เรือเฟอร์รี่ข้ามอ่าวไทย พัทยา-หัวหิน

อยากไป! อยากลอง!

หลายคนอาจจะบอกว่า พัทยาหรอ? หัวหินหรอ? ไปบ่อยจนหลับตาเดินได้แล้ว

แต่ทว่าเคสนี้ มันบ่ใช่ที่จุดหมาย เพราะใจความสำคัญนั้นอยู่ระหว่างทาง มันเป็นการเปิดประสบการณ์ท่องเที่ยวแบบใหม่ มุมมองใหม่ๆ กับการข้ามทะเลจากแผ่นดิน สู่แผ่นดินจริงๆ มิใช่เกาะ สำหรับผมซึ่งไม่สามารถแล่นเรือใบข้ามอ่าวไทยได้อย่างคุณดู๋ สัญญา การนั่งเรือเฟอร์รี่ถือเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดสำหรับประสบการณ์แบบนี้ครับ




Royal Passenger Liner คือทางเลือกใหม่ ในการสัญจรไปมาระหว่างพัทยากับหัวหิน เหมาะมากสำหรับผู้ที่จะเดินทางระหว่างสองเมืองท่องเที่ยวใหญ่ ซึ่งหากเดินทางโดยรถยนต์ต้องใช้เวลา 5-6 ช.ม.เป็นอย่างน้อย แต่การเดินทางด้วยเรือเฟอร์รี่จะใช้เวลาเพียง 2 ช.ม.เท่านั้น!



เรือเฟอร์รี่พัทยา - หัวหิน จะมีวันละ 2 รอบ คือ

พัทยา > หัวหิน เรือออกเวลา 13.00น. ถึงหัวหิน 15.00 น.

ขึ้นที่ท่าเรือแหลมบาลีฮาย

-----------------------------------

หัวหิน > พัทยา เรือออกเวลา 16.00น. ถึงพัทยา 18.00 น.

ขึ้นที่ท่าเรือเขาตะเกียบ

-----------------------------------

จองตั๋วออนไลน์ได้ที่ https://royalferrygroup.com/

Walk in ซื้อตั๋วได้ที่

พัทยา > ชั้น 2 อาคารจอดรถอัตโนมัติ

หัวหิน > ท่าเรือเขาตะเกียบ

เพียงแค่ 2 ช.ม. คุณก็จะสามารถเปลี่ยนบรรยากาศจากเมืองแห่งความบันเทิง ไปสู่เมืองตากอากาศสุดคลาสสิก ที่มานี ชูใจไปเที่ยวตอนเด็กได้


ขอขอบคุณภาพจากเพจ มานะ มานี ปิติ ชูใจ


เกิดเป็นนักท่องเที่ยวหัวใจไทย เมืองไทยมีอะไรใหม่ๆมันต้องลอง ทริปนี้ก็เลยขนญาติโกโหติกา แม่ยาย น้องเมีย ไปลองของใหม่กันให้หมด วันนี้ผมขอนำตัวอย่างของการท่องเที่ยวพัทยา-หัวหิน ด้วยเรือเฟอร์รี่มาเล่าให้ฟังครับ และถ้าคุณอยากลอง ลองดูตัวอย่างจากทริปนี้ก่อน แล้วค่อยลองครับ (ลองจะเยอะไปไหน)



Day 1

คณะของเราออกเดินทางจากกรุงเทพฯ ช่วงสายๆของวันเสาร์ ด้วยเส้นทางมอเตอร์เวย์มุ่งตรงสู่พัทยา สองข้างทางบรรยากาศเดิมๆ วิวเดิมๆ แต่เรายังคงตื่นเต้น เพราะสิ่งใหม่ที่จะมาเพิ่มเติม กำลังจะเกิดขึ้นที่ปลายทาง




ก่อนเข้าตัวเมืองพัทยา เราแวะไปทำภารกิจแรก นั่นก็คือการสัมผัสความเย็นสุดขั่วที่เมืองน้ำแข็ง Frost magical ice of Siam ถ้ามาทางมอเตอร์เวย์ เราจะต้องเบี่ยงไปที่ทางออกบางละมุง(เกาะป้ายบางละมุงไว้) วนลงทางหลวง 36 แล้วกลับรถมาตามแผนที่ ส่วนใครมาทางสุขุมวิทก็เลี้ยวซ้ายที่แยกกระทิงลายได้เลยครับ



กลับรถมาแล้วจะเห็นทางเข้าของ Frost magical ice of Siam ที่มีพี่ยักษ์ยืนเด่นเป็นสง่าอยู่




เมื่อผ่านเข้าประตูมา เราจะพบกับ Zone The Himmapan

ป่าและสัตว์หิมพานต์สีขาว ตัดกับสีท้องฟ้าดีจริงๆ ตอนนี้สายตาของเราจะรับรู้แต่สีขาวกับสีฟ้า ทำให้เหมือนหลุดไปอีกโลกนึง เพราะทัศนียภาพแบบนี้ไม่สามารถพบเห็นได้ทั่วไป นี่เป็นอีกหนึ่งจุดที่ดึงดูดให้ผมอยากมาสัมผัสด้วยตา ดูมีเอกลักษณ์ได้โดยไม่เปลืองสี(--.--"ซะงั้น)



ต้องขอปรบมือให้ศิลปินที่สร้างงานเหล่านี้ขึ้นมา สร้างสรรค์ผลงานได้วิจิตรงดงามจริงๆ



เดินไป ปรบมือไป ..เหมือนคนใกล้บ้า --.--"



ในด้านของสาวๆ ที่ไม่ได้ซาบซึ้งถึงอิลิเม้นต์ทางศิลปะ ก็หามุมถ่ายเซลฟี่กันตามอัธยาศัย



ตรงทางเข้าจะมีร่มไว้ให้บริการฟรี เป็นอีกหนึ่งไอเท็มสำคัญสำหรับคุณสาวๆที่ชอบถ่ายรูปกลางแจ้ง ภาพที่พบเห็นก็จะออกมาเป็นแบบนี้



ถ่ายที ก็หลบเข้าร่มที เพื่อตรวจสอบคุณภาพ ก่อนเผยแพร่ออกสู่สายตาสาธารณชนต่อไป



ภาพนี้มันคุ้นๆอยู่นะ



สนุกกับการถ่ายรูปจนมาถึงรังมังกร ซึ่งอาคารด้านหลังนี้จะเป็น Zone Siam Heaven ที่ๆคุณจะได้สัมผัสกับอากาศหนาวแบบสุดขั้วได้ ในเมืองร้อนแบบบ้านเรา



Frost magical ice of Siam

ค่าบัตรเข้าชม ผู้ใหญ่ 350 บาท

เด็ก(ส่วนสูง 91-130 ซม.) 250 บาท

เด็ก(ส่วนสูงต่ำกว่า 90 ซม. เข้าฟรีจ้า

ราคานี้สามารถเข้าชมได้ทั้ง 2 โซน รวมเสื้อกันหนาว และ Soft Drink ในแก้วน้ำแข็ง

หากใครอยากได้ส่วนลดก็ลองติดตามเพจของ Frost magical ice of Siam ดูครับ มีโปรโมชั่นส่วนลดออกมาเรื่อยๆ

https://www.facebook.com/frostpattaya

ได้เวลาเข้าปะทะความหนาวติดลบแล้ว คนเมืองร้อนอย่างเราต้องเตรียมตัวให้ดีก่อนครับ บัตรเข้าชมจะรวมค่าเช่าเสื้อกันหนาวขนเป็ดมาให้อยู่แล้ว ส่วนใครลากแตะมา ก็ควรเช่ารองเท้าเพิ่ม ถ้าใส่ผ้าใบ หรือหุ้มส้นก็เข้าได้เลย บางคนเช่าเพราะไขมันในเลือดต่ำ กับบางคนไม่จำเป็นต้องใช้ แต่ออเจ้าก็ยังเช่า เพื่อให้ accessories ดูเต็ม ดูแน่น ดูสวยงามในยามเซลฟี่



หรือจะซื้อชุด Warm set แบบเหมาจ่าย 200 บาท มีที่ครอบหู ถุงมือ ถุงเท้า และรองเท้า คุณสามารถนำกลับบ้านได้ทั้งหมดยกเว้นรองเท้า จะซื้อเป็นอย่างๆก็ได้ ราคาตามป้ายครับ (รองเท้ามีให้เช่าเท่านั้น)



เมื่อพร้อมแล้ว ก็ลุยกันเลยยยย!




ภายใน Zone Siam Heaven จะมีผลงานประติมากรรมน้ำแข็งแกะสลัก โดมน้ำแข็งใหญ่ที่สุดในอาเซียน การจัดแสงสีที่ผ่านผลึกน้ำแข็ง จะทำให้เกิดมิติและสีสัน ช่างงดงามเสียยิ่งกระไร




อยู่เมืองไทยก็สัมผัสความเย็นแบบติดลบได้โดยไม่ต้องไปถึงเมืองนอก แม้แต่ฝรั่งมังค่าก็ยังเข้ามาเที่ยวกัน ไม่ใช่เพราะความหนาวที่พวกเขาชาชิน แต่เข้ามาชมฝีมือการแกะสลักน้ำแข็งของคนไทย ที่ยอมรับกันในระดับโลก



มุมโปรดของเด็กๆ สไลเดอร์น้ำแข็ง ไถลกันให้เย็นตูดไปเลย



ที่บาร์น้ำแข็ง สามารถนำหางบัตรเข้าชม มาแลก Soft Drink เป็นน้ำอัดลมที่อยู่ในแก้วน้ำแข็งได้ No alcohol นะครับ



เมื่อ No alcohol ทางออกสุดท้ายคือ มัลดีฟส์(เมาดิบ) ดริฟๆ โช๊คๆ กันไป เด๋วก็เมาเอง






สำหรับจุดถ่ายรูปก็มีจัดไว้เป็นโซนๆ ฉากๆ ให้ได้เซลฟี่อัฟเฟสกัน




สนุกสนานกันอยู่ราวๅหนึ่งชั่วโมงกว่า ก็ได้เวลาออกเดินทางต่อ จุดหมายต่อไปของเราก็คือที่พักในคืนนี้ THE VOGUE PATTAYA HOTEL ซึ่งตั้งอยู่ที่พัทยากลางระหว่างสาย 2 กับสาย 3



ถึงแล้วครับ โรงแรมเดอะโว้คพัทยา สะดุดตากับสีสันของตึกในสไตล์ Hip Deo Building แม้ทำเลจะตั้งอยู่ในแหล่งช็อปปิ้ง ที่มีร้านอาหาร และผับบาร์มากมาย แต่เมื่อเข้ามาในบริเวณโรงแรมกลับเงียบสงบเหมาะแก่การพักผ่อนมาก



ล็อบบี้โปร่งๆ ชิลๆ มีมุมให้นั่งเล่นสบายๆ



นั่งๆนอนๆ เอาที่สบายใจ แต่ถ้าขอได้ พี่อย่ากรน



เอาล่ะ มาเช็คอินกันก่อนดีกว่า




รับ Welcome drink มาดื่มให้สดชื่น แก้อาการเมาดิบที่ค้างจากเมืองน้ำแข็งได้ชะงักนักแล




ออกไปดูสระว่ายน้ำกันก่อน อยู่ข้างๆล็อบบี้นี่เอง ที่ The Vogue Pattaya Hotel จะมีสระว่ายน้ำด้วยกัน 3 สระให้เลือกเล่นกันตามชอบ สระไหนคนเริ่มเยอะเราก็ย้ายไปอีกสระ ผมว่าดีกว่าสระใหญ่ๆสระเดียวนะ (สระ สระ สระ)



เบื่อห้องแอร์ ก็มานอนรับลมชิลๆที่สระว่ายน้ำได้นะตะเอง



นอกจากนี้ ริมสระยังมีฟิตเนสให้ออกแรงกันยามว่างอีกด้วย



มาดูห้องพักของเรากันบ้าง คืนนี้นอนที่ห้อง Superior Room ขนาดห้องกว้างใช้ได้ เหลือพื้นที่ให้เสริมเตียงอีกสบายๆหากมากัน 3 คน



ในยามค่ำคืนโทนสีและแสงของห้อง ดูแล้วอบอุ่นชวนนอน




หมอนเยอะมาก! มีทั้งหมด 6 ใบ ถ้ารวมหมอนสำรองในตู้เสื้อผ้าด้วยก็เป็น 7 ใบ นอนจมกองหมอนกันไปเลยคืนนี้



สยิวกิ้วอีกครั้งกับห้องน้ำใสแจ๋ว แต่ไม่ต้องห่วง ถ้าไม่ใช่คู่ข้าวใหม่ปลามันที่ต้องการบิ้วอารมณ์ใดๆ ก็มีม่านประเพณีให้ปิดกั้น หรืออีกนัยหนึ่งคือ ม่านคุมกำเนิด หุหุหุ



ข้าวของเครื่องใช้ในห้องน้ำมีพร้อมสรรพ ในโหมดของการอาบ ก็มีทั้งฝักบัวและเรนชาวเวอร์



เฟอร์นิเจอร์ออกแบบด้วยไม้และตะแกรงเหล็กอย่างลงตัว เห็นในตู้มั้ยครับ? มีหมอนอีกใบให้เธอฝันยามหนุน



ไปดูกันอีกสักหนึ่ง Room Type ครับ นี่เป็นห้องแบบ Junior suite room มี 1 ห้องนอน และ 1 ห้องนั่งเล่น ถ้าเปิดห้องนี้จะเป็น Connecting room กับห้องข้างๆ ก็จะกลายเป็นห้องแบบ Family Suite 2 ห้องนอนครับ




ดูภายในห้องนอนกันบ้าง รูปแบบคล้ายๆกัน แต่จะเพิ่มสีสันห้องน้ำขึ้นมาอีกนิดนึง




ที่ The Vogue Pattaya hotel จะมีห้องพักทั้งหมด 4 แบบ คือ

- Family Suite room

- Junior suite room

- Superior Room

- Standard room (ทุกอย่างเหมือนห้อง Superior ที่ผมพัก แต่ไม่มีระเบียง)

ราคาเริ่มต้นแค่คืนละ 700 กว่าบาทเท่านั้น ถือว่าเป็นโรงแรมที่คุณภาพเกินราคาทีเดียว

สามารถติดต่อ จองห้องพัก ติดตามโปรโมชั่นต่างๆได้ตามช่องทางนี้ครับ
http://voguepattaya.com/

https://www.facebook.com/theshiningstarhotelsgroup

--------------------------------------------------


จบเรื่องที่พักฝั่งพัทยากันไปแล้ว ขอปิดท้ายวันแรกด้วยอาหารค่ำ ไม่ต้องไปหาร้านอาหารเลิศหรูที่ไหนครับ วันนี้เราจะทานกันง่ายๆ ในฟู้ดคอร์ท แต่ทว่าฟู้ดคอร์ทแห่งนี้ มีความไม่ธรรมดาซ่อนอยู่ จะวิเศษวิโสแค่ไหน ตามไปดูกันต่อเลยครับ




ที่นี่คือศูนย์อาหาร Food wave ตั้งอยู่บนชั้น 3 ของห้าง Royal Garden Plaza พัทยา ก็ห้างที่มีเครื่องบินชนตึกนั่นแหละครับ หาไม่ยาก ที่จอดรถสบาย Food wave เป็นศูนย์อาหารนานาชาติ มีให้เลือกทานกันมากมายหลายร้าน ทั้งอาหารไทย จีน อินเดีย ญี่ปุ่น เวียดนาม อิตาเลี่ยน รัสเซีย อเมริกันก็มา รวมทั้งซีฟู้ด และเบเกอรี่อีกด้วย




และหนึ่งสิ่งที่บอกว่าไม่ธรรมดา ก็คือวิวเทพๆที่มองเห็นได้ทั่วอ่าวพัทยา ผมว่านี่คือฟู้ดคอร์ทที่วิวสวยที่สุดแล้ว




อีกด้านของอ่าวพัทยาครับ นั่งทานกันแบบสบายๆ เพราะที่ฟู้ดเวฟคนยังไม่เยอะมากนัก ใครที่จองโต๊ะร้านดังๆไม่ทัน ลองมาที่นี่ดูครับ




ปิดท้ายวันแรกแบบอิ่มๆ ด้วย Sunset ยามเย็นที่พัทยา



Day 2

เริ่มต้นเช้าวันที่สองของทริป ด้วยการกินอีกแล้วครับ กับบุฟเฟ่ต์อาหารเช้าที่ The Vogue Pattaya hotel



ไลน์บุฟเฟ่ต์ของเดอะโวคพัทยา มีทั้ง American breakfast และอาหารไทยหลากหลายชนิด




ผลไม้ ขนมปัง ชา กาแฟ และเครื่องดื่ม เลือกทานกันให้เต็มที่ จะได้มีแรงเที่ยวต่อครับ




วันนี้มีนัดสำคัญในการนั่งเรือข้ามอ่าวไทยเป็นครั้งแรกในชีวิต คณะเราเช็คเอ้าท์ออกจาก The Vogue กันประมาณ 11 โมง เพื่อให้ไปถึงท่าเรือเร็วหน่อย เรือจะออกในเวลา 13.00 น. ควรไปล่วงหน้าอย่างน้อย 30 นาที หรือ 1 ช.ม.ครับ

จากโรงแรม The Vogue ขับมาเพียง 3 กม. ก็ถึงแหลมบาลีฮาย ซึ่งเป็นจุดที่จะขึ้นเรือ โดยเราจอดรถไว้ที่อาคารจอดรถระบบลิฟท์ของเมืองพัทยาครับ




หากยังไม่ได้จองตั๋วเรือเฟอร์รี่มา สามารถขึ้นไปซื้อได้ที่ชั้น 2 ของอาคารจอดรถแห่งนี้ ส่วนใครที่จองตั๋วออนไลน์ไว้แล้ว https://royalferrygroup.com/ ก็หยิบสัมภาระที่จำเป็นแล้วไปที่ท่าเรือกันเลย

ปล. หากใครมาถึงใกล้เวลาเรือออก อย่ารอเอารถขึ้นลิฟท์นะครับ เพราะจะใช้เวลารอคิวมากพอสมควร บอกให้พนักงานหาที่จอดด้านล่างให้คุณเลย เดี๋ยวจะไม่ทันเรือออก





อย่ารอช้า มุ่งหน้ามายังท่าเรือ C ซึ่งมีเรือเฟอร์รี่ลำใหญ่จอดอยู่ สวยหรูดูดีทีเดียว




ขั้นตอนการขึ้นเรือก็คล้ายกับเครื่องบินครับ นำบัตรประชาขน หรือพาสปอร์ตมาเช็คอินที่ท่าเรือ



จากนั้นจึงเดินเข้าเกท ตรวจเช็คสัมภาระเพื่อความปลอดภัยของผู้โดยสารทุกคน



กระเป๋าผ่านเครื่อง X-ray / คนผ่านเครื่อง Scan / ปลอดภัยหายห่วง

ถ้ามีเครื่อง Print ด้วยก็เปิดออฟฟิตได้เลย



พอดีบ้านอยู่แถวสามแยก เลยแวะแซวพนักงานเล็กน้อย หมาหยอกไก่



จากนั้นมุ่งตรงไปที่เรือ มาใกล้ๆยิ่งดูยิ่งใหญ่อายะนันท์มากๆ



นำกระเป๋าไปวาง ณ จุดวางกระเป๋า เดี๋ยวพนักงานจะจัดการให้เอง ส่วนเราก็เดินตัวปลิวสวยๆ ขึ้นเรือไป



ภายในเรือเฟอร์รี่กว้างขวางมากครับ รองรับได้ถึง 300 คน โดยมี 2 ชั้น คือ

1 ชั้นประหยัด

2 ชั้นธุรกิจ และห้อง VIP

นี่เป็นชั้นประหยัดครับ



ผู้โดยสารเริ่มทยอยขึ้นเรือ ตั๋วจะระบุที่นั่งไว้เรียบร้อยแล้ว



ใต้เบาะทุกที่นั่งจะมีเสื้อชูชีพอยู่



เพื่อความปลอดภัย ควรศึกษาข้อปฏิบัติกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน จากทั้งวีดีโอและเอกสารทีมีอยู่ทุกที่นั่งครับ




ขึ้นไปดูชั้นบนกันบ้างครับ



เห็นทางขึ้นแล้วนึกถึงฉากจบไททานิก



ห้องชั้นบนจะมีจำนวนที่นั่งน้อยกว่า เพราะเป็นชั้นธุรกิจ เก้าอี้ก็จะใหญ่หน่อย ทำให้จุได้ไม่มาก



เก้าอี้กว้างกว่า ดูนั่งสบายกว่า ก็เป็นไปตามราคาของแต่ละชั้นนะครับ



นอกจากนี้บนชั้นสอง ก็ยังมีห้อง VIP อีกด้วย ทั้งแบบ 4 ที่นั่ง และ 6 ที่นั่งต่อห้อง โดยจะมีน้ำดื่มและของว่างเสิร์ฟให้ฟรี



นี่เป็นห้อง VIP 4 ที่นั่งครับ มีทีวีให้ดูทั้งสองด้าน ไม่ต้องหันให้เมื่อยคอ



ส่วนนี่เป็น VIP 6 ที่นั่ง ดูเหมือนห้องรับแขกในบ้านเลย เหมาะกับกลุ่มเพื่อนหรือครอบครัว ถ้ามากันเยอะ หารราคาต่อคนแล้ว เพิ่มอีกไม่กี่ร้อยจากชั้นธุรกิจ แต่ได้ความเป็นส่วนตัวก็ถือว่าคุ้มครับ เพราะราคาจะเป็นแบบเฉลี่ย ไม่ได้แพงต่างชั้นกันมากเหมือนเครื่องบิน



ห้อง VIP ทั้งสองแบบ เสื้อชูชีพจะซ่อนอยู่ใต้เบาะนะครับ



สำหรับห้องน้ำจะมีอย่างเพียงพอทั้งสองชั้นครับ




เมื่อเรือเคลื่อนตัวออกจากพัทยา ก็ถึงเวลาพักผ่อนตามอัธยาศัย



ลูกเรือเริ่มแจกน้ำดื่มกันอย่างขยันขันแข็ง




นอกจากน้ำดื่มที่แจกฟรีแล้ว ยังมีเครื่องดื่มอื่นๆ, อาหารเบาๆ และของใช้ส่วนตัวจำหน่ายอีกด้วย



ขายดีมาก พนักงานนี่รับออเดอร์แทบไม่ทัน ที่ท็อปฮิตติดชาร์ทมากที่สุดคือมาม่าครับ ทั้งไทยทั้งฝรั่งซัดมาม่ากันกลางอ่าวไทย คือแบ่บได้อารมณ์สุดๆอะ



แหม่.. New experience แบบนี้ มีรึจะพลาด จัดไปหนึ่งป๋องแน่นวล



นั่นเป็นแอ็คชั่นสุดท้ายบนโลกโซเชียลของผม เพราะสัญญาณโทรศัพท์มาได้ไกลที่สุดแล้ว เกือบๆกลางอ่าวไทยเหมือนกัน จากนี้กิจกรรมก็คือ กิน อ่านหนังสือ หรือดูรายการยิ้มหน่อยหน้าดาราจำเป็น (รายการเดียวกับบนเครื่องบินเลย)




และแล้วเรือก็เดินทางมาถึงจุดหมายโดยสวัสดิภาพ



เรือจอดเทียบท่า เคียงข้างเขาตะเกียบ ช่างสง่างามสมกันยิ่งนักระหว่าง ธรรมชาติ และเทคโนโลยี ว่าไปนั่น



ผู้คนทยอยลงจากเรือ และมีผู้โดยสารจากทางฝั่งหัวหินเตรียมขึ้นเรือกลับไปฝั่งพัทยา



รอรับสัมภาระสักครู่ กระเป๋ามีจำนวนมาก แต่ลูกเรือก็ทำงานกันอย่างว่องไว



มาถึงหัวหิน มีราชรถมาจอดรอเราอยู่ที่ลานจอดรถของท่าเรือเรียบร้อย ผมติดต่อเช่ารถจาก TN Car Rental Hua Hin ได้มิตซูฯ Attrage มาขับในหัวหิน ราคา 1,000 บาทต่อวัน โดยมีค่ามัดจำรถ 2,000 บาท ได้คืนหลังจากส่งรถ เขามีบริการมารับส่งที่ท่าเรือเฟอร์รี่เลยครับ




มุ่งหน้าเข้าสู่เมืองหัวหิน บรรยากาศ รูป รส กลิ่น เสียง มันเปลี่ยนไปเพียงชั่วเคี้ยวหมากแหลกจริงๆ ไม่ได้มโน ใครที่ไปหัวหินและพัทยาบ่อยๆ จะรู้สึกได้ถึงความแตกต่างของสองเมืองนี้




จุดหมายต่อไปของเราคือ Hub Hua Hin 57 ออกเสียงคล้าย แต่ไม่ใช่ค่ายหนัง ฮับบ์หัวหิน จะเป็นที่พักของเราในวันนี้ อยู่กลางเมืองในซอยหัวหิน 57 ตรงข้ามกับตลาดโต้รุ่งเลย ทำเลเลิศสะแมนแตนมั๊กๆ




ถึงแล้วครับ Hub Hua Hin เป็นโรงแรมเล็กๆแต่สะดวกสบาย มีที่จอดรถด้วย อย่างที่ทราบกันดีว่าทำเลแถวนี้หาที่จอดรถยากมาก เพราะเป็นแหล่งรวมของร้านรวงและตลาด




ล็อบบี้เรียบง่าย ตกแต่งได้น่ารักดี






โรงแรมมีลิฟท์ แต่ผมชอบบันไดมากกว่า มีสีสันมาก แต่ละชั้นจะมีวลีเด็ดๆ มาใช้ในการตกแต่ง

เดินดูข้อความแต่ละชั้นแล้ว น้ำตาจะไหล T.T (อ่านไม่ออก..)





ห้องที่เราพักเป็นแบบ DELUXE SEA VIEW ตกแต่งได้น่ารักมาก มีกลิ่นอายคาริเบียนนิดๆ โทนสีพาสเทลดูสบายตาดี



นอนมองดูทะเลแล้วไม่อยากจะลุกเลย เตียงและวิวดูดวิญญาณให้อยากพักผ่อนทั้งวัน




ข้าวของเครื่องใช้ครบครันในวันพักผ่อน






ห้องน้ำจัดวางอย่างเรียบง่าย




แต่ที่จัดว่าเด็ดคือ ถ้าใครตัวสูงสักหน่อย จะได้อาบน้ำพร้อมกับวิวนี้




ที่ Hub Hua Hin 57 มีห้องพักให้เลือกทั้งหมด 3 Type คือ

- SUPERIOR ROOM

- DELUXE ROOM

- DELUXE SEA VIEW ROOM

สามารถติดต่อ จองห้องพัก และติดตามโปรโมชั่นต่างๆได้ตามช่องทางนี้ครับ

http://www.hubhuahin57.com

https://www.facebook.com/hubhuahin57/

-------------------------------------


บริเวณใกล้ๆกับโรงแรม จะมีชายหาดที่เงียบสงบให้มาเที่ยวเล่นกัน มีสะพานทอดยาวลงไปในทะเล ให้คนไทยไปตกปลา ฝรั่งไปอาบแดด





โปรแกรมต่อไป กินอีกแล้วครับท่าน เสริมพุงจริงๆทริปนี้ ช่วงเย็นเราไปทานข้าวกันที่ Oceanside beach club & restaurant ซึ่งตั้งอยู่ในพุทธรักษา หัวหิน รีสอร์ต ไม่ไกลจาก Hub Hua Hin




นอกจากดื่มกิน แล้วยังมาดื่มด่ำบรรยากาศริมทะเลหัวหิน หาดแถวนี้สงบไม่วุ่นวายดีครับ




ตอนแรกก็เลือกนั่งตรงที่ฝรั่งนั่งนั่นแหละ แต่วันนี้มามื้อหนัก มันกินไม่ถนัดถนี่ จึงขอย้ายมานั่งโซนด้านใน




นั่งให้เป็นกิจลักษณะ จะได้กินสะดวกๆ




สังคมก้มหน้า ขณะรออาหาร




ที่ Oceanside beach club นอกจากบรรยากาศดีแล้ว รสชาติอาหารก็ถูกปากถูกใจแม่ยายเลยทีเดียว




หลังจากดินเนอร์ที่ Oceanside beach เสร็จสรรพ เราก็นำรถกลับมาจอดไว้โรงแรม เพื่อออกไปเดินเล่นที่ตลาดโต้รุ่งหัวหินกันต่อ เดินออกมานิดเดียว ข้ามถนนก็ถึงโต้รุ่งแล้วครับ




มาเดินตลาดโต้รุ่งหัวหิน คงหนีไม่พ้นเรื่องกิน(อีกแล้ว) ก็ของกินมันเยอะ กิจกรรมเลยแยะ อย่างร้านนี้เค้าก็ขายทั้งหมู ทั้งอาหารทะเล



ทัวร์สวาปามยังไม่จบ อย่าเพิ่งนับศพทหาร กินเอากินเอา ชี้ จ่าย กิน ชี้ จ่าย กิน วนลูปเป็นเดจาวูตลอดทาง กินไม่เผื่อไว้ให้ลูกหลานในภายภาคหน้ากันเลยคณะเรา



กินเยอะขนาดนี้มันต้องเบิร์น



เดี๋ยวๆๆๆๆ ชี้อะไร ชี้ทำไม กินข้าวเย็นมาแล้วนะ!!




เอ่อ...ทัวร์สวาปามยังไม่จบ อย่าเพิ่งนับศพทหาร อีกครา.. ราตรีสวัสดิ์



Day 3

ตื้นเช้ามาพร้อมกับน้ำตาลในเลือด วันนี้วันสุดท้ายของทริปแล้ว เศร้า...



หลังเช็คเอ้าท์จาก Hub Hua Hin 57 ในตอนเที่ยง ยังมีเวลาเหลืออีกประมาณ 3 ช.ม. เราจึงมาเดินชิล แช่่แอร์เย็นๆ และหาของกิน(อีกแล้ว) กันที่ห้างบลูพอร์ต หัวหิน



บรรยากาศของ Blúport Huahin เป็นกลิ่นอายทะเล สมกับเป็นห้างของเมืองตากอากาศ




ในด้านร้านอาหารก็มีให้เลือกมากมาย



สุดท้ายมาสรุปลงตัวกันที่อาหารอีสานร้านลาวญวน ใช้มือถือถ่ายมารูปเดียวครับ พอดีมือปั้นข้าวเหนียวติดพันอยู่



ต่อด้วยของหวาน --.--" ที่ร้าน The coffee club




เพิ่งเคยเข้าร้านนี้ครั้งแรก กาแฟรสชาติถูกใจเลย เดี๋ยวต้องไปหาดื่มที่กรุงเทพฯบ้าง



คณะเราเดินทางมาถึงท่าเรือเขาตะเกียบประมาณ 1 ช.ม.ก่อนเรือออกในเวลา 16.00 น.(ควรไปล่วงหน้าอย่างน้อย 30 นาที) หลังจากทางบริษัทเช่ารถมารับรถคืนไปแล้ว เราก็ถ่ายรูปเล่นฆ่าเวลาแถวท่าเรือ ซึ่งจะเป็นชายหาดเขาตะเกียบที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา


ได้เวลาอันเป็นมงคลฤกษ์แล้ว ไปเช็คอินเรือเฟอร์รี่กันดีกว่า



เครื่อง X-ray ที่นี่มีถึงสองเครื่องเชียวนะ



เรือมาแว้วววว ร่ำลากันให้เต็มที่ คิดถึงก็กลับมาเยี่ยมกันได้นะ ข้ามอ่าวไทยมาแค่ 2 ช.ม.เองที่รัก



เวลาแห่งความสุข มักจะผ่านไปอย่างรวดเร็วเสมอ แต่ประสบการณ์ใหม่จากการเดินทางครั้งนี้ จะคงอยู่ในความทรงจำตลอดไป สู้ต่อไป..ทาเคชิ (ซะงั้น)




กลับถึงพัทยาโดยสวัสดิภาพ เป็นการปิดทริปอย่างสมบูรณ์

สุดท้ายนี้ขอขอบคุณ Royal Passenger Liner ที่ช่วยเปิดประสบการณ์ท่องเที่ยวใหม่ให้กับผมและชาวคณะ ติดตามข่าสารและโปรโมชั่นได้ที่เพจ https://www.facebook.com/RoyalPassengerLiner/



มีข้อสงสัยเกี่ยวกับการท่องเที่ยวหรือการเดินทางเพิ่มเติม เข้าไปถามได้ที่เพจ จุดพักนักเที่ยว นะครับ

https://www.facebook.com/travelerpoint

ทริปหน้าไปเที่ยวที่ไหน จะมาเม้าท์ให้ฟังอีก สวัสดีครับ..

ความคิดเห็น