื่องค่ะ กร๊ากกส์ ควักแผนที่อันเดิมขึ้นมาโชว์ คุณคนขับก็ อ๋อ “วะกะยาหมะ-โจ" โจก็โจค่ะ!!
ก่อนมา ฉันกูเกิลมาแล้วว่าวันนี้ Wakayama Castle ปิด ตัวฉันเองไม่ได้ชอบเข้าไปดูในวัด ปราสาท หรือพิพิธภัณฑ์อะไรซักเท่าไหร่เลย ชอบดูคน ดูอาคาร ชอบถ่ายรูปข้างนอกมากกว่า ก็ไม่ได้ติดใจอะไร กะว่าเดินขึ้นเขาไปถ่ายรูปตัวปราสาทกับทิวทัศน์ตัวเมืองด้านล่างก็พอใจแล้ว
กึ่งเดินกึ่งคลานโต้ลมหนาวขึ้นเขาไปจนถึงด้านล่างของปราสาท เห็นตู้ขายตั๋วตั้งอยู่ด้านหน้าทางเข้า พนักงานนั่งขายตั๋วหน้าสลอนให้คนเข้าไปชมข้างใน อ๊าย ผิดคาด เปิดทำไม?? อย่าเปิด ไม่อยากเข้าไปดู!!
แล้วฉันก็ไม่ได้ซื้อตั๋วขึ้นไปดูจริง ๆ นะ ถ่ายรูปด้านนอกกันหลายช็อต พอใจแล้วก็เดินลงเขามา ตั้งใจจะกลับโรงแรมไปเล่นกับลูกกันล่ะ เดินดูเมืองกันนิดหน่อย รู้สึกเหมือนอยู่ในเมืองร้างค่ะ ออกไปยืนถ่ายรูปกลางถนนมาด้วย แทบไม่มีรถ ไม่มีคนกันเลยทีเดียว เจอแท็กซี่ผ่านมาก็เรียกขึ้น บอกจุดหมายเสร็จสรรพ แป๊บเดียวก็มาถึงหน้า JR Wakayama เมืองเขาเล็กจริง ๆ ค่ะ
เราแวะดื่มกาแฟกินขนมกันที่ Mister Donut (เป็นร้านเดียวที่เปิดบริการในวันนั้น) แวะซื้อแซนด์วิชกันที่ Family Mart ตกเย็นก็ออกจากห้องตั้งใจไปกินอาหารเย็นมื้อวันขึ้นปีใหม่กันที่ห้องอาหารญี่ปุ่นของโรงแรมเหมือนเดิม ปรากฏว่าไปถึง บอกพนักงานว่า "ขอโต๊ะ 3 คน" พนักงานยิ้มหวานตอบกลับมาว่า "แขกจองโต๊ะไว้เต็มหมดแล้ว" แป่ว !!! ทำไมโชคชะตาช่างใจร้าย??
เราลงลิฟต์ไปดูคาเฟ่ด้านล่างของโรงแรม อีก 5 นาทีจะหกโมงเย็นค่ะ พนักงานต้อนรับบอกว่าครัวจะปิดใน 5 นาทีนี้แล้ว ส่วนคาเฟ่จะปิดตอนหนึ่งทุ่ม เราโอเคมั้ย ไม่โอก็ต้องโอล่ะค่ะ
มื้อสุดท้ายในญี่ปุ่นในวันพิเศษแบบนี้ เราได้กินอาหารอย่างเดียวกับที่อาศัยกินแก้หิวกันไปเมื่อวันก่อน จบทริปญี่ปุ่นของเราไปอย่างงง ๆ ค่ะ
ขอบคุณเพื่อนสมาชิกพันทิปทุกท่านที่เข้ามาอ่านจนจบ ช่วยแปะอีโม ช่วยคลิกโหวต ช่วยฝากคอมเมนต์ไว้ทุกท่านนะคะ
ป้าเดซี่
วันพฤหัสที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 เวลา 12.32 น.