สวัสดีครับ กลับมาพบกันอีกครั้ง สำหรับกระทู้นี้เป็นกระทู้ที่สองของผมนะครับ จากกระทู้แรกที่ผมมารีวิวเกี่ยวกับการไปเที่ยวภูกระดึงมา
อวสานกล้ามขา ณ ภูกระดึง (พาเที่ยวภูกระดึง2วัน 1 คืน)
http://pantip.com/topic/34784230
โดยเรื่องราวมันก็สืบเนื่องจากกระทู้ที่แล้ว ที่ผมดันเบี้ยวเพื่อนไปภูกระดึงกับพี่ที่ทำงานซะก่อน ตอนแรกก็คุยกันว่าจะไปสังขละบุรี ในช่วงหยุดยาวเดือนกุมภาฯ (20 – 22 ก.พ.) แต่พอใกล์เดินทางสัปดาห์นึงเพื่อนมาบอกว่าไม่อยากไปแล้ว ทำให้ผมต้องรีบเปลี่ยนแพลนด่วน หาสถานที่เที่ยวใหม่ เพราะมองว่าสังขละบุรีไปเสาร์-อาทิตย์ก็ได้ เลยมานั่งหาข้อมูลในนี้แหละครับ ด้วยความที่อากาศที่กรุงเทพฯ เริ่มกลับมาร้อนอีกครั้ง ผมจึงเลือกที่จะหนีร้อนไป “เกาะเต่า" ครับ ซึ่งได้แรงบันดาลใจหลักๆ มาจากกระทู้ของคุณ high on dreams และ คุณ Nutsuksawakhon ครับ แล้วก็ลองชวนเพื่อนที่ทำงานดูว่ามีใครสนใจไปไหม สรุปว่าตกลงกันไม่ได้ ผมเลยต้องไปเดี่ยวเกาะเต่าครับ
กระทู้คนต้นเรื่อง
- [CR]แกๆๆ BACKPACK นั่งรถไฟฟรี ไปดำน้ำเกาะเต่ากันมั้ย :} by high on dreams
http://pantip.com/topic/32100654
-[CR]แบกเป้ขึ้นรถไฟฟรีหนีไปเกาะเต่า งบน้อยไปคนเดียวก็เฟี้ยวได้
http://pantip.com/topic/33399183
ทริปนี้ใช้เวลา 4 วันครับ แบ่งเป็นวันเดินทาง 2 วัน เที่ยวบนเกาะเต่า 2 วันครับ ซึ่งการเดินทางไปเกาะเต่าจากกรุงเทพฯ สามารถเลือกได้หลายเส้นทางครับ งบน้อยก็คงจะเลือกรถไฟฟรี รถทัวร์แบบถูกๆหน่อย แล้วต่อด้วยเรือนอนหรือเรือเร็ว ถ้าหากงบมากก็มักจะเป็นเครื่องบินไปลงสุราษฯ แล้วต่อเรือเร็วไปเกาะเต่ากัน ด้วยฐานะอันร่ำรวยจนไม่มีจะกินของผม พาหนะที่เลือกจึงเป็นรถไฟฟรี
สำหรับแผนการเดินทางขาไปคือนั่ง วันที่ 19 ก.พ. นั่งรถไฟฟรี สาย 171 กรุงเทพฯ - สุไหงโกลก ไปลงที่สถานีรถไฟชุมพร เวลา 21.00 น.(ถ้าตรงเวลาเวลา) ครับ แล้วต่อเรือนอนซึ่งจะออกจากท่าเรือท่ายางเวลา 23.00 น. และถึงเกาะเต่า 5.00 น. ครับ
สำหรับแผนการเดินทางขากลับคือนั่งเรือออกจากเกาะเวลา 23.00 น.ของคืนวันที่ 21 ก.พ. มาถึงเกาะเต่าวันที่ 22 ก.พ. เวลา 5.00น. แล้วไปรอขึ้นไปรถไฟฟรีสาย 254 หลังสวน – ธนบุรี ที่สถานีรถไฟชุมพรกลับกรุงเทพฯ ครับ
ในตอนท้ายจะมีทิปเล็กๆน้อย สรุปการเดินทาง แล้วก็สรุปค่าใช้จ่ายทั้งหมดนะครับ ถ้ายาวไปก็ข้ามไปดูตอนท้ายได้เลยนะครับ
ถ้าชอบแนวการท่องเที่ยวแบบผม เข้ามาพูดคุยหรือชวนผมไปจอยทริปก็ได้นะครับ
https://www.facebook.com/IWouldGoAnywhereForYou/
Day 1 (19 กุมภาพันธ์)
การเดินทางครั้งนี้เริ่มขึ้นวันที่ 19 ก.พ. ผมขอหัวหน้าลางานครึ่งวันบ่ายเพื่อที่จะได้ไปขึ้นรถไฟฟรีรอบ 13.00 น. พอถึงเวลา 12.00 น. ผมก็รีบเก็บของออกจากที่ทำงาน ขึ้น BTS สนามกีฬาแห่งชาติและไปต่อMRT ศาลาแดงไปหัวลำโพง ประมาณ 12.40 น. ก็มาถึงสถานีรถไฟหัวลำโพง ผมก็รีบดิ่งตรงไปที่เคาน์เตอร์ขายตั๋ว ก็บอกเจ้าหน้าที่เขาไปครับว่า ต้องการตั๋วรถสาย 171 กรงเทพ - สุไหงโกลก พร้อมกับยื่นบัตรประชาชนให้กับเจ้าหน้าที่ ก็จะได้บัตรฟรีดังนี้มาครับ
พอรับตั๋วเสร็จ ผมก็ไปหาตุนเสบียงไว้เล็กน้อย เผื่อแก้เบื่อกลางทาง เพราะคิดว่าถ้าไปซื้อบนรถไฟ ราคาแพงกว่าแน่ๆ จากนั้นก็เดินออกมาที่ชานชะลา ก็พบว่า รถไฟของเรามาจอดรออยู่แล้วครับ ไม่รอช้าครับ กระโดดขึ้นรถของเรากันเลย
อย่างที่ได้เห็นตั๋วผมไปนะครับ ว่าเป็นแบบไม่มีที่นั่ง ดังนั้นถ้าหากเจ้าของที่เขามาทวงที่นั่งคืนผมก็ต้องระเห็จไปนั่งที่อื่นครับ แต่ตลอดทางที่นั่งก็ไม่มีใครมาทวงครับ ผมเลยนั่งยาวๆ จนถึงชุมพรเลย
คู่แม่ลูกที่นั่งฝั่งตรงข้ามกับผมตลอดทางขาไปครับ จะไปลงที่หาดใหญ่กัน
กว่าจะออกจากกรุงเทพฯได้ ใช้เวลาค่อนข้างนานเลยครับ เพราะต้องผ่านแยกสำคัญๆ ในเมือง แต่พออกนอกกรุงเทพฯ รถไฟก็แล่นฉิวเลยครับ
ด้วยความที่รีบออกมาจากที่ทำงานตอนเที่ยง เพื่อมาให้ถึงหัวลำโพงก่อน 13.00 น. ผมเลยยังไม่ได้ทานข้าวเที่ยงเลยครับ พอรถออกจากหัวลำโพงได้สักพัก ก็มีพ่อค้าแม่ค้าเดินตามโบกี้ต่างๆ มีทั้งข้าว ขนม ของฝาก เครื่องดื่มมีแม่ค้าคนนึงขายข้าวกะเพราไก่ กล่องละ 40 บาท ผมตะโกนเรียกไป แต่เหมือนเขาจะไม่ได้ยิน สักพักคุณลุงที่อยู่ข้างๆผมก็สะกิดแล้วบอกว่า "ไอ้หนุ่ม ทนอีกนิด ที่ราชบุรี ขาย 10 บาท" ผมก็เชื่อลุงครับ โอเค รอได้ ยังไม่หิวเท่าไร
โอ้ศาลายา โอ้ศาลายา ถิ่นศึกษาเริ่มต้นวิชาชื่อที่สดใส...
สักพักก็มีพี่ตำรวจขึ้นมาตรวจหาของผิดกฎหมายบนรถครับ ซึ่งก็เป็นไปตามมาตรฐานการตรวจแบบไทยๆครับ คือจะตรวจกระเป๋าเฉพาะคนที่หน้าตาน่าสงสัย ส่วนผมไม่โดนตรวจครับ สงสัยหน้าตายังโหดไม่พอ
อันนี้คือตารางเวลารถไฟ ที่จะถึงสถานีต่างๆ ครับ ผมตบมาจากคุณป้าซึ่งขึ้นมาจากสถานีราชบุรีแล้วมานั่งข้างๆผม ป้าเขาบอกว่าหาได้ตามสถานีรถไฟ ใครชอบนั่งรถไฟเที่ยว ก็ควรจะมีติดตัวไว้ครับ แนะนำเลย
ประมาณบ่าย 2 กว่าๆ ก็มาถึงราชบุรี แล้วก็มีอาหารราคา 10 บาท มาขายจริงๆครับแต่มันคือก๋วยเตี๋ยวเส้นเล็กแห้ง พร้อมลูกชิ้นปลาแบบแผ่นบาง 2-3 ชิ้น คำนวณจากปริมาณนี่ ผมไม่อิ่มแน่นอน อาจจะต้องเบิ้ล 2 เบิ้ล 3 (แอบส่องของคนที่นั่งอีกฝั่งมาครับ) เลยตัดใจซื้อกะเพราหมูไข่ดาวกล่องละ 40 บาทไป ครับ อิ่มสมใจ ตูจะทนหิวมาทำไมตั้งนานว่ะ 555555
นี่ครับข้าวกล่องหน้าตาโง่ๆของผม แต่ผมโง่กว่า
กินเสร็จก็นั่งเคลิ้มกับบรรยากาศและกลิ่นยาสูบ (?) กับวิวระหว่างทางไปเรื่อยๆ จนพระอาทิตย์เริ่มลาจากเราไป
มองดูนาฬิกา 3ทุ่มครึ่งแล้วยังไม่ถึงเลยครับ ผมเริ่มร้อนรนเหมือนคนขาดยาจะลงแดงล่ะ เลยเปิดGPSในโทรศัพท์เช็กดูว่าอยู่แถวไหนแล้ว โชคยังดีตรงที่ว่าเข้ามาในเขตจังหวัดชุมพรแล้ว แต่ยังไม่ถึงตัวเมือง สุดท้ายก็มาถึงสถานีชุมพรเวลา 22.20 น.ครับ ไม่รอช้าครับรีบคว้ากระเป๋า วิ่งออกจากรถไฟแล้วตรงไปหน้าสถานีเลยครับ แล้วขึ้นวินมอไซให้พี่เขาไปส่งที่ท่าเรือท่ายางเลยครับ บอกให้พี่เขาแวะ 7-11 ซื้อของขึ้นไปกินบนเรือด้วย (บนเรือไม่มีของขายนะครับ)
ประมาณ 22:40 น. ก็มาถึงท่าเรือครับ จ่ายค่าวินไป 150 เทียบกับระยะทางผมว่าแพงพอสมควร แต่พี่เขาพูดจาดีบริการดี เลยให้เขาไปเถอะครับ แต่บางรีวิวเห็นว่าจ่ายแค่ 100 นะครับ หรือตอนนี้ราคาอาจจะขึ้นตามกลไกตลาดเสร็จแล้วก็ไปจ่ายค่าตั๋วเรือครับ ผมโทรมาจองล่วงหน้า เพราะไม่อยากนอนเตียงเสริมครับ ราคา 400 บาท ซึ่งบนบัตรจะมีหมายเลขเตียงนอนของเราอยู่ครับแล้วก็กระโดดขึ้นเรือเลยครับ
วันที่ผมไปคือวันศุกร์จะได้เรือนอนของบริษัทเกาะเจริญครับ ด้านในห้องนอนจะเป็นแบบนี้ครับ ซึ่งจะมีบริษัทสับเปลี่ยนเรือออกทุกวัน สามารถเช็กได้ในลิ้งนี้ครับ
http://xn--12c4b9dhc3fd9d.net/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E...
หลังจากเอาของไปเก็บที่เตียงนอน ล้างหน้าแปรงฟันเรียบร้อยแล้ว 5ทุ่มนิดๆ เรือก็ออกจากท่าครับ ผมก็หยิบเบียร์ที่ซื้อมาจากเซเว่นกะว่าจะไปนั่งจิบชิวๆ บนดาดฟ้าเรือครับ ก็เดินวนไป วนมา หาทางขึ้นไม่เจอครับ เลยลองเดินถามพี่คนขับเรือ เขาบอกว่าขึ้นไม่ได้ ก็เลยไปนั่งจิบเบียร์ตรงตรงสะพานเดินเรือแทน ได้บรรยากาศเหมือนกัน
ลงเรือน้อยลอยวน มาถึงกรุงธนก็ขายหอย มีทั้งหอยเล็กและหอยน้อย… ไม่ใช่ล่ะ
สักพักก็มีชายไทยคนนึง คงจะสังเกตเห็นผมว่ามาคนเดียว เลยเข้ามานั่งคุยกับผม ซึ่งเราสองคนเห็นกันตอนที่เอาของไปเก็บในห้องนอนครับ เขานอนอยู่ตรงข้ามผม ทันทีที่ได้สบกับเขา สัญชาตญานของผมมันบ่งบอกครับว่า คนๆนี้ไม่ธรรมดาแน่ๆ(น่าจะมาคนเดียว) แต่ตอนนั้นยังไม่ได้เข้าไปทัก สอบถามได้ความว่าพี่เขาชื่อป๊อบ มาคนเดียวเหมือนกัน เพราะชวนแล้วไม่มีใครมาด้วย โดยพี่ป๊อบนั่งเครื่องบินจากขอนแก่นมาลงกรุงเทพฯ และต่อรถไฟฟรีมาขบวนเดียวกันกับผม ซึ่งพี่ป๊อบได้แรงบันบันดาลใจมาจากกระทู้ของคุณ high on dreams และคุณ Nutsuksawakhon เห็นไหมครับว่าถึงโดดเดี่ยว แต่ก็ไม่เดียวดาย มีคนมาด้วยอุดมการณ์เดียวกับเราเหมือนกัน
เรานั่งคุยกันเรื่องต่างๆ ไปเรื่อยๆ ประมาณตี 1 ก็แยกย้ายกันเข้านอนครับ
Day 2 (20 กุมภาพันธ์ 2559)
ตี 5 เราก็มาถึงเกาะเต่าแล้วครับ ผมกับพี่ป๊อบก็เดินลงจากเรือแล้ว แล้วก็ชวนกันเดินไปหาอะไรกินรองท้องที่ 7-11 จากนั้นก็มานั่งตรงจุดบริการนักท่องเที่ยว ผมพยายามหา Koh Tao Complete Guide หรือคัมภีร์เกาะเต่าในตำนานที่แทบทุกรีวิวเกี่ยวกับเกาะเต่าใน Pantip จะต้องมีเจ้าเล่มนี้อยู่ทุกรีวิวครับ แต่หาไม่ได้ครับ มันหมด ได้เป็นแผนที่เกาะเต่าแบบพับหน้าตาแบบนี้มาแทน
ลองมาดูแผนที่ของเกาะเต่ากันครับ จะได้ทราบว่าผมไปจุดไหนมาบ้าง ขอขอบคุณภาพจาก
http://เกาะเต่า.net มา ณ ที่นี้ด้วยครับ
ระหว่างรอฟ้าสว่าง ผมก็นั่งวางแผนว่าจะไปเที่ยวที่จุดไหนบ้างในวันนี้ ซึ่งเป้าหมายส่วนมากก็จะเป็นหาดทางใต้ ถ้ามีเวลาเหลือก็จะไปจุดชมวิว Mango Point ในตำนานครับ ประมาณ 6 โมงเช้า ผมก็แยกกับพี่ป๊อบไปหาที่พักสำหรับคืนนี้เพราะว่าพี่ป๊อบเขาจองที่พักใกล์กับท่าเรือตั้งแต่ก่อนมาแล้ว
แล้วผมก็เริ่มเดินเลาะไปทางหาดทรายรียาวๆครับ
ระหว่างทางเดินเจ้าถิ่นเยอะเลยครับ
อีกหนึ่งมุมแห่งมวลมหาประชาชนแห่งกระทู้รีวิวเกาะเต่าครับ ต้องมีอยู่แทบทุกกระทู้ อยู่ตรง Lotus Bar มี 2 ต้น
สรุปมาได้ Baan Avenue Guesthouse ครับ คืนละ 300 บาท เป็นห้องรวม 5 เตียง เตียงละ 2 ชั้นครับ มีห้องอาบนํ้าและห้องส้วมอยู่ในตัว อย่างละ 2 ห้อง มีตู้ล็อกเกอร์ให้ด้วย แต่ต้องเตรียมกุญแจไปเอง เป็นห้องแอร์ อยู่ที่หาดทรายรีตอนเหนือ และอยู่ในทำเลที่ลอบล้อมไปด้วยบาร์ครับ
พอรับกุญแจมา ก็เข้าห้องเอาของไปเก็บของก่อนเลย ตอนนั้นเป็นเวลาประมาณ 7 โมงครับ ทุกคนในห้องยังไม่ตื่นกัน ดูจากหน้าตาส่วนมากก็น่าจะเป็นฝรั่งจากโซนยุโรปกันซะเป็นส่วนใหญ่ ผมได้เตียงชั้นล่างติดผนังครับ เป็นทำเลที่ผมค่อนข้างต้องการทีเดียว เนื่องจากง่ายต่อการดูแลทรัพย์สินเวลาเรานอนหลับครับ (ของมีค่าเอาไว้ชิดกำแพง) ผมเอาของเข้าไปเก็บที่เตียงผม แล้วก็รีบเข้าไปอาบน้ำแล้วออกมาเลยครับ จะได้มีเวลาเที่ยวเยอะๆ
มาม่าทีกินไปเมื่อตอนช้ามืดมันไม่เพียงพอครับ เลยต้องหาอะไรกินตอนเช้า ซึ่งเดินย้อนกลับมาตามหาดทรายรี ก็เจอแต่ร้านอาหารประเภทที่ว่าเข้าไปนี่เสียไม่ต่ำกว่า 100 บาทแน่ๆ เพราะหน้าตาร้านเขาทำมาเพื่อรับรองต่างชาติโดยเฉพาะเลยครับ จังหวะนั้นผมนึกถึงคำแนะนำของคุณ Nutsuksawakhon ขึ้นมาได้ว่าอยากกินแบบประหยัดให้ร้านที่มันดูบ้านๆ แบบที่ชาวบ้านบนเกาะเขากินกัน คำถามคือ แล้วมันอยู่ตรงไหนวะ 55555555555 เดินมาเหนือจรดใต้ของหาดทรายรี ยังไม่เจอร้านที่ดูชาวบ้านๆ เลยครับ เลยกางแผนที่ขึ้นมาอีกรอบครับ ตาก็พลันไปเห็นถนนเส้นหนึ่งที่ขนานไปกับถนนเลียบหาดทรายรี ผมก็เลยลองเดินขึ้นไปลนถนนเส้นนี้ไปครับ ปรากฏว่ามันคือถนนคอนกรีตเส้นหลักที่เชื่อมตั้งแต่เหนือจรดใต้ของเกาะเต่าครับ ก็เดินเลียบๆเส้นนี้มาเรื่อยจนเจอร้านข้าวแกงกับข้าวตามสั่งอยู่ร้านนึง ก็เข้าไปเลยครับ
นี่ครับหน้าตาอาหารมื้อแรกบนเกาะเต่าของผม ตอนแรกจะสั่งข้าวตามสั่ง แต่ครัวยังไม่เปิด มื้อนี้โดนไป 50 บาทครับ
ลืมบอกไปว่าตอนเดินเลียบหาดทรายรีมา เจอร้านให้เช่าจักรยาน แต่เขายังไม่เปิด คือมาอารมณ์แบบนี้ผมอยากปั่นจักรยานมากกว่าขี่มอไซต์อ่ะครับ ผมขี้เกียจรอ เลยเดินไปหาข้าวกินก่อน พอกินเสร็จลองนั่งดูแผนที่ คิดว่าพวกหาดทางใต้จากจุดที่ผมอยู่มันไม่ไกลเท่าไร เลยกะว่าจะเดินเอาก็ได้ว่ะ ถือว่าได้ออกกำลังกายไปในตัว (เมิงพลาดแล้วจ้าาาาาาาาาาาาาาาา)
หาดแรกที่เราจะไปคือ อ่าวลึก อันนี้เป็นทางที่จะลงไปหาดครับ ผมถ่ายรูปมาอาจจะไม่ชันเท่าไร แต่ของจริงชันมากครับ ฝรั่งที่พาแฟนซ้อนท้ายกันมา ปล่อยแฟนเดินลงกันรัวๆ ตามภาพ
หาดนี้เป็นหาด Private จะมีเตียงพร้อมร่มตั้งไว้ครับ ถ้าจะเข้าไปนั่งก็เสีย 200 บาท แต่ฟรีเครื่องดื่ม ซึ่งผมไม่แน่ใจว่ามีเครื่องดื่มอะไรบ้าง อ่อ ที่นี่ไม่สามารถเอาเครื่องดื่มจากข้างนอกเข้ามาได้นะครับ ถ้าไม่ใช้บริการก็นั่งอาบแดดไปละกันครับ เพราะที่นี่เป็นหาดทรายโล้นๆเลย แต่เหมาะแก่การมาเล่นน้ำดีครับ โขดหินไม่เยอะ น้ำเป็นสีฟ้าสวย ผมอยู่ที่นี่นั่งเล่น นอนเล่น ถ่ายรูป อยู่ประมาณ 30 นาที ก็ออกเดินไปหาดที่สองต่อครับ
หาดที่สองคือ หาดทรายแดงครับ เป็นหาด Private เหมือนกัน แต่ผมไม่ได้ลงไปถึงตรงหาดครับ เพราะมีคนอยู่เยอะ เอารูปทางลงหาดไปดูละกันครับ มองเห็น Shark Island ด้วย (จริงๆคือหลงมาครับ ตอนแรกว่าจะเดินไปอ่าวโฉลกบ้านเก่า 5555555)
แล้วก็เดินมาถึงหาดโฉลกบ้านเก่า ครับ ตอนผมไปถึงรู้สึกว่าน้ำขึ้นเยอะครับ และอ่าวนี้เรือมาจอดค่อนข้างเยอะครับ บริเวณนี้มีที่พักกับร้านอาหารเยอะรองลงมาจากหาดทรายรีเลย
เสร็จแล้วก็ออกเดินไปต่อที่จุดชมวิว จอห์น - สุวรรณครับ อยู่ทางเดียวกับที่ไปหาด Freedom ครับ หาดนี้ก็ไม่ได้ลงไปอีกแล้วครับ เพราะคนมาเล่นเยอะ + เหนื่อยจากการเดินตากแดดครับ ถึงกับนั่งหอบก่อนเดินขึ้นจุดชมวิวกันเลยทีเดียว มีค่าเข้าจุดชมวิวนะครับ คนไทย 50 บาท ไม่รู้ว่าต่างชาติราคาเดียวกันไหม การขึ้นไปจุดชมวิวจะต้องปีนป่ายกันนิดนึงครับ จะมีเชือกให้คอยพะยูงตัวขึ้นไป ระหว่างทางขึ้น ผมได้สังเวยที่รัดส้นของรองเท้า Croc ที่ใส่มาไปข้างนึงครับ เพราะโดนหินบาด
บนจุดชมวิว เราจะมองเห็นหาดทางใต้ของเกาะเต่าแทบทั้งหมดครับ บอกได้คำเดียวเลยครับว่า ค่าเข้าหลักสิบ ค่าวิวหลักล้าน
ผมได้เจอพี่ป๊อบอีกครั้งบนจุดชมวิว เลยลงมาพร้อมแล้วไปหาข้าวเที่ยงกินด้วยกันครับ ซึ่งผมซ้อนมอไซพี่ป๊อบไป
เสร็จแล้วก็ไปจองทัวร์ดำน้ำพรุ่งนี้กัน ซึ่งพวกเราเลือกของแสงทองทัวร์ครับ เพราะออพฟิตของแสงทองทัวร์อยู่ใกล์กับที่พักของพี่ป๊อบและใกล์กับท่าเรือ ซึ่งพี่ปุ๊ก เจ้าของแสงทองทัวร์ดีใจมากครับที่เห็นคนไทยอย่างพวกเรามา และยังลดราคา จาก 750 บาท เหลือแค่ 630 บาท โดย 600 เป็นค่าทริปดำน้ำ 4 จุด + ขึ้นเกาะนางยวน อาหารหนึ่งมื้อตอนเที่ยงบนเรือและเครื่องดื่ม อีก 30 บาท เป็นค่าขึ้นเกาะนางยวนครับ พี่ปุ๊กยังบอกอีกด้วยว่ามีคนไทยมาซื้อทัวร์กับพี่เขาเยอะ เพราะตามมาจากรีวิวของคุณ Nutsuksawakhon และยังพาพี่พม่าที่คุณ Nutsuksawakhon ได้กล่าวถึงในกระทู้เขาว่า พูดภาษาอังกฤษเก่งมากๆ และเป็นแรงบันดาลใจในการพัฒนาภาษา มาให้ผมได้พบเจอด้วย
ซื้อทัวร์ดำน้ำเสร็จ ก็ไปจุดชมวิว Mango กันครับ เพราะได้ยินมาว่าจุดนี้ วิวเทพมาก แต่ทางขึ้นไปจุดชมวิวนี่พูดเลยครับ เมิงควรที่จะอวตารไปเกิดเป็นทางรถไฟเหาะมากๆ เพราะทางขึ้นนี่ชันแทบจะตั้งฉากเลยครับ ไอ้ตรงที่คิดว่าเราขึ้นจะสุดแล้วพอขึ้นมาถึงมันดันมีไปต่ออีก ลุ้นกันฉี่เหนียวเลยครับ
เราจะต้องเสียค่าเข้า 100 ครับ แต่พี่คนที่คุมทางเข้าเก็บพวกเราคนละ 50 เพราะเห็นเป็นคนไทย แต่ถ้าตั้งจะซื้อเครื่องดื่มในบาร์ก็ลองเจรจาดูก็ได้ครับว่าจะขอจ่ายเป็นค่าเครื่องดื่มที่บาร์แทน เพราะตอนที่ผมไปนั่งคุยกับพี่เจ้าของบาร์ เขาบอกว่าที่ต้องเก็บค่าเข้าจุดชมวิว เพราะเมื่อก่อน คนมากันเยอะ แล้วไม่ซื้อของที่บาร์เลย ถนนที่ขึ้นมานี่ก็เป็นถนนที่เขาทำขึ้นมากันเอง คนมากันเยอะ พอทางมันเสีย เขาก็ต้องควักเนื้อซ่อมเอง เลยต้องเก็บเป็นค่าเข้าจุดชมวิวครับ
เจ้าถิ่นที่ Mango View Point ครับ ผมนั่งปุ๊บ รีบเดินมานั่งตักผมเลย
ตรงจุดชมวิวจะเป็นศาลา และมีบาร์สามารถสั่งเครื่องดื่มต่างๆ มาได้ครับ และด้วยบรรยากาศที่ชิวมาก + กับเหนื่อยมาทั้งวัน ผมกับพี่ป๊อบก็งีบหลับเลยครับ 555555 ประมาณ 20 นาทีเราก็ตื่นขึ้นมา ตอนนั้นเป็นเวลาประมาณ 5 โมงเย็นกว่าๆแล้ว น่าเสียดายทีว่าจากจุดนี้มองไม่เห็นพระอาทิตย์ตกครับ สอบถามจากพี่เจ้าของบาร์เขาบอกว่า เมื่อก่อนจะเห็นพระอาทิตย์ตก แต่เดี๋ยวนี้ไม่เห็นแล้ว พี่เขาก็แนะนำว่าให้ไปที่รีสอร์ทดุสิตบัญชา พวกเราก็ไม่รอช้าครับ รีบออกเดินทางไปกันเลย
ที่ดุสิตบัญชา นอกจากจะชมพระอาทิตย์ ยังสามารถชมวิวเกาะนางยวนได้ด้วยครับ
พอไปดูพระอาทิตย์ตกกันเสร็จ 6 โมงเย็นกว่าๆ พี่ป๊อบก็มาส่งตรงที่พักของผม ส่วนพี่เขาก็กลับที่พักของเขาครับ แยกย้ายกันอาบน้ำพักผ่อนก่อน เสร็จแล้วจะมาเจอกันตรงหน้าที่พักของผม เนื่องจากว่าอยู่ใกล์แหล่ง Night life ของเกาะเต่า ตอนนั้นผมเริ่มรู้สึกตัวว่าเป็นไข้แดดแล้วครับ เป็นผลมาจากการเดินตากแดดทั้งวัน + กับการที่ต้องใช้พละกำลังในการเดินขึ้นจากการลงไปหาดต่างๆ มาก อาบน้ำเสร็จเลยหลับไปประมาณ 1 ชั่วโมงครับ
2 ทุ่มตื่นขึ้นมา ก็มาเจอกับพี่ป๊อบที่หน้าที่พักของผม เราไปหาข้าวเย็นกินกัน เย็นนี้ไปลงเอยที่ร้านข้าวหน้าเป็ดครับ ผมสั่งก๋วยเตี๋ยวเป็ด + ข้าวเปล่า เพราะอยากกินอะไรร้อนแก้ไข้สักหน่อย เจอค่าเสียหายไป 90 บาท (ก๋วยเตี๋ยวเป็ดต้มยำ 80 ข้าวเปล่า 10)
เสร็จแล้วก็ไปนั่งฟังเพลง ดูควงไฟโชว์ ที่ Lotus Bar วันที่ไปทางร้านมีโปรเบียร์ Leo เล็ก 2 ขวด 120 บาท (ร้านขายอยู่ขวดละ 80) ก็จัดมากันคนละชุดครับ พอประมาณ 3 ทุ่มเป็นต้นไป ร้านจะเริ่มเปิดเพลงมันส์ขึ้นเรื่อยๆ ครับ พอ 4 ทุ่ม ทุกคนในร้านก็ลุกขึ้นมาออกสเต็ปกันโดยมิได้นัดหมาย
ประมาณ 4 ทุ่มครึ่ง พี่ป๊อบก็ขอตัวกลับไปนอนก่อน ส่วนผมยังนั่งอยู่ประมาณ5ทุ่มครึ่งก็เดินกลับไปนอนเอาแรงครับ เพราะพรุ่งนี้เรามีทริปดำน้ำกันทั้งวัน
Day 3 (21 กุมภาพันธ์)
ผมตื่นขึ้นมาประมาณ 7 โมงเช้า เหมือนเดิมครับคือเพื่อนร่วมห้องของผมทุกคนยังหลับอยู่ เลยรีบเข้าไปอาบน้ำ แล้วเก็บของเอากุญแจไปคืน Reception เพราะที่นี่เขาให้ Check out ออก 11 โมง ครับ
วันนี้รถของแสงทองทัวร์จะมารับผมตอน 9:30 ครับ นัดกันที่ 7-11 ใกล์ที่พัก เช้านี้ผมเลยจัดเบอร์เกอร์ข้าวเหนียวหมูของเซเว่นเป็นอาหารเช้า แล้วรถก็จะพาเราไปส่งที่ออพฟิตของแสงทองทัวร์ก่อน เพื่อไปรับแว่นตาดำน้ำ Snorkel แล้วก็ผูกสายที่ข้อมือ เพื่อให้รู้ว่าเราเป็นลูกทัวร์ของบริษัทนี้ โดยทริปนี้พี่ปุ๊กใจดีมากครับ เปิดเรือลำใหม่ให้กับพวกเราคนไทยที่มาในวันนั้นโดยเฉพาะเลย เรือที่พวกเราได้เป็นเรือที่เอาไว้ออกทริปตกปลาครับ ขนาดจะเล็กกว่าเรือที่ไว้ออกทริปดำน้ำทั่วไป เกือบ 2 เท่าตัว ซึ่งสมาชิกบนเรือมี ผม พี่ป๊อบ คู่รักที่มาจากกรุงเทพ 1 คู่และกลุ่มพนักงานบริษัทที่มาจากชลบุรีอีก 4 คน รวมทั้งหมด 8 คนครับ (+ พี่คนขับเรือกับไกด์อีก 2 เป็น 10)
ซึ่งจุดดำนํ้าตามโปรแกรมได้แก่
- อ่าวฉลาม
- อ่าวลึก
- อ่าวหินวง
- อ่าวม่วง
- เกาะนางยวน
แต่วันที่ไปดำนํ้าสภาพอากาศค่อนข้างไม่ดีครับ มีคลื่นลมแรงจากฝั่งอ่าวไทย ทำให้ไปอีกฝั่งของเกาะลำบาก เลยได้แต่ดำแต่จุดที่อยู่ฝั่งท่าเรือ ได้ไปดำ 3 จุด คือ ตรงบริเวณหาด Freedom อ่าวม่วง และจุดดำนํ้าใกล์เกาะนางยวนครับ อดไปล่าปลาฉลามตามระเบียบ ซึ่งการที่จุดดำน้ำน้อยลง พี่คนขับเรือ เลยเพิ่มเวลาดำในแต่ละจุดให้ครับ (พอเรือปล่อยให้เราขึ้นเกาะนางยวน เราสามารถดำนํ้าจากตรงบริเวณหาดทรายได้ แต่ผมไม่ได้ดำ)
ช่วงระหว่างเดินทางจากจุดดำน้ำที่ 1 กับ 2 ผมได้มีโอกาสเข้าไปนั่งดื่มเบียร์และพูดคุยกับพี่คนขับเรือ สอบสวนจากพี่เขาได้ความมาว่า เมื่อก่อนพี่เขาเคยเป็นนครศรีธรรมราช เคยเป็นไกด์มาก่อน พ่อและพี่ของพี่คนขับเรือก็เป็นคนขับเรือทัวร์อยู่ที่เกาะเต่านี่แหละ(ตระกูลชาวเลของแท้) ซึ่งตอนหลังพี่เขาเปลี่ยนมาเป็นคนขับเรือ เพราะได้เงินดีกว่า และได้อยู่ใกล์บ้านมากกว่าการเป็นไกด์ เราได้พูดคุยเกี่ยวกับกรณีนักท่องเที่ยวชาวอังกฤษที่ถูกฆาตกรรมที่เกาะเต่า ซึ่งในความเห็นของผมคิดว่า ไม่ว่าคุณจะไปอยู่ที่ไหนทุกที่ก็มีโอกาสที่จะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น ขอเพียงแค่คุณมีสติ รู้จักการดูแลตัวเอง เช่น ไม่เมาเละเทะ ไม่ไปเดินอยู่ข้างนอกดึกๆดื่นๆอยู่คนเดียว สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นการเพิ่มโอกาสเสี่ยงได้ทั้งนั้นครับ
เนื่องจากผมชื่นชอบการ Free Diving (ที่จริงคือยังไม่มีตังไปเรียน+ออกทริปScuba) ซึ่งเป็นการดำน้ำลงไปแบบไม่ใส่ถังอ๊อกซิเจนข้างหลังเนี่ยแหละครับ อุปกรณ์ที่แจกให้ในทริปจะมีแค่หน้ากากกับสนอร์เกิ้ล(ไอ้ท่อที่เอาไว้คาบและหายใจ) และเสื้อชูชีพ ซึ่งหากจะ Free Diving ก็ไม่ได้ใส่อยู่แล้ว เพราะมันทำให้ดำลงไปใต้น้ำไม่ได้ แต่ไม่มี Finsให้ครับ ซึ่งไอ้เจ้าฟินนี่จะช่วยทุ่นแรงของเราได้มากครับ เพราะทำให้เราว่ายน้ำได้เร็วและแรงขึ้น แน่นอนว่าสำหรับการ Free Diving มันช่วยทำให้เรามุดลงไปใต้น้ำได้แบบไม่ต้องใช้แรงมาก ผมเลยลองถามหา Fins จากพี่คนขับเรือ พี่เขาใจดีครับมีให้ยืม 2 คู่ แต่ปรากฏว่าเท้าผมใหญ่เกินครับ ใส่ไม่ได้ อดไปตามระเบียบ
ผลของการไม่มีคนถ่ายรูปใต้นํ้าให้ แต่อยากเซลฟี่ครับ สภาพเลยออกมาเหมือนศพโดนเอาไปถ่วงทิ้งทะเลซะมากกว่า
ในรูปที่ผมคาบสนอร์เกิ้ลลงไปด้วย จริงๆไม่ถูกหลักนะครับ ควรจะถอดก่อน เพราะมันต้านน้ำ ทำให้ดำลงยาก ยิ่งไม่มีฟินให้ใส่ด้วย ซึ่งการดำน้ำแบบนี้ การทำให้ลู่น้ำเป็นสิ่งสำคัญมากครับ และการคาบสนอร์เกิ้ล มันทำให้เราอยากหายใจก่อนเวลาด้วย
ที่ผมคาบลงไปด้วยเพราะพี่ปุ๊กำชับมาครับว่า “อันนี้ของใหม่ ช่วยๆ ดูแลให้พี่หน่อยนะ" นั่นแหละครับท่านผู้ชม ผมกลัวเสียค่าปรับ...
เจอนางเงือกด้วยครับ คาดว่าน่าจะเป็นสายพันธ์ยุโรป
คนนี้เธอชื่อจินเม มากับกลุ่มที่มาจากชลบุรีครับ ชอบเรียกผมให้ไปถ่ายรูปใต้นํ้าบ่อยๆ เพราะตัวเธอไม่ได้เอากล้องที่ถ่ายใต้นํ้ามา
ในช่วงจุดดำน้ำที่ 3 ก่อนขึ้นเกาะนางยวน ในกรุ๊ปมีคนทำแว่นตาดำน้ำพร้อมสนอร์เกิ้ล จมลงไปในน้ำ 2 อันครับ ผมไม่ทันเห็นว่าหลุดลงไปได้ยังไง คิดว่าน่าจะกระโดดลงไปกัน แว่นตาเลยหลุดออกจากหัวครับซึ่งจริงๆก่อนลงน้ำ ถ้าลงจากบันไดเรือควรใส่แว่นและคาบสนอร์เกิ้ลให้เรียบร้อยก่อนครับ ไม่ใช่ใส่เอามาคาดไว้บนหัวเฉยๆ แล้วลงไปครับ โอกาสแว่นหลุดจากหัวมีสูง แล้วไอ้จุดที่หล่นไปเนี่ยลึกมากครับ น่าจะ 20 เมตร+ โชคดีว่าเรือพี่ชายของพี่คนขับเรือของลำผม ผ่านมาพอดี และมีอุปกรณ์ดำ Scuba อยู่ โชคดีต่อที่ 2 คือ แว่นมันจมลงไปแล้วอยู่ใกล์ๆ กันครับ เลยรอด ไม่ต้องเสียค่าปรับกันทั้ง 2 คน
แล้วเราก็มาถึงเกาะนางยวน Unseen Thailand ครับ ที่นี่ห้ามเอาขวดพลาสติกหรือกระป๋องน้าดื่มขึ้นนะครับ ถ้าจับได้เขาจะยึดไว้ ถ้าใครพกมาก็ทิ้งไว้บนเรือก็ได้ครับ เพราะตอน 4 โมงเย็น เรือก็จะมารับเรา
ที่เกาะนางยวนนี้จะเป็นเกาะ 3 เกาะ ซึ่งถูกเชื่อมไว้โดยหาดทรายทะเลแหวกตรงกลางครับ เป้าหมายของผมคือการขึ้นไปชมวิวจากจุดชมวิวมหาชนของที่นี่ โดยจุดชมวิวจะอยู่บนเกาะทางฝั่งทิศใต้ครับ ต้องเดินข้ามทะเลแหวกไป ซึ่งทางเดินขึ้นไปจุดชมวิวจะเป็นบันไดหิน แรกก็เดินชิวๆ ครับ ผ่านไปสักพักนี่ต้องหายใจทางปาก นับจังหวะหายใจเข้าหายใจออกเหมือนเวลายกเวทเลยครับ
พอขึ้นจนถึงยอดเราจะต้องปีนขึ้นบนก้อนหิน แล้วก็จะเห็นภาพนี้อ่ะครับ คุ้มค่ามากกกกกกกกกกกก หายเหนื่อยกันเลยทีเดียว ผมถ่ายออกมาไม่ชัดเท่าไรนะครับ เพราะเอา Xiaomi Yi มาถ่าย(ลืมหยิบกล้อง Sony ขึ้นมา) ถ้าหากจะขึ้นไปถ่ายรูปที่จุดนี้ก็ระวังกันด้วยนะครับ ไม่มีแผงกั้นเลย ฝรั่งที่ขึ้นไปยืนถ่ายรูปกับผมข้างๆ ถึงกับขาสั่นกันเลยทีเดียว
ถ่ายรูปเสร็จ ผมกับพี่ป๊อบก็กลับลงมา ผมขอตัวไปนั่งพักแถวร้านอาหารตรงท่าเรือ ส่วนพี่ป๊อบไปถ่ายรูปต่อ เวลา 4 โมง เรือก็มาครับ ถึงจุดนี้ สายข้อมือที่ทางบริษัททัวร์ผูกให้เรามีประโยชน์แล้วครับ เพราะตอนเดินมาถึงท่าเรือของเกาะนางยวน จะมีเรือของหลายบริษัทมารับลูกทัวร์ ไอ้เราก็งงดิครับ ว่าเรือเราลำไหน แล้วของเราเป็นเรือลำเล็กด้วย พี่เจ้าหน้าที่ตรงท่าเรือเห็นเรายืนเงอะๆงะๆอยู่ ก็ตะโกนเรียกมา “แสงทอง มาด้านนี้ๆ" ก็เลยเดินตามไปครับ ซึ่งต้องผ่านเข้าไปในเรือใหญ่หลายลำที่มาจอดติดกัน เพราะเรือเราเล็กสุด เลยจอดอยู่ด้านนอกครับ
4 โมงครึ่งเราก็กลับมาถึงเกาะเต่าครับ พี่ปุ๊กก็บอกให้เราไปอาบน้ำที่ร้านอาหารของพี่ปุ๊ก ซึ่งด้านบนของร้านอาหารเปิดเป็น Hostel ครับ ก็ผลัดกันขึ้นไปอาบน้ำข้างบนกัน ซึ่งพี่ปุ๊กก็ใจดี เป็นธุระช่วยจองตั๋วเรือนอนกลับในคืนนั้นให้ด้วยครับ ราคาเดิม 400 บาท เพราะผมตั้งใจว่าคืนนี้จะไปให้ถึงชุมพรเช้ามืด เพื่อขึ้นรถไฟฟรีรอบ 7 โมงเช้ากลับกรุงเทพฯครับ ส่วนพี่ป๊อบจะกลับในวันพรุ่งนี้ เพราะจองตั๋วเครื่องเอาบินเอาไว้ ผมกับพี่ป๊อบเลยตอบแทนความใจดีของพี่ปุ๊กด้วยการทานอาหารร้านพี่ปุ๊กในเย็นวันนั้นครับ เป็นข้าวผัดห่อไข่ ราคา 80 บาท เสร็จแล้วก็เดินไปนั่งฟังเพลงที่ Lotus Bar กันต่อ จนถึง 3 ทุ่มครึ่งก็เดินกลับมาที่ท่าเรือกัน ผมก็บอกลาพี่ป๊อบ ขอบคุณพี่ป๊อบสำหรับการให้ผมซ้อนมอไซต์และเป็นเพื่อนร่วมทริปกับผมในครั้งนี้ครับ หวังว่าทริปหน้าจะมีโอกาสได้ร่วมทริปกันอีก
เสร็จแล้วก็ไปเอากระเป๋าจากร้านพี่ปุ๊ก แล้วก็เดินขึ้นไปขึ้นเรือนอนของเราในวันนี้ เนื่องจากดำน้ำมาทั้งวัน พอขึ้นเรือ เอาของเก็บ แปรงฟันล้างหน้าเรียบร้อย ก็ผล็อยหลับไปเลยครับ
Day 4 (22 กุมภาพันธ์ 2559)
เช้าวันสุดท้าย ผมตื่นมาด้วยเสียงนาฬิกาปลุกพร้อมๆกับที่เรือกำลังเข้าเทียบท่าครับ ถอดแบตที่ชาตโทรศัพท์ที่ชาร์ตค้างไว้เมื่อคืน เก็บใส่กระเป๋า แล้วก็ออกจากเรือมาครับ จะมีรถสองแถวมาดักรอ เพื่อคนไปส่งในตัวเมืองชุมพร ซึ่งจุดหมายของผมคือสถานีรถไฟ ระหว่างที่รอคนเต็มรอ ก็เจอคู่รักกับกลุ่มที่จากชลบุรีที่ไปดำน้ำเดินมาขึ้นรถคันเดียวกัน สรุปว่าจะไปขึ้นรถไฟฟรีสายเดียวกันครับ
และแล้วรถสองแถวก็มาจอดที่สถานีรถไฟชุมพร ก็จ่ายกันไปคนละ 50 บาทครับ สำหรับคนที่ลงตรงนี้ จากนั้นก็เดินไปในตัวสถานี สอบถามได้ความมาว่า 6 โมงค่อยมารับตั๋วสำหรับ รถไฟฟรี สาย 254 กรุงเทพฯ – ชุมพร (ตอนนั้นประมาณตี 5 กว่าๆ ครับ) ก็เข้าไปล้างหน้า แปรงฟันในห้องน้ำสถานี แล้วเดินออกมาหาอะไรกินที่หน้าสถานีครับ ได้เป็นโจ๊กพิเศษใส่ไข่แบบอิ่มๆ ในราคา แค่ 25 บาท เสร็จแล้วก็เดินกลับไปรอรถไฟกัน
7 โมงเช้าหน่อยๆ รถไฟก็มาครับ รถจอดอยู่ได้ประมาณ 5 นาที ก็พาเราแล่นออกจากสถานีรถไฟชมพร มุ่งสู่สถานีปลายทางธนบุรี (ศาลาน้ำร้อน) สำหรับตัวผมในขากลับผมเลือกลงที่ชุมทางตลิ่งชัน เนื่องจากอยู่ใกล์บ้านผมมากที่สุดครับ รถมาถึงชุมทางตลิ่งชันประมาณ 4 โมงเย็น ผมก็โบกวินมอไซขึ้นรถกลับบ้านโดยสวัสดิภาพครับ
เกร็ดเล็กน้อยสำหรับทริปนี้
1. สามารถเช็กรอบรถไฟและเวลาถึงสถานีต่างๆได้ ตาม ลิ้งนี้ครับ http://www.railway.co.th/home/images/content/home/srt/timetable/southlinetxt.asp
2.ควรจะทานข้าวให้เรียบร้อยก่อนขึ้นรถไปครับ และถ้าเป็นคนกินน้ำเยอะ แนะนำว่าให้พกขวดลิตรขึ้นไปไว้บนรถไฟเลยครับ จะประหยัดค่าน้ำได้เยอะ ผมพกน้ำขวด 1.5ลิตร ขึ้นไป 1 ขวด อยู่ได้ยาวๆ ถึงชุมพรครับ
3.ข้าวกล่อง(ข้าวกระเพราหมูไข่ดาวกล่องละ 20 บาท)บนรถไฟ ก็เหมือนผี รู้ว่ามี แต่ไม่เคยเห็น
4.แพ้กลิ่นบุหรี่ ไม่ควรนั่งใกล์รอยต่อของโบกี้ครับ หาผ้าหรือMask ไปปิดจมุกด้วยก็ดีครับ เพราะคนสูบบุหรี่ตรงรอยต่อเยอะมาก และคนใต้เขาค่อนข้างสูบบุหรี่จัดมากครับ
5.ถ้านั่งริมหน้าต่างและหันหน้าไปทางเดียวกับหัวขบวนรถไฟ หาแว่นกันแดดหรือแว่นอะไรก็ได้มาใส่กันลมกันฝุ่นหรืออะไรปลิวเข้าตาด้วยก็ดีครับ
6.ถ้าอยากหลบแดด ขาไปให้นั่งซ้ายมือ ขากลับให้นั่งขวามือครับแล้วพอเข้าช่วงบ่ายให้ย้ายไปด้านซ้าย
7.ถ้าจะไปเรือนอนและนอน Hostel เหมือนผม ควรเตรียมปลั๊กพ่วงไปด้วยครับ อย่างห้องผมนอนได้ 10 คน คิดสภาพว่าโทรศัพท์ 10 เครื่อง กล้อง 10 ตัว โน๊คบุ๊คกับอุปกรณ์ไฟฟ้าอื่นๆ อีก ในขณะที่ปลั๊กเสียบมีอยู่ 5-6 ปลั๊ก...
8.ถ้าพักอยู่หาดทรายรี ถ้าไม่อยากเช่ามอไซ แล้วคิดว่าจะเดินไปเที่ยวหาดทางใต้ สามารถเดินได้นะครับ ทางไม่ลำบาก อย่าลืมพกน้ำเปล่าติดตัวไปด้วยครับ กันเป็น Heat Stroke แต่หาดที่อยู่ทางด้านทิศตะวันออก กับทิศเหนือ เช่ามอไซไปดีกว่าครับ ทางไปโคตรลำบากอย่างที่ผมได้กล่าวไป แต่ถ้าฟิตจัด ก็เอาเลยครับ มีฝรั่งเดินเยอะเหมือนกัน
9.แดดเกาะเต่าโคตรแรงไม่แพ้ชาติใดในโลก ผมโดดแดดเผาจากการเดินไปหาดต่างๆ กลับมาเห็นชัดเลยครับว่าบนตัวนี้เป็นรอยเสื้อกล้ามเลยที่ใส่เลย ตอนนี้หนังเริ่มลอกล่ะครับ อย่าลืมทาครีมกันแดดหนาๆ ไปด้วยครับ
10.ร้านอาหารแบบที่ชาวบ้านๆกิน ร้านข้าวแกงหรือตามสั่ง จะอยู่บนถนนคอนกรีตเส้นหลักของเกาะเต่าครับ
11.Day Trip ดำน้ำมีหลายเจ้าให้เลือกครับ ราคามาตรฐานจะอยู่ที่ 750 แต่ถ้าเป็นคนไทยไปซื้อกับแสงทองทัวร์ พี่ปุ๊กซึ่งเป็นเจ้าของเขาจะลดให้ เหลือ 630 ครับ อันนี้เบอร์โทรศัพท์ของแสงทองทัวร์ครับ 077-456-073,081-797-9931,089-469-7917 แล้วถ้าใครจะขึ้นเรือนอนกลับวันนั้น พี่ปุ๊กก็ให้อาบน้ำได้ที่ร้านเขาครับ อยู่ใกล์ท่าเรือด้วย
12.สาวๆ ที่อยากไปส่องฝรั่งงาน Full Moon มาที่นี่ก็ได้ครับ เซ็ตเดียวกัน เท่าที่คุยกับฝรั่งมาหลายๆคน เขาไปพะงันมาก่อนแล้วก็มาเกาะเต่าหรือมาเกาะเต่าแล้วก็ไปพะงันต่อครับ
สรุปค่าใช้จ่าย
วันที่ 1
ข้าวกะเพราหมู 40 บาท
เบียร์ช้างกระป๋อง 37*2 = 74 บาท
วินมอไซจากสถานีรถไฟชุมพร - ท่าเรือเกาะเจริญ 150 บาท
ค่าเรือเกาะเจริญ - เกาะเต่า 400 บาท
วันที่ 2
มาม่า 16 บาท
ห้องพัก 300 บาท
ข้าวราดแกงตอนเช้า 50 บาท
นํ้าเปล่า 10*2 = 20
ค่าเข้าจุดชมวิวจอห์น - สุวรรณ 50 บาท
ค่าราดหน้า(มื้อเที่ยง) 60 บาท
ค่าเดย์ทริป 630 บาท
ค่าเข้าจุดชมวิว 50 บาท
นํ้าเปล่าขวดใหญ่ 20 บาท
ก๋วยเตี๋ยวเป็ดต้มยำ+ข้าวเปล่า (มื้อเย็น) 90
ค่าโปรเบียร์ Leo ขวด 120 บาท
วันที่ 3
เบอเกอร์ข้าวเหนียวหมู 32 บาท
ข้าวผัดห่อไข่ร้านพี่ปุ๊ก (มื้อเย็น) 80 บาท
เบียร์ช้างขวด 45 บาท
ตั๋วเรือนอนพรทวีสิน 400 บาท
วันที่ 4
รถสองแถวท่าเรือ – รถไฟ = 50 บาท
โจ๊กหมูใส่ไข่พิเศษหน้าสถานีรถไฟ = 25 บาท
ข้าวเหนียวหมูปิ้งบนรถไฟ (มื้อเที่ยง) = 25 บาท
รวม 2727 บาท
ท่านจะประหยัดได้กว่านี้ ถ้า
- ไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ ในกรณีของผมตัดออกไปได้อีก 239 บาท ในส่วนของเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ ก็จะใช้ไปทั้งหมด 2488
-ไม่ซื้อทัวร์ดำนำ้ แต่ไปดำนำ้ตามอ่าวหรือหาดต่างๆบนเกาะเต่า และจ้างเรือหางยาวไปเกาะนางยวนเอง แต่ไม่แนะนำครับ ซื้อทัวร์ดีกว่า สนุกกว่ากันเยอะ
ขอขอบคุณทุกคนนะครับที่ทนฟังผมบ่นมาจนถึงตอนจบนี้ สำหรับการไปเที่ยวคนเดียวมันมีข้อดีคือ อิสระมาก ไม่ต้องมัวมารอ ตัดสินใจอยากทำอะไรก็ลุยเลย ที่สำคัญทำให้เราได้ลองสัมผัส ได้พูดคุยกับคนอื่นๆ ที่ไม่ใช่เพื่อนตัวเอง มีคนถามว่าไปเที่ยวคนเดียวแบบนี้จะสนุกเหรอ ? ความสนุกแบบไปคนเดียวจะเป็นอีกอารมณ์ครับ มันไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด คุณจะได้เจอมิตรภาพใหม่ๆแน่ อย่างผมก็ได้เจอกับพี่ป๊อบ ซึ่งมาคนเดียวเหมือนกัน พวกเรายังคุยกันด้วยว่า หากมีโอกาสจะไปจอยทริปด้วยกันอีก นอกจากนั้นยังมีฝรั่งและชาวเอเชียอีกหลายคนที่ได้คุยกันทั้งที่ Hostel และระหว่างนั่งรถไฟกลับครับ บางคนก็เสนอมาเลยว่าถ้ายูมีโอกาสไปเที่ยวบ้านไอ ไอยินดีพายูเที่ยวเอง สำหรับเรื่องความปลอดภัยการไปเที่ยวคนเดียวแบบนี้ คุณก็ต้องระวังตัวเป็นพิเศษแน่นอน เครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ดื่มไปเถอะครับ แต่คุณต้องมีสติ ต้องรู้ตัวเองว่าระดับไหนที่คุณควรจะพอแล้ว ไม่เมาเละเทะ แล้วก็ไม่ควรพาตัวเองไปอยู่ในที่เปลี่ยว อับจากสายตาคนอื่นไม่ว่าจะเป็นเวลาในกลางวันและกลางคืน แค่นี้คุณก็เที่ยวคนเดียวได้อย่างสนุกแล้วครับ
สามารถไปติดตามการเดินทางของผมครั้งต่อๆไป ได้ที่เพจของผมครับ
https://www.facebook.com/IWouldGoAnywhereForYou/
Anywhere For You
วันอังคารที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2559 เวลา 22.48 น.