การเดินทางเริ่มจากบ้านที่จังหวัดลำพูน

ออกเดินทางเมื่อวันที่ 12 มค 58 กลับบ้านเมื่อวันที่ 12 มีค 58 รวมเวลาทั้งสิ้น 60 วัน พอดีเป๊ะ

ถ้าหากถามว่า นึกครึ้มใจอะไร ถึงได้พาเป้ 2 ใบ ออกไปแบกคนเดียว เที่ยวนานตั้ง 60 วัน

เนื่องจากช่วงเดือนธันวาคม ชิทำงานไม่มีวันหยุดเลยค่ะ

ซึ่งทริปสุดท้ายที่แบกเป้เที่ยวคือ "แบกเป้เดี่ยวนั่งรถไฟ 500โล ปั่นๆโบกๆเมืองเกาะเทโพ ตามหาหุบป่าตาด @อุทัยธานี" เมื่อเดือน พ.ย 57

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ http://pantip.com/topic/32871559


ด้วยความอึดอัดใจ ที่ทั้งเท้าเจ็บเพราะงานวิ่งส่งท้ายปี ทำให้วิ่งไม่ได้ งานวิ่งที่จอมบึงก็อด(เพราะซ้อมไม่ได้) ปั่น หรือเดินก็ยังลำบาก

และคนอื่นเขาไปเที่ยวกันช่วงปีใหม่ แต่เรายังทำงานอยู่



จึงตั้งใจว่า หากเสร็จงานแล้ว จะเริ่มออกเดินทางวันศุกร์ที่ 9 มกรา ไปศรีษะเกษ เพื่อจะไป "ผามออีแดง" และ เขาพระวิหาร

แน่นอน ทริปนี้ต้องตะลอน นั่งรถไฟ จากลำพูน > เปลี่ยนสายที่อยุธยา > ไปสายอีสาน เพื่อไปศรีษะเกษ

จะใช้เวลาเท่าไหร่ไม่รู้หล่ะ แถมทริปนี้ก็ไม่ได้จองอะไรไว้ล่วงหน้าด้วย

นี่โพสหาเพื่อนจากในพันทิพด้วย แต่ไม่ยักกะมีใครไป

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้http://pantip.com/topic/33072966

แต่ถ้านัดกันไปศรีสะเกษ เรื่องราวที่กำลังจะเล่าให้ฟังต่อจากนี้ต้องเปลี่ยนไปอย่างแน่นอน



หาข้อมูลในเน็ตเห็นบอกว่า ผามออีแดงเปิดเฉพาะวัน เสาร์-อาทิตย์ และวันนักขัตฤกษ์

เท้าเจ็บแค่ไหน ก็แค่นั้นแหล่ะ ถ้าจะไปมันต้องไหว !!



8 มกรา เวลา 23:00 น.



ปกติจัดเป้วันเดียวแล้วอีกวันก็ออกเดินทางเลย

แต่ พอจัดรอบนี้ปรากฏว่า

บร๊ะเจ้า !! หาเมม 16 GB ไม่เจอ ทั้งบ้าน เมมรวมกันไม่ถึง 5GB

เอาวะ ค่อยไปหาเอาร้านข้างหน้าละกัน ศรีษะเกษ น่าจะหาไม่ยากมั้งงงง...นะ

แต่ปกติมันไม่เคยหายค่ะ คืองง มาก ที่หาไม่เจอ



ศุกร์ 9 มกรา 58 เวลา 5:00 น.



นาฬิกาปลุกให้ตื่น เพื่อไปขึ้นรถไฟฟรีรอบ 6 โมงเช้า ฝนตกหนักมาก หนักจนเรารู้สึกใจคอไม่ดี

ปกติเซ้นส์ตัวเองจะแรงก่อนออกเดินทาง ( คิดเข้าข้างตัวเอง)



แต่ก็เป็นบ่อยๆ ที่เมื่อไหร่ที่เรารู้สึกว่า ออกบ้านไปแล้วไม่ดีแน่ๆ

ก็จะอธิษฐานในห้องพระ แล้วขอให้มีอะไรมาขวางไม่ให้ไป หรือให้มีอะไรมาเตือน

ซึ่งก็เคยเกิดแบบนี้อยู่หลายครั้ง แล้วก็เลือกที่จะไม่ไป



วันนี้ฝนตกหนักมาก ไม่ได้มีอะไรมาเตือนหรอก แต่รู้สึกว่า ยังไม่อยากไปแฮะ เมมกล้องก็ไม่พร้อม

แต่ คือ เมื่อคืนชั้นโพสในเฟสบุคไปแล้ว ว่าจิเดินทางไกล 555555555

สรุป วันนี้ก็ยังไม่ไป



แล้วพายุก็เข้าเหนืออยู่ 2-3 วัน



จนวันจันทร์ 12 มกรา 58 เวลา 5:00 น.



อากาศแจ่มใส คราวนี้ตื่นและเตรียมตัวไปรอรถไฟ เวลาเดิม

(ไม่ต้องซื้อตั๋วล่วงหน้า แค่ยื่นบัตรประชาชนให้จนท.เค้าก็จะออกตั่วฟรีให้เราเลย)

จากแผนที่จะไปศรีษะเกษ เป็นอันยกเลิก ก็ไม่ไปแล้ว ผามออีแดงปิดแล้วและต้องรอ วันเสาร์-อาทิตย์ อีกทีถึงจะได้ไปยล

(อันนี้ถ้าหาข้อมูลมาผิด ใครทราบข้อมูลจริงบอกหน่อยนะ)

แว้กกก เขาพระวิหารก็อดเบยย



แต่ยังไงตั้งใจจะไปอีสานแล้ว ยังไงก็ไปสุดสายที่อุบลเลยละกัน



และแล้ว

การเดินทางซึ่งไร้แผนการ และมั่วสุดๆ ก็ได้เริ่มต้นขึ้น

ลำดับเมืองที่ได้ไป เริ่มจาก ลำพูน ไป > A > H ค่ะ

ออกตัวก่อนว่า

การเดินทางทั้งหมด เราวางแผนแค่ อุบลราชธานี เท่านั้น

นอกนั้น โชคชะตามันพา 2 ขาล่ำๆ นี้ไป




อ่อ ฝากเนื้อฝากตัวอีกรอบค่ะ

ชิ จากเพจ เที่ยวหัวหกก้นขวิด ค่ะ

คือทำเพจแบ่งปันประสบการณ์การเดินทางแบบแปลกๆ การเที่ยวอีกมุมฉบับสาวชอบวิ่ง ชอบปั่นอ่าค่ะ

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้https://www.facebook.com/theupsidedownbackpacker

หรือถ้า วิ่ง ปั่น และชอบเที่ยวเหมือนกันจะแอดมาเป็นเพื่อนกันก็ได้

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้https://www.facebook.com/achiraya.mahakiattikhun



จะค่อยๆลำดับเรื่องราวการเดินทางย้อนหลังไปเมื่อ 2 เดือนก่อนให้ฟังนะคะ

ช้าไปต้องขออภัย ดีเทลมันเยอะ ที่จำได้น่ะ รู้แต่ว่า มันอิ่มใจและสนุกมาก

และตอนสุดท้าย ทุกคนต้องไม่เชื่อแน่ๆ ว่า.... ชิได้ตัดสินใจทำสิ่งหนึ่งลงไป.....



เริ่มออกเดินทางกันดีกว่า

จากลำพูน จะไปถึงอุบลราชธานีโดยรถไฟ

ต้องไปเปลี่ยนสายไปอีสาน ที่ ชุมทางบ้านภาชี (จังหวัดอยุธยา) ก็ได้ หรือ จะลงที่สถานีอยุธยาเลยก็ได้

ซึ่ง ถ้าลงที่อยุธยา ก็จะมีเที่ยวออกไปอุบลเยอะรอบเยอะหน่อย ชิจึงเลือกไปเปลี่ยนสายที่สถารีอยุธยาค่ะ



ขึ้นมาปุ๊บ ใกล้ๆกับที่นั่งเราเจอน้องคนหนึ่ง

เค้ากำลังจะเดินทางกลับกรุงเทพ

ถือได้ว่า เค้าเป็นเพื่อนคนแรกของทริปนี้เลยค่ะ

เที่ยงปุ๊บ เราก็ชวนเค้ามากินข้าวที่ตู้เสบียง



หน้าตาของตู้สเบียงบนรถไฟเป็นแบบนี้แหล่ะ

ใครเคยเข้าไปสั่งอาหารทานกันบ้างคะ

ส่วนเมนูนั้น มีทุกอย่าง ที่ราคาคาดว่าจะไปกับเราไม่ได้

เลยสั่งแค่ข้าวกระเพราหมูไข่ดาวมา 45 บาท (( ราคานี้โดนฟันเรียบร้อยแล้ว))

เนื่องจากเป็นทริปที่ไม่มีแผน จึงไม่ได้จองอะไรล่วงหน้า

น้องต้อ เพื่อนคนแรกของทริปก็ทักท้วงขึ้นมาว่า " พี่จะไปถึงยุดยา ตอนทุ่มนึงช่ายป่าว ถ้าเกิดเค้าเตอร์ขายตั๋วปิดก่อน จะทำไง"

นั่นไง งานงอก



เพื่อไม่ให้แผนพัง ไม่อยากเสียเวลานอนยุดยาคืนนึง

และอยากไปให้ถึงอุบลพรุ่งนี้เช้า จึงคิดๆๆๆ จะทำไงดี



สรุป เราต้องโดดลงไปสถานีใดสถานีนึง เพื่อซื้อตั๋ว อยุธยา-อุบลราชธานี ล่วงหน้า

ก่อนรถไฟจะถึง สถานีอยุธยา



ขณะที่รถไฟกำลังผ่าน ลำปาง แม่เมาะ บ้านปิน เข้าเด่นชัย น้องต้อก็จัดการไปถามเจ้าหน้าที่ให้ ว่า

รถไฟจะจอดที่สถานีไหนนานสุด



หวยออกเป็น "สถานีศิลาอาสน์" เนื่องจากสถานีนี้ นายตั๋วรถไฟบอกว่า เป็นสถานีที่จะแวะจอดเติมน้ำมัน และจอดนานที่สุด 10 นาที

สิบ นา ที .......

ก็ไม่แย่มากนะ กลัวแต่ จะไปต่อคิวยาว หรือ สื่อสารกับคนขายตั๋วไม่เข้าใจ

ยิ่งถ้ามีกระจกกั้นระหว่างฉันกับเธอนี่จะทำให้ความสามารถการได้ยินของเรา ลบ 5 เลยนะ

เป็นไงเป็นกัน



จอดปุ๊บ ใส่เกียร์หมาวิ่งเลยจ้า

ฝากเป้ และจดเบอร์โทรน้องต้อไว้

ถ้ารถไฟไปก่อน ยังไงน้องเค้าคงจะเป็นผู้โชคดี ได้รับผิดชอบ(สัม)ภาระอันหนักอึ้ง (เป้แดง) ของเราไว้

แต่ชีวิตฉันหลังจากนั้นค่อยว่ากันอีกทีก็ละกัน



แล้วก็กลับขึ้นมาบนรถไฟทันเวลาพอดิบพอดี

และรถไฟก็เคลื่อนออกไปตามปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

แต่.........



สื่อสารกับคนขายตั๋วแบบรีบมาก

ได้ตั๋วแบบรถด่วน Expressมา ราคา 235 บาท ซึ่ง ...

มัน.. เป็นรถนั่งแบบเดียวกับรถไฟฟรีชั้น 3 อืมม เอาไงเอากัน

ทุ่มกว่าๆก็มาถึง สถานีอยุธยา ใช้เวลาไปกว่า 13 ชั่วโมง

แยกทางกับน้องต้อไปแล้ว

จริงๆก็แอบชวนอยู่ บอกว่า แพลนเราจะไปอุบล > ลาวใต้ > เวียดนาม ((นี่แพลนออกมาเป็นรูปเป็นร่างเลยทีเดียว

แต่น้องเค้าไม่ไป สงสัยไม่กล้าไปด้วย ขนาดตั๋วยังต้องรีบโดดลงรถไฟไปจองกลางทางเลย 555555))

ต้อนอนรอ ยืนรอ นั่งรอ ที่สถานีนี้ 3 ชั่วโมง รถไฟเลทอีก 40 นาที บร๊ะเจ้า

นอนเลยแล้วกัน

เกือบๆ 5 ทุ่ม รถไฟก็มาถึง สบายล่ะ จะได้นอนยาวๆสักที

ที่ไหนได้



พอจะนึกภาพบรรกาศช่วงเดือนมกราคมออกไหมคะ

ที่ช่วงนั้นพายุเข้าเหนือ อุณหภูมิลด และหนาวมาก อีสานก็เช่นกัน

ตัดภาพมาที่บนรถไฟสายอีสานที่มุ่งหน้าสู่ปลายทางอุบลราชธานี

เป็นรถไฟแบบเบาะนั่งเหมือนรถไฟฟรีชั้น 3 เบย

ต่างกันตรงที่มีที่วางแขน



ส่วนตัว ณ ตอนนั้นคิดว่าไม่จำเป็นที่สุด ทำมาทำไม นอนไม่ได้ เอาหัวพาด ก็ปวดคอ คอเคล็ด เปลี่ยนมาเอาเท้าพาด ก็กลายเป็นเท้าข้าเจ้าไปชี้หน้าอาเจ้ที่อยู่ฝั่งที่นั่งอีกด้าน ...อยากจิเลื่อยออกมากกกก ทั้งคืนเปลี่ยนเป็นสิบกว่าท่า



โอเค คืนนี้เราจะไปอุบลกันแบบ สมถะยาจก นอนคุดคู้บนเก้าอี้ที่ปรับเอนไม่ได้ ช่วงที่นั่งแค่ 2 ตูดคน ......แถมยังมีที่วางแขนโง่ๆซึ่งเกะกะ และน่าหงุดหงิดอยู่ที่นั่งละอันอีก



ไอ่เราตื่นมาที ก็เห็นลุงที่นอนคุดคู้เหมือนกันอยู่ฝั่งเบาะตรงข้ามจ้องมาตลอดเลย

คือ อารมณ์นั้นแบบ ไม่สนใจใครแล้ว จะนอน เพราะพรุ่งนี้คนเหล็กคนนี้จะไปผาแต้มเลย



เช้า ๆ เปิดดูเฟสบุค ดูพิกัดจาก google map หน่อย ว่าถึงไหนแล้ว

พลางกินไข่ต้มที่ตั้งใจต้มมา (( ต้มรอบนึงคืนวันที่ 8 พอไม่ได้ออกทริปก็จัดการกินอีกวันหมดเลย

รอบนี้ต้มมา 4 ฟอง เนื่องจาก การเดินทางอันยาวเฟื้อยยยย ทำให้พบว่าไข่เริ่มมีกลิ่นตุๆ จะเน่ามิเน่าแหล่ะ ทานได้เพียง 1 ฟอง

นอกนั้น ใส่ถุง เตรียมเอาไปทิ้งเมื่อถึงสถานี ))



7 โมงเช้า รถไฟก็มาถึงที่หมายปลายทาง

สิ้นสุดเส้นทางรถไฟสายอีสานอย่างปลอดภัย แต่ร่างกายบอบช้ำเนื่องจากนอนไม่พอและอากาศหนาวจับจิตฝุดๆ อย่าถามถึงหน้าตา เพราะงานแพนด้าต้องมา



เจ้าหน้าที่กำลังคลีนรถไฟ เพื่อเตรียมให้ใช้บริการต่อไป

มาถึงก็เตรียมมองหาสองแถวเพื่อเข้าเมือง

หาไม่ยากเลยค่ะ เดินออกมานอกสถานีก็เจอ

ราคาหรือ ก็ถูกแสนถูก 10 บาทตลอดสาย เห็นแบกเป้งี้ ก็ยังไม่ถูกฟัน 555555 แต่เห็นแบกเป้ ต้องคิดสิ ว่าไม่มีตัง



10 บาทนี่จะนั่งไปลงขนส่งอุบลค่ะ เพื่อต่อรถไป "โขงเจียม" อีกต่อหนึ่ง

ที่สุดของเป้าหมายของการมาอุบลคือ "ผาแต้ม" นั่นเอง

เรียนมาตั้งแต่สมัยเด็ก ภาพวาดเขียนสีอายุหลายพันปี จะได้ไปดูกับตาด้วยตัวเองแล้ว



.....

เนื้อเรื่องยาวไปหรือเปล่าคะ จะได้ลดๆดีเทลลงหน่อย

กลัวพรุ่งนี้ก็จะยังไม่จบ ฮ่าๆๆๆ

ไม่นาน รถก็มาส่งถึงสถานีอุบล

จากตรงนี้ หารถตู้ไปโขงเจียมต่อเลยค่ะ

ราคา 80 บาท

ขายอะไรไม่รู้ เจอระหว่างทาง



และแล้ว ก็มาถึงโขงเจียมเกือบๆ เที่ยงวัน

รถมาจอดส่งที่สถานีเล็กๆ เหมือนศาลามากกว่า



ชิมีที่พักในใจ 2 แห่ง ชื่อ สีแบเกสเฮาส์ กับ แอปเปิ้ลเกสเฮาส์

ก็ลองโทรถามที่พักที่สีแบที่แรก ถามเสร็จก็ได้เวลาออกตระเวนหา ในใจก็คิดว่า ไปดูแอปเปิ้ลด้วยก็ดี

ก็เดินมันมั่วๆ อยู่ในโขงเจียมนั่นแหล่ะ ข้าวก็ไม่ได้กิน หาจักรยานด้วย ปรากฏว่า สุดท้ายเลือกนอนที่สีแบเพราะเผลอหลุดปากว่า "เดี๋ยวเข้าไปค่ะ"

คือเราเกรงใจมาก ถ้าได้บอกว่าเดี๋ยวเข้าไปค่ะ แล้วไม่ไป คนรอจะรู้สึกยังไง



ได้สีแบเกสเฮาส์คืนละ 200 บาท ห้องพัดลม น้ำเย็น

แถมมี 3 เตียง.......

รูปนี้ถ่ายตอนกลางคืนละค่ะ

ที่นี่ไม่มีจักรยาน ไม่มีมอไซต์ให้เช่า



บ้านของแอปเปิ้ล เกสเฮาส์ ถ้าพัก เค้าจะให้เราเช่ามอไซต์ด้วย คนนอก เค้าไม่ให้เลย

แต่งานนี้ มอไซต์ไม่ใช่ไอเท่มที่ดิชั้นคู่ควร



ต้องจักรยานเท่านั้น

ไปได้จักรยานที่เกสเฮาส์อีกแห่งหนึ่ง ไอ่ช่วงที่เดินวนๆๆ แบกเป้ หน้าหลัง ในโขงเจียมน่ะ ร้อนก็ร้อน

อยากได้จักรยานมาก เพราะ [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ทำอะไรได้หมด แต่ขับมอไซต์ไม่แข็ง 555555555555

หาข้อมูลมาแล้ว ผาแต้มไกลจากที่นี่ 20 โลเอง ....เอง

ก็จะปั่นไปไง



เก็บสัมภาระไว้ในห้อง ล้างหน้าล้างตา ซักผ้า (ทริปนี้เตรียมผงซักฟอกมาด้วย เสื้อ กางเกง น้อยชิ้นมาก

ถ้าติดตามอ่านไปเรื่อยๆ จะเห็นว่า เสื้อซ้ำๆ กางเกงซ้ำๆ แต่เค้าซักแล้วน้าาา 555555)



เปลี่ยนชุดแล้วออกเดินทางเลย


ปล. อย่าถามเรื่องอาบน้ำกับกินข้าว กินข้าวนี่ลืม ส่วนอาบน้ำนี่ตั้งใจไม่อาบ

ถ้าไม่รู้สึกโสโครกตัวเองจากทริป ก็จะอยู่ได้เรื่อยๆ 55555555



ซกมกมั้ย ไม่นะ

ความอดทนสูง เย้ยยยยยย

ได้จักรยานแล้ว ต่อรองเค้า ได้วันละ 80 บาท (ตอนแรกก็ขอเค้า 2 วัน 150 แพลนว่า อีกวันจะปั่นเที่ยวแถวนี้อีก

แต่ยังไม่แน่นอนว่าจะอยู่ต่อ หรือจะข้ามไปลาว เลยเช่าวันเดียวดีกว่า)



ปกติ 20 กม. นี่ ก็อารมณ์สบายๆ ถ้าปั่นชิลๆ

ชิยังเป็นนักปั่นมือสมัครเล่นอยู่ แต่ก็พอปั่นได้นะ 20 โล (ทางเรียบ)



แต่มาปั่นที่นี่ ทำไม มันหอบจังวะ

นี่พึ่งจะ เริ่มกิโลแรกเหรอเนี่ย

เริ่มปั่นบ่ายโมงกว่าๆ ค่ะ



ปั่นไปเรื่อยๆ ไม่สนใจใคร ร้อนก็ร้อน ตอนกลางวันร้อนมากกกก

ช่างแตกต่างจากตอนกลางคืนมาก

เมื่อคืนนี่ ต้องตื่นมาใส่ลองจอนอะ ถึงจะได้นอน

แว้กกกกก นี่พึ่งจะผ่านมาแค่ 6 โล กรีดร้องง



ใกล้แระ อีก 5 โลก็ถึง อดทนๆ (พูดในใจ)

ว่าแต่ สองข้างทาง ไม่คิดจะมีร้านขายเครื่องดื่ม หรือ ขนมอะไรเลยหรือ

ลืมว่า ไม่ได้กินข้าวกลางวันด้วย =_=

เพราะได้จักรยานปุ๊บก็ออกมาเลย กลัวจะถึงเย็น แถมต้องปั่นกลับมาอีก

สู้ ๆ

ถึงแระ

สภาพนี้ อยากถอดทุกสิ่ง เป้หนึ่งใบกับคอสตูมไอ้โม่ง



กลัวฝ้าขึ้นมากมาย แต่กลัวไม่ได้เห็นภาพเขียนสีมากกว่า



ไอ้ที่เข้าใจว่าถึงแล้วเนี่ย มันยังไม่ถึงเลย หลอกให้ดีใจอะ

มาเห็น ประติมากรรมธรรมชาติ เสาเฉลียงนี่ก่อน เอาจริงๆ เกือบปั่นเลย



เสาเฉลียงเกิดขึ้นได้และมีรูปทรงแบบนี้ เกิดจากการสันนิฐานว่าโดนน้ำกัดเซาะหลายร้อยล้านปีค่ะ

จากเสาเฉลียงไป ไอ้เราก็ว่า คงใกล้ผาแต้มแล้ว แต่

"อีกไกลแค่ไหน จนกว่าฉันจะใกล้ .... ผาแต้ม"

วันนั้นร้องแบบนี้เลย

รถขับผ่านเราไปคันแล้วคันเล่า

เราปั่นย้อกแย้กๆ ก็ยังไม่ถึงสักที ..

2 ชั่วโมง 20 โล สำหรับ โขงเจียมถึงผาแต้ม



เกือบๆ 4 โมงแล้ว

นี่จะมีเวลาให้ทันได้ดูกี่นาทีเองเนี่ย ถ้าขากลับต้องปั่นกลับอีก 2 ชั่วโมง

บอกตรง

หมดแรง



อาจจะต้องใช้วิธีติดรถนักท่องเที่ยวเข้าโขงเจียม

แต่คราวนี้ คงยุ่งยากหน่อย เพราะมีจักรยานมาด้วยย แง้



ปะ ไปชมภาพเขียนสีที่อยากมาเห็นนักหนากัน

ดูทางแล้ว น่าจะใช้เวลาเยอะจริงๆกับที่นี่

ในใจก็นึกว่า นี่นั่งรถมาตั้ง 22 ชั่วโมง จากลำพูนถึง โขงเจียม มาดูภาพเขียนสีที่ผาแต้มแค่ ชั่วโมงเดียวเองเหรอวะ

เดินไปด้วยบ่นอุบอิบไปด้วย

ไหนๆ มาถึงที่นี่แล้ว

นั่งรถไฟอดหลับ อดอาบน้ำมา 22 ชั่วโมง

ก็ขอรูปตัวเองกับที่นี่บ้าง เที่ยวคนเดียวบางทีก็ลำบากมั่ง

ขอออกตัวอีกรอบว่า ปกติถ่ายรูปไม่ค่อยสวยนะคะ เลือกอยู่ รูปสวยๆอะ ถ่ายซะ 10 มักจะดีซะ 1

นั่นไง รูปแรกของการตั้งกล้อง

เอาใหม่

เบลออิก ..



แม่มถ่ายเงาตัวเองละกัน งั้น

เราเรียกมันว่าต้นไม้สะพานโค้ง

รูปนี้ได้อยู่นะ แต่เดินยังไม่ถึงภาพเขียนสีที่ชัดมากๆ เลย เล่นไปซะเยอะ

แถมนักท่องเที่ยวก็ไม่เห็นมีเลย คงได้ปั่นกลับมืดชัวร์ๆ

ซึ่งตอนนี้ก็เริ่มเย็นแล้ว

นั่นไง โชคเข้าข้างแล้ว

นักท่องเที่ยวมากระจุกกันอยู่จุดนี้นี่เอง

เห็นพี่ผู้หญิงกับเด็กเสื้อแดงนั่นแล้ว เดี๋ยวจะเข้าไปถามเลย ว่าขอติดรถเข้าโขงเจียมได้ไหม



พอเดินไปถึง เราก็ตะโกนทักทาย คนกลุ่มนั้นทั้งหมด

"สวัสดีค่าาาาาา" พี่ผู้หญิงกับเด็กเสื้อแดงเดินจากไป

เหลือไว้ซึ่ง ชายหนุ่มที่เหลือ 4 คน



ผช คนหนึ่งทักกลับมา "สวัสดีครับบบ เอ๊ะ คนนี้ ปั่นจักรยานมาใช่ไหม จำกางเกงได้ "



เข้าทางเลย

ชิตอบสวนไปว่า

"ใช่ค่ะ เนี่ย ปั่นมาเหนื่อยมว้ากกกกกก กำลังคิดว่าเย็นแล้วปั่นกลับคงจะมืดแน่ๆ

คิดว่าถ้าเกิดเจอนักท่องเที่ยวที่ขับกระบะมา

ก็คงจะขอติดรถกลับเข้าโขงเจียมน่ะค่ะ"



ในใจยังคิดอยู่ เอาเก๋งมานี่ ชีวิตฉันมลายแน่ๆ ปั่นน่องโตกลับที่พักหมดแรง กลัวจะไม่ถึงที่พักสิ



พี่เค้าตอบสวนมาทันที

"พวกพี่เอารถกระบะมา กลับเข้าเมืองด้วยกันก็ได้"



YES

เที่ยวสบายใจแล้วเรา

เจอแล้ว ภาพเขียนสีก่อนประวัติศาสตร์ อายุกว่า 4 พันปี

แต่ถ้าที่เห็นชัดมากๆ อายุพอๆ กันต้องไปดูที่เขาปลาร้า อุทัยธานี

ซึ่งตอนนั้นชิก็ไปคนเดียว เจ้าหน้าที่เค้าไม่อนุญาตให้ขึ้น

จุดอื่นๆ ก็มีให้ชม แต่จะไม่ชัดเท่าจุดนี้ค่ะ

อยากเข้าเฟรมด้วยก็ไม่บอก

จากนั้นก็วานพี่ๆ เค้าช่วยถ่ายรูปให้ด้วย รัวๆๆๆๆ

กลับเข้าโขงเจียม พวกรุ่นพี่ที่เจอกันเมื่อสักครู่เค้าบอกว่าจะไปทานข้าวกัน

แล้วก็คงชวนไปด้วยตามมารยาทแหล่ะ ไอ่เราก็บอกว่าไม่เป็นไรๆ สุดท้ายก็ไป 555555555555555



ตอนที่มาถึงที่นี่ตอนแรก เราก็นึกอยู่ว่า สมญานามเมืองนี้มัน "โขงสีปูน มูลสีคราม" นี่หว่า

เห้ยมันติดโขงนี่ อยากทานอะไรอร่อยๆ ริมโขงจัง แต่มาคนเดียว จบจ้า ถ้าจะสั่งมาทาน คงจะกินแบบไม่มีความสุขอะ

เหลือบานตะไท เลยเลิกคิดไป อีกอย่าง มันไม่ใช่ฟีลที่จะมานั่งกินลมชมวิวแบบ Family trip ไรพวกนี้ ฮ่า ๆ



แต่แล้วก็ได้มาทานข้าวริมน้ำโขง บรรยากาศดีมากกกก โชคดีจัง



โชคดีอีกต่อ เมื่อพี่เค้าชวนไปถ่ายรูปพระอาทิตย์ขึ้นที่ผาแต้ม พรุ่งนี้

เห้ย... กลัวอยู่

แต่ก็ไป 5555555555



เอารูปพระอาทิตย์ขึ้นที่ผาแต้มมาฝากค่ะ

ตื่นแต่ยังไม่สว่าง งัวเงียมาก เพราะเมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับ คิดนั่นคิดนี่

เค้าจะเอาเราไปขายปะวะ ฝั่งลาวอะ แบบขุนเรา(ด้วยมื้อเย็น) ให้ตายใจก่อน แล้วจับขึ้นรถไปเลย



แต่ก็ได้รูปพระอาทิตย์ขึ้นนี่ไง 555555

วันนั้นได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นก่อนใครในประเทศไทยแล้วด้วย เย้

อากาศตอนเช้าๆ หนาวมากค่ะ

ใส่เสื้อไป 3 ชั้นแน่ะ ลองจอน เสื้อกันลม แล้วก็เสื้อกันหนาวอีกชั้น ส่วนกางเกง ก็มีลองจอนอยู่ข้างในแล้วก็ยีนส์

เป็นคนเหนือที่ขี้หนาวมว้ากกกก

แล้วก็เดินไปเก็บภาพที่เมื่อวานรีบเที่ยวไปหน่อย

จากเมื่อวาน ยังคิดอยู่ว่า อยากได้รูปตัวเองสวยๆ กับผาแต้ม วันนี้จัดเลย

นี่กำลังแบ็คแพ็คคนเดียวอยู่รึเปล่า 55555

รูปตัวเองเยอะจุง

จาก ผาแต้ม พวกเราเดินทางต่อไปยัง "สามพันโบก"

ปลายทางที่ไม่เคยมีอยู่ในหัวมาก่อน เพราะมันไกลมากกกกกกกกก รถประจำทางไปไม่ถึง

จะปั่นจักรยาน(คันนั้น)ไป มีแต่ตายลูกเดียว



โชคดีที่ได้ไปอีกแล้ว

มองไกลๆ เหมือนตุ่มหิน ที่ดูไม่มีอะไร

แต่พอเดินลงไปดูใกล้ๆ

ผ่านเนินทรายไป

มันคือ Grand Canyon เมืองไทยดีดีนี่เอง

ตอนนี้น้ำยังไม่ลดมากค่ะ ยังพอมีน้ำอยู่

ช่วงมีนา - เมษานี่ คงแทบไม่มีน้ำ

ถ้ายังหายใจ อยากให้ไปดู

ชอบที่นี่อะ มันลึกลับ ดูมีอะไร น่าค้นหา

ถ่ายเล่นกันไปเรื่อย ไม่ซีเรียส .. ไม่คิดว่าจะได้มา ก็ยังอุตส่าห์ได้มา



สามพันโบก ขับรถไปจากผาแต้ม 60 โล (ไปกลับ 120 กว่าโล)



กระทู้เริ่มไม่ค่อยจะมีสาระแล้ว

แบ่งปันความสุขผ่านภาพถ่ายเอาแล้วกัน อิอิ



หลังจากกลับจากสามพันโบก ชิต้องตัดสินใจแล้วว่าจะเข้าลาวต่อไหม

ถ้าจะเข้าลาว ก็สามารถติดรถพวกพี่เค้าเข้าเมืองไปขึ้นรถที่ขนส่งอุบล

ตัวเลือกที่สอง พวกพี่เค้าจะกลับนราธิวาส สามารถติดรถไปจังหวัดไหนก็ได้ในอีสานก่อนที่รถจะเข้าอยุธยา

ตัวเลือกที่สาม พวกพี่เค้าชวนไปเที่ยว 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้



อ้อ ลืมบอกไปว่า พวกพี่เค้าเป็นคนใต้ ที่ใจดีมากๆ โปรไฟล์เรื่องการงาน อาชีพ ขอปิดเป็นความลับนะคะ

หน้าตาก็เหมือนกัน เปิดเผยไม่ได้ด้วย เดี๋ยวเค้าจะงานงอก



.......

ไม่เคยคิด ว่าจะมี ช้อยส์ที่ 2-3 มาก่อน

แต่คำตอบนั้นมีอยู่ในใจแล้ว

เบนเข็มทิศลงใต้โลด

เก็บของในห้องพักพร้อมกับเช็คเอาท์

เดี๋ยวพาดิ่งจากอีสานลงใต้ให้หัวทิ่มเลย

ถ้าถามว่าทำไมถึงเลือกที่จะไปเที่ยว 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ แทนความตั้งใจที่ว่าจะเข้าลาว

ตอบเลยว่า เป็นที่ที่ถ้าจะไปเที่ยวคนเดียวนี่ มันคงลำบาก(ใจ) ที่หนึ่ง กับเรื่องระเบิด ความปลอดภัย และเรื่องก่อการร้ายต่างๆนาๆ

ส่วนจังหวัดอื่นๆ หรือจะเข้าลาว ไปเวียดนามต่อ ... มันไปง่าย

ไปคนเดียว ไปเมื่อไหร่ก็ได้



ใน 3 จังหวัดนี้ เรื่องราวที่สื่อต่างๆได้นำเสนอส่วนใหญ่ มีแต่แง่ลบติดหู เราอยากไปเห็นอีกมุมหนึ่งบ้าง เค้าใช้ชีวิตกันยังไง

มันต้องมีสถานที่ท่องเที่ยวสวยๆ ซ่อนอยู่แน่ hidden places น่ะ

ที่คนนอกพื้นที่เดี๋ยวนี้ไม่คิดแม้จะกล้าไปเหยียบ แถมป่าทางใต้ก็ยังคงสมบูรณ์อยู่มากๆ

คิดแค่ว่า พอไปถึง จะยืมจักรยานพวกพี่เค้าปั่นเที่ยวเล่น ไปทะเลมั่ง ดูบ้านคนแถวนั้นแถวนี้มั่ง

คนท้องถื่นต้องรู้อยู่แล้ว ตรงไหนปลอดภัย ตรงไหนไม่ปลอดภัย อาหารอร่อยๆ คนท้องถื่นกินอะไรกัน



อ่อ เราติดตามเค้าไป ด้วยความที่ชั่งใจแล้วว่า ทุกอย่างอยู่บนความเสี่ยง และไม่ได้ปลอดภัย 100%

คำตอบนี้ชิยังจำได้ ที่ถามพวกพี่เค้าไปว่า '"ปลอดภัยไหม"" เค้าตอบกลับมาว่า "ไม่มีใครรับประกันชีวิตใครได้"



นั่นหล่ะ Life is an Adventure, take risks !!

ชีวิตคือการผจญภัย สำหรับตัวชินะ และคิดว่ามันน่าสนุก แม้มันจะเสี่ยง แต่ด้วยความรู้สึกที่ว่า

เราต้องปลอดภัยแน่ๆ ก็เลยไป .. ไม่ใช่ปลอดภัยเพราะพี่เขาหรอก เรารู้ว่าเราจะไม่เป็นไร ถึงได้ไป

(เซ้นส์ตัวเอง ...ตาหลอดดดดดดดดดดดดด )



ป่ะ

ออกเดินทาง อีก 1,800 โล

หันหางเสือเรือ ลงทางใต้ เราจะไป "นราธิวาส" กัน

เพื่อให้ได้อรรถรสในการรับชม 5555555

ได้ฟังตอนนั่งรถลงใต้เนี่ยแหล่ะ



แล้วเราก็ออกเดินทางจากอุบล มุ่งหน้าสู่นราธิวาส ด้วยความเร็วสูง

แต่เร็วแค่ไหนก็ยังไปไม่ถึง ถึงประจวบตี 2 ขับไม่ไหวกันแล้วจึงหาที่พักข้างทาง ค้างที่นั่นคืนหนึ่ง



อ่อ เรื่องนี้ไม่มีเบื้องหน้าเบื้องหลังอะไรเลยนะคะ

พวกพี่เค้าเป็นคนดีมากๆ ชิแค่รู้สึกถูกชะตากับทุกคน เหมือนสนิทกันมาตั้งชาตินึงก็ไม่ปาน แต่ไม่ได้คิดอะไรกับเค้านะ -_- ไม่เดาไปเรื่อยกันนะ



มื้อแรกเมื่อลงมาถึงใต้ทริปนี้

อาหารจานแรกรสชาติยังตราตรึงใจ แต่ชื่ออาหารจำไม่ได้ละ มีหมูหวานอันนึง

นี่คือ สัญญาณเตือนอย่างหนึ่งว่า

ต่อไปเราต้องระมัดระวังอาหารใต้ซะแล้วหล่ะ หน้าตาดูจืดๆธรรมดา แต่รสชาติรุนแรงมากกก

แต่ก็ชอบนะ อร่อยดี



จังหวัดที่พวกเราไปแวะก่อนถึงนราคือชุมพร เพื่อทานอาหารกลางวันกัน

เอาจริงๆ ไม่ได้ตั้งใจแวะหรอก พวกพี่เค้าแวะมาเที่ยวหาคนรู้จัก คนรู้จักก็พาไปทานข้าวอีกแน่ะ

รู้ไหม คนติดตามมาอย่างเรานี่รู้สึกเกรงจายยจุงเบยยยย

มาปากน้ำหลังสวนชุมพรแล้ว ต้องไปศาลกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ และเรือจักรีนฤเบศร์จำลอง

ลงรถปุ๊บ เห็นเจ้านี่ตั้งเด่เป็นสง่าเลย มันคือที่จุดประทัด

คนส่วนใหญ่มักจะมาบนบานและแก้บนโดยการจุดประทัดและยิงปืน

ฟ้ามืดเหมือนฝนจะตกเลย

จำกันได้ไหมคะ

ทุกภาคของประเทศไทย ฉลองวันขึ้นปีใหม่กันอย่างสนุกสนานมีความสุข แต่ภาคใต้บางจังหวัดบางกลับโดนน้ำท่วม

พายุเข้า ช่วงนี้อากาศก็เริ่มดีขึ้นแล้ว แต่ก็ยังเย็นๆอยู่เลยค่ะ

ช่วงที่เดินทางผ่านหาดใหญ่ เข้าปัตตานี จะเป็นเส้นทางที่อันตราย พี่เค้าบอกให้ระวังตัวไว้

ไอ่เรานั้น ง่วงก็ง่วง จะระวังยังไงหล่ะ เกิดมันวางกับระเบิดไว้ หรือยิงเข้ามา มันก็ตายหมด .. ใครตาย

ฉันกับพี่เนี่ยแหล่ะ มันจะไปหลีกหนีโชคชะตาได้ยังไง



ว่าแล้ว ความง่วงก็บังเกิด หลับค่ะ



ตลอดถนนทุกช่วงจะมี ทหารตั้งต่าน เป็นจุดๆ ทุกระยะๆไป

คาดว่าใกล้ถึงนราธิวาสแล้ว จู่ๆ ชิก็ได้ยินเสียงพี่เค้าปลุก

"ชิๆ ตื่นๆ "

คือยังงัวๆ อยู่ เห็นพี่เค้า ชักปืนออกมากันทั้งคู่ เราก็ เห้ยยยยย !!!

เกิดไรขึ้นน่ะ



เค้าบอกเงียบๆ ระวังตัวๆ

ความรู้สึกตอนนั้น คือ ไม่มีความกลัวนะ แต่ งง มาก ห้าทุ่มกว่าละมั้ง บนถนน มีแต่รถเราคันเดียว

ไม่เห็นมีสิ่งมีชีวิตอะไรอีกเลย



พอผ่านจุดนั้นไปได้สักพัก

เค้าก็ถามว่า มะกี๊ไม่รู้เหรอ เกิดอะไรขึ้น

เราก็บอกว่าไม่รู้ หลับอยู่ค่ะ



เค้าบอกว่า มีคนขับรถมอไซต์ซ้อนกันมา 2 คน แล้วเหมือนเค้ากำลังล้วงกระเป๋า (คล้ายกับชักปืน พี่เค้าว่า)

ไอ่เราก็...เอิบ นี่จะยิงกันง่ายแบบนี้เลยใช่ป่าว



แต่ก็นะ กลิ่นอายของการใช้ชีวิตอยู่บนพื้นฐานแห่งความไม่ปลอดภัยมันเริ่มคลุ้งแล้วหล่ะ

เราก็ควรจะระวังตัวไว้ ตั้งแต่วันนี้ไปในช่วงเวลาที่อยู่ที่นี่





เดี่ยวเย็นๆ จะมาต่อนะคะ

ขอโต๊ดดดดด ถ้าทำให้ค้างเติ่ง ขอไปทำธุระก่อน ^^

มาแล้วๆ ขอโทษที่ขาดตอนค่ะ





มาถึงนราธิวาสตอนเที่ยงคืนกว่าด้วยความสะบักสะบอม จากการนั่งรถเกือบๆ 2,000 กิโล



พี่เค้าอนุญาตให้ชิพักที่บ้านพักเค้าได้ฟรี

ที่ในห้องไม่มีอะไรเลย นอกจากเตียงนอน และแอร์ 5555555555 พร้อมกับ ถุงนอน 1 อัน

โชคยังดีที่มีที่ซุกหัวนอน



จริงๆก็กะจะไปพักโรงแรมข้างนอก แต่เค้าสะดวกจะให้ยืมห้องว่างใช้ ก็จัดไป

((งานเกรงใจเริ่มลดลง แอร้ยยยย ล้อเล่น จริงๆก็เกรงใจมาก ทำตัวลีบๆตลอด))



เช้ามาค่อยคิดโปรแกรมเที่ยว ส่วนคืนนี้สลบสไลเลยทีเดียว






เช้ามา ประเดิมอาหารมื้อแรกในนราธิวาสด้วย

" ข้าวยำ "

ตอนที่พวกพี่เค้าพูดถึงข้าวยำตอนอยู่ในรถ เราก็มโนออกแต่ "ข้าวยำไก่แซ่บ" ของลุงเคน

ที่ไหนได้ หน้าตามันเป็นแบบนี้นี่เอง

สาบานได้เลย เป็นครั้งแรกที่รู้จัก และได้พบเจอ



ข้าวเปล่าสีอัญชัญมีเครื่องเคียงเป็นถั่วดิบหั่น ถั่วงอก มะม่วงดิบ ปลาทะเลป่น หอมแดงซอย ใส่พริกนิดหน่อย

ตอนจะกินก็ราดน้ำบูดูต้ม



เค้าทานเหมือนข้าวคลุกกะปิมั๊ย..น่ะเหรอ !!??

ไม่นะ เค้าทานแบบนี้

ร่วนซุยทีเดียวเชียว



แต่อร่อยมากๆ คือ ถูกปาก ไม่เผ็ดมาก เพราะเขี่ยพริกออก

ถ้าจำไม่ผิด ห่อละ 15 บาทมั้งนะ ถ้ามีไข่ต้มเพิ่มอีก 5 บาท

พี่คนข้างบ้านซื้อมา ... เอิ่ม ได้อานิสงค์ด้วยเลยเนี่ย

อ่อ น่าจะมีคนสงสัยเกี่ยวกับว่า ผู้ปกครองล่ะ ทราบไหมว่ามาถึงนราธิวาส เมืองอันตรายอย่างนี้

พ่อชิก็พึ่งจะทราบว่าอยู่ไหนตอนที่ check-in ที่จังหวัด นราธิวาสเนี่ยแหล่ะ 555555



ตอนออกบ้าน บอกจะไปศรีสะเกษ แต่พอถึงอุบล เค้าก็เห็นแล้วแหล่ะว่าเราเช็คอินที่ อุบล

โผล่มาอีกที ที่นราธิวาส ก็คงตกใจไปตามๆกัน ก็มีโทรมาบ้าง ว่าอยู่ไหนแล้ว อะไรงี้



พวกพี่พี่ที่ชวนมาเค้าสงสัยกันว่า ชิหนีออกจากบ้านมา 555555555555 ตลกดี เราก็บอกไม่ได้หนี เรามาเที่ยว

แค่ไม่มีจุดหมายปลายทางแน่นอนเท่านั้นเอง อิอิ



โปรแกรมเที่ยววันนี้ พวกพี่เค้าจัดให้

เราเคยพูดเปรยๆว่า อยากกินอาหารชนิดหนึ่ง

ชื่อ "บ ะ กุ๊ ด เ ต๋" เคยได้ยินเพื่อนเล่าให้ฟังว่า มันมีอาหารชนิดนึงชื่อบะกุ๊ดเต๋ เคยมากินทางใต้นี่แหล่ะ

ชิจำได้อย่างดีเลย ว่าถ้ามาใต้ ต้องมากินให้ได้ อาหารไรวะ ชื่อ บะกุ๊ดเต๋ ชื่อเหมือน บะก๊วยเต้ด (มะละกอ) แถวบ้านเลย



พี่เค้าก็จัดไปเลยจ้าา วิ่งรถ 70 โล ไปกินบะกุ๊ดเต๋เจ้าต้นตำหรับกันที่สุไหง-โกลก เลยทีเดียว

ภาพบรรยากาศระหว่างทางไป

อันนี้เป็นในตัวเมืองนรานะคะ



คนท้องถิ่นที่นี่ จะมีทั้งชาวพุทธและอิสลาม อาศัยอยู่ร่วมกันโดยใช้ชีวิตประจำวันในการอยู่ร่วมกันเป็นปกติมาช้านาน

แต่คนส่วนใหญ่ที่นี่จะเป็นชาวอิสลามเสียมากกว่า แถมบางคนยังพูดภาษามลายูอีก

เด็กน้อยบางคน เราทักเป็นภาษาไทยไป ตอบกลับมาเป็นมลายู คือเงิบเลย



ชิแปลกใจมาก ทำไมคนที่นี่ขับรถซ้อน 3 กันได้เป็นว่าเล่น คือ คนไซต์ใหญ่ .. แล้วซ้อนกัน 3-4 คน

เห็น พ่อแม่ ลูก2 ซ้อนกันก็มี กลัวอันตรายน่ะ ตำรวจไม่จับหรอ



ได้คำตอบมาว่า .. ตำรวจไม่ว่างมาจับหรอก

ต้องไปจับคนร้าย ลาดตระเวนไรงี้ แถมประชากรตำรวจยังแทบไม่พอเลย



... อืมม งั้นก็ขับระวังๆ ด้วยจ่ะ



เห็นปลาที่ตากๆ อยู่นั่นไหมคะ

"ปลากุเลาตากใบ'" ค่ะ

ปลากุเลา ของ อำเภอตากใบ OTOP ขึ้นชื่อของนราธิวาส ทอดที หอมไป 3 บ้าน 8 บ้าน

สนนราคาอยู่ที่กิโลกรัมละไม่ต่ำกว่า 1,000+ ของดีปะหล่ะ



ฟิ้ววว แป้บเดียวถึง สุไหง-โกลก ละ

ว้าฟมาถึงร้าน อ้วน.บะกุ๊ดเต๋



บะกุ๊ดเต๋เจ้าต้นตำหรับแห่งสุไหง-โกลก

เพราะคำจำกัดความที่ว่า เจ้าต้นตำหรับ เนี่ยแหล่ะ ถึงได้เลื่องชื่อลือชายิ่งนัก

แต่ของเค้าก็อร่อยจริงนะ นี่ขนาดกินข้าวยำกันอิ่มๆ ยังซัดโฮกกันแทบหมดหม้อ คงไว้ซึ่งน้ำซุปหมูตุ๋นกระดูกอ่อนจางๆ



วิถีไทยค่ะ กินข้าว งานถ่ายก็ต้องมา

แต่ไม่ค่อยได้บ้าอัพลงเฟสเยอะนะคะ รูปมักจะอยู่กล้องใหญ่เสียส่วนใหญ่

เอาเป็นว่า ชอบเก็บภาพบรรยากาศ จะได้ดูดีขึ้นมาหน่อย แหะๆ

น้ำต้มซุปกระดูกอ่อนรสกลมกล่อมใส่ยาจีน ผัก ซี่โครงหมู เห็ดต่างๆ ทานกับข้าวสวยร้อนๆ

หรือบางท่านจะเหยาะจิ๊กโฉ่วบนข้าวแล้วทานคู่กันก็อร่อยไปอีกแบบ ที่แน่ๆ มื้อนั้นจุกเลยค่ะ

สนนราคาอยู่ที่

1 ท่าน ราคา 100 บาท

2 ท่าน ราคา 200 บาท

3 ท่าน ราคา 300 บาท จนถึง 6 ท่าน ราคา 600 บาท

หรือใครจะจัดชุดใหญ่ ก็1,000 นึงค่ะ

แว่วๆ ว่า อ้วน.บะกุ๊ดเต๋ มีสาขาอยู่ที่ประชานิเวศน์ 1 เปิดมานาน 10 กว่าปีแล้ว ไปลองชิมกันได้ค่ะ

โชคดีของคนกรุงเค้าหล่ะ รสชาติเป็นไงมั่ง บอกกันได้น้า



ไหนๆ ก็มาถึงสุไหง-โกลกแล้ว

ก็ไปด่านสุไหง-โกลก ด้วยเลยแล้วกัน

.... ไปทำไม ไปทำอะไร ... ไปถ่ายรูปสิ จะรออะไร พวกพี่เค้าจะไปส่ง ก็ไปสิ



ด่านที่นี่ จะเห็นรถมาเลย๋ เข้า-ออก เยอะมาก



อ้อ ใครอยากกินบะกุ๊ดเต๋เจ้าต้นตำหรับที่สุไหง-โกลก

นั่งรถไฟมาสิ รถไฟมีมาถึงนะ ที่นี่อะ ((ยังไม่จบ กับบะกุ๊ดเต๋))



พอทานเสร็จ ขากลับนราธิวาส ก็ได้มีโอกาสแวะวัดแห่งหนึ่ง ประวัติและสถาปัตยกรรมน่าสนใจเลยทีเดียวค่ะ

ชื่อ "วัดชลธาราสิงเห" หรือ "วัดพิทักษ์แผ่นดินไทย"

สิ่งแรกที่สะดุดตามากที่สุดเมื่อมาถึงที่นี่ คือ ศาลาธรรม เก่าแก่หลังนี้แหล่ะ มีอายุกว่า 100 ปี เป็นงานผสมผสานระหว่างศิลปะปักษ์ใต้และจีนค่ะ ยังสวยอยู่เลยแม้เวลาจะผ่านไปนานมาก



เหตุผลที่ได้รับสมญานามว่า "วัดพิทักษ์แผ่นดินไทย"

ก็เพราะเป็นสถานที่ที่รัฐบาลใช้เป็นเหตุผลอ้างอิงในการปักเขตแดนในปี พ.ศ. 2441 ซึ่งผลก็คือ เราไม่ต้องเสียดินแดนตากใบ(รัฐกลันตันเก่า)ให้กับมาเลเซียนั่นเองค่ะ



ที่วัดมีพิพิธภัณฑ์แสดงประวัติความเป็นมา และโชว์ของเก่าแก่ด้วย

เดินผ่านตอนแรก ยังนึกว่า ถ้วยกาไก่ ของดีจังหวัดลำปาง

ที่ไหนได้ เค้าบอกว่า มันมาจากเมืองจีนนนนนนนนน

อ้าว ซะงั้น นี่นิสัยก้อปงานชาวบ้าน เป็นมาตั้ง 100 กว่าปีแล้วรึ 5555555 ล้อเล่นค่ะ ๆๆๆ

มองดีๆ กำแพงด้านหลังพระนอนถูกประดับประดาไปด้วย ถ้วยชาม ดูสวยงามไปอีกแบบ

เอะ ธีมคล้ายกับ วัดพระธาตุผาซ่อนแก้วเลย

กลับมาถึงบ้านพักที่นราธิวาส แพลนต่อไปงอกมาแล้ว

รีบจัดการเก็บสัมภาระใส่เป้เล็ก ทิ้งเป้ใหญ่และของที่เหลือไว้ที่นี่

ป่ะ เราจะไปเบตง กัน



ชิจะเที่ยววนแบบนี้

จาก A>D แล้วกลับมา A ที่นราธิวาสค่ะ

ใครไม่รู้ว่าเบตงอยู่ที่ไหน ดูในรูปได้เลยจ้า มันอยู่ที่สุดติ่งกระดิ่งแมวประเทศไทยเรานี่เอง

ใต้ฝุดๆ

ในระหว่างที่เที่ยวไปเรื่อยๆแบบนี้ ก็มีติดต่อกับทางบ้านตลอดค่ะ

เหตุการณ์ที่บ้านก็ปกติสุขดี เราก็เที่ยวสุขใจ เว้นแต่ ช่วงนั้นพ่อบอกว่า อาม่าเข้าโรงพยาบาล แต่ไม่น่าเป็นอะไรมาก เราก็ค่อวางใจหน่อย



แม่ก็คอยถามให้ถ่ายป้ายทะเบียนรถพี่เค้า ส่งให้ทางไลน์ บอกว่า เผื่อไว้

นี่ถ้าเค้าหั่นเราทำลูกชิ้น ส่งขายที่มาเลย์ไป ป้ายทะเบียนพวกนี้จะช่วยทันไหมเนี่ย



เส้นทางไปเบตง จากนราธิวาสไปเบตง ประมาณ 200 โลค่ะ

จะเป็นภูเขาดูอุดมสมบูรณ์เหมือนทางเหนือเลย



แวะพักรถข้างทาง เมื่อตอนเลยเขื่อนบางลางมาแล้ว จากนี้อีกสัก 60 โล ก็ใกล้ถึงแล้วหล่ะ

ผ่านหมู่บ้านซาไกด้วย

มีอยู่ที่นี่หรือเนี่ย พึ่งเอะใจ

สักสามสิบกิโลให้หลัง จากไหนถึงไหนไม่รู้แล้ว

รู้อีกทีโดนปลุกให้ไปถ่ายรูปกับป้าย พี่เค้าก็ใจดีจริงๆอะ สงสัยจะสงสารเรา

เห็นชิเที่ยวคนเดียว คงอยากให้มีรูปตัวเองเยอะๆ แบบว่าต้องถ่ายกับป้าย กับสถานที่ด้วยนะ

เค้าบอกว่า เวลากลับมาดูรูปตัวเองทีหลัง จะได้รู้ว่าเออ อย่างน้อยเราก็เคยมา มันเป็นความทรงจำที่ดีนะ

ไอ่เราก็ โอเค้ no พรอมแพรม อิอิ



OK BETONG หรอ

เดี่ยวพรุ่งนี้รู้กัน ....ว่า

BETONG ยังคง OK อยู่ไหม

มาถึงเบตง เบตงในความคิดฉัน จากเคยมโนไว้ ว่าคงจะเป็นเมืองเงียบๆเล็กๆสุขสงบ แม้ สองทุ่มก็คงไม่มีรถวิ่ง

พอมาถึงตอนดึกก็พบว่า

เอิบบบ รถนั่งท่องเที่ยวชาวมาเลเพรียบบบบบ ที่นี่ได้กลายเป็นสวรรค์ของชาวมาเลย์ที่ข้ามมาเพื่อซื้อบริการหญิงที่ฝั่งไทยในยามค่ำคืนไปเสียแล้ว

ผับ บาร์ เยอะมากมายจริงๆ

ช่วง ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ แทบทุกโรงแรมจะขึ้นราคาค่าห้องเพื่อทำกำไรกับนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้



พวกเราได้ที่พัก เก็บสัมภาระแล้วก็ออกตระเวนย่ำราตรีกันล่ะ

มื้อดึก ขอฝากท้องไว้ร้านนี้ละกันนะคะ เดินมั่วๆเข้าตรอกซอกซอยมา

จะมาชิมของขึ้นชื่ออย่างแรกของเมืองเบตง

นั่นก็คือ "ผัดหมี่เบตง" นั่นเอง



อร่อยใช้ได้เลยค่ะ ไม่ต้องปรุง

แต่บังเอิญติดหวาน ขอน้ำตาลรัวๆด้วยค่ะ

2 คืนแล้ว ยังไม่ครึ่งทางเลย แง้ววว ไม่ทราบว่าจะมีใครอ่านตามมาถึงเม้นนี้มั่ง หุหุ

ที่เที่ยว 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ยังมีอีกเพรียบเลยนะ

พรุ่งนี้จะขออนุญาตมาต่อนะคะ พรุ่งนี้ว่างทั้งวัน ถ้าไม่นับช่วงไปออกกำลังกาย



อิ่มได้ที่ จัดโรตีอีก 1 แล้วก็กลับโรงแรมนอน

ดึกแล้ว คนก็เริ่มน้อยลง เมืองเริ่มกลับเข้าสู่ความเงียบอีกครั้ง

พ่อค้าแม่ขายก็กำลังเก็บแผง



..............................

ตื่นเช้ามาดูวิวทีกระจกในห้อง เห้ย หมอก เต็ม เบยยยยย

ทางใต้มีหมอกด้วยยย ตอนเช้าๆ หมอกหนามากๆๆๆๆๆ



รีบอาบน้ำแต่งตัว เก็บสัมภาระเช็คเอาท์

เช้าๆอากาศเย็นสบายๆ แบบนี้ ต้องติ่มซำร้อนๆ ของที่นี่เค้าหล่ะ

ติ่มซำเช้าของเมืองเบตง ต้องร้าน "ติ่มซำ ไท ซี ฮี้"


คนแน่นมากกกก

ของให้เลือกทานก็เยอะ

เลือกๆ เสร็จก็ไปนั่งรอเลย เค้าจำได้เน๊าะว่าเราสั่งไรไปมั่ง ไม่ผิดโต๊ะด้วย

ลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นจีนมาเลย์ คนแน่นมากกกก กว่าจะได้โต๊ะว่าง ต้องรอนิดนึงกันทีเดียว



ร้านอยู่ตรง 4 แยก ใกล้ๆกับอุโมงค์เบตงเลยค่ะ

ข้างๆ จะเป็นร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งไอ่เรามารู้ทีหลังว่า เพื่อนสนิทที่เรียนด้วยกันเนี่ย เค้าแต่งงานกับคนเบตง

แล้วกำลังจะมาเป็นซ้อร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้าร้านนี้ หลังจากชิกลับจากทริปนี้ มันก็ย้ายสัมมะโนครัวไปอยู่เบตงเลย

เอาเป็นว่า ต้องได้ไปเบตงอีกรอบแน่ๆ ฮี่ๆๆๆ



จากสี่แยกร้านไท ซี ฮี้ อุโมงค์ที่ไปมาเมื่อคืนจะอยู่ขวามือเลย ใกล้นิดเดียว

หันไปทางซ้าย จะเจอหอนาฬิกา เลยค่ะ

เมืองเริ่มจะพลุกพล่าน เป็น busy time เข้าแล้วหล่ะสิ



รายงานสภาพการเดินทางวันนี้

จำที่เล่าตอนต้นได้ไหมคะ ว่าชิไปวิ่งมา แล้วเล็บดำไป 5 นิ้ว

ที่ยังไม่ได้เล่าคือ ไปหาหมอ หมอบอกให้ถอดเล็บซะ ...

บ้าหรอ ใครจะไปถอด

ถ้าถอดเล็บ คาดว่าต้องไปล้างแผลทุกวัน และ ต้องรอเล็บขึ้นอีกก็ 3-4 เดือน เลยตัดสินใจไปเที่ยวทั้งๆ ที่นิ้วก็ยังเจ็บๆอยู่ แต่ก็ลดลงไปบ้าง



ทริปนี้ใส่ผ้าใบตลอด เลยทำให้เล็บเริ่มจะอ้าเล็บนึง ด้วยความที่ยังไม่มีประสบการณ์ ก็เลยจะรอให้มันหลุดเอง



ส่วนกล้องถ่ายรูป เลนส์ kit ที่ติดมากับตัวกล้อง เริ่มใช้งานไม่ได้ lens ไม่ยอม Focus ค่ะ

ใช้ได้แต่ manual mode คือ ต้อง ส่องๆ เล็งๆ ปรับโฟกัสเอง ด้วยความที่เป็นคนสายตาเอียง

ก็มักจะปรับได้ไม่ค่อยคมชัดเท่าไหร่ ภาพบางทีมันก็อาจจะไม่ค่อยสวย ไม่คมนะคะ

ภาพนี้ถ่ายจากจุดชมวิวข้างๆพิพิธภัณฑ์เบตงค่ะ

หมอกยังคลุมอยู่เลย



ภายในพิพิธภัณฑ์ก็มีของให้ชมตามปกติทั่วไปแหล่ะ แต่มาสะดุดตาอันนึง



เจ้าเนี่ย เป็นของดีอย่างที่ 2 ของเมืองเบตงเค้าหล่ะ

นอกจากหมี่เบตงที่ขึ้นชื่อ ที่นี่เค้ายังมี "กบภูเขา"



ตัวนี้หนัก 2 กก.

ทำแกงกบเลี้ยงพระได้หลายเพล เลย



สมัยนี้หาทานยากค่ะ งานชิมกบภูเขาเลยอดเบยยย 55555

ปกติไม่กินกบนะ แต่ไปสิงคโปร์ เมื่อ 2 ปีก่อน เพื่อนพาไปทานแกงกบเจ้านึงแถวๆ ไชน่าทาวน์ หลังจากนั้นมา

กบเล็กกบใหญ่ ก็เข้าปากได้หมด



พอได้ออกจากบ้าน ไปเรียนรู้ หรือ สัมผัสในสิ่งที่ปกติที่บ้านเราไม่มี หรืออยู่บ้านเราไม่ทำ

มันทำให้เรารู้สึกว่า โลกนี้มันช่างมีอะไรมากมายให้เรียนรู้จริงๆ ไม่ว่าจะเริ่มต้นตอนอายุเท่าไหร่ก็ไม่สายหรอกค่ะ ^^

พิพิธภัณฑ์เมืองเบตง

สนามกีฬาที่เบตง เห็นแล้วน่าไปวิ่งมากเลย อากาศดีมากๆ

วัดพุทธาธิวาส

ใครชอบท่องเที่ยวเชิงศาสนาก็แวะมาที่นี่ได้

ตู้ไปรษณีย์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยก็อยู่ที่นี่ เมืองเบตง



น้อยคนจะรู้ว่าทางใต้จะมีโซนอากาศเย็นๆ ที่สามารถปลูกไม้เมืองหนาวได้

ก็ที่นี่อีกแหล่ะ "เบตง"

ค่าเข้าคนละ 20 บาท

บรรยากาศคล้ายๆ พืชสวนโลก เชียงใหม่เลย แต่ช่วงที่ไปนี่ ดอกไม้จะน้อยหน่อยค่ะ

จากสวนไม้เมืองหนาวเบตง เราจะขับรถย้อนกลับไป ซึ่งตอนนี้ออกนอกเมืองมาไกลพอสมควร

เราจะย้อนกลับเข้าเมืองเบตง เพื่อไปยะลา



แหล่งท่องเที่ยวอีกแห่งของเมืองเบตง ที่อยากจะแนะนำเพื่อนๆ นั่นคือ "อุโมงค์ปิยะมิตร" หรือ ชาวบ้านเรียกกันว่า "อุโมงค์โจรจีน" นั่นเอง



ตอนแรกที่ได้ยินชื่อว่า อุโมงค์ เราก็คิดว่า จะไปดูทำไมอุโมงค์

มันจะแตกต่างจากอุโมงค์คอนกรีตในเมืองยังไง ตอนนั้นมโนไม่ออกเลย

แต่พอได้ไปเห็น ก็ชอบมากๆ ชอบในแนวคิดที่เค้าสร้างมันขึ้นมา



ก่อนที่จะเข้าไปชมภายในอุโมงค์ เราก็จะเห็นภาพวาดต่างๆ ห้อยแขวนตามทางเดิน

ก่อนจะเข้าไปชมในตัวอุโมงค์ เพื่อแสดงวัตถุประสงค์ในการสร้างอุโมงค์ปิยะมิตรแห่งนี้



อุโมงค์ปิยะมิตรได้สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่หลบภัยทางอากาศของกลุ่มพรรคคอมมิวนิสต์มลายาสมัยเมื่อ 40 ปีก่อน

ด้านในจะมีความยาวประมาณ 1 กิโลเมตร จุคนได้ เกือบๆ 200 คนเลยทีเดียว

ใช้เวลาสร้างเพียง 3 เดือนและใช้คนขุด 40-50 คน ก็แล้วเสร็จ

ด้านในมีแสงไฟ และอากาศให้หายใจอย่างพอเพียง ไม่อึดอัด เดินได้สบายๆ

นอกจากทางเดินตรงๆ แล้วก็จะมี ห้องนอน ห้องวิทยุสื่อสาร ห้องทำงาน เป็นต้น



ลองดูภาพตัวอย่างเหล่านี้แล้วอาจจะ จินตนาการกันออกก็ได้ว่า

เค้าใช้งานอุโมงค์นี้กันยังไง

ในภาพนี้ได้บ่งบอกถึงว่า แม้ข้างนอกเค้าจะโกลาหลกัน แต่ไม่มีใครทราบเลยว่า ภายใต้ภูเขาลูกนี้ ยังมีกลุ่มพรรคคอมมิวนิสต์หลบภัยอยู่

หลับปุ๋ย เฝ้าพระอินทร์สบายใจเลย

ภาพนี้ก็เช่นกัน กิจกรรมสันทนาการต้องมา

ด้านในเดินไปไม่ต้องกลัวหลงทาง เพราะมีป้ายบอกทางออกชัดเจน

แต่ก่อนมีทางออกที่ออกสู่ ป่าข้างนอกได้ถึง 9 ทาง แต่ปัจจุบันเหลือแค่ 6 ทางออกเท่านั้น

คงสงสัยกันใช่ไหมคะ ว่าหุงหาอาหารยังไง ก็ต้องใช้ฟืนก่อ

ถ้าหากมีการเผาไหม้ ก็จะต้องเกิดควันไฟแน่นอน คนสร้างที่นี่เค้าหัวดีค่ะ

เค้าใช้ ทราย กับ น้ำ กลมด้วยใบไม้แห้ง

แปลงสภาพ"ควันไฟ" ให้เป็น"หมอก"เสียก่อน เพื่ออำพราง ก็กลายเป็นภูเขาลูกนึงที่มีหมอกหนาปกคลุมเท่านั้นเอง

วิธีคิดของเค้า สุดยอดไหมล่ะคะ

ที่นี่มีรถสองแถวสีฟ้าคันยาวๆแบบนี้ผ่าน ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าขึ้นจากขนส่งได้ไหม แต่น่าจะได้นะ

พอดีคนขับไม่อยู่ เลยอดถามเลยย

อ่อ ค่าเข้าชม 30 บาทค่ะ



มาเที่ยวใต้ งานนี้ต้องมีเข้าอุทยานแห่งชาติบ้างหล่ะ

ที่แรกเลย หลังจากออกจากอุโมงค์ปิยะมิตร พวกเราได้แวะไปที่อุทยานแห่งชาติบางลาง

ที่นี่คนเที่ยวไม่มาก แต่เมื่อก่อนเค้าว่าคนเยอะม้ากกกก

ตั้งแต่มีเหตุการณ์ความไม่สงบ ที่ท่องเที่ยวเหล่านี้ก็คล้ายกลับจะร้างไป คนไทยไม่ค่อยจะมา

จะมีคนใต้ที่พูดภาษามลายูมามากกว่า



เราก็ถามพี่ในกลุ่มว่า น้ำตกนี่เป็นไงบ้าง เพราะแพลนอีกที่ก็ยังคงเป็นน้ำตก

เค้าบอกว่า น้ำตกทรายขาวสวย ที่ปัตตานีสวยกว่า



งั้นเจ๊ของ skip เลยนะ เพราะตอนนี้ น่าจะปาไปครึ่งวันได้ เที่ยวแบบรัวๆ เดี๋ยววันนี้เข้าปัตตานีด้วย



ว่าแล้วก็ moveeeeeeeeeee กันไป อีกที่โลดดด

ให้ทายว่าวัดอะไร

ที่นี่คือ "วัดช้างให้" หรือ "วัดหลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด" เกจิอาจารย์ดังของไทยท่านนึงนั่นเอง

ทราบประวัติท่านคร่าวๆมาว่า ทำไมคนส่วนใหญ่ถึงเรียกท่านว่า เหยียบน้ำทะเลจืด

ปกติน้ำทะเลเค็มไม่ใช่เหรอ



ในขณะนั้นที่ท่านได้นั่งเรือออกทะเลพร้อมกับลูกเรือมุสลิมอีกหลายคน ทุกอย่างพร้อม แต่ลูกเรือมุสลิมดั๊นนน ลืมขนน้ำเปล่าขึ้นเรือ

(ไม่รู้จริงเปล่านะ ได้ยินมาว่างั้น) และแล้ว ก็ออกเรือลอยลำไปกลางทะเล จนกระทั่งมารู้ทีหลังว่าไม่ได้ขนน้ำเปล่าขึ้น

พวกลูกเรือมุสลิมก็ได้กล่าวหาว่าท่านหลวงปู่ทวดเป็นตัวการที่ทำให้ตนลืม .. แบบกล่าวโทษภิกษุอะนะ

ท่านจึงได้อธิษฐานว่า หากท่านจะได้สืบทอดเผยแผ่พระพุทธศาสนาแล้ว ขอให้น้ำทะเลกลายเป็นน้ำจืด

พลันท่านก็เอาเท้าจุ่มน้ำ น้ำทะเลบริเวณนั้นจากที่เค็มก็เปลี่ยนรสชาติเป็นน้ำปกติเลยทีเดียว

ทำให้ชาวมุสลิมเปลี่ยนความคิดมาสรรเสริญท่านแทน





เนื้อหาเยอะไปปะ

กลัวยาวไปเหมือนกันนะ กลัวคนไม่อ่าน 55555

ว่าจะลดดีเทล แต่ไหงยาวเฟื้อยเนี่ยยย

อ่อ ใครอยากมาไหว้หลวงปู่ทวดวัดช้างให้

สามารถนั่งรถไฟมาลง "สถานีวัดช้างให้" ได้เลย ... ง่ายไปปะ

งั้นมาเลย ปู๊นนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน ๆ



จากวัดช้างให้ ( ที่เขียนว่า" ให้ " ก็แปลว่า ให้ นั่นแหล่ะ ที่ภาษาอังกฤษคือ give น่ะ เป็นวัดที่หลวงปู่ทวดนั่งบนหลังช้างและให้ช้างเลือกที่ให้ ที่ที่จะสร้างวัดอะค่ะ)



เราก็เดินทางต่อไปอุทยานแห่งชาติอีกจุดหนึ่ง

บอกเลยว่า ที่นี่ เป็นที่ที่โดนใจชิมาก ชอบมากๆ

ไปดูรูปดีกว่า ขี้เกียจบรรยาย

บรรยายไม่เก่ง โฮะๆๆ

เป็นไง ดิบสุดยอดปะ

ทำท่า Jesus Christ เหมือนที่ Rio De Janeiro ปะ ถถถถถ

ขอบคุณทุกคนที่ติดตามนะคะ แล้วบอกว่า เนื้อเรื่องน่าติดตาม

ตามไปอีกหน่อยก็จะหมดมุขแล้วค่ะ 555555

ถ้าชอบมากๆ บวกให้ด้วย มันคือกำลังใจจะพิมมากๆๆๆๆๆ

ถ้าเนื้อหามีประโยชน์มาก(บ้าง) ก็ขอบคุณมา ณ ที่นี้ก่อนนะคะ

.........................................................................



สถานที่ท่องเที่ยวแต่ละที่นี่บอกเลย ไม่ได้วาดฝันไว้ว่าจะได้มา

แม้แต่ชื่อก็ยังไม่รู้จักเลย แต่ที่นี่ มันโดน และชอบมาก ปลื้มและประทับใจมาก



น้ำตกแห่งนี้ชื่อว่า "น้ำตกทรายขาว" หรือ "อุทยานแห่งชาติน้ำตกทรายขาว"

นำเสนอความสวยงามของป่าเทือกเขาสันกาลาคีรีที่ดูลึกลับน่าค้นหามากๆ

มีอาณาเขตติดกับ 3 จังหวัดภาคใต้ คือ ปัตตานี ยะลา และสงขลา

ทางเดินเข้าชมน้ำตกจะเป็นทางเดินคอนกรีตที่ทำแคบๆ เลียบน้ำไป บางช่วงจะมีน้ำตกพัดผ่าน รองเท้าแตะก็อยู่ในเป้ที่นราธิวาส

รึจะใส่รองเท้าผ้าใบลุยน้ำหาใช่เรื่องดีไม่ เพราะจะเที่ยวอีกกี่วันไม่รู้ อย่าริอาจเสี่ยงต่อเท้าเหม็นดีกว่า

เหตุผลที่ชอบเพราะ ป่ามันสมบูรณ์ดูดึกดำบรรพ์ดี อากาศเย็นสบาย เหมือนเราหลงอยู่ในโลกจูราสสิคยังไงไม่รู้ 55555มโนๆ

ความสนุกมันอยู่ที่ กว่าจะไปถึงน้ำตก ตลอดทางต้อง เดิน ปีนป่าย ข้ามน้ำไป แอดแว้นนนเชร่อมั่กๆ

จัดภาพป่าดิบชื้นของที่นี่ไปรัวๆ เร็วๆเลยค่ะ



เหมือนท่ากำลังจะยิงปลาเลยเห้ย



เธอเห็นนางไม้นั่นไหม....

นางหน้าอกไม้บรรทัดนั่นน่ะ เจอมะๆ ... ไม่น่าใส่เสื้อสีดำมาเลย

แต่เอาจริงๆ ทริปนี้เสื้อสีไม่เยอะ มีแต่ ดำ ดำ ดำ 5555555 ซักเอา

อย่างที่บอก เอาเสื้อมาไม่เยอะค่ะ จะแบกให้หลังหักทำไม เอาผงซักฟอกมาด้วยโอเคกว่า



ชอบปะ ส่วนตัวแล้วชอบนะ

เสียดาย เจ้าหน้าที่เอาสแตมป์ไว้ที่ไหนไม่รู้

แต่ถึงไม่มีสแตมป์ ยังไงก็ขอลายเซนต์กับวันที่ มา 5555555



สมุดเล่มนี้ ชิเคยรีวิวรอบนึงแล้ว มันคือ สมุด Passport ท่องเที่ยว อุทยานแห่งชาติประเทศไทย

เอาไว้สะสมสแตมป์ เวลาคุณไปเที่ยว อช.ที่ใหน ก็ให้ จนท. สแตมป์ให้ว่าเรามาแล้ว



ตั้งแต่ออกบ้านมา ได้มาแล้ว 1 ผาแต้ม 2 อช.บางลาง 3 ที่นี่แหล่ะ อช.น้ำตกทรายขาว

เพิ่มความสนุกให้กับการท่องเที่ยวเก็บแต้มไง



ออกจากน้ำตกก็เย็นแล้ว คนแทบไม่มี

จากนี้จะเข้าไปทานข้าวกันที่ถนนคนเดินในเมืองปัตตานี ที่ซึ่งเคยมีเหตุการณ์ความไม่สงบเกิดขึ้น

อยู่ บ่อย ๆ



หาใช่รู้สึกไรไม่

เป็นคนประเภทไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตาจริงๆเลยนะ

แบบถ้าไม่ลองก่อน ก็จะไม่รู้ ต้องลองเอง แล้วจะรู้ ใครมาบอกให้ฟัง จะเหมือนเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาซะส่วนใหญ่



จะบอกว่า ของกินละลานตามากๆ แบบว่าเจ้าไหนก็ "เจ้าเก่า" มั่ง "เจ้าตำหรับ" มั่ง

เราแพ้คำพวกเน้ 55555



เอาภาพร้านที่ยืนรอเยอะๆมาฝาก เผื่อใครแว้บไปถนนคนเดินปัตตานี ลองไปชิมให้หน่อยว่าอร่อยป่าว

บะหมี่ น่าทานมาก



เดินเลยไปอีกหน่อย เจอร้านผัดไท

เป็นผัดไทเตาถ่าน แบบใช้พัด ใช้มือพัดแบบmanualอะ ดูน่าอร่อยดี

เลยเลือกทานร้านนี้



น่าจะก๋วยเตี๋ยวหลอด ?? ไม่รู้ง่ะ ถามแล้วก็ลืมไปละ

อิ่มมากเลยไม่ได้ซื้อ

เลี้ยงง่ายค่ะ ขอของหวานต่อจากมื้ออาหารเป็นอันเสร็จพิธี

จัดนี่เลย "โรตีทิชชู่" โรตีใหญ่ยักษ์ รสนมหวานกรอบ อร่อยดี

เด็กนักเรียนกำลังเลือกซื้อหัวน้ำหอม



ถ้าเป็นนักเรียน จะโพกผ้าสีขาวค่ะ น่ารักอะ ดูพร้อมเพรียงกันดี

ข่าวคั่นรายการ



เมื่อ 31 ม.ค.2558 เวลาประมาณ 07.00 น.

ชาวบ้าน อำเภอบันนังสตา 2 คนได้ ถูกคนร้ายไม่ทราบชื่อและจำนวน ใช้อาวุธปืนยิง ทำให้เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ

สาเหตุ ยังไม่ทราบสาเหตุ



รุ่นพี่ส่งข่าวมาให้ชิดู ตอนที่ได้รับ message นี้ ตอนนั้นออกจาก 3 จังหวัดชายแดนใต้แล้ว ไปสัก 2-3 วัน

เค้าว่า เห็นไหม ว่ามันอันตรายจริงๆ เส้นทางที่พวกเราขับผ่านไปทางเขื่อนบางลาง

อำเภอบันนังสตา จะเข้าเบตงน่ะ

ไอ่เราก็ หรอๆ ตอนไปไม่เจอ นี่โชคดีชะมัดแฮะ



จบข่าว

อชิรญาณ์ รายงาน



..................

พักโฆษณาแปปนะ แม่เรียก

ถึงไหนละ



อ่อ กำลังเดินทางกลับนราธิวาส เมืองที่เราทิ้งเป้ไว้ที่บ้านพัก

เช่นเดิม เส้นทางถูกสกัดไว้ซึ่งด่านทหารตลอด ทำให้รถที่ขับมาได้ลดความเร็วลง

ด่านที่มีทหารเฝ้าแบบนี้ มีทุกระยะ แบบถี่มากค่ะ

แม้แต่ตอนเข้าเมือง เวลานี้ ก็ยังมี ตอนนี้น่าจะสัก 3 ทุ่มกว่าได้แล้ว



ถามว่า พี่ทหารเค้ากำลังนั่งไปที่ไหนกัน

จริงๆ แล้ว เค้าไม่ได้นั่งไปไหนหรอก ก็แค่ลาดตระเวนขู่ ให้รู้ว่าเราพร้อมตลอดเวลานะ

ประชาชนก็จะได้อุ่นใจด้วย



ขับรถผ่านสวนสาธารณะที่หนึ่ง ที่ตอนกลางคืนคนมาเดินเล่นกันอยุ่บ้าง

โอเค เราแอบปักหมุดไว้ในใจแล้ว ได้จักรยานเมื่อไหร่ จะแว้นไปเซอเวย์เอง ^^

คืนนี้น่าจะจบละค่ะ แหะๆ ไม่อู้ละ



.............................................................



@นราธิวาส อีกครั้ง



เช้านี้รู้สึกยินดียิ่ง ที่จะได้ใช้กล้ามเนื้อในร่างกายให้เป็นประโยชน์ ชอบและภูมิใจมากกับทริปที่ได้เดิน หรือแบกของด้วยตัวเอง

ไม่ชอบความรู้สึกที่มีคนรอบข้างเทคแคร์มาก

เข้าใจว่าทุกคนเห็นเราเป็นผู้หญิง แต่เราแข็งแรงมากนะ ขอบอก

อันนี้ไม่มุขนะ 55555



ยืมจักรยานที่บ้านพักออกมา โดยมีพี่คนนึงบ้านใกล้ๆแถวนั้นแหล่ะ อาสาปั่นนำก่อนครึ่งวัน

เอาจริงๆ เราก็เกรงใจเค้าอยู่เหมือนกัน เพราะชิไปที่ไหนก็ใช้ GPS เป็นเพื่อนพาเที่ยวได้ตลอด

แต่คนใต้ใจดีจริงๆ ตั้งแต่เจ้าของบ้าน ยันคนพาเที่ยว มีน้ำใจ และ ใจแลกใจ กันสุดๆ ชอบค่ะ

ถึงจะพูดเร็วไปหน่อย แต่จริงใจดี



พูดไปบางที เราฟังไม่ทัน ต้อง..ห๊ะ ตลอด .. อะไรนะ 555555555

คือ เค้าก็พูดภาษากลางเนี่ยแหล่ะ แต่ติดสำเนียงใต้ เคยได้ยินปะๆ 55555 แต่ชอบภาษาใต้นะ เรียนรู้มาตลอดทางเลย



รู้สึกว่าจะได้แต่คำไม่ค่อยดีนะ

" น้องม่ายก่ายบ้าย " งี้



ตอนแรกก็นึกว่า บอกว่า ให้พูดว่า "น้องไม่สบาย"



แต่ดันแปลว่า ฉันเป็นโรคประสาท ไม่เต็มเต็ง ไรงี้ ..ปะ ดู๊ดู หน้าตาก็ออกจะดี จะสอนคำดีดีหน่อยไม่ได้

นอกเรื่องๆๆๆ



เช้าๆเลย ปั่นจักรยานซอกแซกตามเส้นทาง ลัดเลาะออกถนนใหญ่ไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่หาดนราทัศน์

เอาจริงๆจำทางไม่ได้หรอก ถ้าให้ปั่นตาม ก็จะดูตูดคนปั่นนำอย่างเดียว

เอาเป็นว่า จะไปปักหมุดไว้ก่อน แล้วเดี่ยววันหลังจะมาเอง คิคิ

เนื่องจากออกสายไปหน่อย ดวงอาทิตย์จ้ามากเกินไป เลยถ่ายได้เป็นแบบนี้

เนื่องจากพี่เค้าจะปั่นนำเที่ยวให้ได้แค่ครึ่งวัน

จากหาดนราทัศน์ ปั่นไปถึงแปปๆ ก็ปั่นไป อุทยานแห่งชาติอ่าวมะนาว-ตันหยงเลยทันที

ไอ่เราก็ว่า เห้ย พี่ ปั่นจักรยานไปอุทยานแห่งชาติเลยเนี่ยนะ ไกลปะเนี่ย

(แอบมีขยาดจากผาแต้ม อันนั้นจะหอบตายอยู่แล้ว)

เค้าบอกปั่นไปได้

เราก็โอเค้

วันนี้เสื้อมีสีสันหน่อยแฮะ วันนี้จัดเต็ม จัดของเค้าแหล่ะ เจ้าของบ้าน 555555555 คือ เจ้าของที่ให้ที่พักไม่สนใจอะไรเลย

เทอจะทำอะไรก็ทำไปเลย 555555555 หนูอยากเจอคนแบบนี้บ่อยๆ นะ ฮาาาาาา เนี่ยแหล่ะ คนใต้เค้าจะให้ใจก่อน กล้าได้กล้าเสีย ชอบๆ



ปะ ไปอ่าวมะนาวกัน (ชื่อคล้ายอ่าวมะนาวที่ประจวบเลยเน๊อะ)

ไอ้ประเภทปั่นนำปั่นตามอะ ก็ลืมบอกพี่เค้าว่า ว่าถ้าเราสนใจจะจอดตรงไหน เราจะจอดเลยนะ

ถ่ายรูปอะไรเสร็จ หันไปมอง เห้ยพี่ไปไหนวะ รอด้วยยยยยย ปั่นไวสาดดด

โอ้ว เจอแระ ....... ป้าย 55555555

หอบไม่มากหรอก จัดเต็มซะขนาดนี้ หอบตอนขึ้นสะพานเอ๊งงง อิอิ หอบจักรยานนะ แอร้ยยยยย



ถึงแล้วๆๆๆๆ

รีบหยิบสมุด Passport อุทยานแห่งชาติจะให้เจ้าหน้าที่ปั๊มให้ว่า เดี๊ยนมาแล้ว แต่เห้ย ร้างมากกก

ไม่มีเจ้าหน้าที่อยู่เลย เดินเข้าไป ลึกหน่อย เห็น กลุ่มนักท่องเที่ยวมาปิคนิคกันแบบครอบครัว



แล้วตาปั๊มหนูหล่ะ

เขียนเองเลย



ที่ไม่มีเจ้าหน้าที่ประจำการแล้วนั่นก็เพราะที่นี่ ไม่ค่อยจะมีนักท่องเที่ยวมา นอกเสียจากจะเป็นคนนรา หรือ ชาวบ้านแถวนี้แหล่ะ

สมัยก่อนนักท่องเที่ยวเยอะไหม .... เยอะมาก นี่หมายถึงย้อนไปก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ไม่สงบนะคะ

ตอนนี้คนหายเหมิด สงสารอ่า ผู้คนใช้ชีวิตปกติจริงแต่ไร้ซึ่งรอยยิ้ม กลายเป็นไม่ไว้วางใจคนนอก

แต่ขอบอกๆๆๆ ว่า ตอนที่ชิปั่นจักรยาน เวลาเจอใครก็จะยิ้มให้ตลอดนะ .........เห้ย ตอนแรกเค้าเกร็งๆ แล้วก็ยิ้มตอบกลับมา

สุขใจจัง รอยยิ้มมันส่งผ่านความจริงใจจากข้างในให้ได้จริงๆ นะ มีอีกเคสๆ เดี๋ยวเล่าๆ



หาดสงบ แต่ไม่ลงเล่นนะ พี่เค้าบอกว่า นี่ไม่สงบนะ คลื่นสูง ลมแรง น้ำขุ่นไปเยอะเลย .....อ่าว

ทำไมต้องวันนี้หล่ะ



คลื่นแรงอย่างพี่เค้าว่าจริงๆ

เนี่ย ยืนอยู่ตรงนี้ถ่ายรูป แป๊บๆ น้ำขึ้นมา สาดดดดดดดดดดดดดดด ใส่รองเท้าที่เราสู้อุดส่าไม่เดินลุยน้ำตก

เปียกเลยๆๆๆๆ

กลับไปต้องรีบเปลี่ยนถุงเท้าแล้ว

อยู่อ่าวมะนาวจนอิ่มเอมใจ แต่ท้องดันร้องจ้อกกๆเพราะไม่ได้ทานข้าวกันเลยแต่เช้า

(สายโหดๆ) เที่ยวก่อนค่อยกิน



พี่เค้าพาไปทานร้าน ข้าวขาหมู ข้าวหมูกรอบหมูแดงร้านอร่อย เราก็เออ เห็นด้วย อยากกินๆๆ

คนแน่นร้านมาก

หารูปปรากรอบไม่เจออ่า

คือ มันน่ากินมาก น้ำราดนี่หมูนี่สีชมพูน่ากิ๊นน่ากิน แต่พชิมคำแรกเท่านั้นหล่ะ เค็มปี๋เลย



ชิเอาให้พี่อีกคนเค้าชิมดู เค้าบอกว่า "ปกติ" เราว่า เห้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย

ลิ้นมีปัญหาแล้วพี่

เค็มมากมายอะ



พี่เค้าบอกว่า รสจัดจ้าน

เราว่าจัดจ้านที่ไหน เค็ม จะตายอยู่แล้ว

เค้าบอกว่า คนใต้ชอบกินรสจัด ... เราก็เถียง รสจัด มันต้องรสเผ็ดสิ จัดจ้านอะ จัดจ้าน

เถียงกันไปเถียงกันมา ก็ไม่รู้ใครผิดใครถูกนะ



แต่คนใต้ทานรสแบบนี้จริงๆ รู้สึกว่า ทานมาหลายมื้อแล้ว มันเค็มๆ ..... (((คิดในใจ ไตเค้าจะมีปัญหาป่าวว้า)))



กลับถึงที่พัก แยกย้ายกับพี่เค้า ไอ้เรานั่งเล่นนอนเล่นสักแป๊บ ...

เห้ย มันใช่อารมณ์มานอนเล่นเฉยๆมั้ย นั่งเสิชๆข้อมูลในมือถือ มีที่เที่ยวตรงไหนอีก



พี่คนที่อยู่ที่นั่นคนนึงแนะนำให้ไป "พระตำหนักทักษิณ" สิ

เราก็โอเค้ ดีกว่านอนกลิ้งไปมา ว่าแล้วก็ใส่หมวก จูงจักรยานออกไป



แต่กว่าจะออกไปหาถนนใหญ่เจอ ไอ้ตอนปั่นตามเค้าน่ะ ไม่จำ ตอนเนี้ยะแหล่ะมีเวลาจำแล้ว จะหลงก็ให้มันหลงไป

นี่ไง เจอแล้ว สวนสาธารณะที่คืนนั้นผ่านมา

ลมแรงมาก หาเจอด้วยๆๆ ตอนนั้นดีใจมาก ไม่ได้ตั้งใจว่าจะเจอ 5555

อากาศก็ร้อนนะ

ยังจำได้อยู่เลย วันนี้ ตอนเย็น จะมีถนนคนเดินนราธิวาส (ทุกวันอาทิตย์)

ซึ่งอยู่ที่ถนนติดกับสวนสาธารณะแห่งนี้เลย



ปั่นตาม GPS มาอีกสักพัก

ว้าววววววววววว ถ้าขาแรง ปั่นหน้าตรงอย่างเดียวนี่ ไม่ทันสังเกตุนะเนี่ย

สวยมากกก ตึกสไตล์ ชิโน-โปรตุกิส

ปั่นมาอีกสักหน่อย ต้องเลี้ยวเข้าผ่านในเมือง

....

เจอแล้วววว พี่ทหารรรร



กำลังปฏิบัติงานกันอยู่เลย



จะปล่อยผ่านไปก็ไม่ได้แฮะ ต่อมอยากรู้อยากเห็นมันกำลังเริ่มทำงานด้วยแฮะ

แวะจอดคุยกับพี่เค้าสักพักดีกว่า ((ในใจแอบกลัวเค้าดุอยู่เหมือนกัน เพราะมันเป็นเวลางานนี่นา))

ชิสงสารเค้านะ ต้องมาทำงานทางใต้ ดูหน้าทหารแต่ละนายสิ

หน้าไม่ได้เป็นคนใต้เลย บางคนก็มาจากภาคอื่นๆ ต้องจากลูกจากสามี เอ้ย ภรรยามา

ยืนแดดร้อนๆ ทั้งวัน



ยืนคุยกับพี่เค้ามากมาย เลยขออนุญาตเค้าถ่ายรูป แล้วก็แวะถามทางไปพระตำหนักทักษิณ destination หลักของตัวเองช่วงบ่ายนี้ด้วย

ก็ปกติ คนส่วนใหญ่ก็มักจะถาม มาจากไหน มาทำอะไร อันตรายนะ อะไรทำนองนี้

กะจอดทักทายแป๊บเดียว ได้รูปมาเป็น 10 พี่พี่เค้าก็ใจดีมาก ไม่ดุเลย



สรุปว่า ปั่นไปทางเดียวกันกับทางไปอ่าวมะนาวที่ไปมาเมื่อเช้านี้... แอบไกลนะ

รอบบ่ายนี่ร้อนมากด้วย แอบเกร็งๆ เพราะอ่าวมะนาวต้องออกนอกเมืองไป สัก 10 โลได้ ส่วนพระตำหนักจะอยู่เลยไปนิดหน่อย

โชคดีที่ ไปกลับคงจะไม่เกิน 30 โล ไหวๆ



พอปั่นผ่านอ่าวมะนาวไป หาไม่เจอแฮะ มองหาป้ายก็ไม่เห็น ใจชักหวั่นๆ มันไกลตัวเมืองออกไปทุกทีๆ แล้ว

คือ ที่ที่ปลอดภัยที่สุดคือ ในตัวอำเภอเมืองนราธิวาส เพราะมีทหารตั้งจุดคุ้มกันอยู่หลายจุด

พอออกนอกเมืองไป เริ่มไม่เห็นพี่ทหารแล้ว เอาไงดีหว่า



มะกี๊ แอบเห็น ททท. อยู่แว้บๆ เลย ยูเทิร์นย้อนกลับมาอีกฝั่ง เดินเข้าไปถามเลย

เมื่อไหร่ที่หลงทาง หรือ อยากทราบข้อมูลอะไร ถ้าหาในเน็ตแล้วไม่เจอ

ตัวเลือกสุดท้ายให้คิดถึง ททท. ค่ะ

ปกติจะโทรไปถาม แต่นี่ปั่นผ่าน เลยแแวะเข้าไปถามเลยค่ะ



ตอนแรกก็ลืมว่าเป็นวันอาทิตย์ แต่ก็ยังมีคนอยู่ เห้ยยย โชคดีจริงๆ เค้าก็บอกว่าปั่นไปทางนั้นแหล่ะถูกแล้ว ให้มองซ้ายมือไว้จะมีป้ายบอก

ปั่นไกลเอาเรื่องเลยเนี่ย ไม่เจอสักที



พอเห็นซ้ายมือที่นี่ รีบหักเลี้ยวเข้ามาเลย แทบกรี๊ดดดดด ถึงแล้ว

แต่เดินเข้าไป เขาบอกไม่ใช่ ให้ไปต่ออีกหน่อยก็ถึง

อีกหน่อยงั้นรึ

เหนื่อยโฮกกกก นี่มันเส้นทางไปตากใบรึ



เอิบ ข้อเสียของการนั่งรถคนอื่นเที่ยว เราแทบจะไม่รู้เส้นทางเลย

แล้วนี่ ไม่เห็นด่านทหารเลยสักกะด่าน ปลอดภัยไหมอ่า ...ได้แค่คิดในใจแล้วก็ปั่นต่อไป

กรี๊ดดดด ถึงแล้ว เยสๆๆๆ

กรีดร้องดังๆ เพราะเหนื่อยโฮกจริงๆ ลมแรงมากค่ะ เย็นแล้ว ที่อื่นปั่นจักรยานต้านยาเสพย์ติด

นางคนนี้ปั่นต้านลมมา มีที่นั่งพักให้หายเหนื่อยไหม ขอน้ำเย็นๆด้วย



จูงจักรยานเข้าไปที่ป้อมสกัดดาวรุ่ง ที่มีเจ้าหน้าที่ทหารดูแลอยู่

เค้าถามว่า มาทำอะไร

เราบอกว่ามาเที่ยวพระตำหนักค่ะ

จนท.บอกว่า เข้าไม่ได้ ไม่ได้เปิดให้คนนอกเข้า ต้องมีจดหมายหรือหนังสือทำเป็นเรื่องเป็นราวมา

ชิ:



เจ้าหน้าที่ก็ถามว่า มาคนเดียวเหรอ ไม่กลัวเหรอ รู้จักครูจูหลิงไหม มาเป็นชุดรัวๆ

หนูก็รู้จัก แต่ถ้ากลัวก็ไม่มาหรอก "" ก็บอกเค้าไปแบบนั้น



สรุปไม่ให้เข้าช่ะ !!??



งั้น หาไรเล่นนะ

รุ่นพี่ทหารที่ประจำป้อมแต่ละนาย เฟรนลี่มาก อนุญาตให้ลองใช้อุปกรณ์ป้องกันตัวของจริง

ไอเท่มชิ้นแรก

โล่ หนัก 15 กิโลกรัม .........

หนักมว้ากกกกกกกกกกกกกกกกก ยกไงไหว กระสุนมันมาเร็วนะเฮ้ย เหวี่ยงทีแขนหลุด (คหสต)



คือต้องปิดบังหน้าตาพี่เค้าไว้นะ ไอ่เราก็กลัวงานเค้าจะงอก

มองทางด้านเรา เค้าใจดีมากเลย ให้ยืมนั่นยืมนี่ศึกษา(เล่นปะวะ) แต่กลัวคนจะมองอีกด้านอ่าเน๊อะ ... ว่าไม่ทำงานรึเปล่า

พวกพี่เค้าอยู่กันหลายคนและก็อยู่ปากทางเข้าเฝ้าพระตำหนักอย่างดีเลยค่ะ



ไอเท่มชิ้นต่อมา

หมวกและ เสื้อเกราะเพชรเจ็ดสี แอร้ยยย เสื้อเกราะ

หมวกที่น้ำหนักมากกว่า หมวกกันน็อค 2 เท่า

ส่วน เสื้อเกราะ หนัก 7 กิโลกรัม

ปืนราวๆ 5 กิโลกรัม

........ เข้าใจเลย



สละเลือดทุกหยาดเป็นชาติพลี เถลิงประเทศชาติไทยทวีมีชัย ชโย



เล่นกับพวกพี่เค้าสนุกมากๆ แลกเปลี่ยนเรื่องราว ประสบการณ์ต่างๆ

พอให้อภัยที่เราไม่ได้เข้าไปชมพระตำหนักทักษิณ ทั้งๆที่ปั่นแบบหอบมั่ก มาคนเดียว เป็นผญ ด้วย

ถือว่า ปฏิบัติงานดีมาก อ้อนวอนแค่ไหนก็ไม่ให้เข้า หุหุ

ถึงจะปั่นมาไกล ก็ยังไม่รู้สึกเฟลเท่าไหร่

ก็คือไม่ได้หวังอะไรน่ะแหล่ะ แค่เลือกจุดหมาย จับจักรยาน แล้วปั่นออกไปให้ถึง



ถ้าเราหวังอะไร เราจะไม่ได้ดังหวัง

ถ้าเราไม่ได้หวังอะไร สิ่งนั้นมันจะมาหาเราเอง



ขากลับว่าจะแวะศูนย์พิกุลทอง แต่ไม่ได้แวะแล้ว กลับมืดจะอันตราย .. หลงทางไง

ออกบ้านมายังออกมาแบบมั่วๆ



ตัดสินใจจะเข้าที่พักอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนแล้วออกมาถนนคนเดิน ปรากฏว่า กว่าจะถึงที่พัก หลงทาง

ลืมปักหมุดในFoursquareไว้

พอดีจำได้ว่า ใกล้ๆ นั้นเค้าจะมีสนามแข่งนก มีเสาขึ้นเยอะๆ และมีสนามกีฬาที่กำลังสร้างใหม่

เลยพอถามๆทางกลับ คลำทางไปได้จากคนแถวนั้น



ส่วนใหญ่ก็จะบอกกับคนถามทางว่า มาบ้านญาติ จำทางไม่ได้ 555555555

คนที่นี่ไม่ไว้ใจคนนอก และเค้าอาจจะงงก็ได้ ว่าเรามาทำไม

สรุป ถนนคนเดินก็อด 555555555



...............................................

ทิ้งทวน นราธิวาส



จะว่าไป เราก็มารบกวนพี่เค้าที่นี่ได้สักพักแล้วเหมือนกัน

ต่อมละอายใจกำลังพึ่งตื่น



พวกพี่เค้ามักแซวอยู่เสมอว่า วันนั้นที่ผาแต้มไม่น่าทักเล้ยยยย

ก่อนหน้านั้น พวกพี่เค้าเที่ยวจากนรา ขึ้นเหนือไปถึงตาก น่าน แล้วไปเชียงคาน เที่ยวไปเรื่อยๆ สักอาทิตย์มั้ง แล้วลงมาอุบล

มาเจอกับชิพอดี เค้าแซวเล่นว่า ชีวิตช่วงก่อนที่จะไปถึงโขงเจียม ชีวิตพวกเค้าดีมากเลย จนมาถึงผาแต้มที่โขงเจียมชีวิตเค้าเปลี่ยนเลย

.....

ไม่รู้แอบพูดจริง แบบตรงๆป่าว แต่ไม่โกรธ 55555555555



นี่ลองคิดดูสิ ว่าถ้าถ้าชิออกบ้านวันที่ 9 มกรา ก็คงไม่ได้มานราธิวาส

เรื่องราวที่เล่าทั้งหมดคงเปลี่ยนไปอีกเรื่องหนึ่งเลย



ก่อนที่จะมูฟไปจังหวัดอื่นในช่วงสายๆ เราก็ขอให้รุ่นพี่คนหนึ่งเป็นธุระดูรถให้ สถานีต่อไปจะไปลงหาดใหญ่ เลนส์พังว่าจะไปหาซื้อเลนส์ในห้างใหญ่ๆก่อน

ส่วนเช้านี้ ขอปั่นไปหาดนราทัศน์ นั่งเล่นชิลๆ ทิ้งทวนหน่อย

ชอบเมืองนี้นะ ถ้าไม่ติดว่าเค้าจะไล่ออกจากบ้านแล้ว ก็คงจะอยู่ต่อ 55555555



วันนี้จำทางได้แล้ว ออกมาถูกหล่ะ เจอถนนใหญ่ เช้าๆแบบนี้เด็กนักเรียนกำลังไปโรงเรียนกันอลหม่านเลย

วันจันทร์แล้วนี่มั้ง

อ่อ รุ่นพี่เคยบอกตอนก่อนจะเอาจักรยานออกมาปั่นคนเดียวเมื่อวานว่า

ห้ามออกนอกเส้นทางเด็ดขาด ระวังจะหลงเข้าไปในหมู่บ้านที่มีแต่ชาวมุสลิม หรืออย่าคุยกับใครไปเรื่อย

แล้วถ้าเกิดคุยกับเค้าไม่รู้เรื่อง เค้าจับเราไว้ไม่ให้กลับบ้านนะงี้



ไอ่เราก็ลองเอาผ้าพันคอมาโพกๆ หัว แล้วถามว่า งั้นทำอย่างนี้ดีไหม จะได้เนียนๆเหมือนคนท้องถิ่น

เค้าก็บอกว่า นั่นยิ่งแล้วใหญ่ เดี่ยวเค้าว่ามาสืบข่าวอะไร โดนยิงพรุนแน่ แอร้ยยยยย

ไม่รู้หลอกป่าวนะ แต่ก็รับปากเพื่อไม่ให้น่าเป็นห่วง

.........................................................................



ปั่นจักรยานผ่านมาหลายร้าน เห็นมีร้านนี้ อาหารเยอะมากกก มีพี่สาวชาวอิสลามขายอยู่

กะหาอะไรไปนั่งทานเล่นชิลๆข้างหาดสักหน่อย

ก่อนจะซื้อ เราก็ถามราคาปกติทั่วไป อันนั้นเท่าๆไหร่ อันนี้เท่าไหร่ เค้าตอบกลับคำต่อคำ แบบไม่สนใจ

เราก็มองๆ ดู เห้ยมันมีของกินหลายอย่างแปลกๆเลย เลยขอเค้าว่า พี่ๆ ขอถ่ายรูปได้ไหม ดูอาหารขายไม่เหมือนที่บ้านเลย อยากเก็บภาพไว้



เค้าทำท่า งงๆ แล้วก็เดินไปหลังบ้านถามพี่สาวเค้าอีกคนว่า มีคนจะมาขอถ่ายรูปด้วย

เค้าเดินกลับมาแล้วก็ยิ้มๆ ให้ว่า ได้ๆๆ



หลังจากนั้นบทสนทนาเริ่มเยอะขึ้น ถามว่า เรามาจากไหน มาทำอะไร มาคนเดียวเหรอไรงี้

ชัดเลย ... คนที่นี่ไม่ค่อยไว้ใจคนนอกพื้นที่ ยิ่งหน้าตาแปลกๆ ถามเยอะๆงี้ด้วย

โดนัทพื้นบ้าน น่ากินนะ

น้ำเต้าหู้



สรุปได้มาแค่โดนัทและข้าวปิ้งไส้อะไรไม่รู้ ให้ไปเดาเอาตอนกิน



ปั่นมาแป๊บๆ อากาศเย็นสบายๆ มีคนมาวิ่งออกกำลังกายด้วยที่ใกล้ๆหาดนราทัศน์

ตรงนี้เป็นสะพานข้ามคลองโคกเคียน ก่อนจะข้ามไปฝั่งตรงข้าม ด้านหน้า ปั่นไปอีกหน่อยก็ถึงหาดนราทัศน์แล้ว

เสน่ห์มุมนึงของชาวบ้านริมคลองโคกเคียน

"เรือกอและ"

เป็นสัญลักษณ์ เรือประมงหาปลาของชาวนราธิวาสก็ว่าได้ค่ะ

"กอและ" เป็นภาษามลายู แปลว่าโคลงเคลง อะไรประมาณนี้ แต่เรือกอและกลับเป็นเรือที่ต้านลมและการโคลงเคลงได้ดีที่สุด ก็ว่าได้เลย

ยังมีเรือกอและ สวยๆ แบบต่างๆ ให้เห็นให้ไปดูอยู่มากในจังหวัดนราธิวาสค่ะ

ก่อนถึงหาดนราทัศน์จะเจอลานสนก่อน

ถึงตรงนี้เก็บกล้องใหญ่แระ ปั่นไม่ถนัด

เคยคิดอยู่เสมอว่า เจ้ากล้องตัวนี้มันน่ารำคาญมากจริงๆ



ตอนนั้นที่พาเข้าถ้ำผากลองจังหวัดแพร่ ก็เอามันไปโขกกับผนังถ้ำอยู่หลายทีเพราะมืดมาก มองไม่เห็นอะไรเลย

ควรจะเล่น คอมแพคเล็กๆ ดีกว่ามั้ย เพราะถ่ายไม่เน้นสวยงามอยู่แล้วอ่า



หน้าหาดก็มีซุ้มขายของด้วย ส่วนใหญ่จะเป็นอาหารปักษ์ใต้ เออ ก็อยู่ใต้

คนส่วนใหญ่ที่ไปนั่งทานกันจะเป็นชาวมุสลิมมากกว่า นักท่องเที่ยวจะไม่ค่อยเยอะ

ข้างๆหาดจะมีทางเดินทอดยาวออกไปกลางทะเล เอาจักรยานปั่นไปได้ มีที่นั่งด้วย ลมเย็นดี ว่าแล้วก็ปั่นโลด

โดนัทร้านมะกี๊ อร่อยมาก ชอบ หวานดี ข้าวปิ้งไส้ถั่วเหลืองก็อร่อย ฟินนนน



จู่ๆ ก็มีโทรศัพท์เข้า

รุ่นพี่บอกว่า ได้ตั๋วรถแล้ว แต่ต้องออก 10 โมง นะ

เราก็ว่า เห้ย ตอนนี้ 9:30 ตอนนี้อยู่หาดนราทัศน์

เค้าก็บอกว่า เออ อยู่นั่นแหล่ะ กว่าจะปั่นกลับมา อาบน้ำ เก็บของอีก ใช้เวลานานด้วย เดี๋ยวไปรับๆๆ



คนใต้นี่ ใจเกิน 100 จริงๆ



กลับมาเก็บของอย่างรวดเร็ว ไม่ทันได้อาบน้ำหรอก เตรียมตัวออกเดินทางไปขนส่ง

รอดจาก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้แล้ว คุณได้ไปต่อ

สภาพแก้มเริ่มป่องๆกว่าตอนออกเดินทางช่วงแรกแล้วดิ

รู้อีกทีตอนจัดเป้วันนี้ ยัดแล้วยัดอีก มันหนักอะไรขึ้นมาเนี่ยยย



รุ่นพี่มาส่งขึ้นรถแถมพระเครื่องให้องค์หนึ่ง เป็นหลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด

คนดีจริงๆ ทริปนี้ มาถึง 3 จังหวัดชายแดนใต้ได้ ก็ต้องขอบคุณพวกเค้า



ไม่รู้เหมือนกัน ออกเดินทางคนเดียวแต่ละทริปจะเจอคนดีคอยช่วยเหลือตลอด

พ่อเคยเตือนว่า มันไม่ได้เจอคนดีตลอดทุกครั้งนะ ต้องคิดเผื่อใจไว้ด้วย คนมันมีทั้งดีและไม่ดี สมัยนี้คนไม่ดีมันเยอะกว่าแล้วนะ

ชิก็รู้ และระวังตัวตลอดว่า เราจะไม่มีวันเจอคนดีเสมอไปหรอก



แต่ทริปนี้ก็ยังไม่โดนจับไปขายทำลูกชิ้นที่มาเลย์แฮะ 5555555555555



การเดินทางม้วนนี้จบลงแล้ว (EP. สามจังหวัดชายแดนใต้)



ม้วนต่อไปมันเริ่มจากตรงนี้ มุ่งหน้าไปหาดใหญ่กันเถอะ

ขอโทษนะคะที่อัพช้า

คือสมองมันแบบเบลอๆ ใช้ชีวิตประจำวันปกติไปด้วย



รูปมันกระจายอยู่หลายที่ หลายFolder อยู่ใน facebook ที่synced ผ่าน iphone ด้วย

จึงไมไ่ด้ re รูปพร้อมๆกันทีเดียว แล้วปกติชิจะลำดับการเดินทางโดยดูตามรูปที่ถ่ายมาค่ะ

เป็นคนขี้ลืมจริงๆ ไม่ชอบอะไรที่ยุ่งยาก และจะไม่ทำอะไรที่มันรบกวนเวลาเที่ยวของเราไปมากค่ะ



คือสถานการณ์จริง มันต้องระวังตัว ดูแลของของตัวเองให้ครบอยู่ตลอดเวลา อะไรที่หยิบออกมาบ่อยนี่ต้องดูแลเลย

ต้องคอยมองคนอื่นที่มองมา แบกสัมภาระก็เยอะ ย่อมเป็นที่สะดุดตาอยู่แล้ว

แต่คนส่วนใหญ่มักจะคิดว่าเป็นคนญี่ปุ่น ไม่ก็จีน แบคแพคมานะ ฮ่าๆๆๆๆ อาจเป็นเพราะคนไทยพึ่งจะเริ่มแบกเป้เที่ยวไทยกันอ่าเน๊อะ



ค่ารถตู้จาก นราธิวาส-หาดใหญ่ 170 บาทขาดตัว รถออกวันละ 30 กว่าเที่ยว เต็มออกๆ

รถวิ่ง 3 ชั่วโมง เกือบๆ บ่ายโมงก็ถึงขนส่งหาดใหญ่



สภาพเท้าตอนนี้เริ่มไม่ไหวแล้วค่ะ เนื่องจากเล็บช้ำจากการวิ่งที่เล่าไปตอนต้นๆ ทำให้ต้องพักเท้าใส่แตะบ้าง

เดี๋ยวค่อยไปใส่รองเท้าผ้าใบตอนจะได้เดินเยอะๆเอา



..............................................................................



ภาพเมืองสงบเงียบที่นราธิวาส เมืองที่มีแต่ผู้คนโพกผม เริ่มเลือนลาง

เหมือนกลับเข้าสู่โหมดแห่งความเป็นจริงที่คนขับแท็กซี่ สามล้อ สองแถว ต่างก็กรูกันเข้ามารุมถามว่า ไปมั๊ยๆ ..ไปไหนๆๆ



เราปลีกตัวออกห่างจากพวกเค้าไปก่อน (ไปตั้งหลัก)

ตอนนั้นรู้แค่ว่า

........

หิวมาก

เลยเดินไปหาร้านขายของชำที่ในสถานี



คนขายตะโกนมาว่า Hello , where you from ?

ชิตอบกลับไปว่า สวัสดีค่ะ ไทยแลนด์เนี่ยแหล่ะค่ะ



ซื้อของกินพอรองท้องก่อนพร้อมกับถามทางไปสถานีรถไฟ



นั่งคิดอยู่บนรถตู้ก่อนจะถึงหาดใหญ่แล้วว่า จะไม่แวะซื้อเลนส์กล้องในเมืองแล้ว ดูสัมภาระสิ คงจะไม่ได้สะดวก แถมในหัวยังไม่มีสักตัวเลือกเลย

ของที่ราคาแพงมันใช้การตัดสินใจเร็วๆไม่ได้



เลยคิดว่า จะไม่แวะหาดใหญ่แล้ว เพราะเมื่อ 2 ปีก่อนก็แวะมาเที่ยวที่นี่ก่อนจะขึ้นรถตู้ไปปีนัง

จึงคิดว่าไปเริ่มต้นสถานีรถไฟก่อนละกัน



คิดว่าหวยจะออกเป็นจังหวัดไหนกันคะ !!??

ถามทางคนขายขนม ว่าประมาณกี่โล เค้าบอกเดินไปได้ 3-4 โล



จากนั้น ลุงๆสองแถว คนไหนมาถามไปส่ง เราก็ เริ่ดๆเชิ่ดๆสะบัดบ้อบหนีเลย .. เดี๋ยวจะเดินไปเอง

ไม่รู้ว่าเดินมาไกลแค่ไหน แล้วอีกไกลแค่ไหนกว่าจะใกล้

ระหว่างทางก็มองๆ หาร้านที่ว่าท่าทางน่าอร่อยจะแวะทาน ก่อนถึงสถานีรถไฟ ความหิวเริ่มถึงเลเวล7

ก็มาเจอกับร้านเย็นตาโฟร้านนี้ ดูคนทานเยอะดี น่าจะอร่อย (เรื่องกินก็เรื่องใหญ่เหมือนกัน)

ช้าหน่อย แต่อร่อยโฮก

กุ้งกรอบเน้นๆ

มื้อนี้ค่าเสียหาย 40 บาท

เดินมาเรื่อยๆ ตามคำบอกของคนข้างทาง

ผ่านลีการ์เด้น ผ่านบ้านคน รถสองแถวยังคงให้ความสำคัญ บีบแตรใส่มันทุกคัน เราก็โบกมือบ๊ายบาย ไม่ไปๆ คิดในใจเดี๋ยวก็ถึงๆ



สภาพการเดินทางวันนี้

เล็บเท้าใกล้จะหลุดแล้ว แต่ตอนเดินหาสถานีรถไฟหาดใหญ่ก็กลับมาใส่ผ้าใบต่อ เอาให้มันหลุดๆไปเร็วๆ

เลนส์กล้องพังไปแล้ว ตลัดแยกครีมแบบ all-in-one แตก พร้อมกับครีมกลางวันได้หมดลงไปแล้ว

และ เป้ หน้าหลังที่ หนักมาก บอกเลย ((นึกออกละว่าหนักไร ตอนเข้าไป ททท.ที่นราธิวาส ก็ไปหยิบๆโบรชัวร์แหล่งดำน้ำ ท่องเที่ยวจังหวัดต่างๆมาเผื่อไว้พิจารณาทีหลัง ซึ่งหลายเล่มมาก TT))



มาถึงแล้ว เย้ๆ เห็นเหมือนรางรถไฟอยู่ด้านหน้า จัดการเดินขึ้นไปบนสะพานลอยเลย

พอเดินขึ้นไปแล้ว ที่ไหนได้ ทางเข้าสถานีรถไฟมันอยู่ฝั่งนี้แหล่ะ อันนี้มันสะพานข้ามไปอีกฝั่ง ใครมาอย่าไปขึ้นนะ กว่าจะเดินขึ้นไปได้ ทำเอาหอบเลย ต้องเดินกลับลงมาอีก

ฝั่งตรงข้ามสถานีรถไฟเป็น Robinson ว่างๆรอขึ้นรถไฟไปเดินตากแอร์เย็นๆได้

ถึงแล้วหล่ะ สถานีรถไฟหาดใหญ่ ถ้านั่งมอไซต์รับจ้างมาคงสะดวกกว่านี้

แต่ความคิดเราปกติจะคิดว่า 3-4 โลมันจิ้บๆมาก วิ่งแปปเดียว แต่นี่ลืมไปไง เป้แดงหนักน่าจะสัก 8-9 โล เป้ฟ้าอีกโล

มาถึงที่ก็ทำเอาเหนื่อยได้เหมือนกัน



รีบวิ่งไปซื้อตั๋ว เพราะคาดว่าใช้เวลาเดินมากว่าจะถึงเยอะไป

จังหวัดที่จะไปต่อ คือ "จังหวัดนครศรีธรรมราช" ค่ะ พอดีเห็นว่ามีรถไฟฟรี เป็นขบวนรถบริการสังคมขบวนที่ 452

ป่ะ ไปนครศรีธรรมราชแบบฟรีๆ กัน



นั่งรอไม่ถึง ครึ่งชั่วโมงรถไฟก็มา



ป่ะไปดูบนบนรถกันว่า สภาพเป็นยังไงบ้าง

ที่นั่งคล้ายๆ กับรถไฟฟ้ามาหานะเธอที่เมืองหลวงเลย



จะนั่งตรงไหนก็นั่งไป เพราะเป็นตั๋วฟรี



หืม... อะไรแว้บๆ

ดูอีกทีสิ

ทีนค่ะ ทีน เต็มๆหน้า

มันใกล้.. เกินกว่าจะพูดคำใดๆออกไป ....

ถึงชิจะเป็นผู้หญิงแนว อึด ถึก ลุย แต่เป็นคนอ้วกง่ายนะ

มันเริ่มพะอืดพะอมแล้วหล่ะ ก็เลยกระเถิบๆ ไปที่นั่งข้างๆอีกหน่อยเพื่อไม่ให้น่าดูน่าเกลียดเกินไป ก่อนที่เย็นตาโฟเมื่อกี๊มันจะพุ่งออกมาเริงร่าบนรถไฟ

ผ่านสถานีแล้ว สถานีเล่า คนเริ่มน้อยลง ถือโอกาสเดินสำรวจเสียหน่อย

ทะลุมิติเข้าไป

เห้ย เบาะนั่งในตำนาน ไม้ล้วน 90 องศา

คุณป้าคนเดิมยังไม่ตื่น นี่จะลงสถานีไหนอ่า ยาวไปๆ ปู๊นนนนนนนนๆๆ



คาดว่า ฝนคงใกล้จะตกแล้วหล่ะ

ก็ภาวนาว่า ที่นครศรีธรรมราชฝนจะไม่ตกหนักนะ

นั่นไง อะไรที่ไม่หวัง เราจะได้มันมา



ฝนลงแล้ว ทำท่าว่าจะหนักขึ้นเสียด้วย เลยจัดการห่อพี่ใหญ่ซะ ถ้าเปียกเดี๋ยวหมดหล่อ

บังเอิญรุ่น 40+10 ตัวนี้ไม่ได้แถม Rain cover ก่อนออกบ้านก็ไปแอบหยิบของพ่อติดมาด้วย เป็นการจับมือกันของแบรนด์ยักษ์ใหญ่ที่ผสมผสานกันได้ลงตัวดีมาก



ระหว่างทาง ก็ไลน์คุยกับพี่ที่นราธิวาส ว่าเราได้ปลายทางแล้ว จะไปนครศรี ( พี่เค้าก็ไม่เคยรู้ว่าเราจะไปไหน พวกเค้าลุ้นให้ชิไปหลีเป๊ะ แต่ไม่ไป เพราะเงินยังไม่เป๊ะ 5555)

ด้วยความใจดีอีก เค้าบอกว่ามีเพื่อนที่นครศรี เดี่ยวไงให้เค้าช่วยจัดการหาที่พักอะไรให้

เราก็บอกว่า เห้ยยยยยยยย ไม่เอาไม่เป็นไรเกรงใจ (เดี๋ยวหาให้แพงละยุ่งเลย แอร้ยยยยย ... งบประมาณมีจำนวนจำกัด 555555)

สรุป เค้าเช็คอะไรให้เรียบร้อยก็โทรมาบอกว่า ที่พักอยู่ตรงนี้ๆ นะ จัดการให้เรียบร้อยแล้ว



แอร้ยยยยยยยยยย



ไม่ใช่นะ



เกรงใจเฟร่ออออออออออออออออออออออออ



ตัดภาพมาบนรถไฟบริการสังคมขบวนที่ 452

บนขบวนเหลือแค่ลุงคนหนึ่ง เค้าก็เข้ามานั่งคุยด้วย

คนนี้



เราก็นั่งคุยกัน สรุปว่าลงนคร ที่เดียวกัน

เค้าก็ถามเป็นปกติว่า มาจากไหนอะไรยังไง ทำไมมาคนเดียว

ลุงแกดูเป็นห่วงมาก ฝนก็ตกด้วย เค้าบอกว่า เดี๋ยวลงรถแล้ว ลุงจะไปส่ง บ้านลุงอยู่แถวนี้เอง ใกล้ๆ

เค้าจะเดินไปส่งที่วินมอไซต์แล้วให้เพื่อนที่เป็นวินด้วยกันไปส่งอีกต่อ (ราคาพิเศษ)



ตอนแรกเราก็ไม่เป็นไรๆๆๆ หนูเดินไปได้ ใกล้นิดเดียว (สำรวจเส้นทางมาแล้ว มันอยู่ในระยะ 2-3 โลเอง)



แต่สุดท้ายโชคดีแล้วหล่ะที่ตามเค้าไป เพราะฝนตกหนักมาก

เค้าบอกว่าที่เมืองนี้ อันตราย ขี้ยาเยอะ .... (ลุงเขาบอกกกก)

เป็นผู้หญิงด้วย

ตามๆ ไป สงสารลุงแกด้วย เกรงใจอะ ลุงแกก็แก่



คือแกบอกว่า แกมีลูกสาว อายุรุ่นราวคราวเดียวกัน เรียนอยู่กรุงเทพ เห็นแล้วคิดถึงลูกตัวเอง

สุดท้ายลุงแกก็มาส่งถึงวินมอไซต์ เออ ดีแล้วหละที่ลุงพามาส่งให้เพื่อนเค้าที่เป็นวิน



สุดท้ายก็ขอบคุณลุงมากๆ ใครที่เป็นลูกสาวแก ถ้ามาอ่านเจอ ขอฝากความห่วงใยและความขอบคุณไปให้ด้วยนะคะ

แม้ตอนขอถ่ายรูป แกยังไม่ยอมยิ้มเลย แกเป็นห่วงเรามากๆอะ ว่าจะถึงโรงแรมอย่างปลอดภัยรึเปล่า

เป็นคนดีจริงๆ



สุดท้ายก็แว้นซ์ๆๆๆๆๆๆ ไปจนถึงโรงแรมอย่างปลอดภัยแต่เปียกโซ่ก

มาถึงโรงแรม ก็เหมือนบุญหล่นทับ โชคดีต่อที่สอง

พี่ที่เค้าจัดแจงห้องพักให้ เค้าเอาจักรยานมาทิ้งไว้ให้ยืมด้วย สบายล่ะ ทีนี้

โรงแรมอยู่ใกล้ๆ กำแพงเมืองเก่า ไม่ได้หรูหรา แต่ก็ขอบคุณน้ำใจพวกพี่ๆเค้ามากที่ช่วยเหลือกันถึงขนาดนี้

ถ้าขึ้นเหนือมาเมื่อไหร่ ให้โทรมา เราจะบอกว่าไม่อยู่บ้านนนนนนน 55555555555



รีบตากเสื้อผ้าที่เปียก ผึ่ง rain cover แล้วปั่นจักรยานไปทานข้าวร้านใกล้ๆ พร้อมซื้อหนมปังและนมมาเผื่อทานรองท้องตอนเช้า

กลับห้องมา อาบน้ำ ทำการบ้านหาข้อมูล พรุ่งนี้ไปไหน อะไรยังไงดี



เห้ย มีทะเลน่าสนใจหลายแห่งเลยที่นี่

เราก็สนใจหลายที่นะ แต่ดูดูทะเลขนอมไว้ เพราะเห็นว่าอยู่ใกล้กับท่าเรือดอนสัก (ท่าเรือที่สามารถไป สมุย พะงัน และเกาะเต่าได้)



ขณะนั้น ทางบ้านก็ไลน์มาบอกว่า อาม่าทรุดหนักมาก ตอนแรกหมอบอกเป็นปอดบวม ไอเป็นเลือด ความคืบหน้าชิก็ทราบเพียงแค่นี้ค่ะ

แต่อยู่ในการดูแลของหมอ เราก็เบาใจนิดนึง แต่ยังไม่ออกจากโรงพยาบาล



...........................................................



ตื่นเช้ามาพร้อมกับไลน์จากที่บ้าน ที่บอกว่า "อาม่าไม่ไหวแล้ว หมอบอกให้ทำใจ"



เปลี่ยนแผนเลยตอนนั้น ไปไหว้แค่พระธาตุแล้วออกเดินทางไปสุราษฎร์เลยดีกว่า

ความคิดตอนนั้นคือ จะเที่ยวยังไง มันไม่สนุกแล้ว



ตั้งใจเบนเข็มลงสุราษฎร์สักวันสองวัน จิตใจเราก็น่าจะดีขึ้น (วัดเป็นที่พึ่งใจยามทุกข์จริงๆนะ) และก็ถือโอกาสสวดมนต์ทำบุญให้อาม่าหายเร็วๆ และดีขึ้นด้วย (ความเชื่อส่วนบุคคล)


ทำไมต้องไปที่สุราษฎร์ !!??



เพราะรับปากพ่อไว้ตั้งแต่ตอนมาถึงนราธิวาสว่า ขากลับถ้าผ่านสุราษฎร์ให้แวะกราบท่านอาจารย์อมรีย์(ท่านเป็นคล้ายๆภิกษุณี แต่ห่มขาว)

ที่อำเภอพุนพิน เราก็รับปากไว้ เพราะไม่ได้พบท่านมานานมากแล้ว

ท่านเป็นผู้มีบุญคุณคล้ายกับได้ช่วยชีวิตชิไว้เมื่อ 17 ปีก่อน

ท่านมี 12 สำนักทั่วประเทศไทย แต่ตอนนี้ท่านอาจารย์อยู่ที่สุราษฎร์ก็จะเป็นโอกาสที่ดีที่จะได้ไปกราบท่าน



เรื่องดูจะซับซ้อนไปหน่อยนะ เดี๋ยวค่อยๆเล่าไป

ไปเที่ยวก่อน



พักโรงแรมฝั่งตรงข้ามกำแพงดินเลย

แพลนที่แรกที่จะไปคือไปดูตั๋วรถจะไปสุราษฏร์ ที่ขนส่งนครศรีธรรมราช

ปั่นไปด้วยความเร็วสูง (เวอร์) สักพักก็ถึง

จะไปไหน เลือกเลย

ตั่วก็ไม่ได้ซื้อไว้หรอก มาดูไว้เฉยๆ พอใกล้ๆ เวลาแล้วจะค่อยมา เพราะเค้าบอกว่า เต็มก็ออกเลย



จากนั้นก็ปั่นไปเที่ยววัดพระมหาธาตุค่ะ แดดเริ่มเปรี้ยง

มีเด็กๆมาทัศนศึกษาด้วย ตอนแรกก็เรียกเด็กๆพวกนี้มาถ่าย บอกว่า ขอเป็นแบบให้หน่อย

โดนครูเรียกละวิ่งหนีอีเจ้เลย



ปะ เข้าไปชมกันดีกว่า



ตามเด็กๆไป



รอบๆพระธาตุรายล้อมด้วยเจดีย์อยู่หลายองค์



ตอนที่กำลังจะออกจากวัดนี้ไป มีเพื่อนทักมามาแชทว่า ไปดูเงาพระธาตุซิ

ไอ้เรารีบเดินกลับเข้าวัดไปดู ...



มันไม่มีหรือมันหาไม่เจอหล่ะเนี่ยยยยย

ได้ความมาว่า หากมองเห็นเงาพระธาตุ ในปีนั้นจะเจอวิกฤติ เภทภัย ซึ่งครั้งนึงเมื่อปี 2505 ก็ได้เกิดวาตภัยที่แหลมตะลุมพุกขึ้น



หลังจากนั้นก็ปั่นจักรยานไปเที่ยว หาข้าวกินเรื่อยเปื่อย

แวะทานข้าวหมกไก่ ที่ตลาดอะไรสักอย่าง จำชื่อไม้ได้ละ ชื่อ ม้าๆ ไรสักอย่างป่าว

แปลกใจตรงที่มี แตงกวา พริก น้ำอาจาด เสิร์ฟให้ด้วย เริ่ดอะ แถวบ้านไม่มี เป็นข้าวหมกไก่ที่อร่อยมากๆเลย ไม่ได้ทานข้าวหมกไก่อร่อยๆมานานหลายปีแล้ว

กำแพงเมืองและจักรยาน(ของเค้า)ที่เรายืมมาปั่นเล่น

เรื่องราวหลังจากนี้ไปคุณอาจจะกำลังเข้าสู่หนังม้วนดราม่า น้ำตาไหล



การเดินทางที่ไม่มีแผนการ มันมีอะไรที่เกิดขึ้นได้ทุกอย่างภายใน 60 วัน



กำลังคิดว่า ตอนจบมันจะดิสเครดิตตัวเองรึเปล่า แต่ถ้าไม่เล่าก็ไม่รู้จะจบยังไง



มันคือหนังชีวิตม้วนหนึ่งของคนคนหนึ่งเลยแหล่ะ



(เพ้อก่อนๆ พึ่งกลับจากทานข้าวที่เชียงใหม่มาค่ะ) เอ้าปั่นนนนนนนนนน ต่อ

..............................................................................



กลับจากวัดพระมหาธาตุ วัดคู่บ้านคู่เมือง จังหวัดนครศรีธรรมราชมา

ก็เคลียร์ห้อง เก็บกระเป๋า อะไรนิดๆหน่อยต่อจากเมื่อตอนเช้า พร้อมเช็คเอาท์เตรียมตัวไปขึ้นรถที่ขนส่ง

อันนี้ลุงที่โรงแรมถ่ายให้ ภาพใช้ได้นะเนี่ย องค์ประกอบต่างๆ นางแบบ (ประชด)



นั่งวินมอไซต์หน้าปากซอยให้ไปส่งที่ขนส่ง ต่อจาก 40 บาท เหลือ 30 ( อะไรต่อได้ก็ต่อไป ไปเที่ยวแบบนี้ เราอยู่ในฐานะที่จนที่สุดในชีวิต )

แต่ลุงวินมอไซต์ก็ใจดีอะ ตอนพิมนี่ก็คิดนะ 10 บาทเอง ไปต่อเค้าทำไมวะ เห่อๆ



อ้าว ถ่ายไม่ติดลุง ไม่เป็นไร เดี๋ยวเห็นหน้าลุงละหนูจะรู้สึกผิด ที่ไปต่อราคาวินลุง TT

มาถึงขนส่ง รถยังไม่เต็ม ไม่รู้จะนั่งรอทำไร เลยมาเดินเล่นที่เค้าขายของ

มาเห็นเจ้าสิ่งนี้เข้า เห้ย มันคือสิ่งที่เราเคยรู้จัก หรือ ไม่รู้จักมาก่อนวะ

ถามคนขายได้ความว่า ชื่อ "หลุมพี" .... เออ ยังไม่เคยรู้จักจิงๆแหล่ะ



เค้าให้ชิมเอาลูกนึง ........................

เปรี้ยวเหมือนผลไม้ดองเลย .... มิใช่แนวอะ

ไม่ได้ชิมแล้วจากไปนะ อุดหนุนอย่างอื่นอยู่



ได้เวลารถออกแล้ว

หันหางเสือเรือขึ้นเหนือ เราจะไปสุราษฎร์ธานีกัน

รถตู้จากนครมาหยุดที่ตลาดเกษตร 2



ก่อนหน้านี้ พ่อได้โทรให้ทางสำนักแม่ชีมารับที่ตลาดเกษตรนี่แหล่ะ

เนื่องจากที่สำนัก กำลังมีการก่อสร้าง และตั้งอยู่ห่างจากในเมืองสัก 20 โลได้ เมื่อเวลาของขาด ต้องการอะไหล่สิ่งของอื่นใด

ก็ต้องขับออกมาซื้อเกือบแทบทุกวัน คุณแม่ชีจึงมาแวะรับได้



ขอเข้าวัดไปทำใจ ทำบุญ ส่งบุญให้อาม่าก่อนสักวันสองวันนะ ตอนนี้แกยังไม่มีปฏิกริยาตอบโต้อย่างใดเลย นอนตาค้าง ลืมตาตลอดเวลา นอนนิ่งในห้อง CCU อ่า

ถ้ากำลังใจดีขึ้น คงเที่ยวต่อได้สนุกขึ้น (หวังจะอยู่เที่ยวต่อ ยังไม่คิดกลับบ้านง่ายๆ)



....................................................................

แม่ชีมารับแล้วบอกว่า ขอแวะตลาดศาลเจ้าซื้อของแป๊บนึง



โอ้ววววว สวรรค์แห่งของกินชัดๆ ที่นี่

จัดของกินไปรัวๆ นะ

พิมอยู่ตอนนี้ยังอยากกินเลย ตาก็จะปิด เที่ยงคืนแล้วหรือนี่

เดินไปอีกนิดนึง ไปเจอกับเจ้านี่

ทอดมันเสียบไม้ ...

ซื้อเลย 20 บาท 5 ไม้ ถ้าจำไม่ผิด



สักแปปแม่ชีเดินมาบอก

เจ้านี้เจ้าต้นตำหรับ

อ้าวแม่ ซื้อไปแล้ว



ทำไมพึ่งบอก



พลาดตลอดเลยเรา



แต่ก็อร่อยดีค่ะ



เอิ่ม..ยายคะ อยากจะถามนิสสนึงว่า

เหลาไม้เหนื่อยไหมคะ ..........................(ถามในใจ)

มาถึงสำนักปฏิบัติธรรมที่สุราษฎร์

แม่ชีก็จัดแจงที่นอนให้ว่านอนตรงไหนยังไง ที่นี่ได้รับความเสียหายจากน้ำท่วมใหญ่เมื่อปี '54 มั้งคะ ถ้าจำไม่ผิด

ทำให้ท่านอาจารย์แม่ชีเจ้าสำนักท่านได้ตัดสินใจจะสร้างตรงนี้ให้เป็นภูเขาลูกนึง ขณะนี้ก็อยู่ในกระบวนการสร้างอยู่



มาถึงที่นี่ ก็จะมีแม่ครูมาแนะนำว่า ควรทำอะไรยังไงบ้าง

เค้าก็ให้เปลี่ยนชุดเป็นชุดชาว แล้วบอกว่า ทุกวันจะมีเรียน 3 เวลา เช้า บ่าย และ 2 ทุ่ม (ในใจเราก็คิดว่า ค่ะๆ อยู่ 2 วันเอง)



สำนักปฏิบัติธรรมแห่งนี้ อยู่บนพื้นที่ 40 กว่าไร่ โดยมีผู้ศรัทธาถวาย

รอบๆบริเวณนี้จะเป็นสวนปาล์มของชาวบ้าน หลายร้อยไร่ มองไปไกลๆ เห็นเขาหัวควายด้วย



วันแรกได้เข้าไปกราบท่านอาจารย์อมรีย์

บุคคลผู้เคยช่วยชีวิตชิเมื่อ 17 ปีก่อน (( จากนี้ไปโปรดจงใช้วิจารณญาณในการรับอ่าน ))



ย้อนไปเมื่อ 17 ปีก่อน

เด็กน้อยคนหนึ่งไปเที่ยววัดดอยขะม้อกับครอบครัวที่จังหวัดลำพูน วัดแห่งนี้ต้องเดินขึ้นบันได 1,xxx ขั้น เพื่อขึ้นไปเอาน้ำทิพย์

ผู้ใหญ่กำลังไหว้พระกันอยู่ น้องคนนี้ซนมาก เดินขึ้นไปกับพี่ชายน้องชาย 4 คน



ขึ้นไปก็สูงแล้ว แม่ดันตะโกนฝากบอกคนน้องชาย ที่เดินรั้งท้ายว่า ให้ลงมากราบพระด้านล่างก่อน

พวกเราก็ โอเคๆ เดินลงมากันปกติ



แต่ลิงน้อยคนนี้วิ่งลงมา เพราะเห็นว่าทำได้และสนุกดี

เป็นเหตุให้ชนน้องชายล้มหน้าฟาดบันได คิ้วแตกต้องเย็บหลายเข็ม

ส่วนตัวเองสลบนอนไม่ได้สติอยู่ใน ICU 9 วัน ไม่ยอมตื่น



พ่อแม่เป็นกัววลมาก ไม่รู้จะทำยังไง อาอึ้มก็ได้โทรไปขอบารมีท่านอาจารย์ช่วย

ท่านบอกว่า ถ้าฟื้นแล้วให้รับปากว่าจะบวช 1 เดือน

ทุกคนตกลง (( ไม่ถามฉันสักคำ ว่าฉันอยากบวชไหม ))

ด้วยปฏิหาริย์ อีกวันก็ฟื้น (เชื่อไม่เชื่อก็แล้วแต่นะ)



ตื่นมา ประโยคแรกที่พูด

จำได้อย่างดีจนถึงทุกวันนี้

"แม่ หนูอยากกินมาม่า"

อันนี้จริงๆ แม่ยังจำได้ ไม่ได้มุกด้วย



และแล้ว summer นั้น ก็มีแม่ชีน้อยอยู่องค์หนึ่งวิ่งเล่นไปมา อยู่จนครบ 1 เดือน ช่วงเมษาพอดี

เปิดเทอมมา เพื่อนๆล้อกันใหญ่ คนมองกันทั้งโรงเรียน ลองไปถามดูเหอะ นักเรียนทุกคนในรุ่นนั้นจำชิได้แน่นอน



นี่ก็เป็นเรื่องราวของชิกับท่านอาจารย์อมรีย์ ผู้ที่ทั้งบ้านหรือทั้งโครตเราศรัทธา เป็นทั้งผู้อุปฐากช่วยเหลือสำนักที่ลำพูนและหลายๆสำนักในประเทศ



.......................................

วันนี้มีโอกาสเข้าไปกราบท่านอาจารย์

ท่านจะลงมาเทศน์ ทุกวันช่วง 9:00-11:00น

ท่านยังจำชิได้ สมัยนั้นท่านยังอยู่ที่สำนักที่จังหวัดสกลนคร



เราก็มาขอบารมีท่าน บอกเล่าเรื่องราวของอาม่า ว่าแกป่วย จะไม่ไหวแล้ว อยู่ในห้อง CCU ควรจะทำยังไงดี

ท่านก็บอกให้เราปฏิบัติธรรมให้ แล้วให้ปลงผมด้วย จะช่วยได้เร็ว

เราก็เห้ยยยยย

ก็ปฏิบัติวิปัสนาส่งบุญไปให้อยู่ 2 วันตามกำหนดการของเรา



ขณะนั้นก็มีกลุ่มผู้ศรัทธาในธรรมกลุ่มนึง เป็นวัยรุ่น 3 คนมาพักที่วัด เค้าแพลนอยู่ 3 วัน

ทุกคนเป็นคนสุราษฎร์ พวกเราสนิทกันมากแค่เพียงไม่กี่วัน จนทุกวันนี้ก็ยังติดต่อกัน

พี่คนขวาสุดใจมาก

มาถึง ฉันอยากบวชชี เย้ยยยยยยยย แกโกนเลย แต่ก็ไม่ได้บวชชีนะ ก็นุ่งขาวห่มขาวเฉยๆ

นี่ยังงงอยู่ พี่เขาต้องการไรเนี่ยยยยย 55555555



อยู่ครบ 2 วัน ก็จัดพานไปลาศีลกับท่านอาจารย์ ว่าหนูต้องกลับแล้วค่ะ (( ยังเที่ยวไม่จบ แหะๆ ))

ท่านบอกยังไม่ให้กลับ รออาม่าหายก่อน แล้วก็บอกให้ปลงผมอีก ผมน่ะคือสิ่งที่เรารักมาก

ถ้าปลงได้ ก็เป็นกุศล ช่วยส่งต่อบุญให้เค้าได้นะ เราก็เห้ยย ไม่ทำหรอก



ไอ่เราก็ อืม ไม่เป็นไร เดี๋ยวรอกลับพร้อมพี่ 3 คนนี้ พี่เค้าบอกจะพาไปเที่ยวกระบี่ด้วย

.......................................................

5 วันผ่านไป

ทางบ้านบอกว่า อาม่าอาการทรุดลงๆ หมอบอกให้ทำใจ เพราะร่างกายแทบไม่ตอบสนอง ทานข้าวทางสายยาง

ไม่มีใครกล้าถ่ายรูปส่งทางไลน์มาให้ดู แม่ไปเยี่ยม ยังน้ำตาไหล บอกว่าแกคงไม่ไหวแล้วหล่ะ (อาม่าอายุ 77 ปี)

ร่างกายแข็งแร็งมาก ก่อนที่ชิจะออกจากบ้านมาเที่ยว 1 วัน เรายังไปดู I fine thank you love you ด้วยกันอยู่เลย

แถมวันนั้นก็ยังไปชมบ้านดินที่เชียงใหม่กันอยู่เลย

ในขณะนั้น แม่ชีของสำนักท่านอาจารย์ที่ ดอยสะเก็ด 1 และดอยสะเก็ด 2 (เชียงใหม่) ก็มาเยี่ยมละสวดมนต์ให้ด้วย



...............................

เช้าวันนี้ก็ได้เข้าไปกราบท่านอาจารย์อีก จะมาขอลาศีล เพราะนี่ก็อยู่มา 5 วันแล้ว

ท่านก็ไม่ให้กลับ บอกว่าให้ช่วยอาม่าก่อน แล้วก็ให้ปลงผม พูดซ้ำๆอย่างเดิม



วันนี้เริ่มมีความคิดว่า ถ้าทำแล้วจะดีจริงๆหรือ

โทรคุยกับที่บ้าน พ่อพูดว่า ถ้าหากมีทางจะช่วยแล้วทำไมไม่ทำ ถ้าวันนึงเสียอาม่าไปแล้วเราไม่ทำ จะเสียใจตลอดชีวิตไหม ท่านอจ บอกเธอช่วยได้ก็ช่วยเลยดิ

ด้วยความที่เราก็คิดว่ากว่าจะผมยาวขนาดนี้ มันก็มีความรู้สึกว่า กว่ามันจะยาวนะเว้ย ความคิดหลากหลายเข้ามาในหัว



อีกอย่างชิทำเพจท่องเที่ยวด้วย พึ่งออกมาจาก 3 ชายแดนใต้อย่างปลอดภัย ได้ไปต่อแบบสวยๆ เริ่ดๆ อัพรูปอีกทีหัวแหม่ง เค้าไม่ งง กันรึ

แค่อีกใจก็คิดถึงใจพ่อ คนที่จะเสียแม่ไป ก็เหมือนเราจะเสียพ่อแม่ไป ความรู้สึกมันอันเดียวกัน

ถ้าเราศรัทธามุ่งมั่นจริงปาฏิหาริย์คงมีแหล่ะ



ขอบอกว่า คนที่ใจจะสลาย มักจะทำได้ทุกอย่าง ตอนนั้น ความรู้สึกสูญเสียนี่มันมารออยู่เลย



วันนั้นจึงตัดสินใจแน่วแน่ เด็ดขาด เอาเลย (ไม่ได้เป็นแม่ชีนะคะ เป็นโยมนุ่งขาวห่มขาวเฉยๆ ถือศีล 8)

คือเราเชื่อ และ ศรัทธาในท่านอาจารย์ ท่านถือศีลตั้ง 311 ข้อ ทำไมท่านจะไม่รู้ว่าทำแล้วจะได้อะไร พระอริยะรู้ทุกอย่างแต่ไม่พูด

เพียงแต่เรายังเป็นคนธรรมดา ยังต้องอยู่ในโลกที่สังคมให้ความสนใจกับหน้าตามากกว่าในอดีต ถ้าไม่ศัลย์ก็ไม่ป้อบ ( จนป่านนี้นี่ก็ยังไม่ได้ทำ 555555555 ) ไม่สวย หน้าไม่เรียว ตัวไม่ขาว คนอาจจะให้การยอมรับน้อย

แต่ตอนนั้นไม่แคร์อะไรแล้ว หากช่วยอาม่าได้ ฉันก็จะทำ



ทุกคนอาจจะคิดว่า เห้ยยย เราบ้าป่าว

ชิเป็นคนสุดโต่งแบบนี้แหล่ะ ชีวิตไม่ได้ขึ้นกับใครนี่ ไม่งั้น คงไม่เลือกไป 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

ชีวิตหลังจากนั้น ช่างมัน

หลายๆคนอาจสงสัยว่า เห้ย ที่เที่ยวๆมาข้างบนๆนี่ โพสแต่รูปสวยๆดีๆทั้งนั้น

ตอนนี้มาดิสเครดิตตัวเองซะงั้น .... อืม เจ้าตัวก็กำลังคิดอยู่

แต่ มันก็เรื่องราวของเราที่เกิดขึ้นจริงนี่หว่า มันไม่ได้สวยงาม ฟรุ้งฟริ้งเหมือนทริปใครเขา

อีกอย่าง ผม ถ้าไม่ตาย มันก็งอกใหม่ แค่ต้องใช้เวลาเท่านั้นเอง

ไม่กลัวคนรอบข้างมองแปลกๆหรอ ..บอกแล้วไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา ตอนนั้นรู้สึกเฉยๆ

ออกวัดมา ก็รู้สึกบ้างว่ามีคนมองเราแปลกๆ ก็ทำใจ



อีก 2 วันถัดมา

จากที่นอนตาค้าง ก็หลับตาได้ แปลว่าได้พักผ่อนแล้ว

เราก็ใช้ชีวิต ปฏิบัติธรรมไปเรื่อยๆ จากตั้งใจ อยู่ 3 วัน เป็น 5 วัน

5 วันเป็น เกือบๆ เดือนนึง


และแล้ว ถ้าจำไม่ผิด อาม่าก็ได้ออก รพ วันที่ 22 กพ กลับมาพักฟื้นที่บ้าน



ตลอดเวลาที่ชิอยู่สุราษฎร์ และทุกคนอยู่เชียงใหม่ ก็ได้ส่งความคืบหน้าให้กันตลอด

จริงๆมือถือควรจะงดใช้ในระหว่างปฏิบัติธรรม แต่ก็ทำใจไม่ได้ เราอยากรู้ ว่าท่านเป็นยังไงบ้าง

พออาม่าออก รพ เราก็ไปขอลาท่านอาจารย์กลับมั่ง ..... ก็ยังคิดไม่ตกเลย จะไปเที่ยวทั้งสภาพแบบนี้หรอ

แบบผู้ชายก็ไม่ใช่ ผู้หญิงก็ไม่เชิง

แต่คิดหรือว่าจะได้กลับหรือ ท่านอาจารย์บอกว่า เราปฏิบัติถึงขั้นนี้แล้ว ทำไมไม่ต่อให้จนจบคอสพื้นฐาน



การปฏิบัติ มีทั้งเดินจงกรม นั่งสมาธิ ตั้งแต่ 15 นาที จนเลเวลสุดท้าย ทำทุกอย่าง 60 นาที



เราก็คิดว่า คงมีวิธีเดียวที่จะออกวัดได้ คงต้องจบพื้นฐาน

หลังจากนั้นก็ตั้งใจปฏิบัติ อนุญาตให้แม่ชียึดโทรศัพท์ เข้ากรรมฐานเสร็จสรรพ

(เข้ากรรมฐานคือ เดิน-นั่งสมาธิ ตลอด 24 ชั่วโมงไม่หลับไม่นอนเป็นเวลา 4 คืน 5 วัน )



จนถึงเวลาได้ลาศีล ก็ให้แม่ชีออกไปส่งที่บิ๊กซีสุราษฎ์ แล้วรุ่นพี่ที่ปฏิบัติธรรมด้วยกันช่วงแรกก็มารับไปทานข้าวเย็นและส่งโรงแรม



##หนังม้วนนี้ดราม่าไปหน่อย แต่ก็จบลงด้วยดี

หายไป เกือบๆเดือนจากโลก โซเชียล ไม่ได้ติดต่ออะไรกับใคร

โผล่มาอีกทีโพสรูปนี้ มีแต่คนทักว่า ทานข้าว 2 มื้อจริงป่าววะ

***ปล วิกผมสั่งซื้อผ่านเน็ตให้ไปส่งที่สำนักปฏิบัติธรรมก่อนจะลาศีล



ออกวัดไปแทนที่จะกลับบ้าน เพราะออกบ้านมาเกือบๆ 60 วันแล้ว

รู้สึกว่า ยังไม่ได้สำลักน้ำทะเลเลย



งานนี้ เราจึงแพลนลงใต้อีกที มุ่งหน้าสู่กระบี่กันค่ะ





เรื่องราวแปลกป่าว คนBackpack อยู่ดีดี

เที่ยวจนผมหมดหัว

ขอโทษที่อาจจะทำให้ผู้ที่กำลังติดตาปะหลาดใจ และรู้สึกห่อเหี่ยวไปกับทรงผมใหม่ 5555555555

ไปเที่ยวกระบี่กันก่อน



ออกจากวัดมาก็มานอนโรงแรมแถวๆ ตลาดเกษตร 2

เพื่อที่ตอนเช้าจะรีบไปขึ้นรถตู้ไปกระบี่

ที่นี่สามารถขึ้นรถไปได้ทุกจังหวัดในภาคใต้เลยค่ะ



อาหารเช้าในตลาดได้เป็นโอวัลติน หมูกับข้าวเหนียวและบ๊ะจ่าง อร่อยๆ

พอถึงเวลาก็มาขึ้นรถกับเจ้าที่เราซื้อตั๋วไว้



ระหว่างที่นั่งรถใกล้จะถึงกระบี่ก็นึกขึ้นได้ว่ามีคนรู้จักเค้าเคยทำงานกับเราที่ลำพูน ตอนนี้เค้ามาทำงานอยู่ที่กระบี่

ไม่ได้เจอกันนานมาก ก็เลยลองโทรไป เผื่อจะได้เจอพวกเค้า



เค้าก็บอกว่า มาถึงแล้วโทรหาได้เลยย

............ว้าว



โชคดีอีกแล้ววว



2 ชั่วโมง รถตู้ก็มาส่งลงที่ห้างโวค จุดนี้สามารถหารถสองแถวสีขาวไปอ่าวนางได้เลยค่ะ

แต่พวกเราได้นัดแนะกับพี่ชายพี่สาวของเราไว้แล้ว ^^



ก่อนอื่นแวะเข้าห้างทำธุระส่วนตัวเล็กน้อย

ใครทักแขนใหญ่มีมวยนะคะ

ผมสวยทักได้ 5555555555555

ที่แรกที่พวกพี่เค้าพาไป

เขาขนาบน้ำ



สุสานหอยล้านปี

ที่เป็นคล้ายๆคอนกรีตยื่นออกไปกลางทะเลนี่คือ หอยทั้งนั้นนนน



พักทานมื้อเที่ยงกันที่ วังทรายซีฟู๊ด

แต่เกือบฟินเพราะหอยชักตีนกับปูดำหมด

ที่นี่ขึ้นชื่อเกี่ยวกับความอร่อยของ 2 สิ่งนี้

ปะ ลงเรือ ไปดำน้ำกัน



จุดๆนี้ วิก เวิก ใส่ไม่ได้ละ

เกรียนฝุดๆ

ส่งรูปให้เพื่อนดู เพื่อนบอกหล่อสัสส



พอละ เราจะไม่ดิสเครดิตตัวเองอีกต่อไป



แต่ทรงผมไม่ได้เป็นอุปสรรคในการใช้ชีวิตประจำวันอะไรมากมาย

ยังคง keep riding อยู่



ไปทานข้าวก็ใส่วิก

บางทีก็ขี้เกียจ ก็จะใส่แค่หมวก

แต่ใครมีเคล็ดลับผมยาวเร็วก็แนะนำมาได้นะคะ พลีสสสสสส

ปล.ตอนนี้ใช้ของ Genive อยู่ค่ะ เร็วไฮสปีดจิงๆ

พวกเราเหมาเรือช่วง บ่าย 1,800 บาท 4 คน



มาเกาะแรกเที่ยวถ้ำพระนาง

ข้างหาดเราจะเจอเรือขายอาหารแบบนี้อยู่ตลอดแนว

ซึ่งสะดวกสะบายมาก

น้ำสับปะรด 40 บาท ถูกดี

เค้าบอกปกติ เมื่อก่อน 80 บาท แต่มีการประท้วงให้ลดราคาลงแล้ว

ดำน้ำสนุกมาก แต่ส่วนตัว ยังคงประทับใจที่เกาะทะลุ (ประจวบ-ทะเลชุมพร) ไม่หาย เพราะฉะนั้นอันดับที่ 1 ยังเป็นเกาะทะลุ

The winner จึงยังไม่โดนโค่นไป อาจเป็นเพราะ ได้ไกด์ดำน้ำด้วย ทริปถูกแต่ โออะ แนะนำทุกอย่าง พาดำผุดดำว่าย สนุกมากกกกกกก

อันนี้ดำกันเองกับพี่ๆก็สนุกเหมือนกัน แต่ไม่ค่อยแอดแว้นนเชร่อเท่า อิอิ

Tup Island หรือ ทะเลแหวก กระบี่



คนมีคู่ไม่รู้หรอก



วันนี้เป็นวันที่ออกนอกบ้านครบ 60 วันพอดี

ด้วยธุระที่เร่งด่วน นัดหมายและรับเงินเค้าไว้ตั้งแต่มกรา ในอีก 5 วันจะถึงวันครบกำหนดที่เราต้องเคลียร์ธุระนั้น

ทำให้ ทริปไปต่อยาวกว่านี้ไม่ได้



เนื่องจากที่ด่วนมากๆ

จึงต้องบินจากกระบี่กลับเชียงใหม่ รอบดึกนั้นเลย

จากที่ตั้งเป้าว่า จะเดินทางคนเดียวทางบกล้วน กลับต้องเป็นโมฆะ

แต่ทริปนี้มีเรื่องราวที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นเยอะมาก



ลองคิดดูว่า หากฝนไม่ตกอย่างหนักแล้ว ถ้าหากออกจากบ้านไปตั้งแต่วันที่ 9 เรื่องราวที่เล่าต่อไปนี้จะเป็นแบบไหน

3 จังหวัดชายแดนใต้ก็คงอด

ถ้าเกิดอาม่าป่วย เราอยู่ที่เวียดนาม คงต้องอกแตกตายแน่ๆ จะช่วยยังไง

ปล.... อาม่า ไม่ต้องฟอกไตอีกแล้ว จากที่ปกติ คนที่เคยได้รับการฟอกไตครั้งนึงแล้วนั้น ต้องได้รับการฟอกไตตลอด แต่อาม่ากลับไม่เป็นแบบนั้น

กลับมาใช้ชีวิตปกติ อาการดีขึ้นเรื่อยๆ ^^



.................................................................................................



ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามจนจบ

บางท่านอาจอกหักไปเลย 5555555555

บางท่านอาจไม่เข้าใจว่าทำไมต้องตัดสินใจทำอะไรแบบนี้ เพราะไม่อิน

บางท่านอาจจะชอบการเดินทางต่างๆ ไปหลังไมค์ได้นะ หรือไปแชทบ็อกซ์ที่เพจเที่ยวหัวหกก้นขวิดได้

ขอบคุณคนอ่านที่ชอบแล้วแสดงความเห็นต่างๆ

ไม่ว่าจะเป็น เรื่องราวน่าอ่านน่าติดตาม สุดยอด หรือ อะไรก็ตาม ชิเชื่อว่า ทุกคนก็ทำได้เหมือนกัน ความกล้าก็มีอยู่ในทุกคนแหล่ะ แต่จะใช้รึเปล่า

อีกครึ่งหนึ่งคือ "ดวง"



ชิเชื่อในความเป็นคนดีของตัวเองนะ

แต่ก็นั่นแหล่ะ ก็คิดว่าดวงก็อาจต้องมีดีบ้างไม่ดีบ้างเหมือนกับหุ้นแหล่ะ

ให้มีสติ รู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลาได้ เป็นดีที่สุด เราจะแก้ปัญหาได้ทันท่วงที

มีคนหลงจากกระทู้ "เมื่อฉันตาม MV เพลง "ไม่ต่างกัน" ออกเรือไปตามหา ห้องเรียนเรือนแพของหนัง "คิดถึงวิทยา" "

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้http://pantip.com/topic/33572626

มาด้วย



ปลื้มใจจัง

เที่ยวหัวหกก้นขวิด

 วันพุธที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2562 เวลา 12.52 น.

ความคิดเห็น