ชุมชนหัวตะเข้ แค่ชื่อก็สะดุดหูแล้วใช่ไหมคะ หลายคนคงคิดไปว่า ชุมชนนี้ต้องมีจระเข้เยอะแน่ๆ และน่าจะอยู่ที่จังหวัดพิจิตรเป็นแน่ จริงอยู่ที่ที่นี่เมื่อก่อนมีจระเข้เยอะมาก แต่ชุมชนนี้ตั้งอยู่ที่ลาดกระบัง กรุงเทพฯนี่เองค่ะ การเดินทางมาก็สะดวกมากๆ แค่นั่งแอร์พอร์ต เรล ลิ้งก์มาลงที่สถานีลาดกระบัง แล้วต่อแท็กซี่ไม่กี่นาทีก็ถึงแล้วค่ะ
พวกเราเริ่มเดินทางจากอนุสาวรีย์ชัยฯ โดยนั่งBTSมาลงที่สถานีพญาไท เสียไปคนละ 16 บาท แล้วมาต่อรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิ้งค์มาลงที่สถานีลาดกระบัง เสียไปคนละ 40 บาท แล้วต่อด้วยรถแท็กซี่มาที่ซอยลาดกระบัง17 ค่าแท็กซี่ 60 บาท เรามากัน 4 คน เลยเหลือเพียงคนละ 15 บาท หรือถ้าใครไม่อยากนั่งแท็กซี่ ที่สถานีแอร์พอร์ตลิ้งค์ก็มีรถสองแถว คนละ 9 บาทเท่านั้นค่ะ
เมื่อเดินเข้าซอยมาก็จะเจอตลาดหัวตะเข้ ให้สังเกตทางขวาจะมีซอยที่มีป้ายตลาดสดอุดมผล ให้เดินเข้าไปในซอยนี้จนสุด จะเจอกับศาลเจ้าดังภาพนี้ค่า
เหตุที่ชื่อว่า หัวตะเข้ เพราะในอดีตมีคนพบหัวกะโหลกจระเข้เยอะมาก ที่สี่แยกแม่น้ำดังภาพข้างล่างนี้ อันเกิดจากมีการขุดคลองประเวศบุรีรมย์ในสมัยร.5 จนมาตัดกับคลองลำปะทิว และด้วยเหตุที่พบหัวจระเข้เยอะ จึงเรียกสี่แยกแม่น้ำนี้ว่า สี่แยกหัวตะเข้ โดยหัวกะโหลกจระเข้ที่ยาวที่สุดที่พบนั้น ยาวถึง 1 เมตรเลย ปัจจุบัน ชาวบ้านก็ยังเก็บหัวกะโหลกจระเข้ไว้ที่ศาลเจ้าแห่งนี้ และตั้งชื่อให้ว่า ศาลเจ้าพ่อหัวตะเข้
นอกจากชื่อ “หัวตะเข้” แล้ว ชุมชนนี้มีอีกชื่อว่า ชุมชน หลวงพรต-ท่านเลี่ยม ซึ่งเป็นชื่อแรกของชุมชน เหตุที่ชื่อนี้ เพราะหลวงพรตพิทยพยัต และ คุณหญิงเลี่ยม บุนนาค เป็นผู้บริจาคพื้นที่ให้ชาวบ้านได้อยู่อาศัยกัน และปัจจุบันชุมชนนี้ก็ยังใช้ทั้งสองชื่อ แต่คนส่วนใหญ่นิยมใช้ชื่อ“หัวตะเข้”กัน
มาเดินทางกันต่อค่ะ เรากลับมาที่ซอยเดิม แล้วเดินตรงต่อเข้าไป เราก็เจอกับโรงเจที่มีป้ายทางเข้ายิ่งใหญ่อลังการชื่อว่า โรงเจฮะเฮงตั้ว เลยเดินเข้าไปแวะชมสักหน่อย
ภายในโรงเจเป็นโถงโล่งกว้าง ตรงกลางโถงเปิดโล่งไม่มีหลังคา ทำให้บรรยากาศเย็นสบาย ภายในมีทั้งพระพุทธรูปและเทพเจ้าจีนมากมายรายล้อม จากภาพข้างบน คือมีพระอยู่รอบๆเลยค่ะ ดูซิคะ เรายังไหว้ไปทางขวาเลย ถือได้ว่า ยิ่งใหญ่สมกับป้ายหน้าโรงเจจริงๆค่ะ
เมื่อไหว้พระสะสมบุญกันแล้ว ก็เดินทางต่อเข้าไปในซอยจะเจอกับป้ายต้อนรับและสะพานข้ามคลอง
บนสะพานวิวสวยมากค่ะ และตอนที่เราไปโชคดีมาก เราได้เห็นเครื่องบินบินผ่านหน้าเราไปด้วยค่ะ แต่เสียดายที่เราถ่ายรูปมาไม่ทัน เพราะที่นี่อยู่ใกล้สนามบินสุวรรณภูมิ เราเลยได้เห็นเครื่องบินในระยะที่ใกล้มากๆ ชัดมากๆเลยค่ะ
พอเราข้ามสะพานมา เราก็จะพบกับชุมชนตลาดเรือนไม้เก่าริมน้ำอายุร้อยกว่าปี บรรยากาศเหมือนเราย้อนยุคไปสมัยก่อนที่รายล้อมด้วยบ้านไม้โบราณ ถือว่าเป็นจุดเด่นของที่นี่เลยค่ะ ขวามือเราก็เจอร้านกาแฟเล็กๆสวยๆ มีอาหารและเครื่องดื่มให้เราได้ลิ้มลองมากมาย
เดินมาเรื่อยๆเราก็จะเจอกับร้านตัดผมที่ชื่อว่า ร้านยศบาร์เบอร์ คุณลุงน่ารักมากเลยค่ะ ให้คำแนะนำพาชมบ้านของคุณลุง ซึ่งในสมัยก่อนคุณลุงเล่าให้ฟังว่า ร้านตัดผมนั้นเป็นของพ่อของคุณลุง ซึ่งเป็นที่นิยมมากในสมัยนั้น และคุณลุงยังเล่าเรื่องราวในชุมชนตอนที่คุณลุงยังเป็นเด็กให้ฟัง ซึ่งมันสนุกและให้ความรู้สึกเหมือนเราเข้าไปอยู่ในสมัยก่อนจริงๆเลยค่ะ
บรรยากาศภายในชุมชนมีร้านคาเฟ่ร้านอาหารต่างๆมากมาย ซึ่งแต่ละร้านจะมีการตกแต่งที่แตกต่างกันไป อย่างร้านหงีจิ้นหลี เป็นร้านขายของชำ จึงตกแต่งด้วยสินค้าแบบสมัยก่อน ส่วนร้านขายน้ำ จะมีการตกแต่งด้วยข้าวของแบบสมัยใหม่ แต่ทุกร้านยังคงเหลืออัตลักษณ์"ความเป็นบ้านเรือนไม้เก่าริมน้ำ"เอาไว้ได้เป็นอย่างดี
ตามทางเดิน มีการตกแต่งด้วยบอร์ดงานศิลปะสมัยใหม่ เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้ถ่ายรูปกัน
ร้าน Nalatkrabang homemade café เป็นร้านคาเฟ่ไม้ ที่อยู่บริเวณท้ายตลาด บรรยากาศริมน้ำสบาย มีเมนูมากมาย เครื่องดื่ม ขนมปังปิ้ง ร้านนี้จะหยุดทุกของวันจันทร์
เดินมาเรื่อยๆ เราจะเจอกับร้านคาเฟ่ที่ชื่อว่า ATPress เป็นร้านสไตล์อาร์ตๆ และทางร้านมีกิจกรรมให้ลูกค้าวาดรูปหรือเขียนข้อความอะไรก็ได้ใส่กระดาษ แล้วแปะไว้ที่ร้าน เราเลยร่วมกิจกรรมนี้ซะหน่อย
น้ำปั่นร้านนี้อร่อยมากเลย โดยเฉพาะช็อคโกแลตกล้วยหอม อร่อยสุดๆไปเลยค่ะ แล้วพี่เจ้าของร้านยังน่ารักและตลกอีกด้วยค่ะ
ราคาน้ำช็อคโกแลตกล้วยหอม 35 บาทเองค่ะ ฟินสุดๆไปเลย เเละบรรยกาศภายในร้าน อย่างรูปด้านล่างเลยค่ะ
ต่อไปก็ตะลุยกินข้าวกลางวัน เราทานสเต็กกันที่ร้าน steak set & Save สเต็กอร่อยมาก ราคาย่อมเยา ร้านตั้งอยู่ริมน้ำเลยค่ะ ที่ร้านไม่ได้มีแต่สเต็กนะคะ ยังมีอาหารจำพวกข้าวอีกมากมายเลยค่ะ สเต็กที่เราสั่งราคาจานละ 50 บาทเอง ส่วนน้ำโค้กขวดละ 15 บาทค่ะ สเต็กน่าทานมากเลยดูสิคะ
บรรยากาศชิวสุดๆ แถมอาหารยังอร่อยกับหลากหลายเมนูอีกด้วย
ที่นี่ร้านสเต็ก มีน้องๆ อิอิ น่ารักกกก
เดินมาเรื่อยๆตรงนี้จะเป็นโรงเรียนศึกษาพัฒนา ที่โรงเรียนมีกิจกรรมสอนทำพวกกุญแจ ทำโมบาย ทำต่างหู ที่ทำจากพลาสติกเรียกได้ว่าเป็นการรีไซเคิลที่ให้มูลค่ามากเลยค่ะ เราสามารถทำพวกกุญแจรูปอะไรก็ได้ ซึ่งจะมีคนสอนเราทำทุกขั้นตอน เราทำไม่ได้ ก็ให้เราทำใหม่ สนุกมากเลยค่ะ ส่วนค่ากิจกรรม ทางชุมชนให้เราจ่ายเท่าไรก็ได้ ตามสมัครใจ เป็นชุมชนที่มีน้ำใจไมตรีกับนักท่องเที่ยวมากเลยค่ะ ประทับใจมาก
ที่นี่นิยมทำเป็นรูปจระเข้ ไม่ว่าจะเป็นพวงกุญแจจระเข้ ตั่งหูลายจระเข้ ซึ่งเป็นชื่อของชุมชนนั่นเอง สามารถซื้อไปเป็นของฝากของที่ระลึกกันได้ค่ะ
เดินมาเรื่อยๆเราก็เจอกับสะพานไม้ และบรรยากาศสี่แยกหัวตะเข้ที่เย็นสบาย
พอข้ามมาก็เจอกับกำแพงที่ถูกวาดลวดลายโดยนักเรียนวิทยาลัยช่างศิลป์ ลาดกระบัง กำแพงนี้เป็นจุดยอดฮิตที่เมื่อมาถึงที่นี่ต้องมาถ่ายรูปกัน ชาวบ้านเรียกกันว่า กำแพงหัวตะเข้
ระหว่างที่เดินชม เราก็แวะซื้อของฝากอร่อยๆอย่าง ทองม้วนสดร้านเด็ดกล่องละ 25 บาท อิ่มฟินมาก ขนมดอกกระจอก และอื่นๆอีกมากมายค่ะ
ใครที่อยากเดินทางตามเรา
การเดินทางง่ายๆ
- ถ้าเริ่มต้นที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ นั่ง BTS ไปลงสถานีพญาไท คนละ 16 บาท
- ต่อแอร์พอร์ต เรล ลิ้งก์ ที่สถานีพญาไท ไปลงสถานีลาดกะบัง คนละ 40 บาท
- ถึงสถานีลาดกระบัง ต่อแท็กซี่ไปซอยลาดกระบัง17 (ตลาดหัวตะเข้) ประมาณ 60 บาทต่อคัน ก็ถึงแล้วค่ะ
วัน-เวลาทำการ : ชุมชนเปิดให้เที่ยวชมได้ทุกวัน เวลา 10.00 – 19.00 น แต่คึกคักเป็นพิเศษในวันเสาร์-อาทิตย์
ช่องทางการติดต่อ
Facebook Fanpage : ชุมชนคนรักหัวตะเข้ https://www.facebook.com/LoveHuatakhe/?ref=br_tf&epa=SEARCH_BOX
สามารถโทรไปสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 083-771-4111 และ 083-043-1845
เราจะ สรุปค่าใช้จ่าย ให้ทุกคนได้ลองพิจารณากันดูค่ะ
1. ค่าเดินทาง รวมค่าเดินทางขาไป-ขากลับของพวกเรา อยู่ที่คนละ 142 บาท (เนื่องจากเราไปกัน 4 คน เลยหารค่าแท็กซี่เหลือ คนละ 15 บาทค่ะ)
2. ร้านคาเฟ่ ATPress เราซื้อน้ำช็อคโกแลต 35 บาท
3. ร้าน steak set & Save สเต็กจานละ 50 บาทเอง บวกกับน้ำโค้กขวดละ 15 บาท
4. ทองม้วนร้านเด็ดกล่องละ 25 บาท
5. กิจกรรมของโรงเรียนศึกษาพัฒนาทำกิจกรรมฟรี แล้วแต่เราจะให้เลย เราให้ไป 30 บาท กับพวงกุญแจหนึ่งอัน
ก็ถือว่าค่าใช้จ่ายกำลังพอดี ไม่มากเกินกำลังคนงบน้อยอย่างเราๆเลยค่ะ หวังว่าทุกคนจะมาเที่ยวตามรอยพวกเรากันนะคะ
เรามีวิดีโอรีวิวให้ทุกคนได้ดูด้วยค่ะ กดลิ้งค์เข้าไปดูกันเลย
Teambong
วันศุกร์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2562 เวลา 00.44 น.