ทริปท่องเที่ยวที่จะมาแนะนำกันครั้งนี้ก็ถือเป็นครั้งพิเศษอีกครั้งนะครับ ที่ผมไม่ได้ไปคนเดียว แต่ไป "ยกแก๊ง" ครานี้จะพาไปทัวร์ต่างประเทศกันอีกครั้งครับ จะพาไปสัมผัสกับบรรยากาศที่หลากหลายในทริปเดียว เที่ยวเมืองหนาวแบบสวิตเซอร์แลนด์ เที่ยวชมทะเลทรายอย่างกับอียิปต์ ชมความศิวิไลของสถาปัตยกรรมแนวยุโรป อย่าเพิ่งแปลกใจ ที่ผมกล่าวมาทั้งหมดนี่อยู่ในทริปเดียวจริงๆ ครับ และก็ยังคงเป็นประเทศที่คุ้นเคยอีกด้วย นั้นคือ "ประเทศเวียดนาม" นั่นเอง ซึ่งทริปนี้เราจะไป ดาลัทเมืองหนาว-ทะเลทรายมุยเน่-และมหานครโฮจิมินห์ กันครับ สมาชิกครั้งนี้ในแก๊งมีทั้งสิ้น 6 ชีวิตด้วยกันครับ ได้สมนาคุณจากพี่ท่านหนึ่งที่ทำงานร่วมกับ ททท. เลยได้รับความสะดวกสบายระดับหนึ่งครับ ^_^

มาเริ่มกันเลยดีกว่าครับ ครั้งนี้เราก็ใช้บริการของ "สายการบินนกแอร์" เช่นเคย ถ้าเป็นช่วงไม่มีโปร ผมว่าสายการบินนี้ราคาดีที่สุดนะผมว่า เราไป Flight เช้าวันศุกร์และกลับ Flight ดึกวันอังคารกันครับ รวม 5 วัน สำหรับทริปนี้

ไม่นานพวกเราก็เดินทางมาถึงสนามบินเตินเซินเญิ้ต เมืองโฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม หน้าตายังสดใสกันทุกคน 555+

ควรเตรียมเงินไปให้พอดี ครั้งนี้ผมเตรียมไปเยอะหน่อยครับ โดยซื้อเงิน $US จาก ซุปเปอร์ริช ไป 200$US ไปถึงสนามบินเตินเซินเญิ้ต ก็แลกเงินดองไว้ 50$US ได้เงินดองมาประมาณ ล้านกว่าๆ ได้พกเงินล้านติดตัวอีกแล้วครับ 555+ (1 ล้านดองประมาณ 1,400 บาท)

ยืนรอที่สนามบินไม่นาน ก็มีรถตู้ที่ได้จองไว้มาจอดรอรับครับ (เดี๋ยวรีวิวครั้งหน้าผมจะพานั่งรถโดยสารไปครับ ไว้มาคนเดียวก่อน 555+) พวกผมได้ 5 วัน ที่ราคา 500 $US ราคาใช้เส้นสุด 555+ จริงๆแพงกว่านี้เยอะครับ ผมก็ลืมถ่ายรูปตัวรถมา แต่ก็เป็นเจ้าเดียวกับท่านเจ้าของกระทู้ในพันทิพย์ตามเครดิตมุมซ้ายล่างของรูปครับ

จากนั้นเราก็ออกเดินทางไกลกัน ระยะทางประมาณ 300 กม. แต่ใช้เวลาไปเกือบ 6 ชม. (รวมแวะพักเข้าห้องน้ำ+กินข้าว) ออกจากสนามบินตอน 09:00 น. คาดว่าจะถึงก็เย็นพอดี

คือนั่งกันยาวมากครับ หลับก็แล้ว ตื่นก็แล้ว เล่นมือถือก็แล้ว 555+

ช่วงบ่ายโมง ก็จอดแวะร้านข้าวข้างทาง ถนนเส้นนี้มีร้านให้แวะเยอะครับ อาหารก็หลากหลาย ใช้การชี้นิ้วสั่งเอา เพราะอ่านไม่ออก 555+ (แต่บางร้านมีภาษาไทยเฉย >_< )

และที่ขาดไม่ได้เลย เวลาที่ผมมาเวียดนาม คือ แซนวิสเวียดนามนี่แหล่ะ 555+

จากนั้นก็กลับขึ้นรถ นั่งกันไปต่อยาวๆ อีกรอบ เกือบ 17:00 น. เราก็เริ่มรู้สึกเย็นๆ เลยตื่นมาดู คือใกล้จะถึงเมืองดาลัทแล้วนั้นเอง ถือเป็นเมืองที่บรรยากาศดีเลยหล่ะ ที่นี้อากาศเย็นตลอดทั้งปี ไม่ว่าจะมาช่วงไหนก็พกเสื้อกันหนาวมาด้วยก็ดีครับ >_<

มาถึงก็ต้องรีบไปเช็คอินโรงแรมที่จองไว้ ครั้งนี้เราจอง Tulip Hotel ได้ เป็นโรงแรมที่อยู่ในตำแหล่งที่ดีเลย ใกล้ตลาดกลางคืน ใกล้ของกิน (จองโรงแรมนี้กับ AGODA )

เข้ามาด้านในรอน้องๆ พนักงานต้อนรับมาบริการ (สวยๆ ทั้งนั้น 555+)

บรรยากาศภายในก็ตกแต่งสวยงาม ระหว่างรอเช็คอินก็นั่งเพลินๆ

ห้องก็สบายๆ ไม่ต้องมีแอร์ แต่ก็เย็นสบาย

มีทีวีให้ดูด้วยนะเอออ 555+

จากนั้นเริ่มมืดเราก็ออกไปหาอะไรกินที่ตลาดกลางคืน (Night Market) ได้สั่งของแปลกๆ มากินอีกแล้ว

สั่งอะไรไปไม่รู้ ดูจากโต๊ะข้างๆ เหมือนจิ้มจุ๋ม 555+ แต่มีเส้น (เหมือนเส้นขนมจีน) เป็นเมนูหลัก

ระหว่างรอ ไม่รอช้า สั่งเบียร์เวียดนามมาแก้หนาวหน่อย 555+

และแล้วอาหารเราก็มา หน้าตาประมาณนี้ ก็จะดูงงๆ หน่อย แต่ก็อร่อยดีครับ 555+

กินเสร็จแล้วก็กลับโรงแรม แยกย้ายไปนอนเอาแรง สำหรับตื่นมาท่องเที่ยวทั้งวันในวันพรุ่งนี้ครับ

**** จบวันที่ 1 ****

---------------------------------------------------

วันที่ 2 (วันเสาร์)

วันนี้ร่างกายพร้อมสำหรับการเที่ยวมาก 555+ ตื่นแต่เช้า จากโรงแรมออกไปเดินเล่นรอบๆ ที่พัก พอให้ได้เหงื่อ แล้วค่อยกลับมาอาบน้ำเตรียมออกไปเที่ยว

เดินออกจากโรงแรมไม่ไกลเป็นวงเวียนและตลาด ซึ่งตอนกลางคืนที่นี้จะกลายเป็นตลาดกลางคืนที่จะมีของมาขายเต็มพื้นที่ (หมายเลข 2 ในแผนที่)

เดินมาซักหน่อยจะเป็นอ่างเก็บน้ำและทะเลสาบ (หมายเลข 3 ในแผนที่) ผมถ่ายมาเป็นมุมท้ายเขื่อน (ตัวเขื่อนจะเป็นถนน)

ได้เหงื่อซักหน่อยแล้วก็กลับมาอาบน้ำที่โรงแรม จากนั้นก็ออกไปหาอะไรกินที่ร้านตรงข้ามโรงแรม อาหารขึ้นชื่อของเวียดนาม "เฝอ" นั้นเอง >_<

มีกาแฟแบบพิเศษให้ลองกินด้วย สุดยอดของความเข้มข้น อร่อยดี ตาแข็งยันเย็น 555+

จากนี้จะเป็นการออกไปท่องเที่ยวสถานที่เด่นๆ ไฮไลท์ต่างๆ ของเมืองดาลัท เริ่มจากจุดแรกกันเลย พระราชวังฤดูร้อนของจักรพรรดิเบ๋าได๋ ใช้เวลาจากโรงแรมไม่นานครับ ไม่ถึง 10 นาที

เมื่อมาถึงที่จอดรถจะต้องเสียค่าบัตรเข้าชมคนละ 40,000 ดอง แล้วเดินเข้าไป จะพบตัวอาคารสีเหลืองตั้งอยู่บนเนินเขาสูง บรรยากาศดี

พระราชวังฤดูร้อนของจักรพรรดิเบ๋าได๋ ซึ่งเป็นกษัตริย์องค์สุดท้ายของเวียดนาม ใช้เวลาก่อสร้างนานถึง 5 ปี โดยเริ่มต้นในปี พ.ศ. 2476 ภายในตัวอาคารมีห้องภาพขของพระเจ้าเบ๋าได๋ พระมเหสี พระโอรส พระธิดา มีห้องสำหรับทรงงานแต่บนโต๊ะสำหรับทรงงานกลับมีโทรศัพท์วางไว้สองเครื่อง อีกเครื่องคาดว่าจะเป็นของเหวียนวันเทียว อดีตประธานาธิบดีของเวียดนามใต้ หลังจากพระเจ้าเบ๋าได๋เสด็จออกจากประเทศเวียดนามเพื่อไปพำนักอยู่ในประเทศฝรั่งเศสเมื่อปี ค.ส. 1975 พระราชวังแห่งนี้จึงกลายเป็นที่พำนักของเจ้าหน้าที่พรรคคอมมิวนิสต์

การจะเข้าไปเดินในอาคาร ทุกคนต้องสวมถุงเท้าที่เตรียมไว้ให้สวมทับร้องเท้าอีกที แบบในรูปครับ

ด้านในเป็นข้าวของเครื่องใช้ คงสภาพเหมือนเดิม มีหลายห้องครับ มีให้แต่งชุดถ่ายรูปด้วย

ส่วนพวกผมเข้าไปแป๊บเดียวก็ออกมาถ่ายรูปด้านนอกกันแล้ว

ข้างนอกมีที่ให้ถ่ายรูปเยอะครับ เช่น ถ่ายกับรถ ถ่ายกับม้า แต่เสียตังก์นะครับ

อันนี้ก็เก๋ดีครับ

ไม่อยากเสียตังกืก็ต้องถ่ายแบบนี้ ขอบคุณช่างภาพสำหรับมุมเผลอ 555+

จากนั้นเราก็ไปยังสถานที่ถัดไปกันต่อ ต้องทำเวลาครับ ยังมีอีหลายที่ 555+

สถานที่ถัดไปเป็นการนั่งบน Cable Car ไปยังวัดเซน เขาว่าวิวดีนักแล ลองจัดซักหน่อย นั่งรถออกมาจากพระราชวังไม่ไกล ประมาณ 10 นาที

เราก็เดินทางมาถึงสถานีปล่อย Cable Car รถตู้มาส่งเราเสร็จก็จะไปรอรับเราที่ฝั่งวัดเซน ส่วนพวกเราก็ต้องเดินขึ้นไปซื้อตั๋วข้างบน

ขั้นมาข้างบนแล้วจะเป็นลานกว้างแบบในรูปด้านล่างครับ วิวรอบๆ ดีมากเห็นทั่วเมืองดาลัทเลย

อากาศก็ดีเย็นๆ เอื่อยๆ แต่ไม่ถึงกับหนาวมาก

ซักพักก็เข้าไปซื้อตั๋วข้างในกันดีกว่า มีห้องน้ำด้วย ควรเข้าให้เรียบร้อย

ผมก็เปลี่ยนชุดเรียบร้อยครับ เพราะแต่งตัวหนาวกว่าชาวบ้านเขา 555+ จากนั้นก็ไปซื้อตั๋ว แล้วเข้าแถวรอขึ้น Cable Car (ราคาเที่ยวเดียวอยู่ที่คนละ 50,000 ดอง ไป-กลับ 70,000 ดอง)

แล้วก็มาถึงจุดรอขึ้น แอบตื่นเต้นด้วย จะตื่นเต้นทำไมไม่รู้ 555+

หลุดออกมาจากสถานีปล่อย วิวดีมากครับ อากาศดีด้วย เย็นตลอดเส้นทาง

สายเคเบิ้ลยาวไปสุดลูกหูลูกตา เฉียดปลายยอดสน อากาศดีสุดๆ สูดแล้วโล่งปอด

วิวข้างทาง เขียวชะอุ่ม

มีเครื่องเปล่าสวนกลับมาเป็นระยะ 55+

สภาพด้านใน นั่งกัน 4 คน ฝั่งละ 2 ก็จะแคบๆ นิดนึง 555+

และแล้วเราก็มาถึงจุดสิ้นสุดสถานี Cable Car ก็จะต้องเดินขึ้นไปไหว้พระข้างบนเสียหน่อย ชื่อวัดตั๊กลัม เป็นวันเซ็น ครับ บรรยากาศดีมากๆ เหมือนในภาพยนตร์เลย

เหมือนข้าจะมาสมัครตัวเป็นศิษย์อย่างไงอย่างงั้น 555+ แต่สวยจริงครับที่นี้ ชอบๆ

ถอดรองเท้าเข้าไปกราบพระให้เป็นมงคลแก่ชีวิตหน่อย

จากนั้นก็เดินถ่ายรูป รอบๆ บริเวณวัดครับ กว้างขวางมาก

พ้นประตูนี้ไป จะเป็นทางลงไปยังทะเลสาบ ลองไปกันดูครับ

รู้สึกจะไกล คงเดินไม่ถึงครับ เหนื่อยก่อน กลับมาๆ พวกเรา 555+

จากนั้นก็กลับมาขึ้นรถตู้ที่จอดรออยู่หน้าวัด เพื่อไปยังสถานที่ถัดไปครับ น้ำตกดาทันลา ไม่ไกลกันมากครับ นั่งรถไม่ถึง 5 นาทีก็มาถึง

ที่นี้มีไฮไลน์มากกว่าน้ำตกที่สวยครับ นั้นคือ การเดินทางลงไปชมน้ำตกด้วยโรลเลอร์โคสเตอร์ครับ (ราคาไป-กลับ อยู่ที่ 45,000 ดอง ต่อคนครับ)

อ่านวิธีเล่นด้านบนแล้วก็ลงได้ 555+ มันส์จริงครับ สุดๆ

บางจังหว่ะนี้พุ่งอย่างเร็ว ถ้าไม่เบรคจะชนคันหน้าหัวทิ่มได้ 555+

ไม่นานก็ลงมาถึงตัวน้ำตกครับ สวยงามอลังการ สมคำร่ำลือ มีกระเช้าเลาะไปตามลำธารด้วยนะครับ แต่ผมไม่ได้ขึ้นไป หลายตังก?อยู่ 555+

จากนั้นกระขึ้นโรลเลอร์โคสเตอร์กลับมายังที่จอดรถ เพื่อไปยังสถานที่ถัดไป นั้นคือโบสถ์คริสเก่าแกของเมือง อยู่ห่างออกไปประมาณ 10 นาที ตามแผนที่ข้างล่าง

เมื่อมาถึงก็สามารถเข้าไปชมได้เลย สำรวมและสุภาพนิดนึงนะครับ เพราะเป็นศาสนสถาน โบสถ์นี้สร้างขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 1940 เป็นโบสถ์คริสต์นิกายโปแตสแตนท์ ที่ตั้งตระหง่านอยู่บนเนินเขา มีหอคอยสูงเด่นมองเห็นเป็นแลนด์มาร์กแต่ไกล บนยอดหอคอยมีไก่ประดับอยู่ จึงถูกเรียกขานกันอีกชื่อหนึ่งว่า “โบสถ์ไก่” มีความสวยงาม Classic ดีทีเดียวครับ

จุดเด่นของโบสถ์แห่งนี้คือกระจกสีครับ สวยงามมาก

ถัดจากโบสถ์เราก็ไปยัง Landmark ของเมืองดาลัทลำดับถัดไป นั้นคือ บ้านเพี้ยน หรือ Crazy House นั้นเอง อยู่ไม่ห่างจากโบสถ์มากครับ แค่ 1 กม. ก็ถึงครับ

ที่นี้ต้องจ่ายค่าเข้า 50,000 ดอง ต่อคนครับ จ่ายเงินแล้วก็เข้าสู่ด้านในกันเลยครับ

เครซีเฮ้าส์ หรือ โรงแรมเครซีเฮ้าส์ บ้านปริศนาที่เมืองดาลัต สร้างขึ้นโดยหญิงสาวชาวเวียดนาม Hang Nga อดีตลูกของประธานาธิบดีคนที่ 3 ของเวียดนาม ซึ่งจบสถาปัตยกรรมจากฝรั่งเศส ออกแบบบ้านรูปทรงแปลกๆพิศดาร มีลักษณะเป็นโพรงต้นไม้ ส่วนมากสร้างจากปูนเป็นหลัก เอามาตบแต่ง ให้เหมือนต้นไม้และป่า แต่ละส่วนทะลุถึงกันได้ ถ้าเดินไม่ดีจะหลงกลับมาอยู่ที่เดิม ทั้งที่พื้นที่ก็แคบๆเท่านั้น ภายใน ประกอบไปด้วยห้องต่างๆ บางห้องภายในตกแต่งด้วยวัสดุโบราณ บางห้องบรรยากาศเหมือนอยู่บ้านทาร์ซานในดิสนีย์แลนด์ บ้างประดับประดาด้วย แก้วหลากสี

ทางเดินเชื่อมบนที่สูงๆ ต้องใช้ความกล้าและความระมัดระวังพอสมควรครับ

เดินกันไป ก็ขาสั่นกันไป 555+

สวย น่ากลัว ปะหลาด ความรู้สึก ปนๆ กันไปครับ

สองรูปล่าง เป็นทางเดินภายในตัวอาคารครับ แปลกดี

ภายในอาคารก็จะเป็นห้องพักครับ ลืมบอกไปที่นี้เป็นที่พักนะครับ ห้องพักเหล่านี้จะเข้าไปได้เฉพาะคนที่พักที่นี้เท่านั้นครับ

มีหลายห้องให้เลือก แล้วแต่ชอบ

พวกเราก็สำรวจแทบจะทุกซอกทุกมุม เอาให้คุ้ม 50,000 ดอง >_<

ท่านไหนสนใจอยากลองพักในสถานที่แห่งนี้ จองกับ Agoda

จากที่นี้เราก็ไปต่อกันที่สถานีรถไฟดาลัทครับ อยู่ไม่ไกลเช่นเคย ประมาณ 10 นาทีถึงครับ

ที่นี้ยังมีรถไฟวิ่งอยู่นะครับ แต่เพื่อการท่องเที่ยว ระยะทางไม่ไกลเป็นรอบๆ ครับ พวกผมไม่ได้ขึ้นเวลาน้อย 555 ถ่ายรูปเอาบรรยากาศดีกว่า

หัวรถจักรนี้ Classic ดีแท้ เหมาะแก่การเอาตัวเองไปประกอบ แล้วเก็บภาพ 555+

อันนี้เป็นบรรยากาศรอบๆ ครับ ก็มีนักท่องเที่ยวเข้ามาถ่ายรูปเก็บภาพเยอะทีเดียว

เสร็จจากที่นี้ก็ไปยังสถานที่ถัดไป พวกผมรีบ วันนี้ต้องเอาให้ครบทุกทีที่วางแผนไว้ครับ >_< สถานที่ถัดไปอยู่ไม่ไกล ประมาณ 3 กม. ครับ

อันนี้ผมว่าคล้ายๆ ภาคเหนือบ้านเรา แต่มีดอกไม้แปลกๆ เยอะเหมือนกัน ค่าเข้า 30,000 ดอง เข้ามาแล้วก็ถ่ายรูปกันเก็บไว้เป็นความทรงจำ

มุมใครมุมมันกันเลยจร้า 555+

จะ Selfie ก็ได้

เดินจนหมดแรงกันตามระเบียบ 555+ นั่งพักยังสามารถเก็บภาพได้

หายเหนื่อยกันแล้วก็ไปยังสถานที่ถัดไป ซึ่งเป็นสถานที่สุดท้ายสำหรับวันนี้ นั้นคือ หุบเขาแห่งความรัก (Valley Of Love) อันนี้ไกลหน่อยครับ ตั้ง 5 กม. แต่ใช้เวลาไม่นาน เพราะอยู่นอกเมือง

เมื่อมาถึงก็จ่ายเงินค่าเข้าคนละ 50,000 ดอง แล้วก็เดินเข้าชมเลยครับ ที่นี้มีอะไรให้ดูให้ชมเยอะดีครับ ผมชอบนะ มีจุดให้ถ่ายรูปเพียบเลย

เดินเข้าไปด้านในจะมีรถนำเที่ยวด้วยนะครับ พื้นที่ค่อนข้างใหญ่

เราสามารถเดินลงไปถ่ายรูปกันข้างล่างได้ครับ เห็นว่าสวยหรอกนะเลยทุ่มทุนลงไป 555+

อันนี้ทางลงครับ แล้วคิดถึงตอนเดินขึ้นดู 555+

เมื่อลงมาถึงจุดไฮไลน์บริเวณสันเขื่อน จะถ่ายรูปคู่เก็บไว้เป็นที่ละทึกเสียหน่อย ก็มีเวลาให้ไม่นาน ไม่เช่นนั้นเดี๋ยวรถนำเที่ยวจะชนเอา เอ้าวิ่งสิพวก 555+

ข้ามจากสันเขื่อนมาก็จะมีจุดให้ถ่ายรูปอีกเพียบครับ

เหมาะแก่การมาเป็นคู่จริงๆ ที่นี้ จุดที่เตรียมไว้ให้ถ่ายรูปแต่ละจุด 555+

แต่พวกเรามาคี่คร๊าบบบบบบบ สลับกันถ่ายกันเนาะ 555+

นี่ก็ไม่เข้าใจตัวเองว่าขำอะไร 555+

ถ้าอยากถ่ายคนเดียวก็ต้องแบบผมนี่ 555+ ไม่นานฝนเริ่มตก ได้เวลาเดินกลับละ

ระหว่างยืนหลบฝน เจอต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ เขาบอกว่าถ้าพาคู่รักมาผูกริบบิ้นแดงที่เขียนชื่อด้วยกัน จะรักกันมั่นคงยาวนาน แล้วถ้ามาไม่มีคู่อย่างพวกเราหล่ะ ทำเป็นถ่ายรูปไว้ละกันโน๊ะ 555+

ฝนหยุดตก เราก็เดินกันกลับไปที่รถ เพื่อกลับไปยังโรงแรม เหนื่อยเอาเรื่องทีเดียว เที่ยวทั้งวัน 555+

อาบน้ำอาบท่า รอค่ำก็ออกไปเดินเล่นและหาอะไรกินที่ตลาดกลางคืนที่เดิม

วันนี้มีโอกาสเก็บภาพขณะเดินเที่ยวด้วย แต่ผมไม่เข้าใจว่ารูปข้างล่างนี้ผมถ่ายเอาอะไร 555+

ระหว่างทางกลับที่พัก ใกล้ๆ โรงแรม เห็นร้านน่าสนใจ เลยลองเดินเลยไปดูหน่อย ว้าวววว ฝรั่งเพียบ เข้าไปกันเลย 555+

เข้ามาแล้วก็สั่งเครื่องดื่ม พร้อมเก็บภาพบรรยากาศกันหน่อยยยย

โต๊ะข้างหน้าเริ่มได้ที่ ลุกขึ้นเต้นแล้ววววว ว้าวๆๆๆๆๆ

สงสัยจะมันส์มากขึ้นโต๊ะแล้ว 5555+

พอหอมปากหอมคอ พวกเราก็เดินกลับที่พัก เพื่อนอนเอาแรง พรุ่งนี้เช้าต้องเดินทางไกล ไปยังเมืองชายทะเล มุยเน่ เมืองแห่งทะเลทราย สำหรับวันนี้ราตรีสวัสดิ์ครับ

**** จบวันที่ 2 ****

---------------------------------------------------

วันที่ 3 (วันอาทิตย์)

วันนี้จะเป็นการเดินทางไกลอีกวันข้ามเขาหลายลูกทีเดียวครับ ตื่นแต่เช้า ออกไปหาอาหารเช้ากินที่ร้านอาหารฝั่งตรงข้ามโรงแรมเช่นเคย (อย่ากินเยอะนะครับ เดี๋ยวอ๊วก จะหาว่าไม่เตือน 555+) กลับมาอาบน้ำ แต่งตัว แล้วเช็คเอ้าท์ ออกจากดาลัทตอนประมาณ 9 โมง ระยะทาง ประมาณ 160 กม. แต่ใช้เวลาเดินทางร่วม 4 ชม. เพราะเส้นทางค่อนข้างหฤหรรษ์ทีเดียวครับ ทั้งแคบทั้งชัน (เตือนอีกอย่าง หากมีโอกาสได้เข้าห้องน้ำ ก็ควรรีบเข้าซะ จะหาว่าไม่เตือนอีกเช่นกัน หุหุ)

ระหว่างทาง เที่ยงพอดี ก็ต้องหาร้านข้าวข้างทางจอดกินกัน อาจจะสื่อสารกันยากนิดนึง เราจึงส่งคนที่มี Skill ด้านภาษาดีที่สุดไปคุย 555+

และแล้วเราเดินทางมาถึงเขตฟานเที๊ยต (เหมือนเขตจังหวัดบ้านเรา) ก่อนจะเข้าเมืองมุยเน่ ในเวลา 14:00 น. แดดกำลังดีเลย จุดแรกที่แวะคือทะเลทรายแดง (Red Sand) ครับ จอดรถแล้วก็เดินขึ้นไปเลย อันนี้ผมก็ไม่รู้นะครับว่าเขายืนทำอะไรกัน เราก็เดินผ่านๆ กันไป 55+

พอเดินขึ้นมาถึง ก็จะเห็นเป็นเนินทรายกว้างใหญ่สีชมพู ซึ่งมีชื่อเสียงมากของเมืองมุยเน่ พอๆ กับ ทะเลทรายขาวเลย โดยทะเลทรายแดงจะอยู่ริมทะเลห่างจากตัวเมืองมุยเน่ประมาณ 5 กม. และจะมีเด็กๆ นำแผ่นพลาสติกให้นักท่องเที่ยวได้เล่นสไลด์เนินทรายกัน (คิดตังก์นะคร๊าบบบ 555+)

สวยและแปลกตาไปอีกแบบครับ แต่พวกผมมาผิดช่วงเวลา ตอนนี้แดดกำลังแรงเลย พอก่อนๆ 555+

จากนั้นก็เดินทางต่อไปยังสถานที่ถัดไป นั่นคือ Fairy Stream ครับ เป็นทางน้ำเล็กๆ แต่มีภูมิประเทศที่สวยงาม ไม่ไกลจากทะเลทรายแดง ไปได้หลายเส้นทาง ตามแผนที่เลยครับ

เมื่อมาถึงก็ถอดรองเท้าลงเดินเลยครับ เดินตามลำน้ำไปเรื่อยๆ

ยังครับ ยังไม่ถึง ไปอีก (ขอบคุณช่างภาพที่ถ่ายผมได้หล่อมากรูปนี้ 555+)

และแล้วเราก็เดินมาถึงครับ ซุยเตียน (Fairy Stream) หรือแกรนด์แคนยอนแห่งเวียดนาม เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่เป็น Landmark อีกแห่งหนึ่งของมุยเน่ ซุยเตียนเกิดจากการกัดเซาะของน้ำและลมจึงก่อเกิดเป็นรอยกัดเซาะที่สวยงามคล้ายๆกับแพะเมืองผีของบ้านเรา และมีลำธารเล็กๆระดับน้ำประมาณตาตุ่มซึ่งพัดพาตะกอนทรายสีแดงไหลออกไปสู่ทะเล

เดินเล่นถ่ายรูปกันซักพัก เราก็เดินกลับมาขึ้นรถกันครับ ตอนนี้เป็นเวลาเกือบ 16:00 น. แล้ว ได้เวลาไปเช็คอิน เข้าโรงแรมกันดีกว่า ประมาณ 10 นาทีถึงครับ

ที่นี้เราพักที่โรงแรม Thao Ha กันนะครับ เป็นโรงแรมเล็กๆ ไม่ใหญ่มาก ไม่ไกลจากตลาดกลางคืน และที่กินกลางคืนของเรา มีสระว่ายน้ำแกร้อนด้วย ท่านไหนสนใจ สามารถคลิกรูปด้านล่างเข้าไปดู ไปจองจาก Agoda ได้เลยครับ

ช่วงเย็นๆ พระอาทิตย์กำลังจะตก ก็นั่งรถซักหน่อย เลาะตามชายหาด ชมพระอาทิตย์ตกดิน (ทะเล) กันครับ บรรยากาศดีจริงๆ

สวยงามทีเดียว

มุมตรงกันบ้าง

จากนั้นก็ไปหาอะไรกินกันครับ ร้านอาหารทะเลดังแถวนี้มีหลายร้านครับ แต่ถ้าขึ้นชื่อสำหรับคนไทย รู้สึกจะเป็นร้านแหลมทอง (Lam Tong) ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโรงแรม เดินเล่นมาเรื่อยๆ ก็ถึงครับ

หน้าร้านจะมีป้ายทางเข้าบอก แบบนี้ครับ เดินเข้าไปข้างในเลย

อาหารก็ราคาไม่แพงมาก เอาเป็นว่าถูกกว่าบ้านเราเยอะครับ ล็อบสเตอร์ตัวนี้ราคาไม่ถึงพันเลย จัดหนักๆ เลยครับ แต่เสียอย่างเดียวไม่ได้เตรียมน้ำจิ้มซีฟู๊ตมา เสียดายๆ 555+

ผมนี่ไม่กลับโรงแรมเลยครับ ไปเลาะแล้วให้รถมาส่งที่ร้านอาหารเลย นั่งจิบเบียร์เย็นๆ ชมวิวรอเพื่อนๆ เดินมา รู้สึกจะหมดไปหลายขวดทีเดียว 555+

จากนั้นเราก็เดินดูอะไรกันซักพัก แวะกินนั้นนี่ตามทางเดินที่จะกลับโรงแรมซักหน่อย แล้วก็กลับเข้าโรงแรม อาบน้ำ ใครไคร่เล่นน้ำในสระก็ตามสบาย เย็นๆ ผมนั้นรีบนอน (รู้สึกจะมึนๆ ) 555+

**** จบวันที่ 3 ****

---------------------------------------------------

วันที่ 4 (วันจันทร์)

ตื่นเช้ามาวันนี้อย่างสดใส อาบน้ำแต่งตัวไปกินข้าวเช้า (โรงแรมมีข้าวเช้าให้) ออกเดินทางไปยังไฮท์ไลท์ของเมืองนี้กัน ต้องไปเช้าๆ จะได้ไม่ร้อน 555+ เช็คเอ้าท์ให้เรียบร้อย เราจะยิงยาวกันเลยไม่วกกลับมาอีก ก่อนออกเดินทางผมเห็นร้านขายแซนวิสเวียดนาม ก็จัดไปอีก 1 ชิ้น เอ้าวพวกราววว !!! ออกเดินทางได้

จุดแรกที่เราจะแวะคือ ตลาดปลา หรือท่าเรือมุยเน่ ครับ ห่างจากโรงแรมประมาณ 10 กม. แป๊บเดียวถึงครับ

ที่นี้ช่วงเช้าจะมีเรือประมงกลับเข้าฝั่งมาจอดเรียงรายกันสวยงาม แล้วก็มีเรือเล็กๆ รับส่งต่อมายังฝั่ง เรือเล็กๆ หน้าตาแปลกดี เหมือนกะลังมังลอยน้ำเลย ผู้คนก็ลงไปเดินดูอาหารทะเลสดกัน บรรยากาศแปลกตาดีครับ

เราอยู่ตลาดปลากันไปนานก็เดินทางต่อไปยังไฮท์ไลน์ที่เราตั้งใจกัน นั้นคือทะเลทรายขาว หรือ White Sand Dunes นั้นเอง ขับยาวๆ ไป 33 กม.

เมื่อมาถึงต้องจอดรถไว้แล้วเดินเข้าไปครับ ไกลเอาเรื่องเลยกว่าจะถึงจุดที่สวยๆ ผมแนะนำให้นั่งรถขึ้นไป เพื่อความสะบายและได้ถ่ายรูปสวยๆ (แต่แอบแพงนิดนึงครับ) คันละ 800,000 ดอง เอาวะ 6 คน ก็ตกคนละแสนกว่า

ไกลจริงครับ ดีแล้วที่ไม่เดิน 555+ รถจิ๊บพี่แกก็ขับซิ่งใช้ได้ มันส์มากขอบอก เราจะไปเนินทรายไกลๆ นู้นนนนน

ถึงจะซิ่งยังไง ผมก็ยัง Selfie ได้ 555+

และแล้วเราก็มาถึงครับ เดินย้ำๆ ไปถ่ายรูปกัน

มีหลายมุมให้เลือก จัดกันได้เต็มที่

ผมเอาบ้าง 555+

ไปยังที่ต่อไป (ถ้าไม่มีรถคิดสภาพการเดิน เหมือนเดินในทะเลทราย คงตายพอดี 555+)

จุดสุดท้ายเราจะไปตรงโอเอซีสนั้นกัน

ถ่ายรูปหมู่เสียหน่อยจร้าาาาา นานๆ จะถ่ายครบ 6 คน 555+

ให้คุณพี่เขาหน่อย ตอนอยู่ดาลัท คุณพี่เขาไม่สบาย >_<

น้องสาวสุดสวยของเราบ้าง (ท่านี้ไม่มีใครยอมใคร 55+)

อันนี้คุณเพื่อนบ้าง แต่ยังงงๆ ว่า Selfie หรือถ่ายอะไรยังไง 555+

ขอตัวเอง เท่ห์ๆ บ้าง

ถ่ายรูปจนหน่ำใจ ก็เตรียมตัวกลับ ก่อนกลับก็ขอรูปหมู่แบบเป็นทางการหน่อย ใช้พี่คนขับรถจิ๊บนั้นแหล่ะถ่ายให้ >_< แช๊ะ

(แต่ดูรูปมันเอียงๆ หนักไปทางซ้ายไหมครับพี่ 5555+)

จบแล้วครับ สำหรับมุยเน่ คราวนี้ก็ต้องนั่งรถยิงยาวกลับเมืองโฮจิมินห์ต่อละครับทีนี้

ระหว่างทางก็แวะหาอะไรกิน มื้อกลางวันเช่นเคย

เรามาถึงมหานครโฮจิมินห์ช่วงเย็นพอดีครับ เป็นการเดินทางที่ยาวนานมากกกก ตึกใหญ่โต รถวิ่งกันชุลมุน

วันนี้เราจองโรงแรมให้ใกล้กับสถานที่ท่องเที่ยวที่สามารถเดินไปได้ครับ นั่นคือให้ใกล้ตลาดเบ็นถันนั้นเอง เราได้โรงแรมเลียนอาน ไซ่ง่อน (Lien An Saigon Hotel) คืนละพันต้นๆ ต่อห้อง ดูหรูหราสวยดีครับ ท่านไหนสนใจจองที่พักนี้กับ Agodaลิกที่รูปด้านล่างได้เลยครับ

เก็บของเสร็จแล้วก็ออกเดินทางไปชมเมืองยามค่ำคืนกันซักหน่อย เดินไปตามถนน

อันนี้โรงละครโอเปล่าอันโด่งดังของเมืองนี้ครับ ไว้ตอนกลางวันจะมาถ่ายใหม่ 555+

แวะบูธกิจกรรมของ ททท. ที่มาเปิดที่นี้หน่อย

ช่วยเขาขายของนิดนึงก็หนีดีกว่า 555+

ไปเดินซื้อของตลาดเบ็นถัน ตลาดกลางคืนที่ขายของเยอะมาก ตั้งแต่สากเบือยันเรือรบ (อันนี้ก็พูดเดินไป) 555+

ซื้อกระเป๋าเสร็จ ก็ไปหาซื้อรองเท่าต่อ (ที่นี้เป็นแหล่งผลิตสินค้าแบรนด์ดังๆ ทั่วโลกนะครับ) แต่ก็ต้องเลือกและต่อรองราคาดีๆ อันนี้ของเตือน 555+

เรียบร้อยโรงเรียนเวียดนาม ผมได้รองเท้ากับกระเป๋ามาเรียบร้อย 555+

หลังจากได้เสียเงินก็สบายใจละ ไปหาซื้อเครื่องดื่มแก้เหนื่อยดีกว่า พวกเรา (มีแต่น้ำเต็มตะกร้า)

อันนี้ของผมคนเดียวครับ อนากลองมันทุกยี่ห่อ ว่ามันจะแตกต่างกันยังไง 555+

กินหมดก็เรียบร้อยครับ 555+ นอนหลับสบาย พรุ่งนี้ค่อยว่ากันนะทุกคน >_<

**** จบวันที่ 4 ****

---------------------------------------------------

วันที่ 5 (วันอังคาร)

วันนี้วันสุดท้ายแล้วต้องเก็บสถานที่ท่องเที่ยวแถวเมืองโฮจิมินห์ ก็ตื่นไม่ได้เช้ามากครับ กว่าจะอาบน้ำ แต่งตัว เก็บของ กินข้าว เช็คเอ้าท์กัน ก็เกือบ 9 โมง เสร็จแล้วรถตู้ก็มารับเพื่อไปยังอุโมงค์กู่จี๋ ที่ทหารเวียดนามใช้รบกับทหารอเมริกัน ระยะทางประมาณ กม. ไกลเอาเรื่องครับ ใช้เวลาเดินทางร่วม 2 ชม. แต่ก็ไปครับ ควรไปดูซักครั้ง

พอไปถึงก็ต้องเสียค่าเข้าชมคนละ 80,000 ดอง แล้วก็เดินเข้าไปในพื้นที่ได้เลยครับ ตื่นตาตื่นใจดีครับ มัวแต่เดินดู เดินชม เลยไม่ค่อยได้ถ่ายรูปกันซักเท่าไหร่

แนะนำให้ลองไปดูครับ อินไปกับสถานที่มาก มานึกได้ว่าจะต้องถ่ายรูปก็จะออกแล้ว เลยได้ถ่ายแค่ซากรถถังเองครับ 555+

งั้นก่อนกลับก็จัดกันซะหน่อย 555+

เสร็จจากนี่ก็กลับเข้าเมืองครับ พอดีพี่อีกคนช่วงเช้าต้องไปช่วยงาน ททท. เลยไม่ได้ไปด้วย ต้องกลับมาเที่ยวในเมืองกันต่อสำหรับวันนี้ แผนการเที่ยวจะเป็นเช่นเดียวกับตอนที่ผมมาคนเดียวเลยครับ (เพราะในเมืองผมวางแผนเอง 555+) สามารถดูแบบละเอียดได้โดยคลิกที่รูปด้านล่างเลยครับ >_<

รีวิวครั้งที่ 3 เมืองโฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม

สำหรับรีวิวนี้จะถ่ายรูปมาบ้างประปราย ครับ เช่น ทำเนียบประธานาธิบดีเวียดนาม

ไปรษณีย์กลางเวียดนาม

โอเปล่าเฮ้าส์ตอนกลางวัน

และจุดสุดท้ายก็จัตุรัสโฮจิมินห์ครับ มาถึงนี่ก็เย็นพอดี ถ่ายรูปเอาบรรยากาศแล้วกัน

Selfie ก่อนกลับ 1 รูป 555+

จากนั้นก็ขึ้นรถตู้เดินทางไปยังสนามบินเพื่อเตรียมกลับประเทศไทยครับ ถึงสนามบิน 19:00 น. เช็คอินให้เรียบร้อย ไปนั่งรอที่ GATE เครื่องออก 20:45 น. ถึงสนามบินดอนเมืองประมาณ 4 ทุ่มครึ่ง โดยสวัสดิภาพ ละก็แยกย้ายกันกลับบ้านใครบ้านมัน 555+

*********************

สรุปค่าใช้จ่ายในการเดินทาง

  1. ค่าเครื่องบิน (ไป-กลับ) ช่วงไม่โปร แต่ราคาก็ยังถูกอยู่ ตกคนละ 2,800 บาท เอง
  2. ค่าที่พัก 4 คืน ตกคืนละ 500-600 บาท ไปกัน 6 คน แยก 2-3 ห้องๆ ละ 2-3 คน รวมอยู่ที่คนละ 2,000 บาท
  3. ค่าเช่ารถตู้ทัวร์ 5 วัน ราคารวม 500$us ตกต่อหัวเป็นเงินไทยประมาณ 2,600 บาท
  4. ค่าธรรมเนียมเข้าสถานที่ต่างๆ ทั้งหมดอยู่ที่ประมาณราคา 1,000,000 ดอง/คน เป็นเงินไทยประมาณ 1,400 บาท
  5. ค่าอาหาร+เครื่องดื่มทั้งหมด ประมาณ 1,200,000 ดอง เป็นเงินไทยประมาณ 1,650 บาท
  6. ซื้อรองเท้า+กระเป๋าเดินทางตลาดเบนถันหลังต่อ ได้ราคาอยู่ที่ 1,100 บาท

รวมค่าใช้จ่ายในการเดินทางครั้งนี้ทั้งหมด ประมาณ 12,000 บาท

*********************

ก็เป็นอีก 1 ทริปที่สนุกและคุ้มมากนะครับ (บอกเลยว่าโคตรคุ้ม สำหรับเที่ยวต่างประเทศในราคาเท่านี้) อาจจะเล่าไม่ค่อยละเอียดเหมือนบทความก่อนๆ พอดีรูปถ่ายไม่ค่อยเยอะด้วย แต่ส่วนตัวแล้วผมชอบทริปนี้เป็นอันดับต้นๆ เลย อยากให้ลองไปกันดูครับ มันครบรสจริงๆ

แล้วพบกันใหม่ บทความหน้านะครับ สำหรับบทความความนี้ขอจบแต่เพียงเท่านี้ ขอบคุณสำหรับการติดตามครับ >_<


ติดตามสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ ได้ที่

Blog : https://goalonetravel.blogspot.com/

FB Page : https://www.facebook.com/คนเดียวก็ไปเที่ยวได้-1238634139627858/

GoAloneTravel

 วันพุธที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2562 เวลา 17.46 น.

ความคิดเห็น