การเดินป่าในช่วงหน้าฝน แค่นึกถึงก็ดูเหมือนลำบากแล้ว ทั้งเฉอะแฉะ เปียกชื้น แต่ป่าในช่วงนี้ เป็นช่วงที่สวยที่สุด มีความชุ่มฉ่ำและความอุดมสมบูรณ์ ต้นไม้นานาพรรณกำลังแตกกิ่งใบสดใหม่ สีเขียวอ่อนของใบไม้ไล่เรียงไปสีเขียวเข้ม ดูแล้วเพลินตาสบายตา แถมยังมีหมอกฝนลอยมาลอยไป ความรู้สึกเหนื่อยล้าที่แบกมาแทบหายเป็นปลิดทิ้ง การตัดสินใจเดินทางมาที่นี่ หนึ่งคงเป็นช่วงหยุดยาว 3 วัน ช่วง 27 — 29 กรกฏาคม 2562 ถ้าจะทนอุดอู้อยุ่ในกรุงเทพฯ คงไม่ใช่ความคิดที่ดีสักเท่าไร จะไปแหล่งท่องเที่ยวดังๆ คงไม่วายต้องเจอคนมหาศาลเหมือนกัน เราเลยหันเหเป้าหมายไปเดินป่าแทน ถึงคนจะเยอะ แต่คงไม่เยอะเท่าตัวเลือกอื่นๆ ที่กล่าวมาแน่
ภูสอยดาว ภูที่เป็นเป้าหมายของเราในครั้งนี้ ข้อมูลจากหลายๆ ที่ บอกว่าหน้าฝนที่นี่จะสวยงาม เต็มไปด้วยทุ่งดอกหงอนนาค แถมยังเห็นหมอกลอยไปทั่วภูอีกด้วย นี่ล่ะเหตุผลของการตัดสินใจเดินทางครั้งนี้ แต่จะให้เดินทางไปเองก็คงลำบาก ไอ้ฝีมือการทำอาหารก็แค่ระดับเอาตัวรอด แบกเตนท์และสัมภาระอื่นๆ อีก คงไม่น่าจะไหว เราเลยเลือกเดินทางไปกับบริษัทเจ้าดังย่านสนามเป้าที่จัดทัวร์แบบนี้มานานหลายปี เรามาลองดูกันว่า การเดินขึ้นภูสอยดาวแบบ 3 วัน 2 คืน ระยะทางเดิน 6.5 กิโลเมตร ระดับความสูง 1,633 เมตรจากน้ำทะเล จะเป็นยังไง ไปลุยด้วยกันเลย!
อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว มีพื้นที่ครอบคลุมอยู่ในท้องที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าน้ำปาด จังหวัดอุตรดิตถ์ และ จังหวัดพิษณุโลก โดยด้านบนจะมี 2 ส่วน คือ “ลานสนภูสอยดาว” และ “ยอดภูสอยดาว” ซึ่งส่วนหลังจะเปิดให้ขึ้นเฉพาะช่วงหน้าหนาวเท่านั้น การเดินขึ้นสู่ “ลานสนภูสอยดาว” จะผ่านน้ำตกภูสอยดาว และ 5 เนินหลัก คือ เนินส่งญาติ เนินปราบเซียน เนินป่าก่อ เนินเสือโคร่ง และ เนินมรณะ ใช้เวลาเดินประมาณ 4–6 ชม. แล้วแต่ความแข็งแรงของแต่ล่ะคน และที่นี่มี “ดอกหงอนนาค” ที่ได้ชื่อว่า “เป็นดินแดนแห่งทุ่งดอกหงอนนาคที่ใหญ่ที่สุดและสวยงามที่สุดในเมืองไทย”
วันที่ 1 ไต่ระดับ 5 เนิน 6.5 กิโลเมตร
เราเดินทางมาถึงที่ทำการอุทยานตั้งแต่ 6 โมงเช้า พร้อมกับฝนที่ตกหนัก เฆมหมอกลอยเกือบทุกด้านของที่ทำการอุทยาน เรารีบจัดเตรียมข้าวของส่วนที่จะให้ลูกหาบแบกขึ้นไปให้ โดยที่นี่คิดราคา 30 บาทต่อกิโลกรัม เราแบ่งข้าวของที่ไม่จำเป็นต้องใช้ทันทีเมื่อขึ้นถึงลานสนให้ลูกหาบแบก ของต่างๆ ถูกห่อใส่ถุงพลาสติกเพื่อกันเปียก เมื่อจัดการเรียบร้อยแล้วก็นั่งรถเข้าไปสู่จุดเริ่มเดิน ซึ่งเป็นบริเวณเดียวกับน้ำตกภูสอยดาว ก่อนจะเริ่มลุยเราแวะเติมพลังกันก่อนที่ร้านป้าเขียว ร้านอาหารฝั่งตรงข้ามของที่ทำการอุทยาน ทานกันเสร็จเราได้รับสเบียงเพื่อทานระหว่างทางเป็นข้าวเหนียวห่อ หมูทอด ไข่ต้ม อาหารพร้อมแล้ว สิ่งสำคัญสิ่งสุดท้าย… ถ่ายรูปกันก่อน ทุกคนมารวมกันตรงป้ายเพื่อถ่ายรูปหมู่ เสร็จแล้วลุยกันเลย
สำหรับเส้นทางเดินขึ้นเขาจากตีนภูสู่ลานสนยอดภูสอยดาว เราต้องเดินผ่าน 5 เนิน หลักๆด้วยกัน ได้แก่ เนินส่งญาติ เนินปราบเซียน เนินป่าก่อ เนินเสือโคร่ง เนินมรณะ ตลอดระยะทางเดินจะมีแคร่ไม้ไผ่ให้นั่งพักเป็นช่วงๆ ส่วนสภาพทางเดินจะเป็นแบบไหน ขออธิบายง่ายๆ แบบนี้
จุดเริ่มเดิน จนถึงป้ายเนินส่งญาติ เราขอเรียกว่า “บทนำ” ล่ะกัน เป็นการเดินค่อนข้างจะแนวราบ มีเนินขึ้นลงเบาๆ มีปีนป่ายเล็กน้อย เดินข้ามสะพานไม้ 3 จุด ให้เราได้วอร์มร่างกาย แต่บอกก่อนเลย ตอนขาลงตรงนี้ล่ะ เป็นระยะทางที่ทรมานที่สุด แต่ขอเก็บเอาไปเล่าตอนท้ายนะ
“เนินส่งญาติ” เนินแรกของภู แค่เดินเลยป้ายมานิดเดียวจะเจอบันไดเหล็กสีเขียวสูงชันแฝงตัวลัดเลาะไปตามแนวป่าไผ่ บันไดนี้จะสูงแบบไม่ให้เตรียมตัวเตรียมใจเลย แถมชันแบบชันจริงๆ ไม่ได้ชันเล่นๆ แค่จุดนี้เหมือนโดนตัดกำลังขาไปมากโข เหงื่อไหลท่วม เสื้อเปียกทั้งตัวตั้งแต่จุดนี้ล่ะ แต่ยังดีที่เนินนี้ระยะทางไม่ได้ไกลมากเท่าไร แต่ก็เป็นจุดทดสอบจิตใจได้ดีทีเดียว ไม่ผ่านจุดนี้ก็ไม่น่าจะไปต่อนะ อีกมุมหนึ่ง นั่งรถมาถึงนี่แล้วจะมาถอยกันตรงนี้ก็ไม่ควรนะ
“เนินปราบเซียน” หลังจากฝ่าด่านบันไดเหล็กมาได้แล้ว เนินนี้มีความปราณีอยู่บ้าง มีความชันน้อยกว่เนินส่งญาติเยอะโข ช่วงขาของเราจะได้พักก็ช่วงนี้ล่ะ แต่ช่วงนี้อาจจะเดินไกลหน่อยนะ เดินชมนกชมไม้ไปเรื่อยๆ บรรยากาศหลังฝนตกมันช่างชุ่มฉ่ำซะเหลือเกิน
“เนินป่าก่อ” เป็นเนินที่เดินสบายที่สุดแล้ว เดินไปตามร่มไม้ของต้นก่อ หรือต้นโอ๊ค ที่ขึ้นอยู่จำนวนมาก เดินชมวิวภูเขาที่ซ่อนตัวใต้เฆมหมอกไปเรื่อย ชิวจริงๆนะ
“เนินเสือโคร่ง” ได้ยินมาว่า ตั้งชื่อจากชื่อต้นกำลังเสือโคร่งที่มีอยู่แถวนั้นหลายต้น ทางเดินเริ่มมีความชันกลับมาอีกครั้ง แต่ระยะทางส่วนที่ชันก็ไม่ได้ยาวมาก เหมือนเป็นการวอร์มๆ ก่อนถึงเนินสุดท้าย (เอ๊ะ วอร์มมาหลายเนิน เมื่อไรจะเอาจริง 55) ในส่วนของเนินนี้จะมีจุดถ่ายรูปอยู่ด้วย เป็นกลุ่มก้อนหินที่เกาะกับแนวหน้าผาที่เหมือนยื่นออกไปจากแนวเขา ใครๆก็ต้องแวะถ่ายรูป
“เนินมรณะ” เนินสุดท้ายที่มีสภาพต่างไปจากเนินอื่นๆ เป็นเนินโล่งที่มีความชันสุด สมชื่อ คือ ตกไปก็ตายแน่นอน เนินนี้มีแต่ทุ่งหญ้าและไม้พุ่มเล็กๆ ไร้ต้นไม้ใหญ่ให้อาศัยร่มเงา ถ้าเดินตอนแดดจัดๆ นี่คงเหมือนไก่โดนเผาเป็นแน่แท้ จากป้ายระบุเนิน เราแทบจะต้องเงยหน้าสุด มองไปจะเห็นเงาตะคุ่มๆ เล็กๆ ซึ่งก็คือเงาของคนที่เดินแซงเราไปก่อนหน้านี้ สูงแถมชัน! นิยามสั้นๆ ของเนินนี้ถ้าจะให้เราสรุป แต่ข้อดีของเนินนี้ก็มีนะ เนินนี้มีจุดถ่ายรูปอีกจุด เป็นก้อนหินที่ยื่นออกไปจากแนวเขาเช่นเดียวกัน แต่ด้วยความที่อยู่สูงกว่าเนินก่อนหน้านี้ ทำให้สามารถให้เห็นวิวเปิดโล่งได้มากกว่า แล้วถ้าหันหน้าออกจากเนิน แล้วมองไปแนวหินทางด้านขวา จะเห็นกลุ่มก้อนหินเรียงตัวคล้ายกับหน้าลิงกอริลลาด้วย แต่อันนี้ต้องใช้จินตนาการหน่อยนะ
ป้ายผู้พิชิตลานสน ป้ายที่ทุกคนเห็นต้องตะโกนบอกต่อๆกัน “ถึงแล้ว!” แล้วตามด้วยการถ่ายรูปกับป้ายนี้เป็นที่ระลึก เราก็ด้วย อากาศบนภูตอนนั้นมีแต่หมอก ทำให้ภาพที่ได้จากตรงนี้ดูสวยไปอีกแบบ (เรากลับมาถ่ายใหม่ตอนไม่มีหมอกด้วย แต่เราว่า แบบมีหมอกสวยกว่าเยอะเลย) อีกอย่างถ้าดูจากป้ายทางขึ้นจะบอกระยะทางเดิน 6.5 กิโลเมตร แต่เราดูที่จากนาฬิกาที่จับระยะทางนี่เกือบ 9 กิโลเมตรเลย ไม่รู้ว่าระยะของใครถูกกันแน่ แต่ใครที่จับระยะที่เดินมา เห็นแบบนี้จะได้เตรียมใจไว้ก่อน จะได้ไม่บ่นว่า ทำไมไม่ถึงสักที
อยากกางเตนท์ตรงไหนก็จับจองตามใจชอบ แต่เรามีไกด์มาด้วยไกด์ของเราจัดการจองที่ไว้ให้เรียบร้อยแล้ว เรานั่งพักเอาแรง ทานข้าวให้อิ่มท้อง ใครอยากจะเข้าห้องน้ำที่นี่มีห้องน้ำด้วยนะ แต่จะไม่มีน้ำให้ใช้ เราต้องไปตักน้ำที่ลำธารข้างๆ เอง
เรานั่งดูหมอกไหลไปไหลมาบนลานภูนี้สักพักใหญ่ๆ ร่างกายที่อ่อนล้าเริ่มฟื้นฟู เสื้อที่เปียกฉุ่มไปด้วยเหงื่อเริ่มแห้ง จากตรงนี้เราสามารถเห็นดอกหงอนนาคได้ทุกด้าน แต่น่าเสียดายที่ไม่ได้มีเยอะมากนัก สังเกตตามพื้นเหมือนพื้นที่นี้โดนไฟไหม้มาเมื่อไม่นานนี้ ดอกหงอนนาคเลยมีไม่มากนัก เอาล่ะ! พักพอล่ะเรามาเริ่มกางเตนท์กันดีกว่า
เนื่องจากเมื่อคืนและเมื่อเช้านี้มีฝนตกหนัก วันนี้ทั้งวันลานสนจึงเต็มไปด้วยหมอก ลอยมาแล้วก็ลอยไป ก็ไม่มีทีท่าว่าหมอกจะหายจนกระทั่งตอนเย็น เราลองเดินไปที่จุดชมพระอาทิตย์ตกดินแทบมองวิวอะไรไม่เห็นเลย สรุปวันนี้คงไม่ได้ดูพระอาทิตย์ตกดินแล้วล่ะ กลับไปเตรียมทานอาหารเย็นกันดีกว่า
ตกกลางคืน เฆมลอยหายไป ฟ้าเปิดออกมาให้เราเห็นดาวมากมาย ลอยเต็มท้องฟ้าไปหมด คงเป็นตากล้องสักคนตะโกนเสียงดังมาว่า คืนนี้มีทางช้างเผือก ให้ออกมาถ่ายรูปกัน เราก็ตั้งใจแบบนั้นนะ แต่ไม่ไหวจริงๆ เผลอหลับไปตั้งแต่สองทุ่ม ตื่นเช้ามา ตากล้องอื่นๆ เอารูปมาให้ดู ทางช้างเผือกสวยมาก อดเสียดายไม่ได้ แต่ตอนนั้นมันไม่ไหวจริงๆ
วันที่ 2 ไต่ลงน้ำตก เดินเล่นบนลานสน
เราตื่นกันแต่เช้า แล้วพากันออกไปดูพระอาทิตย์ขึ้น แต่ก็ต้องผิดหวัง เพราะหมอกลงหนามาก ไม่สามารถเห็นวิวอะไรเลย ที่นี่มีจุดชมพระอาทิตย์ขึ้น เพียงแต่พระอาทิตย์จะขึ้นหลังภูเขา ซึ่งหมายความว่า เราจะเห็นพระอาทิตย์ขึ้นไปสูงแล้วนั่นเอง
แผนการณ์ของวันนี้ คือ การไปเดินชม “น้ำตกสายทิพย์” หรือ อยากจะลงเล่นด้วยก็ได้ แล้วตกบ่ายเราจะไปเดินเล่นถ่ายรูปตามทางเดินชมธรรมชาติรอบลานภู ถ่ายดอกหงอนนาค นางเอกของเราในทริปนี้ (ถึงจะมีน้อยไปสักหน่อย) ทางเดินนี้มีระยะประมาณ 2 กิโลเมตร แล้วตอนเย็นมาลุ้นกันอีกทีว่าจะเห็นพระอาทิตย์ตกดินหรือเปล่า
หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จแล้ว เราเดินย้อนกลับไปทางก่อนถึงจุดกางเตนท์ แล้วเลี้ยวซ้ายไปยังทางลงน้ำตก ทางลงค่อนข้างชันมาก ชันยิ่งกว่าเนินมรณะอีก บางช่วงเราต้องอาศัยการไต่เชือกลงไป ทางค่อนข้างลำบากอยู่ ส่วนเราลงไปได้แค่จุดที่ 10 ก็ต้องขึ้นมาก่อน เพราะขาพลิก ไต่ลงไปต่อไม่ไหวแล้ว ยังดีที่ปีนกลับขึ้นมาได้ โชคดีอีกอย่างเรายังพอเก็บภาพน้ำตกมาได้บ้าง
“น้ำตกสายทิพย์” ตั้งอยู่บนรอยต่อระหว่างป่าดิบชื้นกับป่าสนเขา เป็นน้ำตกขนาดเล็ก มีสายน้ำไหลลดหลั่นลงมาตามชั้นเตี้ยๆ รวม 7 ชั้น ความสูงแต่ละชั้นประมาณ 5–10 เมตร ฤดูฝนน้ำจะไหลแรงมองดูสวยงามมากและมีน้ำไหลตลอด และจะมีมอสสีเขียวขึ้นปกคลุมทั่วไปตามก้อนหินริมน้ำ
หลักเขตไทย- ลาว เป็นหลักเขตที่ปักปันเขตแดนแบ่งระหว่างประเทศไทยและประเทศลาวมีขึ้นหลังสงครามบ้านร่มเกล้า และนี่ล่ะทำให้ที่นี่ได้ชื่อว่า ลานสน 2 แผ่นดิน
ลานสน 2 แผ่นดิน” เพราะเป็นลานสนที่มีมีอาณาเขตติดต่อกับประเทศลาว(สปป.ลาว) โดยมีหลักกิโลเมตร 2 แผ่นดิน แบ่งเขตแดนไทย-ลาว อย่างชัดเจน นั่นก็คือ “หลักเขตชายแดนไทย-ลาว” หรือหลักเขต 2 แผ่นดิน ที่อยู่ห่างจากลานกางเต็นท์ทางด้านหลังไปประมาณ 1 กม.
วันที่ 3 ถึงเวลากลับบ้านแล้ว
เราตื่นกันแต่เช้าอีกครั้ง เพื่อไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ลานภูด้านหลังแถวหลักเขตไทย-ลาว และไม่ผิดหวังคราวนี้พระอาทิตย์ออกมาให้เราเห็นแล้ว จังหวะที่พระอาทิตย์กำลังจะโผล่พ้นยอดเขาออกมา แสงอาทิตย์กระทบกับหมอกที่ปกคลุมยอดภูสอยดาวจนดูเหมือนมีลาวาที่ร้อนระอุส่องแสงแดงส้ม ไหลไปตามแนวยาวยอดของทิวเขา เป็นภาพที่สวยมากจริงๆ เสียดายแค่เราถ่ายรูปไว้ไม่ทัน น่าเสียดายจริงๆ
หลังจากจบภารกิจตอนเช้า เรากลับมายังเตนท์เพื่อทานข้าว ช่วยกันเก็บข้าวของ เตนท์ และขยะต่างๆ เพื่อนำลงไปทิ้งด้านล่าง ที่นี่ขยะที่นำขึ้นมา เราต้องนำลงไปทิ้งด้านล่างด้วยตัวเองนะ เป็นสิ่งที่ดีมากๆ สภาพป่าสวยๆ แบบนี้จะได้อยู่กับเราไปนานๆ เราออกเดินเกือบๆ 9 โมงเช้า ย้อนกลับไปทางที่เรามา โดยเริ่มต้นจากเนินมรณะ ขาลงคราวนี้ยิ่งน่าหวาดเสียวกว่าตอนขามา เพราะเราต้องมองลงแทน มองออกไปจะเป็นวิวโล่งๆ แทบไม่มีอะไรให้เกาะพยุงตัวไว้เลย เราต้องออกกำลังขาเพื่อหยุดตัวเองไม่ให้ไถลไปไกลกว่าแนวทางเดิน ถ้าเกินกว่านั้นคงได้ม้วยมรณาสมชื่อเนินแน่ สภาพอากาศวันนี้ค่อนข้างร้อน และเนินนี้ไม่มีร่มไม้ด้วย มีอะไรใช้คลุมได้ก็เอาออกมาใช้ให้หมด แต่ถึงร้อนแค่ไหน เมื่อมาถึงก้อนหินก้อนเดิมที่แวะถ่ายรูปตอนขาขึ้น เราก็แวะอยู่ดี
เนินมรณะผ่านไป เราค่อยๆ เดินไล่ย้อนเนินต่างๆ ไปตามลำดับ เนินเสือโคร่ง เนินป่าก่อ เนินปราบเซียน เนินส่งญาติ ขาลงทุกสิ่งกลับดูง่ายกว่าขาขึ้นเยอะมาก เราใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงกว่าก็มาถึงป้ายแรก ป้ายเนินส่งญาติ แต่สภาพร่างกายเริ่มมีความล้าแล้ว ช่วงระหว่างนี้ล่ะ จากป้ายไปจนถึงจุดเริ่มเดิน กลับเป็นจุดที่ทรมานที่สุด ด้วยความที่ขาลงเราไม่ได้หยุดพักตรงไหนเลย เพราะอยากพักทีเดียวที่ปลายทางเลย ทำให้ระยะทางช่วงนี้ ทั้งที่ไม่ได้ไกลมาก แต่กลับรู้สึกเหนื่อย หิว ทรมาน ในใจคิดแต่ เมื่อไรจะถึง! ไม่ไหวแล้วนะ ต้องรวบรวมแรงฮึด รวบรวมกำลังกาย อดทนเดินต่อไป จนในที่สุดเราก็มาถึงจุดเริ่มต้น ใช้เวลาไปทั้งหมด 3 ชั่วโมงครึ่ง
บทสรุป การเดินทางในครั้งนี้ เรียกว่า มีครบทุกรสชาติ ทั้งชุ่มฉ่ำแบบฝนตก ฟ้าสดใสแบบหน้าหนาว ทุ่งดอกไม้ หมอกหนาๆ วิวพระอาทิตย์ตกพระอาทิตย์ขึ้น ผจญภัยไต่น้ำตก มีความสนุกปนความเหนื่อยล้า ถ้ามีโอกาสแนะนำให้มาลอง จะ 3 วัน 2 คืน หรือแค่ 2 วัน 1 คืน ก็ทำได้ สนุกแน่นอนครับ!
Ekasit Thanapongthavewuthi
วันพฤหัสที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2562 เวลา 16.23 น.