เคยไหม? เบื่องาน เบื่อคน เบื่อ เบื่อ เบื่อไปหมดทุกอย่าง

เรารู้สึกแบบนั้นในเช้าวันนึงของเดือนพฤษภาคม ด้วยเหตุนี้เองเลยทำให้เราอยากออกไปเปลี่ยนบรรยากาศด้วยการเที่ยว....

"คนเดียว"

และโบรโม่กับคาวาอีเจี้ยนเองก็เป็นที่ที่เราใฝ่ฝันมานาน

ค่ะ ผู้หญิงคนเดียว อยากเที่ยวคนเดียว ในที่ที่ใครใครก็ไปกันหลายคน!

ทริปนี้เรามีเวลา 19 วันเต็มๆ กับงบที่จำกัด ตัวคนเดียว และแผนการอันฉุกละหุกสี่วันก่อนออกเดินทางจนไม่น่าเรียกว่าแผนได้

จะเป็นยังไงตามมาดูกันดีกว่าค่ะ


19 DAYS IN INDONESIA - PART ONE : MT.BORMO - KAWAH IJEN

DAY 1 started!

ทริปนี้เราเริ่มกันที่สนามบินสุการ์โนฮัตต้าร์เครื่องลงเวลาสี่ทุ่ม เพื่อต่อเครื่องไปสนามบินสุราบายาตอนหกโมงเช้ากันอีกที

แล้วเวลาที่เหลือเราจะไปไหนล่ะ? สายลุย สายแบ็คแพคอย่างเราแบบนี้ แน่นอนล่ะค่ะ นี่จะเป็นประสบการณ์การนอนสนามบินครั้งแรกของเรา!
หลังจากทำการสืบค้นข้อมูลจากคอมมูลนิตี้แบ็คแพคเกอร์ต่างชาติก็ได้ความว่า เทอมินอล2ในสนามบินเป็นที่ที่นอนสบายที่สุดและคนนิยมนอนกันมากที่สุดค่าาา




DAY 2

หลังจาก(พยายาม)นอนกันไปสักพักแล้วก็ได้เวลาเดินทางต่อไปที่สนามบินสุราบายา

จากสุการ์โนฮัตช่าาา(?)มาสุราบายานั้นจะใช้เวลาแค่ประมาณหนึ่งชั่วโมงค่ะ

เมื่อมาถึงก็ไม่รอช้ารีบเดินออกจากสนามบินเพื่อขึ้นรถ Damri bus ไปยังสนานีขนส่ง ฺBungurasih เพื่อขึ้นรถต่อไปยังหมู่บ้าน Probolinggo ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลนักจาก จุดหมายปลายทางแรกของเรา

เมื่อเดินออกมาจากสนามบิน ให้ข้ามมาเลนนึงแล้วยืนรถตรงที่มีเก้ากี้เจ้าหน้าที่นั่งอยู่เลยค่ะ ไม่นานนักรถจะมาจอดตรงนั้นเลย

ค่ารถก็จะอยู่ที่ 25,000Rpค่ะ ไม่ต้องกลัวโดนโกง


ไม่นานนักหลังจากนั่งรถDamriจอมเด้งเราก็มาถึงจุดหมายปลายทาง
เมื่อมาถึงแล้วให้กลับหลังหันแล้วเพดินตรงไปยังช่อง Arrival แน่นอนล่ะค่ะว่าเราจะเจอฝูงซอมบี้ระหว่างทาง ก็อย่าได้ไปสนใจถ้าไ่ม่อยากโดนซอมบี้เชาะหัวซะก่อน

เดินตรงเข้ามาแล้วให้สังเกตทางด้านซ้ายมือข้างตู้ขายตั๋วที่ตั้งเรียงรายกันจะเป็นทางเข้าไปยังอาคารโดยสาร


เมื่อเข้ามาแล้วนั้นให้เดินขึ้นบันไดเลื่อนไปชั้นสอง ตามป้าย Probolinggo ไปเลยค่ะ

แต่! สถานนีที่นี้จะไม่มีบอกราคานะคะ จะมีพนักงานคอยยืนถามเราแทนว่ายูจะไปไหน ส่วนค่าโดยสารนันจะอยู่ที่ 30,000Rp รถที่นั่นมานั่นเป็นรถบัสแอร์อย่างดีเลยล่ะยูว

ใช้เวลาประมาณสองชั่วโมงนิดๆ ก็ได้ยินเสียงเด็กตะโกนมาบอกว่ามาถึงแล้วนะยู

เมื่อลงมานั้น แน่นอนล่ะค่ะ ตามเสต็ป รถบัสจะจอดให้เราที่หน้าบริษัททัวร์ เพื่อเปิดโอกาสให้คนขายทัวร์ตามคาด

ซึ่งจากจุดนี้ใครต้องการจะฉายเดี่ยวสามารถเดินตรงไปได้เลย ประมาณสามร้อยเมตรจะเห็นรถตู้สีเขียวๆจอดอยู่ทางด้านซ้ายมือซึ่งสามารถนั่งรถตู้นั่นขึ้นไปยังหมู่บ้านตีนเขาโบรโม่ได้เช่นกัน(แน่นอนค่ะ ไ่ม่เต็มไม่ออก นอกจากเหมา)

แต่ด้วยสกิลการต่อรองและความดวงดีของเรานั้นไซร้ คนขายทัวรฺ์บอกว่าเขากำลังจะมีกรุ๊ปทัวร์ที่จะไปโบรโม่-อีเจี้ยนอยู่พอดีเลย

เราเลยได้ทัวร์ไปโบรโม่ขอีเจียน รวมที่พัก รถส่งท่าเรือและตั๋วเรือไปบาหลีราคาพิเศษมาที่ 2,700บาทค่า

เมื่อตกลงกันได้แล้ว นั่งรอรถไม่นาน เราก็ได้กระโดด ขึ้นรถไปยังจุดหมายถัดไปทันที

วิวระหวว่างทางที่สวยสะกดและแปลกตามาก เนื่องจากภูเขาแถวนี้นั้นเป็นภูเขาไฟที่เคยปะทุมาก่อนเลย ลาวาที่ไหลลงมานั้นเลยสร้างแท็กเจอร์ภูเขาที่ดูเป็นศิลปะแปลกตา รายล้อมไปด้วยธรรมชาติที่บริสุทธิ์

ไม่นานนักเราก็มาถึงที่หมายในเวลาสี่โมงกว่าๆ เนื่องจากหมู่บ้านนี้เป็นหมู่บ้านที่คนอาศัยอยู่จริงๆเราเลยจะได้บรรยากาศแบบบ้านๆ ไม่มีห้าง ไม่มีบาร์ มีแต่ธรรมชาติและอากาศดีๆที่โอบล้อมเอาไว้

นี่แหละความสงบที่แท้จริง

หมู่บ้านที่นี่อากาศดีมากค่ะ ตอนเย็นๆเราจะรู้สึกได้ถึงความหนาวกันเลยทีเดียวต่อให้ฤดูที่เรามาจะไม่ใช่หน้าหนาวแล้วก็ตาม




DAY 3

หลังจากพักผ่อนกันไปหนึ่งคืน รุ่งเข้าก็ได้เวลาตื่นเพือไปรับแสงพระอาทิตย์ขึ้นที่บนโบรโม่กัน

ซึ่งคนขับรถจิ๊บจะมารับเราในเวลาตีห้า

ใช้เวลาไม่นานนักรถจิ๊บที่ขับบนทางโค้งเคี้ยวประหนึ่งขับรถสายแปดบนทางราบของเมืองหลวงก็พาเรามาถึงจุดชมวิวจุดแรกที่เราจะมองพระอาทิตย์ขึ้นที่สวยที่สุดเบื้องหลังภูเขาไฟโบรโม่ได้โดยไม่บุบสลาย

และแล้วภาพที่เรารอคอยก็ปรากฏขึ้นแก่สายตา

ภาพภูเขาไฟโบรโม่ที่ตั้งตระหง่านรับแสงพระอาทิตย์ขึ้นท่ามกลางสายหมอกที่พริ้วไหวเหมือนคลื่นในท้องทะเล

....นี่สินะ ที่เค้าเรียกกันว่า"ลมหายใจแห่งเทพเจ้า"


หลังจากชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นกันไปแล้วก็ได้เวลาเคลื่อนกำลังพลไปยังจุดถัดไป

เราจะไปปีนปล่องภูเขาไฟกันค่ะ ซึ่งระหว่างทางนั้นรถจิ๊ปของเราจะต้องขับผ่านพิ้นที่โล่งกว้างที่บรรยากาศนั้น ถ้าจะเรียกว่าเป็นหนัง Mad Max Fury Road เวอร์ชั่นดาวอังคารก็ดูจะไม่เวอร์เกินไปเลยทีเดียว


และจะยิ่งได้ฟีล Mad Maxเข้าไปอีกเเมื่อใกล้ถึงจุดจอดรถ แล้วเริ่มมีบรรดาคาวบอยควบม้าตามรถขิ๊บของเรามาเพื่อเสนอบริการขี่ม้าขึ้นเขานั่นเอง

...นี่เราอยู่โลกไหนกันนะ?

เมื่อถึงจุดจอดรถ เราก็ต้องลงเดินเพื่อไปปีนปล่องภูเขาไฟกัน

แต่บนนยากาศนั้นเต็มไปด้วยหมอกที่ปกคลุมมองไม่เห็นทาง จนเรากับเพื่อนร่วมทัวร์ชาวต่างชาติถึงกับต้องแซวกันว่า "If I ever lost somewhere, don't forget to recuse me" เลยทีเดียว

เดินมาสักพัก เราก็เริ่มจะเห็นบันไดสู่สวรรค์ เอ๊ยย ภูเขาไฟของเรากันแล้วล่ะค่ะ

ซึ่งตลอดข้างทางจะมีคาวบอย(?)ให้บริการขี่ม้าเป็นระยะๆ ไม่ต้องกลัวเดินไม่ไหวกันเลยทีเดียว

เหนื่อยก็นั่งพัก มีมุมถ่ายรูป มีวิวสวยๆให้ดูเยอะแยะมากมายเลยทีเดียว

และแล้วววว

ในที่สุดเราก็ขึ้นมาถึงข้างบนปากปล่องภูเขาไฟกันค่ะ

ซึ่งจากตรงนี้ ใครใจกล้าพอจะเดินไปตามสันปากปล่องก็เดินได้ตามสบายเลย

เมื่อแสงแดดเริ่มส่อง เรากับเพื่อนผู้ร่วมทางจึงค่อยๆเดินลงจากปากปล่องสวนกับฝูงคนอีกนับร้อยที่เพิ่งทะยอยขึ้นมา

เพราะฉะนั้นถ้ายอยากได้บรรยากาศสงบสุขจากที่นี่แล้วล่ะก็ให้ขึ้นมาตั้งแต่เช้า มันคุ้มค่ากับการตื่นมากเลยทีเดียว

สิ่งนึงเลยที่ขาดไม่ได้เมื่อทุกคนมาที่นี่ คงจะเป็นการโพสท่าถ่ายรูปกับรถจิ๊บ

แล้วคุณจะพบตัวเองอยู่ในหนัง Mad Max Fury Road จริงๆเลยล่ะ


หลังจากชื่นชมเทพเจ้าของเรากันไปแล้ว

เราจะเดินทางไปจุดหมายต่อไปกัน

ซึ่งก็คือ Kawah IJen นั่นเอง

To be continue...




สรุปการเดินทางและในกรณีที่อยากโซโล 100%

- จากสนามนั่งรถDamri Bus ราคาRp 25,000 จากสนามบินมายังสถานนีขนส่ง

- ขึ้นไปชั้นสองเพื่อซื้อตั๋วรถไป Probrolinggo ในราคา Rp30,000

- ซื้อทัวร์ซะ หรือ เดินไปต่อสามร้อยเมตรเพื่อขึ้นรถตู้สีเขียวไปยังหมู่บ้านตีนเขาในราคา Rp 40,000 แต่ไม่เต็มไม่ออกนะ อยากออกก็จ่ายเหมาจ้าา

- เมื่อมาถึงหมู่บ้าน ให้หารถจิ๊บที่จะขึ้นไปภูเขาในวันรุ่งขึ้น หรือ เดินขึ้นไปเลยค่ะ!

- ในกรณีที่มาแค่โบรโม่แล้วอยากกลับโพรโบลิงโก้เลย ให้เดินไปที่ Cafe Lava ซึ่งจะมีรถกลับจอดอยู่ตรงนั้น รอบสุดท้ายประมาณ 11 โมง






In The Conner of This World

 วันเสาร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2562 เวลา 17.18 น.

ความคิดเห็น