อยากเชิญชวนเพื่อน ๆ ให้มาเที่ยวสิงห์บุรี เมืองคนดีวีรชนคนกล้า ท้าให้มาลองสัมผัส ในสไตล์ของผมดูบ้างนะครับ..หลายแห่ง อาจจะเคยไป หรือ ไม่คิดว่าจะมีของดีแบบนี้อยู่ด้วยเหรอ ....วันนี้เลยถือโอกาสชวนเพื่อน ๆ ให้ตามมาเที่ยว เมืองสิงห์บุรี กันบ้างดีกว่าครับ ใครไม่เคยมาสัมผัส จะไม่รู้ว่าจริง ๆ แล้วเมืองสิงห์ฯ เป็นเมืองมีเสน่ห์หลากหลายรูปแบบที่น่าเที่ยว น่าสัมผัส เยอะแยะมากมาย (ภาพถ่ายเดือน เมษายน 2561 ครับ)

สำหรับอุปกรณ์ในการเดินทางเที่ยวถ่ายภาพในครั้งนี้ ได้แก่ Nikon D800 + Nikon 18-35 + Nikon 24-120/N + Nikon 80-200/2.8d ครับ



ถ้าสนใจพิพิทธภัณฑ์ไทยทั่วประเทศ ที่เก็บรวบรวมข้อมูลในอดีตเรื่องราวที่หลากหลาย สามารถติดตามได้ที่

www.museumthailand.com

ผมวางแผนการเดินทาง แวะถ่ายภาพเล่นไปเรื่อย ๆ ออกเดินทางแบบไม่เร่งรีบ สาย ๆ ก็แวะไปซื้อขนมไทยโบราณกิน แถว อ.พรหมบุรี พิกัด “วัดบ้านแป้ง” เลยครับ ง่าย ๆ ใช้ gps นำมาถึงวัด ถามชาวบ้านว่า ร้านขนมไทย อยู่ตรงไหนรู้จักหมดทุกคนครับ ร้านขนมไทยบ้านแป้ง เหมือนโรงงานที่ทำขนมในบ้าน เป็นแบบธุรกิจครอบครัวนานกว่า 50 ปีแล้ว คนสิงห์บุรี หรือ คน กทม. ที่เป็นแฟนพันธ์แท้ขนมไทย ใหม่สดจากเตาอร่อย ๆ จากต้นตำรับโดยตรงทุกวันจะมาแวะซื้อกันตลอดครับ เห็นทางเข้าบ้าน หรือร้านขนมไทย แล้วอย่าแปลกใจนะครับ ทางเข้าร้านเล็ก ๆ แต่ความอร่อยและคุณภาพไม่เล็กเลยก็แล้วกัน ผมตั้งใจมาแวะซื้อขนม เอาไว้กินเล่นระหว่างเดินทางในทริปนี้ แถมซื้อเผื่อเป็นของฝากด้วยครับ (รับประกันว่าไม่ทำให้ผิดหวังแน่นอน)

จากร้านขนมไทยบ้านแป้ง ก่อนถึงเมืองสิงห์บุรี เราจะต้องผ่าน อ.ปากบางก่อน ซึ่งทุกครั้งผมจะแวะกินผัดไทยปากบางตลอด แต่ทริปนี้ขอแขวนท้องไว้ก่อนครับ และซื้อขนม (อีกแล้ว) กระยาสารทแม่ทองสุข ขนมไทยโบราณเก่าแก่ต้นตำรับ ที่ทำเองที่บ้านจากเตาสด ๆ ร้อน ๆ ใช้ งา ถั่วลิสงคั่วใหม่ ๆ ทุกวัน ราคาไม่แพง 7 ถุง 100 บาทเท่านั้น หวานน้อย เคี้ยวเพลิน เอาไว้กินระหว่างขับรถง่วง ๆ ดีนักแล (FC กระยาสารท ไม่ควรพลาด)...ฮ่า ๆ ...

แต่ก่อนเรียกบริเวณนี้กันว่า “บ้านปากบางหมื่นหาญ” ครับ.... ที่นี่มี ขนมเปี๊ยะ โซงเหม่งเฮง อร่อยมาก เลยต้องแวะ แชะ ช๊อป ชิม ซักหน่อย..( สูตรของร้านนี้คือ "แป้งบางเนื้อนิ่ม" ผมอุดหนุนใส่ยอดฮิตส่วนตัวคือ "ไส้ถั่วไข่" ทำจากถั่วเขียวซีกกับไข่แดงเค็ม เนื้อเนียนรสนุ่มนวลอร่อย กินเพลินเลยครับ)…ร้านหาไม่ยากครับ เดินเข้าตลาดร้านจะอยู่ซ้ายมือ ทางเข้าตลาดมีอยู่แค่สองซอย มีป้ายบอกทางมาช๊อปร้านนี้ตลอดครับ

ใครชอบเที่ยวชมบ้านเรือนเก่า แบบย้อนยุคของแท้ แวะกินผัดไทย ซื้อหมูทุบ หมูสวรรค์ ขนมเปี๊ยะ ทำเองแต่ละบ้าน อร่อยทั้งนั้น ราคาไม่แพงด้วยครับ การเดินทางมาตามทางหลวงหมายเลข 32 สายเอเชีย แล้วเลี้ยวซ้ายที่ หลัก กม. 81 หาไม่ยากเลย

กระทู้นี้เปิดฉากมาก็เหมือนเอาขนมหวานมาล่อเลยนะครับ.. ฮ่า ๆ ...คือ ขับรถไปเรื่อย ๆ ผ่านที่ไหนก่อนก็แวะช๊อปไปเรื่อย ๆ ครับ ได้กินของอร่อย จากผู้ผลิตโดยตรง มันดีกว่าเราไปซื้อตามร้านขายของฝากแน่นอน..จริงมั๊ย)... หลังจากขนมเต็มรถแล้ว เราขับรถมาเที่ยวที่ “อุทยานวีรชนค่ายบางระจัน” กันบ้างดีกว่าครับ พื้นที่ด้านในกว้างขวาง ที่จอดรถในร่มสบายมากเลยครับ

ผมอยากจะพาเพื่อน ๆ มาสัมผัส ถึงรากเหง้าวีรกรรม ของเหล่าผู้กล้าชาวบางระจัน ที่พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์วีรชนค่ายบางระจัน ร่วมกันครับ ภายในอาคารจัดแสดงติดแอร์เย็นฉ่ำ เดินชมสบาย ๆ ครับ มีทั้งหุ่นปั้นจำลองการต่อสู้กับข้าศึกพม่า ซึ่งเป็นวีรกรรมของเหล่าผู้กล้าชาวบางระจัน เป็นที่กล่าวขานจนปัจจุบัน...ตามมาชมกันครับ มาดูว่าด้านในมีอะไรน่าสนใจมากมายจริง ๆ

นอกจากนั้นยังมี วัตถุโบราณประเภทของใช้กระเบื้องเคลือบ และเครื่องมือที่ใช้ในชีวิตต่าง ๆ มากมาย ใครชอบของเก่า แท้ ๆ ไม่ควรพลาดชมนะครับ

รูปภาพและรูปปั้น ของเหล่าวีรชนผู้นำชาวบางระจัน ก็มีให้ชมครับ

ภายในพิพิธภัณฑ์จัดแสดงได้อย่างลงตัว เดินตามทางไป ก็จะเป็นส่วนของการจำลอง วิถีชีวิตในอดีตของชาวสิงห์บุรี ที่ใช้ชีวิตใกล้ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งเป็นเส้นทางหลักของการคมนาคม และเศรษฐกิจในอดีตครับ

เดินตามทางเดินต่อมาเป็นห้อง พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์วีรชนค่ายบางระจัน เดินเข้าไปในห้อง ผ่านภาพพระบรมฉายาลักษณ์ ของในหลวง ร.9 จะเป็นกลุ่มรูปปั้นเรื่องราว ของวีรชนบางระจัน แบ่งเป็นกลุ่ม ๆ ครับ ภายในกว้างขวาง แบ่งเป็นห้องย่อยอีกทีครับ

ก่อนหน้าจะมาถึงที่นี่ ผมได้หาข้อมูลล่วงหน้าว่า ที่เมืองสิงห์บุรี นี่ยังมีคนรุ่นเก่าที่ทำอาชีพ ตีมีดแบบโบราณ คล้าย ๆ สมัยศึกบางระจัน บ้างมั๊ย...สุดท้ายได้ความว่า อยากสัมผัสของจริง ให้ไปบ้าน ลุงตึ๋งบางระจัน เลย...ผมเลยหาทางโทร (086-123-2710) ไปขอไปเที่ยวบ้านลุงตึ๋ง ซะเลยครับ การเดินทางไม่ยากเย็น (ให้ google map นำทาง) ใกล้ วัดเขาโบสถ์ พอถึงแถวนั้นถามดู ใครก็รู้จักทั้งนั้นครับ....โรงงานทำมีด ของลุงตึ๋ง ก็อยู่ในพื้นที่บ้านสวน ร่มรื่นติดถนนครับ มีเพื่อน และลูกค้ามานั่งคุย นั่งรอ สินค้าอยู่แล้ว

พอไปถึงก็แนะนำตัวนิดหน่อย แล้วบอกลุง กับป้า ว่าขอเอาผลงานตีมีดมาถ่ายภาพก่อน (ระหว่างให้ลุงกับป้าไปแต่งตัวมาถ่ายภาพสวย ๆ ทีหลัง)...สำหรับการทำมีดหลัก ๆ เลยจะทำมีดเครื่องใช้ในการเกษตรต่าง ๆ เช่น มีดพร้า มีเหน็บ มีดอีโต้ มีดดายหญ้า..ส่วนอาวุธ จะมีคนสั่งทำประดับบ้าง เช่น หอก ดาบ ทวน ฯลฯ ที่บ้านลุงตึ๋ง เน้นผลิตงานที่ใช้งานได้จริง ใช้เหล็กสั่งซื้อใหม่จากต่างประเทศ คือ ไม่ได้ผลิตมีดสวยงามราคาหลายหมื่นเอาไว้ประดับตู้โชว์นะครับ...เป็นแบบชาวบ้านที่ตั้งใจทำมาใช้งานทั่วไปครับ....ถ้าใครชอบมีดสวยงาม งานเนี๊ยบ ถามลุงตึ๋งได้ความว่า ให้ไปหาซื้อกับลูกชายแกครับ ชื่อ ตะวัน เปียสงวน อยู่สิงห์บุรี เหมือนกัน

ดูดี ๆ ที่ใบมีด จะตีตรา มีดบางระจัน อยู่ครับ....สบายใจได้ ว่ามาซื้อมีดบางระจันของแท้แน่นอน

ลุงตึ๋ง กับคุณป้า สู้ชีวิต ด้วยการทำมีดมาตลอดชีวิต 40 ปี อยากชวนเพื่อนว่าง ๆ แวะมาอุดหนุน เที่ยวชมกันได้นะครับ (ติดต่อนัดล่วงหน้า บางทีไปออกงานแสดงสินค้าทั่วไปครับ)…ก่อนลากลับ เก็บภาพให้เป็นที่ระลึกกับนักสู้คู่ชีวิตของทั้งสองท่านแห่งเมืองสิงห์บุรี ครับ

ให้ลุงตึ๋ง ทำงานตีมีด ในขั้นตอนต่าง ๆ ให้ดูครับ

รอยสักหมึกดำผสมน้ำว่าน ด้านหลังลุงตึ๋ง ดูเข้มขลังดี เลยขอลุงตึ๋ง ถ่ายภาพเป็นที่ระลึกไว้หน่อยครับ

จากบ้านลุงตึ๋ง ก็ไปเที่ยวในสไตล์ กินเที่ยววิถีไทย ลัดเลาะในถิ่นวีรชน ตลาดไทยย้อนยุคบ้านบางระจัน ที่มีประวัติศาสตร์มายาวนาน โดยกลุ่มชาวบ้านที่ได้สร้างวีรกรรมจารึกอยู่ในประวัติศาสตร์ชาติไทยตอนปลายสมัยกรุงศรีอยุธยา มาถึงที่ วัดโพธิเก้าต้น อ.ค่ายบางระจัน กันต่อดีกว่าครับ พอเข้าไปจอดรถเสร็จ ก็เห็นทั้งเด็กและผู้ใหญ่ กำลังหาบน้ำ เดินเป็นแถว ก็รู้สึก งง ๆ ว่าเค้าเล่นอะไรกันเหรอ...เลยไปถามแม่ค้า ได้ความว่า ที่เห็นนั่นคือ เค้ามาเดินหาบน้ำแก้บน นั่นเอง…แปลว่า คนมาอธิษฐานขอพร แล้วได้สมประสงค์กันมากมายนี่เอง...ใครเคยไปหาบน้ำแบบนี้มาเล่าให้ฟังกันบ้างครับ

ตามเข้ามาเที่ยวในตลาดกันดีกว่าครับ มีสาว ๆ แต่งชุดไทย มาถ่ายภาพ เซลฟี่กันสนุกสนาน ที่ ตลาดไทยย้อนยุคบ้านบางระจัน คือว่า ดูแล้วเข้ากับบรรยากาศดีมาก ๆ (ตลาดมีเฉพาะวันหยุด เสาร์ - อาทิตย์)

ตลาดนี้ออกแบบแนวค่ายทหารสมัยกรุงศรี มีนักรบ ชายหญิง แต่งตัวชุดสมัยอยุธยา มาขายของให้กับนักท่องเที่ยว ทั้งขนมโบราณหากินยาก อาหารอร่อย ๆ และของฝากมีขายเยอะแยะเลยครับ

ขนมไทย ๆ และอาหารไทย น่ากินมาก ๆ ครับ

ขนมและอาหารต่าง ๆ จะซื้อกลับบ้านก็ได้ หรือ จะซื้อมานั่งกินด้วยกันกับเพื่อน ๆ หรือครอบครัวก็ย่อมได้ครับ มีโต๊ะไม้ไผ่ให้นั่งใต้ต้นไม้ร่มรื่นดีครับ



สำหรับขนมหวานไทย ๆ แบบ แตงไทย ลอดช่อง เผือก ข้าวโพดน้ำกะทิ จัดมาเต็ม ๆ ในกะลา ของโปรดแบบนี้มันต้องซื้อมากินทันทีเลย อร่อยชื่นใจจริง ๆ

ใครอยากจะเซลฟี่ กับนักรบชาวบางระจัน หรือจะเช่าชุดนักรบ มาถ่ายภาพเล่นก็ได้นะครับ มีบริการครบวงจรเลย ตลาดไทยย้อนยุคบ้านบางระจัน เปิด 08.30-16.00 น. เสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ นะครับ

หลังจากที่ทั้งกินและเที่ยว ถ่ายภาพ ได้ทั้งความรู้ ความอร่อย ความสนุก เรียบร้อยดีแล้ว...ใกล้เย็นผมตัดสินใจเข้าที่พัก Golden Dragon Resort ในเมืองกันก่อนครับ ผมเคยพักที่นี่มาแล้วติดใจครับ ห้องกว้าง สะอาด ราคาไม่แพง (750+อาหารเช้า) ที่จอดรถกว้างขวาง เลยมาใช้บริการอีกครั้ง....เดี๋ยวตอนเย็นค่อยไปหาอาหารอร่อยกินกันอีกทีครับ

มื้อเย็นผมฝากท้องไว้กับ ร้านรำพึง ครับ..ชื่อเพราะเสนาะหูดีจริง ๆ ใครจะมากินอาหารร้านนี้เช็คเวลาเปิดวันละ 2 รอบ (มื้อกลางวัน และ มื้อเย็น) หยุดวันจันทร์ นะครับ จะได้ไม่ผิดหวัง อาหารอร่อยจริง จอดรถสะดวก ฝีมือลุงรำพึง ผมถามแล้วได้ความว่า ท่องยุทธจักรพ่อครัวมาตั้งแต่สมัยวัยรุ่น เริ่มงานจากพนักงานทั่วไป แล้วค่อยอัพเกรดเป็นพ่อครัวมือหนึ่ง มาหลายจังหวัดในประเทศไทยแล้วครับ...ฉะนั้น เรื่องฝีมือ ไม่ต้องห่วง สุดท้ายมาปักหลักกับคุณป้าคู่ชีวิตที่เมืองสิงห์บุรี นี่แหล่ะครับ....ผมรับประกันความอร่อยมากแน่นอนครับ

วันรุ่งขึ้นตื่นแต่เช้า จัดการอาหารเช้าแบบุฟเฟต์ท้องแทบแตก แล้วออกไปเที่ยวถ่ายภาพสนุก ๆ กันต่อดีกว่าครับ ในเช้านี้จะไปเที่ยว “แหล่งเตาเผาโบราณแม่น้ำน้อย” ใกล้วัดพระปรางค์ กันครับ ซึ่งถือว่า เป็นแหล่งกำเนิดเตาเผาที่ใหญ่ที่สุดในสมัยกรุงศรีอยุธยา เก่าแก่ประมาณปี พศ. 1914-2310 บนเนื้อที่ประมาณ 1000 ไร่ มีมากกว่า 200 เตาเผาเลยครับ ที่ใช้สร้างภาชนะดินเผาชั้นดี เช่น ไห ไหสี่หู อ่าง ครก กระปุก ขวด ช่อฟ้า กระเบื้องปูพื้น กาน้ำ กระสุนปืนใหญ่ ท่อน้ำดินเผา ไปใช้ตามเมืองใหญ่อย่าง ลพบุรี และ อยุธยา นั่นเองครับ...นี่คือเครื่องบ่งบอกว่าในสมัย พระนารายณ์มหาราช นั้นเมืองสิงห์บุรี เป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรืองมาก (ที่นี่เปิดให้เข้าชม ทุกวัน 08.30 – 16.30 น.)

บริเวณวัดพระปรางค์ (ชัณสูตร) จ.สิงห์บุรี ยังมีที่เก็บบรรจุพระบรมอัฐิของเจ้านายในสมัยกรุงศรีฯ เก่ามาก (สังเกตจากตราครุฑ ที่หน้าประตู) ผมว่าจุดนี้ก็อันซีนดีเหมือนกันครับ

เดินชมเรื่องราวในประวัติศาสตร์เพลิน ๆ ดีแล้ว ก็ไปเที่ยวที่ วัดสว่างอารมณ์ ชาวบ้านเรียกว่า “ วัดบางมอญ “ ต.ต้นโพธิ์ อำเภอเมือง จ.สิงห์บุรี กันต่อดีกว่าครับ ที่นี่เป็นพิพิธภัณฑ์แหล่งรวบรวมหนังใหญ่ที่มีความงดงามของตัวหนังประมาณ 270 ตัว ตัวหนังใหญ่ส่วนหนึ่ง ได้มา จากครูเปียเจ้าของหนังใหญ่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ปัจจุบัน อ.คณิต ภักดี เป็นผู้ถ่ายทอดองค์ความรู้มรดกวัฒนธรรม ทั้งทางด้านการแกะหนังใหญ่ และการเชิดหนังให้กับเยาวชนทั่วไป พิพิธภัณฑ์หนังใหญ่วัดสว่างอารมณ์ พิพิธภัณฑ์เปิดให้เข้าชมทุกวันจันทร์ - ศุกร์ เวลา 09.00-16.00 น. และวันเสาร์ - อาทิตย์ เวลา 08.30 - 17.00 น. สนใจเข้าชมการแสดงกรุณาติดต่อล่วงหน้า โทร. 081 - 851 6205, 081 -802 6085

อ.คณิต ภักดี เป็นผู้ถ่ายทอดองค์ความรู้มรดกวัฒนธรรม ทั้งทางด้านการแกะหนังใหญ่ และการเชิดหนังให้กับเยาวชนทั่วไป ให้หันมาสนใจร่วมอนุรักษ์ศิลปไทยโบราณ พิพิธภัณฑ์หนังใหญ่วัดสว่างอารมณ์

ที่นี่ถือว่าเป็น พิพิทธภัณฑ์ ที่รวบรวม อนุรักษ์หนังใหญ่ เอาไว้เยอะที่สุดแห่งหนึ่งครับ

อ.คณิต บอกว่า ยินดีทุ่มเทกำลังกาย กำลังใจ ฝึกให้เด็ก ๆ สนใจศิลปการแสดงของไทยให้อยู่คู่เมืองไทยตลอดไปครับ

ออกจากวัดสว่างอารมณ์ เริ่มหิวนิด ๆ นึกได้ว่า จ.สิงห์บุรี มีซาลาเปาอร่อย ชื่อร้าน แม่สายใจ ซาลาเปาทูลเกล้า ต้องไปทดลองกินกันซะหน่อยครับ...ร้านนี้ทำเองร้อน ๆ ใหม่ ๆ ทุกวัน ไปช่วงบ่ายอาจจะหมดนะครับ ขายดีมาก ที่นี่มีซาลาเปา ใส้ปลา หมูสับ เผือกแป๊ะก๊วย หน่อไม้ ถั่วดำ ครีม ฮ่องเต้ หมั่นโถว จุดเด่นของซาลาเปาร้านนี้คือ เนื้อแป้งซาลาเปานุ่มเนียนกำลังดี ไม่กระด้าง ใส้แต่ละอย่างก็อร่อยกลมกล่อมกำลังดีมาก...ตอนแรก ผมกะว่าจะไปกินเล่น ๆ รองท้องนิดหน่อย ที่ไหนได้ลองใส้โน้นนิด นี้หน่อย สรุปว่าหมดไป 5 ลูก..งานนี้อิ่มแน่น ๆ เลยครับ..ฮ่า ๆ

หลังจากอยากกินซาลาเปาเล่น ๆ จนอิ่มตัวแตกจริง ๆ แล้ว เพื่อนแนะนำว่า ถ้าชอบแนวสถาปัตยกรรมโบราณ ของเก่า ๆ โบราณ ๆ ให้แวะไปเที่ยวที่ ศาลจังหวัดสิงห์บุรี (หลังเก่า) ผมก็ใจง่ายไถลขับรถมา ทันทีเลยครับ...อยู่ ตจว. นี่ไปไหนมาไหนสะดวกมาก ถนนโล่ง รถไม่ติด ไปเที่ยวที่ไหนก็ใช้เวลาไม่นาน…ชอบมากกก

เดิมเรียกว่า “ศาลเมืองสิงห์บุรี” มีฐานะเป็นศาลหัวเมืองขึ้นอยู่กับศาลมณฑลกรุงเก่า ปี พ.ศ. 2451 จึงได้ก่อสร้างอาคารหลังนี้ขึ้น ซึ่งมีรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบ นีโอคลาสสิค งดงามจริง ๆ ครับ...ปัจจุบันได้รับการดูแลอย่างดี ปัจจุบัน ศาลจังหวัดได้ย้ายไปอยู่ ณ อาคารใหม่ ส่วนอาคารนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนโบราณสถานเมื่อพ.ศ. 2533 กรมศิลปากรได้ดำเนินการบูรณะอาคาร เมื่อปี พ.ศ. 2546 ...ใกล้ ๆ กัน มีศาลากลางจังหวัดสิงห์บุรี (ร.ศ.130) งดงามเช่นกันครับ ...(เสียดายวันที่ไปเที่ยว เค้าจัดกิจกรรม เอาเต็นท์กิจกรรมสีขาวมาลงเพื่อเตรียมงาน เลยไม่ได้บันทึกภาพไว้เลย)

แวะเดินถ่ายภาพเล่นได้ไม่นานนัก ผมก็ขับรถไปเที่ยวที่ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อินทร์บุรี ซึ่งทางโบราณคดีพบว่า ที่นี่เคยมีชุมชนโบราณอาศัยตั้งแต่สมัยยุคทาราวดี (พุทธศตวรรษที่ 12-16) โดยมีการขุดพบวัตถุโบราณหลายชนิดตามแหล่งโบราณคดี ในอำเภออินทร์บุรี เดิมเป็นพิพิธภัณฑ์ของ วัดโบสถ์ ท่านเจ้าอาวาสพระเทพสุทธิโมลี ได้รวบรวมเก็บรักษาโบราณวัตถุศิลปวัตถุ ที่มีคุณค่าตั้งแต่ พ.ศ. 2483 การจัดแสดงภายในอาคารแบ่งเป็นสัดส่วน เช่น ทรัพย์ในดินสิงห์บุรี แหล่งโบราณคดีบ้านคูเมือง แหล่งเตาเผาแม่น้ำน้อย อัฐบิรขาร และเครื่องใช้ในพระพุทธศาสนา ภูมิปัญญาไทยภาคกลาง การละเล่นพื้นบ้าน (เปิด พุธ – อาทิตย์ 09.00 - 16.00 น. ปิดพักเที่ยงนะครับ)

สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด ต้องขออำลาเมืองสิงห์บุรี แต่เพียงเท่านี้ แต่ขอสัญญาว่า มีโอกาสจะไปเที่ยวอีกแน่นอน เพราะยังคิดว่า เมืองสิงห์บุรี เป็นเมืองที่มีเสน่ห์ น่าค้นหา อาหารอร่อย ที่พักราคาประหยัด และอีกหลาย ๆ อย่างที่ยังสัมผัสไม่ครบจริง ๆ ครับ... ขอขอบคุณเพื่อน พี่น้อง ชาวสิงห์บุรี ทุกท่าน สำหรับไมตรี ที่มอบให้กันด้วยความจริงใจ....แล้วเราจะเจอกันอีกครับ

โชคดีมีเงินใช้ทุกท่านนะครับ....

ความคิดเห็น