"หลังจากหยุดยาวช่วงวันแรงงานและวันหยุดที่รัฐบาลมอบให้ ตัวผมเองได้มีโอกาสไปเที่ยวประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งทริปนี้เริ่มได้เพราะเพื่อนของผม ชวนไปเที่ยวช่วงนี้พอดี ประกอบกับผมเพิ่งลาออกจากงาน ทำให้ช่วงนี้มีเวลาว่างมากมายและยังได้มีเวลากับตัวเองอีกด้วย ผมเลยใช้ช่วงเวลานี้ออกเดินทางอีกครั้ง"
ทริปนี้เราชวนกันออกไปเที่ยวประเทศเพื่อนบ้านคือ ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว หรือประเทศลาวนี้เอง ทริปนี้ใช้เวลา เที่ยว 4 วัน 3 คืน ตอนแรกว่าจะเดินทางด้วยรถบัสสาย กทม-เวียงจันทน์ แล้วต่อรถไปวังเวียง แต่ตามคาด หยุดยาวแบบนี้ มีแต่คนไปเที่ยวเที่ยวรถเต็มเป็นที่เรียบร้อย อีกอย่างเพื่อนผม มีงานเข้าด่วน ทำให้ผมต้องไปเที่ยวคนเดียวในวันแรกก่อน แล้วเพื่อนจะตามมาเจอกันที่ บขส เวียงจันทน์อีกที แต่ไปถึงนู่นก็จะมีเพื่อนที่ทำงานอยู่ฝั่งลาวมาเที่ยวด้วยกันในเวียงจันทน์เท่านั้นไม่ได้ต่อไป วังเวียงด้วยกัน
ผมเลยเลือกการเดินทางครั้งนี้โดยใช้รถไฟ ตู้นอน ขบวนที่ 69 กทม-หนองคาย ค่ารถไฟ 681 บาท ถึงหนองคายประมาณ 7.45 (รถไฟตรงเวลามาก) ที่นอนค่อนข้างดี บรรยากาศภายในตู้นอน มีหลายเตียงมากครับผม แต่อาหารแพงไปนิดครับ
ที่นอนบนรถไฟขบวนที่ 69
บรรยากาศภายในตู้นอน
พอมาถึงสถานีหนองคาย ก็เช้าพอดีอากาศกำลังดี ไม่ร้อนเกินไป ทำให้เช้านี้สดชื่นเป็นพิเศษ หลังจากนั้นก็เดินมาหน้าสถานีรถไฟจะเจอรถสองแถวจอดรอรับไปส่งที่สะพานมิตรภาพเลยครับ แต่ต้องรีบขึ้นให้ทันนะครับไม่งั้นก็ต้องเสียงเงินนั่งรถตุ๊กๆ ย้อนไปขนส่งหนองคายแล้วนั่งมาสะพานอีกรอบ จะย้อนเกินไปนิดสำหรับชาวแบ็คแพ็คเกอร์ พอรถมาส่งที่สะพานมิตรภาพแล้ว ก็เดินเข้าไปทำเรื่องข้ามแดนเลยครับ
สะพานมิตรภาพไทย-ลาว
การทำเรื่องข้ามแดน
เดินเข้ามาที่ด่าน จะมีเจ้าหน้าที่แจกใบเขียนเข้า-ออกประเทศไทย ให้ไปเอาใบมาเขียนขาออกก่อน แล้วไปต่อแถวยื่นผ่านแดนพร้อมพาสปอร์ตได้เลย (ส่วนใบขาเข้าค่อยเขียนตอนที่ว่างก็ได้) แค่นี้ก็พร้อมออกเที่ยวได้แล้ว
การข้ามสะพานมิตรภาพไทย-ลาว
เมื่อทำเรื่องผ่านแดนฝั่งไทยเสร็จแล้ว ก็ได้เวลาเดินทางข้ามสะพานเพื่อเข้าประเทศลาวต่อ พอออกมาจากด่านฝั่งไทย จะเจอที่ขายตั๋วรถบัสเพื่อข้ามฝั่งอยู่ด้านขวามือ ราคา 20 บาท สภาพรถเหมือนรถบัสทั่วไป ใครมาก่อนได้ขึ้นก่อนเลยนะครับ
รถโดยสารข้ามสะพานมิตรภาพไทย-ลาว
การทำเรื่องเข้าประเทศลาว
พอรถบัสเข้ามาจอดที่ด่านฝั่งลาวแล้วให้เดินไปที่ตู้เพื่อทำเรื่องเข้าลาวก่อน โดยเดินมาที่ตู้นี้เลยครับ ให้ยื่นพร้อมกับพาสปอร์ตนะครับ ตรงนี้คนต่อแถวเยอะมาก แต่ถ้าใครไม่อยากต่อแถวยาวๆ ให้ไปตู้ถัดไป (ที่อยู่ในรูปไกลๆ) ได้เลยครับ คาดว่าจะใช้ได้เหมือนกัน
ต่อคิวทำบัตรผ่านแดนฝั่งลาว
เสียค่าเข้า คนละประมาณ 40 บาท แล้วก็จะได้บัตรสีเทาๆ แล้วก็เดินถัดมาอีกนิดจะมีใบเข้าประเทศลาวให้กรอก (ถ้าใครหาไม่เจอไปขอใบได้ที่เจ้าหน้าที่เลยครับ) พอกรอกเสร็จก็ยื่นพร้อมพาสปอร์ต แล้วก็เดินผ่านมา จะเจอทางออกเพื่อเข้าประเทศลาว ตรงนี้เราต้องใช้บัตรเพื่อผ่านเข้าประเทศครับ เท่านี้ก็เรียบร้อย เราก็เข้าประเทศลาวได้อย่างสมบูรณ์แล้วนะครับ
เดินออกมานิดหน่อยจะมีที่ให้แลกเงินตรงนี้ผมเลยแลกไป 3,000 บาท= 750,000 กีบ (อัตราแลกเปลี่ยน 1 บาท=250 กีบ ณ วันที่ 1 พค 58) ก็นั่นแหละครับพร้อมลุยกันแล้ว!!!
หลังจากที่เหน็ดเหนื่อยกับการทำเรื่องผ่านแดนตั้งแต่ฝั่งไทย-ฝั่งลาว แดดช่วงนี้เหมือนอยู่ห่างจากประเทศไทย ไม่ถึง 10 กิโล ก็ต้องหาทางเข้าเวียงจันทน์ให้เร็วที่สุด ผมเลยเดินไปถนนฝั่งขาเข้าประเทศลาว ลืมบอกไปครับ การสัญจรของประเทศลาวใช้เลนส์คนละฝั่งกับเรานะครับ ประเทศลาวขับรถด้านขวา แน่นอนถนนขาเข้าก็ต้องเป็นด้านขวาด้วย ผมก็เดินมาด้านขวาเพื่อจะหารถเข้าเวียงจันทน์ ก็เจอกับป้ายรถเมล์ ตรงที่จอดคล้ายๆรถยูโร บ้านเราแหละครับ สาย 168 ที่จะพาผมเข้าเวียงจันทน์ (ปล.จริงๆสายไหนก็ได้ครับ เพราะมีจอดคันเดียว และออกมาเป็นรอบ รอบละ 20 นาที) ราคาค่าตั๋ว 5,000-6,000 กีบ ก็ประมาณ 20 บาทครับ วิธีคิดว่าเงินกีบเป็นเงินไทยเท่าไหร่ก็ตัดเลขศูนย์ หลังจุด ออกไป แล้วก็คูณด้วย 4 ครับ เช่น 50.000 กีบ=200 บาท ประมาณนี้ครับผม
ป้ายรถมล์หน้าด่านฝั่งลาว
ภายในรถเมล์
การเดินทางจากสะพานมิตรภาพไทย-ลาว มาสู่เมืองหลวงเวียงจันทน์นั้น ใช้เวลาประมาณ 30-45 นาที ขึ้นอยู่กับจำนวนคนลงจากรถ ถ้าจอดเยอะก็นานหน่อยครับผม
พอถึงบขส.เวียงจันทน์ คนเยอะมากทั้งคนท้องถิ่นแล้วก็นักท่องเที่ยว นั่งรอที่ขนส่งกันเพื่อต่อรถไปที่เที่ยวต่างๆ ชาวบ้านก็นำของป่ามาขาย เสียงตระโกนเพื่อเรียกขึ้นรถดังมาด้านซ้าย เสียงขายหวยขูดดังมาทางด้านขวา ต้องยอมรับว่าการนั่งพักหลังจากเดินทางมายาวนาน มีสีสันขึ้นมาเลยทีเดียว
หวยขูด ณ ท่ารถเวียงจันทน์
บรรยากาศภายใน บขส.เวียงจันทน์
วิถีชีวิตของผู้คนในประเทศลาว
ผมนั่งไม่นาน เพื่อนที่ทำงานที่ฝั่งลาวก็มาถึง ที่แรกที่ต้องไปเลย คือเอากระเป๋าไปเก็บก่อน ผมกับเพื่อนเลยเดินเท้าจาก บขส.เวียงจันทน์เพื่อลัดไปทางตลาดเช้า (ຕະຫຼາດເຊົ້າ) ภายในติดแอร์เหมือนเดิน ประตูน้ำแหละครับ ชิลๆ เย็นๆของฝากแพงหน่อย มีของขายหลากหลาย ตั้งแต่กระเป๋าไปจนถึงโทรศัพท์ แต่ที่เยอะเป็นพิเศษคือหนังสือ ที่มีขายหลายร้านมาก
ภายในตลาดเช้า
ด้านในตลาดเช้า
เราเดินทะลุจากตลาดเช้าเพื่อ ออกไปทางถนนล้านช้าง มุ่งหน้าสู่ย้านเกสต์เฮ้าส์ ที่เรียกว่า ย่านน้ำพุ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจาก บขส. และอยู่ติดแม่น้ำโขงด้วย ย่านนี้ต้องบอกว่าห้องพักมีหลากหลายอีกทั้งราคาถูกอีกด้วย ไม่ไกลจากแหล่งบันเทิงยามค่ำคืนและการไปเดินเล่นแถวตลาดมืด (คล้ายกับ ถนนคนเดิน) ไปไม่ยากอีกด้วย ทำให้ที่พักแถวนี้มีนักท่องเที่ยวมาพักมากมาย ผมเลยเลือกเดินไปแถวๆวัดมิไซ
แผนที่วัดมิไซ
ด้วยความร้อนและความอยากจะไปถึงที่พักไวๆผมเลยเลือก ที่พักแบบรวม ซึ่งโชคดีมากที่ห้องผม มีแค่ผมคนเดียวที่พัก จากทั้งหมด 4 เตียง ทำให้ผมได้นอนห้องเดี่ยวในราคา 120 บาท หรือราคา 30,000 กีบ คุ้มมาก
เกสเฮ้าส์แบ็คแพ็คเกอร์
สภาพห้องถ้าใครคาดหวังว่าห้องพักคงสวย เครื่องอำนวยความสะดวกครบ ก็ต้องผิดหวังนิดนึง เพราะห้องพักที่นี่เหมาะสำหรับแพ็คแพ็คเกอร์เท่านั้น มีแค่เตียง หมอน ผ้าห่ม เท่านั้น ห้องอาบน้ำเป็นห้องน้ำรวม 2 ห้อง แยกส่วนสุขา เป็น 2 ห้องรวมเป็น 4 ห้องน้ำ
พอจัดแจงเก็บของอาบน้ำ ทำธุระส่วนตัวแล้วก็ได้เวลาเที่ยวแล้วครับ ที่แรกที่ไปคือ ไปหาอะไรทานก่อนครับ หิวมากเลย ตั้งแต่ลงรถไฟมา ประมาณ 7 โมงกว่าๆยังไม่ได้กินอะไรเลยครับ ตอนนี้ก็จะ เที่ยงแล้ว หิวมากเลย ก็นั่นแหละครับ เดินไปเจอร้านขายเฝอกับข้าวเปียกอยู่ บรรยากาศเป็นร้านค่อนข้างเก่า เคล้าวัฒนธรรมจีนนิดๆ เรียกได้ว่าอารมณ์คลาสสิคมาเต็มครับผม
ร้านเฝอและข้าวเปียก
ผมเลยจัดมาเต็มๆ 1 ชามครับผม คนที่นี่กินเฝอต้องใส่ซอสพริกครับผม ถึงจะเข้าถึงรสชาติของคนท้องถิ่นครับ ผมสั่งเฝอเป็ดใหญ่ หนึ่งชาม ราคาประมาณ 80 บาท=20,000 กีบ ครับผม ราคาอาหารส่วนใหญ่จะประมาณ 10,000-25,000 กีบ ไม่มีที่ไหนราคาต่ำกว่านั้นเลยครับ เรียกได้ว่าค่อนข้างแพงนิดหนึ่งสำหรับชาวแบ็คแพ็คเกอร์
เฝอเป็ดใส่ซอสพริก
ข้าวเปียก
เมื่อกินอาหารคาวเสร็จแล้วก็มาต่อด้วยอาหารหวานครับ ร้านขนมปังนี้อยู่ใกล้ๆกับร้านเฝอเลยครับผม เป็นร้านสไตล์ Loft ปูนเปือย ตกแต่งได้สวยงามน่านั่ง แอร์เย็น เหมาะแก่การหลบแดดอย่างแรง จริงๆที่มานั่งร้านนี้เพราะต้องการหลบแดดแหละครับ เดินเที่ยวเวียงจันทน์ช่วงเที่ยงๆนี่ไม่ไหวครับ ร้อนมาก
ร้าน PARISIEN CAFE
ผมเลยจัดมาคนละชิ้นกับเพื่อนผม เรียกได้ว่าน่าทานมากเลยครับ แต่ผมจำไม่ได้ว่าเรียกอะไร แต่รู้ว่าหมดค่าอาหารรวมเครื่องดื่มด้วยก็เกือบๆ 90,000 กีบแหละครับ ถือว่าแพงเอาเรื่องเลยครับผม แต่ก็ถือว่าได้ลองอะไรที่หลากหลายครับผม รสชาดอร่อยเลยครับอิ่มด้วย
ขนมปัง
เมื่อท้องอิ่ม ก็ได้เวลาออกเดินทาง เที่ยวรอบเวียงจันทน์ กันแล้ว ที่แรกที่ไปเลยคือ วัดสีสะเกด (ວັດສີສະເກສ) ซึ่งเป็นวัดที่สร้างเป็นแห่งแรกในนครเวียงจันทน์ หรือวัดแสน เดิมเคยเป็นที่ประทับของสมเด็จพระสังฆราชของประเทศลาว ศักดิ์ของวัดนี้เทียบเท่าวัดโพธิ์ ของไทย ที่เรียกชื่อวัดแสนเนื่องจากว่า พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชและพุทธศาสนิกชนชาวลาวในอดีต ได้สร้างประพุทธรูปองค์เล็กองค์น้อย รวมกันประมาณ แสนองค์ จึงได้ชื่อเรียกว่าวัดเเสน ปัจจุบันมีพระพุทธรูปประมาณ 6,000-10,000 องค์ อย่างไรก็ตามวัดนี้ยังเป็นวัดที่มีพระพุทธรูปมาที่สุดในเวียงจันทน์ ภายในวัดสีสะเกดยังมีหอไตรเก่า ที่สวยงามอีกด้วย ค่าเข้าชมคนละ 20 บาท=5,000 กีบ เปิดให้เข้าชม ตั้งแต่ 8.00-12.00น. และ 13.00-16.00 น.
วัดสีสะเกด
หอไตรด้านข้างของวัดสีสะเกด
พระพุทธรูปประดิษฐ์สถานในวัดสีสะเกด
พระพุทธรูปประดิษฐ์สถานใรวัดสีสะเกด
ป้ายเตือนนักท่องเที่ยวห้ามจับพระพุทธรูป
เมื่อออกจากบริเวณวัดสีสะเกดแล้วก็เดินไปทางหอไตรเก่า ซึ่งแต่ก่อนเคยเป็นที่เก็บคัมภีร์และพระไตรปิฏกเก่าๆเอาไว้แต่เนื่องจากการสงครามระหว่างไทยกับลาว ทำให้คัมภีร์และพระไตรปิฏกต่างๆ ได้ถูกกองทัพสยามนำกลับไปที่ประเทศไทยพร้อมทั้งพระแก้วอีกด้วย
หอไตรภายในวัดสีสะเกด
หลังจากเดินออกมาจากวัดสีสะเกดแล้ว ก็เดินไปทางประตูชัย เพราะว่าหอพระเเก้วที่อยู่บริเวณนั้นปิดบูรณะและยกช่อฟ้าใหม่ ระยะทางระหว่างวัดสีสะเกดถึงประตูชัยไม่ค่อยไกลเท่าไหร่ สามารถเดินไปถึงได้เลย
ประตูชัย หรือ ประตูไซ (ປະຕູໄຊ) สร้างขึ้นเพื่อ เป็นที่ระลึกถึงความเสียสละของประชาชนชาวลาว ในสงครามก่อนการประติวัติพรรคคอมมิวนิสต์
ประตูชัย
ทัศนียภาพด้านบนประตูชัย
ลักษณะสถาปัตยกรรมได้รับอิทธิพลมาจาก ประตูขัย (Arc de Triomphe) ของฝรั่งเศส แต่ยังคงเอกลักษณ์ความเป็นลาวเอาไว้ในรายละเอียดต่างๆของประตูชัยด้วยนั่นเอง ประตูชัยสร้างเสร็จเมื่อปี้ พ.ศ.2512 จริงๆแล้วประตูชัยมีอีกชื่อหนึ่งเรียกว่า "รันเวย์แนวตั้ง" เพราะว่าปูนที่ใช้สร้างประตูชัย เป็นปูนที่ทหารอเมริกาต้องการมาสร้างสนามบิน แต่แพ้ไปเสียก่อน จริงนำปูนมาสร้างเป็นประตูชัยแทน
เพดานด้านบนของประตูชัย
หลังจากเที่ยวประตูชัยเสร็จแล้ว ไปสถานที่ต่อไปคือ พระธาตุหลวง โดยต้องนั่งรถตุ๊กๆไป คนละ 35 บาท ซึ่งระยะทางค่อนข้างไกลรวมถึง ความร้อนของอากาศช่วงเดือนพฤษภาคมด้วย เลยตัดสินใจนั่งรถตุ๊กๆกันไป ส่วนใหญ่แล้วการเดินทางของนักท่องเที่ยวจะเดินทางโดยรถตุ๊กๆกัน เพราะไม่มีรถสองแถวไว้บริการ ราคาแล้วแต่จะต่อรองกับคนขับเอง
รถตุ๊กๆแถวประตูชัย
นั่งมาประมาณ 10 นาทีก็ถึง พระธาตุหลวง ซึ่งเป็นที่เคารพสักการะของประชาชนชาวลาวเป็นอย่างมาก
พระธาตุหลวง หรือ พระเจดีย์โลกะจุฬามณี (ພຣະທາດຫລວງ,ທາດຫລວງ) เป็นปูชณียสถานที่สำคัญในเวียงจันทน์ และเป็นศูนย์รวมจิตใจของประชาชนชาวลาวทุกคน ตามตำนานคาดว่ามีความเกี่ยวพันกับพระธาตุพนม ซึ่งใช้เวลาก่อสร้างนับพันปี และความเกี่ยวพันทางด้านประวัติศาสตร์ของดินแดนทางฝั่งขวามของแม่น้ำโขงอย่างแยกไม่ออก อีกทั้งยังเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญและนำมาเป็นตราแผ่นดินที่ใช้อยู่ในปัจจุบันอีกด้วย
พระธาตุหลวง
ด้านนอกของพระธาตุหลวง
หลังจากเดินเที่ยวภายในพระธาตุหลวงจนเย็นแล้ว เราก็ไปเที่ยวต่อที่ตลาดมืด
ตลาดมืดหรือเรียกว่า ถนนคนเดิน เวียงจันทน์ (Vientiane Walking Street) ริมฝั่งแม่น้ำโขงนั้น ตั้งอยู่บนถนนฟ้างุ้มเลียบฝั่งแม่น้ำโขง มีความยาวประมาณ 1 กิโลเมตร เปิดตั้งแต่ 17.00-22.00 ทุกวัน ตลาดมืดนั้นเรียกได้ว่าเป็นแลนด์มาร์ค สำหรับ คนหนุ่มสาวชาวลาว เพราะว่า เป็นแหล่งรวมตัวทำกิจกรรมต่างๆ เช่น เดิน วิ่ง เต้นแอโรบิก เป็นที่พบปะกันในกลุ่มเพื่อน เรียกได้ว่าคล้ายๆ สยามเซ็นเตอร์ในบ้านเราก็ว่าได้ รวมถึงคนเฒ่าคนแก่ มาพูดคุยกัน เดินเล่นกัน เรียกได้ว่า เป็นแหล่งรวมตัวกันเลยทีเดียว
บรรยากาศถนนคนเดิน เวียงจันทน์ (ตลาดมืด)
บรรยากาศถนนคนเดิน เวียงจันทน์ (ตลาดมืด)
บรรยากาศถนนคนเดิน เวียงจันทน์ (ตลาดมืด)
หลังจากกลับจากตลาดมืดแล้วก็ไปรับบรยากาศ Night Life ของชาวเวียงจนัทน์ ซะหน่อย พวกเราเลือกที่จะไปนั่งชิลแถวลานน้ำพุ เพื่อดื่มด่ำกับบรรยากาศ ยามค่ำคืนของเวียงจันทน์ เรียกได้ว่า มาเวียงจันทน์ครั้งนี้คุ้มจริงๆ ผับที่เวียงจันทน์ไม่ค่อยเต้นกันนะครับเรียกได้ว่า นั่งดื่มด่ำกับบรรยากาศและเสียงเพลงอย่างเดียว อีกอย่างถ้าใครเป็นขาแด๊นซ์ ก็คงต้องผิดหวังกันเพราะว่า เพลงที่เปิดในผับจะเป็นเพลงค่อนข้างเพราะมากกว่าค่อนข้างแด๊นซ์นะครับ เพลงที่เรียกได้ว่าเป็นเพลงประจำผับ ถ้าผับไหนไม่เปิดถือว่ามาไม่ถึงครับ คือเพลงนี้ครับผม เพลง "หอมกุหลาบปากเซ ( ຫອມກຸຫຼາບປາກເຊ)"
อย่างว่าแหละครับ สถานที่ท่องเที่ยวในลาวมีมากจริงๆ ตั้งแต่ลาวเหนือถึงลาวใต้ แค่มาเที่ยวเวียงจันทน์ ก็มาเที่ยวได้แค่ ส่วนเดียวของทั้งประเทศแล้ว นอกจากนั้นยังมี หลวงพระบาง ปากเซ และที่อื่นๆอีกมากมายรอให้ชาวแบ็กแพ็คเกอร์อย่างเราๆ ได้ไปค้นหาประสบการณ์ใหม่ๆ มากมาย
หลังจากตื่นมาด้วยอาการเมาเบียร์ลาว (ເບຍລາວ) ที่ลานน้ำพุ แถวๆเกสเฮาส์ ย่านวัดมิไซ ก็ได้เวลาเก็บของเตรียมตัวไป วังเวียงกันต่อ แต่ว่าต้องไปเจอกับเพื่อนที่ บขส.ลาว ก่อน ตอน 8 โมง ก็เลยต้องรีบหน่อย ระหว่างทางเลยแวะซื้อ ข้าวจี่ปาเต
(ເຊ້າຂີ່ປາເຕ້) หมู ที่ร้านระหว่างทางเดินไป บขส.เวียงจันทน์
ต้องบอกว่าข้าวจี่ปาเต (pâté) มาจากภาษาฝรั่งเศส ที่แปลว่า เนื้อและตับ บดละเอียด และนำมาใส่เป็นใส้ของขนมปัง (Baguette) ใช้มะเขือเทศ ผักชี หัวหอม มาใส่เป็นใส้และราดด้วยซอสปาเต พร้อมรับประทาน เรียกได้ว่าเป็นอาหารพื้นเมืองที่คนท้องถิ่นนิยมทานมากที่สุดก็ว่าได้ เพราะถ้ามาประเทศลาวแล้วได้ชิมแค่ เฝอ กับ ข้าวเปียก ก็ถือว่ายังมาไม่ถึงประเทศลาว
วิธีการทำข้าวจี่ปาเต
นำไส้มาใส่ในขนมปัง Baguette
ปาเตหมูพร้อมทานแล้ว
สำหรับการเที่ยวเวียงจันทน์คงจบแค่นี้ แต่ทริปยังไม่จบนะครับ ยังเหลือวังเวียง ที่เที่ยวที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในตอนนี้ มีทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ ตามมาเลยครับ
วังเวียง (ວັງວຽງ)
พอได้ของกินมาแล้วพลังในการเที่ยวก็เพิ่มขึ้น ฝ่าแดดที่ร้อน ถึงร้อนมาก กลางเมืองเวียงจันทน์ ไม่นานก็มาถึงท่ารถ ประมาณ 7 โมงกว่าๆ แล้วก็นั่งรอเหมือนเดิม แต่คราวนี้ระทึกใจหน่อยตรงที่ ทั้งผมและเพื่อนไม่ได้ซื้อซิมโทรศัพท์ของประเทศลาว ที่ทำได้ดีที่สุดคือ บอกเพื่อนว่า "มารอตรงท่ารถตรงกลาง ที่มีที่นั่งเยอะๆ ถ้าไม่เจอก็อย่างเพิ่งไปไหน เพราะจะรออยู่ตรงนั้นแหละ" ข้อความสุดท้ายที่ส่งไปก่อนจะออกจากเกสต์เฮ้าส์ ถ้าไม่เจอกันนี่ก็คงจะต้องจบทริปเพียงเท่านี้
เวลาผ่านไปประมาณ ประมาณ 8 โมงครึ่ง ยังไร้วี่แววรถจากฝั่งหนองคาย ก็นั่งรอไปเรื่อยๆหละครับก็ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่หันหน้าเข้าหาทางเข้า บขส.ด้วยใจหวังว่ารถจะมาไวๆ จนประมาณ 9โมง ครึ่งหละครับ เพื่อนก็มาถึง เราก็ตามเสต็ปเลยครับ ไปซื้อตั๋วเพื่อจะไปวังเวียง แต่ว่าเจ้าหน้าที่ขายตั๋วบอกว่า ต้องไปขึ้นรถที่ขนส่งสายเหนือเท่านั้น
พวกเราก็เลยเดินหารถเมลเลยครับ แต่โชคดีหน่อยรถเมลทุกสาย รวมถึงคันที่จะไปสายเหนือจะมีป้ายเขียนหน้ารถปลายทางไว้อย่างชัดเจน ต้องใช้การเดาศัพท์ ถึงจะอ่านออกครับ แต่อย่างว่ารากศัพท์คล้ายๆกันก็เดาไม่ยาก การเดินทางโดยรถเมลเป็นทางเลือกที่ประหยัดสุดแล้ว เพราะแค่ 20 บาท ก็ไปถึงท่ารถสายเหนือ แต่อาจจะนานหน่อย ขึ้นอยู่กับว่าจะจอดรับ-ส่ง เยอะหรือเปล่า ประมาณ 10 โมงกว่าๆ เราก็มาถึงแล้ว ท่ารถสายเหนือ ปากประตูสู่วังเวียง
ท่ารถสายเหนือ
ไม่รอช้าแล้วครับจังหวะนี้ รีบไปช่องขายตั๋วเลยครับ ปรากฏว่า การซื้อตั๋วต้องไปจ่ายเงินกับคนขับรถเท่านั้น รถที่นั่งไปวังเวียง ก็เป็นรถตู้ครับผม ติดป้ายไว้ค่อนข้างชัดเจน เดินออกประตูมาก็เจอเลยคัรบ ราคาก็ประมาณ 50 พันกีบ หรือ 50,000 กีบ นั่นเอง ก็เท่ากับ 200 บาท หละครับ ระยะเวลาเดินทาง 3 ชั่วโมงครึ่ง ถึง 4 ชั่วโมงครับ
รถตู้ไปวังเวียง
แนะนำว่าซื้ออาหารและน้ำไว้เลย เพราะระยะทางค่อนข้างไกล ไม่ค่อยมีปั๊มให้เเวะ และประเด็นสำคัญอากาศค่อนข้างร้อนแอร์รถตู้ก็เอาไม่ค่อยจะอยู่ อีกอย่าง นั่งหน้าๆ จะดีสุดครับ สามารถยืดขาได้ และแอร์เย็นมาก
ภายในรถตู้
รถตู้ไปวังเวียงต้องรีบขึ้นนะครับ เพราะว่าถ้าเต็มก็ออกทันที ถ้ามาไม่ทันก็รอรอบหน้าเท่านั้นครับ แล้วก็ไม่รู้ว่าคนจะเยอะหรือเปล่า
รตู้จากสายเหนือจะไปจอดที่ ขนส่งที่วังเวียงครับ แต่ว่าที่วังเวียงมีขนส่ง 2ที่ ถ้าใครมารถบัสตรงจาก อุดร-วังเวียงก็ไปอีกที่นึงครับ แต่เรานั่งรถตู้เลยมาลงขนส่งภายในประเทศ ก็ต้องนั่งรถกระป๊อ จากขนส่งเข้าไปในวังเวียง โชคดีหน่อยตรงที่มีน้องที่นั่งรถมาด้วยกัน จะเข้าวังเวียงพอดี เราก็เลยได้ค่าโดยสารคนละ 40 บาท ส่งถึงหน้าโรงแรมเลยทีเดียว แต่เส้นทางนี่มีหลุมมีบ่อเยอะเลยครับ ใครนั่งรถไปวังเวียงนี่ เหมือนไปงานคอนเสร์ิ ร็อกเกอร์เลยครับ โยกหัวกันมันส์มาก แต่ก็มีสลับกับเป็นทางลาดยางนะครับ
ถนนระหว่างทางไปวังเวียง
ตามคาดครับอากาศที่วังเวียงร้อนมาก อุณหภูมิประมาณ 35 องศา เรียกได้ว่าเกือบไหม้เลยทีเดียว เป้าหมายแรกคือ หาที่พักก่อน อย่างอื่นค่อยว่ากัน ก็เลยเดินไปเรื่อยๆแหละครับ เพราะไม่ได้จองห้องพักไว้ แต่อีกใจก็กลัวจะเต็ม เพราะนักท่องเที่ยวเยอะมาก โดยเฉพาะ คนไทยและคนเกาหลี เดินไปตรงไหนได้ยินแต่คนพูดภาษาไทยครับ สงสัยน่าจะมาตามรีวิวจากเว็บบอร์ดแน่นอน
สุดท้ายก็ได้ห้องพักครับ เป็นโรงแรมเล็กๆ อยู่ตรงกลางและเหมือนจะเป็นศูนย์กลางของย่านที่พักเลยครับ ชื่อว่า "เรือนเวียงวิไล" ตรงนี้เป็นแลนด์มาร์กเลยครับ เพราะว่าเป็นทั้งจุดลงรถ ซื้อแพ็คเก็จทัวร์ แม้กระทั่งซื้อตั๋วรถไปหลวงพระบาง และกลับเวียงจันทน์ หรือใครไม่รู้จะเริ่มไปทางไหน ใช้ที่นี่อ้างอิงเป็นจุดเริ่มต้นได้เลยครับ
ถ่ายหลังจากกลับจากเดินชิลที่ ด้านหน้าเรือนเวียงวิไล
ที่พักนั้นมีให้เลือกหลากหลายครับ ตั้งแต่ห้องเดี่ยวสุดหรู ราคา 70,000 กีบ ไปจนถึงห้องรวมในราคา 30,000 กีบ เรียกได้ว่าราคานี้เอาใจชาวแบ็คแพ็คเกอร์เป็นอย่างมาก ผมเองก็เช่นกัน เลยจัดไป คนละเตียงกับเพื่อนเป็นห้องรวม ในราคา 30,000 กีบ=120 บาท ต่อคืน ส่วนสภาพห้องในราคา 120 บาทนั้น สะอาดมาก เตียงใหญ่ ผ้าห่มอุ่นดี ห่มได้ ห้องนึงพักประมาณ 6-8 คน ต่อห้อง ก็ถือได้ว่าคุ้ม สำหรับชาวแบ็กแพ็คเกอร์มากครับผม
ปล.สภาพห้องไม่สามารถถ่ายได้เนื่องจากเกรงใจเพื่อนร่วมห้องครับผม
เข้าห้องมา ก็ได้เพื่อนเลยครับ เป็นคุณครูสาวชาวแคนนาดา ชื่อ Haley อายุ 26 มาเที่ยวระหว่างรอไปทำงานที่ประเทศจีนครับ เราก็ทักทายกันตามปกติ สัพเพเหระ ทั่วไป นู่นนี่นั่น บลาๆ หลังจากนั้นก็จัดแจงทำธุระส่วนตัว รีแล็กซ์ แล้วก็ถึงเวลาอาบน้ำ ก็เตรียมของใช้อาบน้ำตามปกติแหละครับ พอไปถึงห้องน้ำก็ช็อคนิดๆครับ เพราะทั้งโรงแรมมีห้องน้ำแค่ 1 ห้องและห้องส้วมอีก 1 ห้อง ที่สำคัญประตูห้องน้ำปิดไม่ได้ครับ จะอาบน้ำทีต้องใช้เท้ายัน ขณะอาบน้ำ รู้สึกตื่นเต้นบอกไม่ถูกเลยครับ แต่อย่างว่าแหละครับประสบการณ์แปลกใหม่ ถ้าไม่มาเที่ยวก็ไม่เจอครับ
พออาบน้ำ ทำธุระส่วนตัวเสร็จก็ได้เวลาเดินเที่ยวหละครับ พวกเราก็เดินเที่ยว ถ่ายรูปเล่นไปเรื่อยๆ โดยเริ่มจากระแวกเกสเฮ้าส์และไปสุดที่แม่น้ำซองครับผม ด้านล่างจะเป็นรูปรัวๆนะครับ
สะพานข้ามคลอง ในวังเวียง
วิวริมแม่น้ำซอง
กิจกรรมพายเรือคายัคในแม่น้ำซอง
เด็กเล่นน้ำริมแม่น้ำซอง
เด็กเล่นน้ำริมแม่น้ำซอง
ฐานปล่อยบั้งไฟ ริมแม่น้ำซอง
ฐานปล่อยบั้งไฟ ริมแม่น้ำซอง
หลังจากนั้นพวกเราก็มองหาที่นั่งชิลกันไปเรื่อยๆ บังเอิญเจอหนุ่มชาวเยอรมัน ชื่อ Mike อายุ 24 เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน ที่มหาวิทยาลัยเปิดแห่งหนึ่งย่านบางกะปิ ที่นั่งชิลอยู่คนเดียว พวกเราก็ไปขอนั่งด้วย แล้วก็ใช้เวลาในการคุยกันถามสารทุกข์สุขดิบกันตามสไตล์นักท่องเที่ยว และใช้เวลาพักผ่อนชิลๆแบบสโลว์ไลฟ์ เรียกได้ว่าชิลมากก จากนั้นไม่นานก็มีบักรินทน์และเพื่อนๆมาเล่นน้ำใกล้ๆ และก็ไม่พลาดที่จะเก็บเรื่องราวระหว่างรินทน์และเพื่อนๆ ที่มาเล่นน้ำริมแม่น้ำซอง
นั่งชิลริมแม่น้ำซอง
น้องรินทน์และเพื่อนๆ
น้องรินทน์กำลังถ่ายรูป
น้องรินทน์
แก๊งค์ของน้องรินทน์
แก๊งค์ของน้องรินทน์
แก๊งค์ของน้องรินทน์
แก๊งค์ของน้องรินทน์
แก๊งค์ของน้องรินทน์
เมื่อเสียงบักรินทน์และเพื่อนๆจากไป พวกเราก็นั่งดูทัวร์พายเรือคายัค นั่งดูหนุ่มสาวจีบกัน ลมเย็นๆ พัดมา พระอาทิตย์เริ่มลับขอบฟ้า พวกเราก็ไม่พลาดที่จะเก็บบรรยากาศและเรื่องราวต่างๆริมแม่น้ำซอง ณ วังเวียง แน่นอน
วิวขณะพระอาทิตย์ตกริมแม่น้ำซอง
บรรยากาศริมแม่น้ำซอง
หลังจากพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว เราก็ได้เพื่อนเพิ่มมาอีก หนึ่งคน แล้วก็พร้อมจะไปกินข้าวเย็นกันแล้วซึ่งเราได้นัดกับ Haley ไว้ที่หน้าโรงแรม แล้วก็เลอืกร้านอาหารที่คนเยอะที่สุด เพราะพวกเราเห็นว่าคนเยอะสุดน่าจะเวิร์คสุด หลังจากกินข้าวกันเสร็จก็ ไปหาร้านเบียร์เบาๆ แล้วปิดท้ายด้วยซากูระบาร์
SAKURA BAR เป็นบาร์ชื่อดังที่สุดในวังเวียง เพราะเป็นแหล่งรวมตัวของนักท่องเที่ยวทุกชาติ ที่มาเที่ยวในวังเวียงก็ว่าได้ แต่ว่าจะปิดประมาณ เที่ยงคืน และถ้ามาก่อน 3 ทุ่ม จะได้เบียร์ฟรี 1 กระป๋อง นะครับ
SAKURA BAR
มาถึงวันแรกก็จัดเต็มซะแล้วสำหรับการเดินเที่ยวชิลๆในวังเวียง เรียกได้ว่า ได้ทั้งธรรมชาติ วิถีชีวิตและบรรยากาศยามราตรีของที่นี่ คุ้มจริงๆกับการเที่ยววันแรก
วันต่อมาเราก็ตกลงกันว่าจะซื้อทัวร์ วันเดย์ทริป เพื่อเที่ยวให้ครบที่สุดในวังเวียง เราก็เลยเลือกซื้อทัวร์หน้าโรงแรมแหละครับ เป็นจุดขายใหญ่ที่สุดแล้วในวังเวียง ทัวร์ที่เราซื้อจะเป็น วันเดย์ทริป เรียกสั้นๆว่า คายัค+บลูลากูน ในแพ็คเก็จ จะรวมการไปเที่ยวถ้ำช้าง (Tam Xang)-ถ้ำน้ำ-พายเรือคายัค และปิดทริปด้วย บลูลากูน (Blue Lagoon) รถจะมารอรับที่หน้าโรงแรมเวลา 8 โมงเช้า และมาส่งที่โรงแรมตอน 6 โมงเย็น
ในทริปนี้มี Mike มาซื้อทัวร์รอบนี้กับเราด้วยครับ ก็เลยไปกัน 3 คน ก็ได้เพื่อนเพิ่มมา 1 คน เที่ยวได้ไม่เหงาแล้วครับ แต่ก่อนจะไปกับขอแวะซื้ออาหารเช้าก่อนนะครับ
อาหารที่นี่จะคล้ายๆกับที่เวียงจันทน์ครับ เปิดขาย 24 ชม เลยครับผม แม่ค้าที่มาขายก็จะเป็นรถเข็นครับจอดปักหลักรอหน้าโรงแรม และที่เที่ยวกลางคืน ส่วนราคาอาหารก็ประมาณ 10,000-15,000 กีบ= 40-60 บาท แล้วแต่เมนูว่าจะใส่อะไรเพิ่มครับผม
รถเข็นขายอาหารหน้าโฮสเทล
เมื่อกินมื้อเช้าเสร็จแล้วก็เตรียมตัวขึ้นรถออกเดินทางไปกับทัวร์ได้เลยครับผม รถจะมาจอดรอหน้าโรงแรมอยู่แล้ว เลยเดินชิลๆได้เลยครับ
ถ้ำช้าง (Tam Xang)
ตั้งอยู่ห่างจากทางเหนือของวังเวียง ประมาณ 14 กิโลเมตร ถายในมีพระพุทธรูป รอยพระบาท และหินงอกหินย้อยคล้ายรูปช้าง ชาวบ้านจึนงเรียกว่าถ้ำช้าง พอมาถึงต้องเดินเข้าไปครับ อากาศค่อนข้างร้อน จากจุดจอดรถจนถึงถ้ำช้าง ประมาณ 500 เมตร ครับผม ไม่ใกล้และก็ไม่ไกลมาก แต่ทางที่ดีควรพกหมวกติดตัวไปด้วยนะครับแล้วก็ทาครีมกันแดดไปด้วยก็จะดีเป็นอย่างยิ่งครับผม
ทางเดินไปถ้ำช้าง
ทางไปถ้ำช้าง
นักท่องเที่ยวบริเวณถ้ำช้าง
รอยพระพุทธบาท
หินงอกหินย้อยรูปช้าง
หลังจากเดินชมถ้ำช้างกันเรียบร้อยแล้ว เราก็เดินออกมาเพื่อที่จะไปลอดถ้ำน้ำต่อครับ การลอดถ้ำน้ำต้องนั่งห่วงยางในการลอดถ้ำครับผม
ถ้ำน้ำ
ห่างจากถ้ำช้างประมาณ 1 กิโลเมตร เป็นทางน้ำไหลผ่าน ทำให้เพดานถ้ำโปร่ง และมีน้ำไหลผ่านตลอดปี มีเส้นทางลอดถ้ำมีสองเส้นทาง เมื่อเข้าไปในถ้ำประมาณ 4 กิโลเมตร จะพบทางแยก หากไปทางซ้าย ระยะทางประมาณ 8 กิโลเมตร จุดสิ้นสุดที่ ถ้ำเมืองซาง แต่เส้นทางนี้ค่อนข้างอันตราย ไกด์ไม่นิยมให้ไป เส้นทางที่สองไปทางขวา จะพบพื้นดินเล็กๆไว้นั่งพัก และวนกลับออกมาทางออกเดิม
บริเวณถ้ำน้ำมีกิจกรรม Zip-line หรือ Zip-wire ให้เล่นด้วยแต่ต้องซื้อโปรแกรมทัวร์มาก่อนนะครับ ถึงจะเล่นได้ครับ
Zip-line หรือ Zip-wire กิจกรรมโหนสลิง บริเวณถ้ำน้ำ
พวกเราก็มานั่งกินข้าว พักผ่อน และเตรียมตัวเพื่อที่จะนั่งห่วงยางลอดถ้ำครับผม ตรงนี้ถ้ากรุ๊ปไหนมาก่อนก็จะได้เข้าก่อนครับ ต้องต่อคิวกันเข้า แต่วันนี้นักท่องเที่ยวเยอะมาก ก็เลยต้องรอกันเกือบๆชั่วโมง ถึงจะได้ลอดถ้ำครับ
ระหว่างรอเราก็นั่งคุยกับคนในทริปนี้แหละครับ คุยกันสัพเพเหระ ก็ต้องเรียกว่า เมาท์มอยกันจัดเต็มเลยทีเดียว เพราะในทริป มีคนไทย ที่มาด้วยกัน ประมาณ 10 คนครับ ตามประสา ก็คุยกันสนุกสนานครับผม เลยได้เพื่อน ร่วมทริปเพิ่มไปอีก 5 คนครับ
พูดคุยเมาท์มอยกันมาประมาณชั่วโมงกว่า ก็ได้เวลาเข้าถ้ำแล้วครับ ที่นี่เค้ามีไฟฉายให้ลูกทัวร์ทุกคนครับ ต้องรอต่อคิวเปลี่ยนไฟฉายกับห่วงยางจากกรุ๊ปก่อนหน้าด้วย เรียกได้ว่า แท็กทีมเปลี่ยนไฟฉายกันเลยทีเดียวครับ
ก่อนเข้าถ้ำก็ต้องนั่งห่วงยางต่อคิวกันเข้าไป ในถ้ำก็มีเชือกให้ดึงกันเข้าไปในถ้ำ ข้างบนก็มีคนโหนสลิงข้างล่างก็มีคนต่อคิวเข้าถ้ำ มีสีสันในการท่องเที่ยวมากครับ
กิจกรรมบริเวณถ้ำน้ำ
เมื่อกลับออกมาจากถ้ำน้ำแล้วก็ถึงกิจกรรมที่รอคอยแล้วครับนั่นคือ พายเรือคายัค ล่องตามแม่น้ำซอง เป็นกิจกรรมหลักของที่นี่ก็ว่าได้ครับ เพราะใช้ระยะเวลานานและ ได้พักผ่อนอย่างจริงจังเสียที
เตรียมเรือคายัค
เตรียมตัวพายเรือคายัค
ไกด์พายเรือคายัคกับลูกทัวร์
ที่พักระหว่างพายเรือ
วิวริมฝั่งแม่น้ำซอง
พายกันไป ชมบรรยากาศกันไป เล่นน้ำกันไป สนุกจริงๆครับ กับการมาพายเรือคายัคพักผ่อนช่วงหน้าร้อนที่วังเวียงแห่งนี้ คุ้มจริงๆที่ได้มาครับผม ระยะทางประมาณ 10 กิโลเมตรได้มั้งครับ กว่าจะถึงจุดสิ้นสุด หมดแรงกันไปเลยทีเดียว แต่อย่างว่าหละครับ ยังไม่จบทริป ยังเหลืออีกหนึ่งสถานที่ ที่ต้องไปต่อครับ
บลูลากูน (Blue Lagoon) ห่างจากตัวเมืองวังเวียงประมาณ 6 กิโลเมตรครับ อย่าคิดว่าไม่ไกลมากแล้วจะเดินทางสบายนะครับ เพราะทางไปบลูลากูน ต้องฝ่าฟันกับพายุฝุ่น ตลอดทางจนกว่าจะถึงครับผม เท่านั้นยังไม่พอยังมีหลุมมรณะ ให้หัวสั่นหัวคลอนกันตลอดการเดินทาง แนะนำว่าถ้าเอารถมาให้จอดไว้แล้วเช่ามอเตอร์ไซค์ ในราคา 200 บาท+ค่าเติมน้ำมันประมาณ 40 บาท หรือไม่ก็มากับทัวร์เถอะครับ จะสบายกว่าขับเองเยอะครับผม
บลูลากูน ตั้งอยู่ที่ ถ้ำปูคำ เป็นสระมรกตสีเขียว อยู่หน้าภูเขาสูงตระหง่าน เป็นทางผ่านไปเข้าถ้ำปูคำ สระมรกตสีเขียว ค่อนข้างลึก ทำให้สามารถกระโดดน้ำจากต้นไม้ลงมาได้ ซึ่งต้องบอกว่า วันนี้นักท่องเที่ยวเยอะเป็นพิเศษ ทำให้เกิดการเสียงเชียร์กันอย่างสนุกสนาน บางคนโดดแบบกล้าๆกลัวๆ บางคนขึ้นไปแล้วไม่กล้าโดด บางคนมีท่ากระโดดเฉพาะตัวค่อนข้างสวย ทำให้บรรยากาศโดยรอบ ครื้นเครงตลอดการเล่นน้ำที่สระมรกต
บรรยากาศรอบสระมรกต (Blue Lagoon)
บรรยากาศรอบสระมรกต (Blue Lagoon)
ท่ายากก็มา (Blue Lagoon)
พุ่งหลาวจากชั้นบนสุดก็เฟี๊ยวนะครับ
ประมาณ 5 โมงกว่าๆได้ โชวเฟอร์ก็มาเรียกให้กลับกันครับ ก็ทำให้การเที่ยววันเดย์ทริปต้องจบทริปไปอย่างสนุกสนานและเหน็ดเหนื่อยกับการเล่นน้ำตลอดทั้งวันเลยครับ
รถก็มาส่งที่โรงแรม พวกเรา 8 คนก็แยกย้าย ทำธุระส่วนตัว แล้วก็นัดกินข้าวกันตอนเย็นแล้วก็ชวน Haley ที่วันนี้ ไปซื้อบัตรขึ้นบอลลูน ราคา ประมาณ 2,400 บาท เพื่อดูวิวที่วังเวียงแล้วก็เช่ารถมอเตอร์ไซค์ ตระเวนเที่ยวในวังเวียงหละครับ เราทั้ง 9 ก็มาเจอกันที่หน้าโรงแรม แล้วก็ชวนกันไปกินอาหารเย็น แล้วก็ไปต่อกันที่แพริมแม่น้ำซองครับผม เป็นอันจบทริป 1 วัน ณ วังเวียง
ต้องบอกว่าการมาเที่ยวที่วังเวียงคราวนี้ คุ้มมากครับ เพราะได้การพักผ่อน ความสนุกสนาน มิตรภาพใหม่ๆ จากเพื่อนร่วมทาง ต้องบอกว่าการมาเที่ยวแบ็กเเพ็ค คราวนี้คุ้มจริงๆครับ ได้ประสบการณ์ใหม่ๆมากมาย ขอบคุณครับ "วังเวียง (ວັງວຽງ)"
Jarupong.T
Jarupong.T
วันพฤหัสที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2559 เวลา 14.08 น.