เรื่องราวของฉันเริ่มต้นจาก คำว่า "หมด Passion" หลายๆคนคงเข้าใจความรู้สึกของประโยคนี้เป็นอย่างดี มันไม่ใช่แค่เหนื่อย ท้อแท้ แต่เป็นความรู้สึกที่เราเองก็ไม่รู้ว่าจะจัดการให้ออกไปจากความคิดเราได้ยังไง บางครั้งก็รู้สึกอยากยอมแพ้กับทุกสิ่งและทิ้งทุกอย่างเอาไว้ตรงนั้นซะ!

ในหนังสือหลายเล่ม รวมทั้งบทความอีกหลายๆบทความ ต่างก็แนะนำวิธีการจัดการกับความรู้สึกเหล่านี้แตกต่างกันออกไปแต่สิ่งหนึ่งที่มักจะบอกคล้ายๆกัน คือ "การไปท่องเที่ยว" ไปในที่ใหม่ๆ ทำอะไรใหม่ๆ และเก็บความรู้สึกดีๆเหล่านั้นมาเพิ่มพลังใจให้เราได้เริ่มเดินทางในโลกแห่งความเป็นจริงใบเดิมในรูปแบบใหม่ที่ไม่จำเจอีกครั้ง.

ฉันเริ่มต้นค้นหาทริปท่องเที่ยวจากการรีวิว รวมทั้งโครงการต่างๆที่น่าสนใจ เริ่มจากใกล้ๆไปจนสุดขอบประเทศ หาข้อมูลเรื่อยเปื่อยไปหมด เพียงแค่ต้องการให้การไปเที่ยวครั้งนี้ทำให้ฉันได้กำลังใจ ทัศนคติที่ไม่เหมือนเก่าและความหลงใหลของฉันที่ขาดหลายไปให้กลับคืนมา ท้ายที่สุดฉันได้ตัดสินใจสมัครโครงการ Thailand Village Academy และปักหมุดลงที่สุพรรณบุรีเป็นเวลา 6 วัน 5 คืน การเดินทางครั้งนี้เป็นการเดินทางไปเที่ยวคนเดียวโดยไม่มีครอบครัวหรือเพื่อนที่รู้จักไปด้วยเลย เป็นการเดินทางไปเที่ยวต่างจังหวัดที่นานที่สุดที่เคยมีและเป็นการเดินทางที่มีเพื่อนร่วมทริปชาวต่างชาติที่จะมาเป็นคู่ Buddy กันตลอดระยะเวลา 6 วัน หลายสิ่งเป็นครั้งแรกที่รอมาเนิ่นนานสำหรับฉันและฉันพร้อมมากๆแล้วสำหรับทริปและไดอารี่ฉบับนี้ที่จะมีการอัพเดตในทุกๆวันตลอดทริปของฉัน.

MY BUDDY

ฉันขอเริ่มจากการพูดถึงบัดดี้ก่อนเลยก็แล้วกัน เธอชื่อ มาดูเรมา เป็นคนอินเดียที่ย้ายไปอยู่สิงคโปร์และทำงานอยู่ที่นั่น ชื่อเธอยาวมากจนพวกเราตกลงว่าจะเรียกสั้นๆ 'มาดู'

Me : มาดู that means come to see something, You know?

Madu : Oh that's ok because you can remember it.

มาดูทำงานแล้วก็จริงแต่ความต่างของอายุไม่ได้ทำให้เราเข้ากันยากขึ้นเลยแม้แต่นิดเดียว เธอน่ารักมาก บ่อยครั้งที่ฉันใช้ภาษาไม่ค่อยจะถูกเท่าไหร่ มาดูก็จะพยายามฟังจนเข้าใจได้เสมอ.


-DAY 1-

เราเริ่มต้นการเดินทางจากกรุงเทพตอนบ่ายโมงและถึงจุดหมาย "ไผ่ตาพุตโฮมสเตย์" ที่ชุมชนตำบลบ้านแหลม จังหวัดสุพรรณบุรี ช่วงบ่ายสามโมงกว่าๆ สุพรรณบุรีเป็นอีกหนึ่งในสถานที่น่าท่องเที่ยว ทั้งในรูปแบบ One Day Trip และ แบบค้างคืน เพราะไม่ไกลจากกรุงเทพและมีกิจกรรมหลากหลายให้ทำโดยเฉพาะในชุมชนที่ฉันได้มาในทริปนี้ สุพรรณไม่ได้มีแค่มังกรนะจ๊ะ ถ้าไม่เชื่อรออ่านในไดอารี่นี้ของฉันได้เลย!!!

พี่บอย หัวหน้าชุมชนได้เริ่มต้นการมาเยือนด้วยการขับร้องเพลงต้อนรับแบบวิถีชาวบ้านตำบลบ้านแหลม นอกจากนี้ยังให้หมวกที่สานด้วยผักตบชวามาอีกด้วย ตั้งแต่ฉันเดินลงมาจากรถ ฉันก็ได้รับแต่รอยยิ้มแบบเป็นกันเองจากชาวบ้านทุกคนที่นี่ ไม่ว่าจะเป็น พี่ ป้า น้า อา ทุกคนน่ารักมากๆ ให้ความรู้สึกเหมือนเราได้กลับมาบ้าน หลังจากที่ไม่ได้กลับมานานประมาณนั้นเลยก็ว่าได้ และเนื่องจากฉันมาถึงก็ใกล้จะเย็นแล้ว กิจกรรมในวันนี้ก็จะยังไม่ค่อยมีอะไรมากเท่าไหร่ ส่วนใหญ่เป็นการทัวร์รอบหมู่บ้าน ดูห้องต่างๆในโฮมสเตย์ซึ่งเกือบทุกห้องจะเป็นสไตล์บ้านเรือนไทย ถ้านึกกันไม่ออกให้ลองนึกถึงห้องแม่การะเกดในเรื่อง 'บุพเพสันนิวาส'

ประหนี่งฉันได้หลุดเข้าไปในฉากของละครเรื่องนี้ก็ไม่ปาน ห้องของฉันเป็นห้องใหญ่มี 2 เตียง สำหรับฉันและมาดูเรมา เฟอร์นิเจอร์ทุกอย่างเป็นไม้ทั้งหมดบวกกับการตกแต่งห้อง ถ้ามีผ้าถุงสักผืนคงเข้ากับบรรยากาศมากกว่านี้อีกแน่ๆ อาหารมื้อแรกของวันนี้เป็นอาหารเย็นริมน้ำหลังบ้าน เมื่อก่อนชาวบ้านจะเรียกว่า หน้าบ้าน เพราะทุกคนมักจะใช้เรือเป็นพาหนะหลักในการเดินทางแต่เมื่อเวลาเปลี่ยน จากหน้าบ้านในวันนั้น ได้กลับกลายเป็น หลังบ้าน ในวันนี้... หลายสิ่งยังอยู่คงเดิมแต่เวลาที่เปลี่ยนทำให้การใช้ชีวิตและความสำคัญของบางสิ่งเปลี่ยนเช่นกัน อยู่ที่ว่าจะเปลี่่ยนไปมากหรือน้อยเท่านั้น

จนถึงบรรทัดนี้ ฉันว่าเราไปกันไกลเกินไปแล้วววว!! กลับมาเรื่องอาหารกันดีกว่าทุกคน เมนูวันนี้ ได้แก่ ปลาทู น้ำพริกกะปิ ไข่ผัดบวบ ไข่เจียวแต่เป็นไข่เป็ดและจับฉ่าย (ต้มผักรวม) บอกเลยว่า ดูธรรมดาแต่อร่อยนะคุณ ปลาทูตัวเท่ามือ ใหญ่เวอร์วังอลังการงานสร้างสุดๆ พี่บอย บอกว่า 'ปลาทูตัวเล็กๆ คือ ลูกของมัน เรากินปลาทูตัวเล็กๆกันทำให้ปลาทูน้อยลง ลูกมันยังไม่ทันได้โตเลยโดนกินซะละ ตัวใหญ่ๆนี่แหละพ่อแม่ปลาทูกินตัวใหญ่ๆดีกว่า' นอกจากนี้ บนโต๊ะมีน้ำพริกกะปิวางอยู่พร้อมผักเคียง มาดูเรมาเลยขอลอง ฉันก็บอกไปว่ามันเผ็ดนิดนึงนะ นางก็เลือกผักเคียงแล้วจิ้มเลยจ้า จิ้มเหมือนคนกินเผ็ดเขาจิ้มกันเลยจ้า พอกินเท่านั้นแหละ หน้าแดงคว้าน้ำแทบไม่ทัน สิ่งที่มาดูเรมาพูดหลังจากนั้น คือ "It's very spicy!!!!" มันก็แน่สิเธอจิ้มเยอะไป... มาดูเรมาเป็นคนที่แอคทีฟมากๆ อยากทำทุกอย่าง พายเรือ กระโดดน้ำ หว่านแหจับปลา ทำขนมไทย ไปขี่ควาย จับกบ นางอยากข้ามไปดูกบฝั่งตรงข้ามแม่น้ำแล้วจับกบ By herself กันเลยทีเดียวเชียว ส่วนฉันทำได้แค่บอกว่า 'You will do,I will do' ใจๆกันไปสิครับผม

วันนี้เราได้พักผ่อนตามอัธยาศัยแล้ว พี่บอยแอบกระซิบมาว่า ทุกอย่างที่มาดูเรมาอยากทำจะได้ทำแน่นอนไม่ต้องห่วงมีมากกว่านี้อีก เอาจริงๆฉันไม่ห่วงมาดูเรมาเลยนะ ฉันห่วงตัวฉันนี่แหละ จับกบไม่พอ เราจะได้พาน้องควายไปอาบน้ำด้วยนะทุกคน...

ปล. ที่นี่เหมาะกับการมาเที่ยวพักผ่อนแบบวิถีชาวบ้าน ยิ่งถ้าใครเบื่อชีวิตในเมืองแต่ก็ไม่อยากนั่งรถนานๆเพื่อไปทะเลหรือภูเขาล่ะก็ ที่นี่ตอบโจทย์สุดๆ ชาวบ้านเฟรนด์ลี่ คุยแบบพี่น้อง พี่น้องจริงๆนะ เขาจะไม่ดูแลเราแบบนักท่องเที่ยวแต่จะดูแลแบบคนในบ้าน อบอุ่นจริงๆนะเธอ คงจะน้อยมากที่เจอกันครั้งแรกแล้วจะแนะนำให้ 'โดดน้ำด้วยสโร่งและสอนตีโป่งในน้ำ' หรือ 'จะพาไปหาผู้ใหญ่บ้านเพื่อแนะนำให้รู้จัก' พีคๆกว่านี้ก็มีนะแต่ขออุบไว้ก่อนก็แล้วกัน 555555555 ที่นี่จะไม่มี wifi ให้นะทุกคน ถ้าใครมีอินเตอร์เน็ตติดโทรศัพท์อยู่แล้ว ปัญหานี้จะไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป เพราะที่นี่อินเตอร์เน็ตเข้าถึง เพียงแค่เขาอยากรักษาความเป็น local เอาไว้จึงไม่ติด wifi ทุกๆคนจะได้ซึมซับบรรยากาศของที่แห่งนี้ได้อย่างเต็มรูปแบบ

เอาล่ะๆ หลังจากวันนี้ไปคงมีเรื่องพีคๆอีกแน่นอนรอดูกันในวันต่อๆไปนะ

สำหรับคืนนี้ฝันดี ราตรีสวัสดิ์จ้า.


-DAY 2-

" มหานากฉวากวุ้ง คุ้งคลอง

ชุ่มชื่นรื่นรุกขีสอง ฝั่งน้ำ"

เสียงพี่บอย เจ้าของชุมชนกำลังบอกเล่าเรื่องราวของแม่น้ำสุพรรณบุรีผ่านนิราศสุนทรภู่ ที่เคยเป็นเส้นทางทัพมอญรามัญในอดีต ซึ่งในปัจจุบันเส้นทางน้ำแห่งนี้ คือ หลังบ้าน ของชุมชนบ้านแหลม การล่องเรือทานข้าวในช่วงเที่ยงวันทำให้ฉันได้เรียนรู้ความเป็นมาของแม่น้ำสุพรรณ ซึมซับวิถีชาวบ้าน การหว่านแหจับปลา พายเรือข้ามคลองไปหาเพื่อนบ้านในอีกฝั่งน้ำ แม้กระทั้งพายเรือเก็บขยะ มีน้อยมากแล้วสินะที่จะได้เห็นอะไรแบบนี้... คนที่นี่พยายามรักษาแม่น้ำให้ยังอยู่คงเดิม เนื่องจากเกือบทุกชีวิตยังคงพึ่งแม่น้ำเป็นหลัก

"แม่น้ำยังมีคุณค่ากับคนที่อยู่ริมน้ำเสมอ" พี่บอยกล่าว


หลายๆอย่างที่ดูธรรมดาอาจมีสิ่งพิเศษซ่อนอยู่ภายในนั้น อย่างเรื่องของ 'ต้นอ้อ' ต้นไม้ที่ขึ้นตามน้ำมากมาย จนกลายเป็น วัชพืช ในแหล่งน้ำ เหมือนเป็นสิ่งไร้ค่ามากกว่าสิ่งที่ใครๆก็ต้องการ ฉันนั่งดูดน้ำในแก้วของตัวเองและมองต้นไม้เหล่านั้นในขณะที่เรือกำลังแล่นไปเรื่อยๆอย่างช้าๆ

ต้นอ้อคงเป็นแค่วัชพืชในแม่น้ำจริงๆสินะ

ก่อนที่เสียงจะแทรกเข้ามาแทนสิ่งที่ฉันคิดว่า "หลอดที่ทุกคนใช้อยู่ก็ทำมาจากลำต้นของต้นอ้อ"

คนที่นี่นำต้นอ้อมาทำเป็นหลอดใช้แล้วทิ้ง ถ้าเป็นต้นอ่อนๆจะใช้เวลาประมาณ 2 วัน ในการตากและทำความสะอาด ปกติเรามักจะเห็นหลอดทำจากไม้ไผ่แต่ปัญหาที่พบ คือ เรื่องของกลิ่นไม้ ซึ่งต้นอ้อจะไม่มีปัญหาเหล่านี้เลยแม้แต่น้อยเพียงแค่ไม่มีใครรู้ถึงประโยชน์ของมันก็เท่านั้น ก็คงเหมือนฉันที่มองว่าเป็นแค่วัชพืชลอยน้ำธรรมดาๆในตอนแรกแหละมั้ง


เมื่อกลับมาถึงที่พัก มีกิจกรรมมากมายที่เตรียมพร้อมสำหรับพวกเราการทำอาหารคาว หวาน ทุกอย่างมักมีเคล็ดลับเล็กๆให้รู้สึกตื่นเต้นเป็นระยะๆ ก็คงเหมือนกับคนนั่นแหละ ภายนอกที่ดูธรรมดาพอได้รู้จักจริงๆก็จะเห็นเอกลักษณ์ของแต่ละคนที่ต่างกันออกไป บางครั้งก็อยากพูดว่า 'เป็นคนแบบนี้จริงดิ' อะไรทำนองนั้น

ลองมาเล่าสักหน่อยเป็นไง 'ขนมคันหลาว' หนึ่งในห้าของสำรับขนมเจ้าบ้านเจ้าเรือน รูปร่างคล้ายคันหลาวที่ใช้ในการขนย้ายข้าวจากในนา ฉันมองว่าเหมือนตัวหนอนดึ๊บๆมากกว่า (นึกภาพตัวหนอนดึ๊บๆแทนก็ได้ ) หนึ่งในกรรมวิธีการทำขนมคันหลาว คือ การขูดมะพร้าวด้วยกระต่าย คุณยายคนทำขนมเล่าว่า เมื่อก่อนผู้ชายจะเป็นคนแบกมะพร้าวมา ผู้หญิงจะมีหน้าที่ขูดมะพร้าว ส่วนการคั้นน้ำผู้ชายจะเป็นคนทำ มีวันหนึ่งยายรู้สึกว่าทำไมเขาถึงคั้นน้ำกะทินานผิดปกติ ยายก็สังเกตจนรู้ว่า

"เขาแอบดูข้าวเม่ายายจ้ะ"


ฉันพยายามนั่งเชื่อมโยงเรื่องที่ยายเล่าให้เข้ากับสิ่งที่พวกเรากำลังทำอยู่ ฉันกับบัดดี้ไม่ได้ทำข้าวเม่านี่หว่า... ฉันพยายามจับใจความเนื้อเรื่องของยายจนได้คำตอบ 'ข้าวเม่า' ในความหมายของยายไม่ได้หมายถึงขนมจ้า นึกภาพตามไปพร้อมๆกันนะคะทุกคน ยายกำลังขูดมะพร้าวอยู่แล้วผู้ชายคนนั้นแอบมองข้าวเม่ายาย มีความหมายว่าอย่างไร ณ จุดๆนี้ฉันขอละเอาไว้ในฐานที่ฉันเข้าใจก็แล้วกัน


Madu : What about PlaMa?

Me : Yes. Boy says PlaMa is big fish that have sound.

Madu : What sound? HEEEEEEE look like a horse?

Me : No!!!!!!!


ทุกคนรู้จักปลาม้ากันมั้ย? ปลาตัวใหญ่ที่หนักถึง 3 กิโล ครีบของมันมีลักษณะคล้ายแผงคอของม้า ชาวบ้านเลยเรียกว่า ปลาม้า มันส่งเสียงร้องได้จริง พี่บอยบอกว่าถ้าเราดำน้ำลงไปในแม่น้ำช่วงประมาณหกโมงเราจะได้ยินเสียงร้องของปลาม้า แต่มันไม่ได้ร้องว่า ฮี่ๆๆๆๆ แน่นอนนะบอกไว้ก่อนเลย

"ต้มยำปลาม้า" เป็นเมนูขึ้นชื่อของจังหวัดสุพรรณบุรี "ปลาม้า" เลยต้องจำใจขึ้นเขียงไปตามระเบียบ ก่อนที่เธอจะโดนต้มเราขอถ่ายรูปคู่หน่อยแล้วกัน.


ทุกอย่างดูเหมือนจะผ่านไปด้วยดี ถ้าไม่นับในช่วงเช้า เหตุการณ์ที่เกิดทำให้เข้าใจถึงคำว่า

'คาดหวังมักผิดหวัง' แบบลึกซึ้ง ฉันกับมาดูเรมา ตื่นตั้งแต่หกโมงเช้าเตรียมพร้อมที่จะใส่ผ้าถุงและถ่ายภาพกับแสงอาทิตย์แรกในยามเช้าริมแม่น้ำและทุกอย่างก็พังลงเมื่อเราก้าวลงจากเรือนไทย


Madu : I think today there is no sunshine, cause it's cloudy so much.


ฉันได้แต่ยืนมองจุดที่พระอาทิตย์ควรจะขึ้น ในเวลานี้มันถูกปกคลุมไปด้วยก้อนเมฆเต็มไปหมด

'ถ้าฉันไม่ได้คาดหวังเอาไว้ก่อน ฉันอาจจะดีใจที่วันนี้อากาศเย็นสบายก็ได้จริงไหม?'


แน่นอนว่า ในวันนี้อาจจะพลาดไปแต่พรุ่งนี้คงไม่สายถ้าตื่นไหว...


จริงๆแล้วทั้งหมดที่เล่ามาในวันนี้แค่อยากให้รู้ว่า ทุกเรื่องราวที่ผ่านเข้ามาในวันนี้

สำหรับฉัน ข้าวเม่า จะไม่ได้เป็นแค่ขนมอีกต่อไป.


See you next day in BLOG DAY 3.


ฝันดี ราตรีสวัสดิ์จ้าาาาาาา.


-DAY 3-

14 : 37 p.m.

Me : The weather is very hot, right ?

I think. You wanna sleep.

มาดู ยิ้มใส่กล้องของฉันก่อนที่จะซบไหล่และหลับต่อแบบไม่รอแล้วนะ...

ฉันอยู่ที่นี่มา 3 วัน วันนี้เป็นวันที่อากาศร้อนที่สุด ร้อนในแบบของ Thailand Only คนไทยอย่างเราคงจะชินจนชาแต่สำหรับมาดูเรมาคงจะไม่เป็นแบบนั้น

คิดในแง่ดีพระอาทิตย์อาจจะกำลังไถ่โทษที่ไม่มีแสงแรกยามเช้าในวันที่ 2 ให้กับฉัน ก็เลยจัดแสงให้หนักๆตั้งแต่ 7 โมงเช้า ฉันกับมาดูได้ไปทำขนมไผ่ ขนมไผ่มีวิธีการทำและลักษณะคล้ายขนมกล้วย ขนมฟักทองแค่เปลี่ยนจากกล้วย ฟักทอง เป็นไผ่แทน อร่อยไปอีกแบบ หลังจากนั้นก็ไปเก็บไข่เป็ดในฟาร์ม ลุงที่นี่เรียกเหล่าน้องเป็ดน้อยได้ทั้งฝูง แค่ลุงพูดว่า 'มาๆๆๆๆ' พวกนางก็มาจริงๆ มายกทีม! มาจนกลัวว่าตอนเก็บไข่เป็ดอยู่ ถ้าบรรดาแม่ๆทั้งหลายเห็นขึ้นมาจะไม่กางปีกวิ่งไล่ตบฉันแน่ๆใช่ไหม

ไข่เป็ดก็มีแล้วลองทำไข่เค็มหน่อยเป็นไง ไข่เค็มที่นี่มีกรรมวิธีการทำที่ต่างไปจากที่อื่น มีใบเตยเป็นส่วนผสมใช้ทั้งใบ ทั้งน้ำ ในการหมักไข่เป็ดเพื่อไม่ให้เกิดกลิ่นคาว ในขั้นตอนของการปั้น การหมักเป็นขั้นตอนที่สนุกเพราะมีใบเตยนี่แหละ สีมันเขียวๆดีฉันชอบ ฉันสังเกตุเห็นว่า ใบเตย ใบตอง จะมีบทบาทในทุกๆสิ่งที่ฉันกับมาดูได้ลองทำและคุณน้าที่สอนหมักไข่เค็มเป็นบุคคลที่วันนี้ต้องขอบคุณมากที่สุด คุณน้าพาขับรถไปฟาร์ม ไปนู่น ไปนี่ ทั้งวันจนถึงเย็นก็ยังพาไปกินข้าวที่ทุ่งดอกบัวและให้ไข่เค็มกลับมาหลายใบเลยด้วย

'Let's eat' เป็นประโยคที่ได้ยินทุก 3 เวลาต่อวัน ใบตองจะถูกจัดเอาไว้รองจานเกือบทุกเมนู เป็นเคล็ดลับเล็กๆของความอร่อยและอีก 1 ในเคล็ดลับความอร่อยคงจะเป็นเรื่องของการได้ทานอาหารพร้อมหน้า พร้อมตา พูดคุย และเปลี่ยนเรื่องราวเรื่อยเปื่อย มีสาระบ้าง ไร้สาระบ้าง แต่แฝงไปด้วยความสุขเล็กๆที่เราจะรู้ก็ต่อเมื่อได้สัมผัสด้วยตัวเอง ฉันมั่นใจว่าเคล็ดลับนี้ทุกๆคนก็สามารถทำตามได้ไม่ยาก ไหนๆก็พูดเรื่องปากท้องแล้ว เรามาต่อกันที่ 'ไข่เจียวโสภณ' เลยดีกว่า เมนู Special ของบ้านไผ่ตาพุฒโฮมสเตย์ เมนูที่ฉันจะได้เจอ 1-2 มื้อ/วัน เจอบ่อยแต่หมดทุกครั้งจนน่าแปลกใจ อะไรทำให้ทุกคนชอบเมนูนี้ รวมถึงตัวฉันเองก็ยังหาคำตอบไม่ได้เช่นเดียวกัน ที่แน่ๆมาดูเรมาชอบเมนูนี้มาก มากจนถามก่อนกินข้าว

'They have omelet,right?'

อาหารที่นี่อร่อยทุกมื้อ เรื่องนี้ฉันไม่ได้อวยให้ดูดีจริงๆนะ ที่ไม่ค่อยได้พูดถึงเพราะฉันตั้งใจว่าจะเก็บภาพทุกมื้ออาหารมาประมวลให้ดูทีเดียวใน Day 6 ถ้าอ่านไปไม่ถึง Blog Day 6 จะ "พลาดมาก!" ไม่เชื่อรอดูเลย

Madu : I can't do that!

I give it up now!!

Me : Me too T^T



เสียงสนทนาที่มีอารมณ์อยากโวยวายปะปนอยู่ลึกๆ ในขณะที่เรากำลังฝึกทำดอกกุหลาบจากใบเตย อยากจะยอมแพ้และพูดว่า "หนูไม่ทำแล้ววววววว..." กว่าจะได้ดอกกุหลาบจากใบเตยมาแต่ละดอก ต้องค่อยๆพับ พัน หมุนช้าๆ จับแรงไปก็แตก จับเบาไปก็หลุด ฮ่วย!!!

ก่อนหน้านี้ฉันกับมาดูได้ไปถวายเพลพระที่วัด เราพับดอกบัวกันเอง ตอนนั้นฉันมีความรู้สึกว่า เส้นทางสายนี้อาจจะไม่ใช่ทางของฉัน แต่ก็ยังไม่แน่ใจ พอมาถึงในตอนนี้ ที่มี่ใบเตยอยู่ในมือตรงหน้า ฉันก็มั่นใจขึ้นมาทันที

'This is not my way.'

พี่บอย : ตอนม้วนใบเตย ลองหมุนตัวไปด้วยดิ

คุณพระ!! บ้าจี้ทำตามแล้วมันทำได้เฉยเลย กุหลาบดูเป็นกุหลาบจริงๆขึ้นมาทันทีค่ะคุณขา ก็เลยยืนพับไปหมุนไปมึนๆเบลอๆกันไปเลยจ้าาา

เย็นนี้เราได้ไปกินข้าวกันที่ทุ่งดอกบัวมณฑาทิพย์ ทุ่งดอกบัวที่รายล้อมไปด้วยทุ่งนาอีกที มีการวางแผนให้มื้อเย็นของวันนี้มีความพิเศษกว่าปกติ พี่บอยไม่อยากให้ข้าวเย็นมื้อนี้ดูเหมือนที่อื่นๆทั่วไป

'เอากระบอกไม้ไผ่มาใส่ข้าวดีไหม'

'เอานู่นใส่แทนดีกว่าพี่'

'ไม่เอาละ เอาออกๆ'

'ขอยกเลิกเมื่อกี้นะ เอาอันนี้แทน'

'สรุปเย็นนี้เอาใบบัวมาใส่ข้าวดีไหม'

หลากหลายเสียงช่วยกันออกความคิดเห็นและช่วยกันรังสรรค์มื้อเย็นกันอย่างสนุกสนานดูเป็นสีสันที่ไม่ได้มีบ่อยนัก ฉันไม่ได้ออกความคิดเห็นอะไรเลยเพราะแค่นั่งฟังก็บันเทิงแล้ว อีกอย่างในตอนนั้นหิวข้าวมาก มื้ออื่นค่อยว่ากันมื้อนี้ขอกินก่อน!


การท่องเที่ยวแบบวิถีชาวบ้านเป็นการท่องเที่ยวที่คนในท้องถิ่นจะพาเราไปในที่ต่างๆของชุมชน จุดเด่นของการท่องเที่ยวในรูปแบบนี้ คือ เราจะได้รับอะไรใหม่ๆ มิตรภาพจากคนที่เราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ความรู้สึกดีๆที่เราได้รับจากเขารวมถึงการใช้ชีวิตที่ต่างกันกับในเมือง เราจะรู้สึกเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น ไม่ต้องคอยกังวลว่าคนอื่นจะคิดยังไง ทำแบบนั้นไปจะโอเคไหม ?

อยู่ที่นี่สิ่งเหล่านั้น 'ไม่ต้องคิด'

เพราะผู้คนที่นี่เป็นตัวของตัวเองตั้งแต่ครั้งแรกที่พบกันทำให้เราและเขาสามารถยอมรับตัวตนของกันและกันได้ตั้งแต่แรก คล้ายพื้นที่ Comfort Zone ที่ในนั้นไม่ได้มีแค่เราแต่ก็ไม่ได้อึดอัดเมื่อมีพวกเขาอยู่ด้วย

ฉันคิดว่าสิ่งเหล่านี้เป็น 'สเน่ห์' ของการท่องเที่ยววิถีชาวบ้าน


ตอนนี้ฉันได้พาทุกคนเดินมาถึงครึ่งทางของทริปแล้ว

ความสนิทสนมกับผู้คนที่นี่มีมากขึ้นเรื่อยๆและมาพร้อมกับการจากลาที่รอฉันอยู่ในอีก 3 วันข้างหน้า

ถึงเวลานั้นจะเป็นยังไง ตัวฉันเองก็ยังไม่รู้เหมือนกัน

...รู้เพียงแต่ พรุ่งนี้พี่บอยต้องมีอะไรสนุกๆให้ทำและอาหารอร่อยๆให้กินแน่ๆ

คืนนี้ก็คงจะนอนหลับสนิทเพราะไปนู่น นั่น นี่ ทั้งวัน ใครที่ยังไม่นอนก็นอนได้แล้วนะ

ฝันดี : )

See you in DAY 4 tomorrow.

แล้วเจอกันนะ ^^



-DAY 4-


“คนอยากมีรถเห็นคนขับรถเบนซ์ ก็อยากได้แบบเขาบ้างโดยไม่รู้เลยว่าเขาอาจเป็นแค่คนขับรถ”

ความพยายามเป็นสิ่งที่ดีแต่ควรเป็นความพยายามที่อยู่ในเส้นทางของเรา เราจะอยากเป็นเหมือนคนอื่นไปเพื่ออะไรถ้าวันหนึ่งต้องมารู้สึกเหมือนติดคุกเพราะทำในสิ่งที่ไม่ใช่ความสุขของตัวเอง คำว่า ‘อายุแค่นี้เอง จะคิดอะไรมากมาย’คงใช้ไม่ได้กับสังคมปัจจุบัน ที่มีการแข่งขันเพิ่มมากขึ้นและสภาพแวดล้อมอาจจะพาเราให้เดินไปในทางที่ ‘อยาก’ แต่ไม่ใช่ทางที่ ‘รัก’ เวลาของเรามีเท่ากันหมดแต่การใช้เวลาของเราในการหาสิ่งที่เป็นตัวตนของตัวเอง แต่ละคนคงให้เวลาในการเริ่มต้นที่ต่างกัน

ความสวยงามบนพื้นดิน... เป็นเรื่องของคุณตา คุณยายคู่หนึ่งในชุมชนบ้านแหลม คุณตา คุณยายอาศัยอยู่ในบ้านที่ปลูกผักผสม ที่มาของชื่อนี้ ฉันตั้งเองจากผักสวนครัวต่างๆที่คุณตา คุณยายได้ปลูกเอาไว้มากมายรวมกันในพื้นที่บริเวณรอบๆบ้าน ทั้งคู่ได้พาเราไปเก็บผักชนิดต่างๆเพื่อเอามาทำแกงป่าสำหรับมื้อเที่ยงของวัน


“เคยทะเลาะกันบ้างไหมคะตา” พี่ทัตที่คอยดูแลฉันตลอดระยะเวลา 6 วันของโครงการ Thailand Village Academy เอ่ยถามขึ้นระหว่างเก็บผักใส่ถุง

“ก็บ่อย.. มีบ้างแหละ ยายหูไม่ดีชอบเข้าใจผิดไปเรื่อย”

“แต่ตาก็ไม่เคยตียายเลยนะ โกรธกันเดี๋ยวก็หายมีกันอยู่แค่นี้”

รอยยิ้มและแววตาของยายที่มองคุณตา ผู้ชายที่นั่งอยู่ข้างๆ เป็นแววตาที่ดูมีความสุขและมีความรักซ่อนอยู่ในนั้นลึกๆ เมื่อไหร่ก็ตามที่ฉันนึกถึงภาพของแววตาคุณยายขึ้นมาทีไรก็หุบยิ้มไม่ได้ทุกที


“ตอนแต่งงานเขาเอาควายมาขอแค่ตัวเดียวนะคนนี้”


พี่บอยได้ขอซื้อผักคุณตาและคุณยายเพราะอยากให้ทั้งคู่มีกำลังใจในการทำสิ่งที่พวกเขารักต่อไป คุณตารับเงินมาจากพี่บอยและยื่นให้ยายทันที ในขณะที่ตอนนั้นพวกเราก็ยังคุยกับทั้งคู่อยู่

“ตาหา ยายก็ใช้แหละ” สีหน้าของคุณตานิ่งมากตอนที่พูดประโยคนี้แต่มือของตาก็ยื่นเงินที่ได้มาทั้งหมดให้กับยายอยู่ดี ความรักของคนสองคนนี้ ไม่ได้มีเงินทองมากมายเมื่อเทียบกับคนอื่น ใช้ชีวิตแบบพื้นๆกับสวนผักเล็กๆของพวกเขาแต่พื้นที่เล็กๆแห่งนี้ ทำให้ฉันหลุดยิ้มออกมาได้หลายรอบอย่างไม่น่าเชื่อ ความรักที่จับมือกันตั้งแต่แรกเริ่ม อาจมีหลวมบ้าง แน่นบ้าง แต่ไม่เคยปล่อย เขาเดินไปพร้อมๆกันจนเรียกได้ว่าจะถึงจุดสุดท้ายของเส้นทางชีวิต ความรักที่เปิดใจยอมรับเขาจากความรู้สึกภายในใจไม่มองแค่ความสุขสบายภายนอกที่เขาจะมีให้กับเรา ความรักที่จะต้องเชื่อใจซึ่งกันและกันและมั่นใจในคนของตัวเองมากพอไม่ว่าจะในสถานการณ์ไหน คือ ความรักในแบบที่คนหลายคนต้องการ

“ธูปประจำวัน” คำพูดในสำเนียงที่ฟังยากนิดนึงแต่พอเข้าใจได้ของมาดูเรมา ก่อนที่เราจะขึ้นรถเพื่อไปทำกิจกรรมถัดไปในวันนี้ ทำให้ต้องหันมาสอนพูดอีกครั้งและอีกหลายๆครั้ง

“ธูป” ผู้คนมักใช้ในการกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่เป็นประจำ ทั้งๆที่หลายคนอาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่มา ที่ไปของสิ่งนี้มีกรรมวิธีอย่างไร


“จานขาว มาจากซังข้าวโพด

เปลือกบง ช่วยให้ตัวธูปเหนียวมาจากพม่า

ขี้เลื่อย

แป้งอัลฟา

น้ำตะไคร้

เตยหอม ”


ชื่อส่วนผสมแปลกๆเหล่านี้เป็นที่มาของธูปที่ทุกคนใช้กราบไหว้ขอพรการทำธูปไม่ได้ง่ายๆ คนที่นี่ใช้มือในการทำแต่ละสี รวมทั้งมีแบบที่ครบ 7 สีในอันเดียวก็ใช้มือทำกว่าจะได้ออกมาสวยงามตามท้องเรื่อง


ธูปเปรียบเหมือนสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้เวลาไปวัดแต่กลับเป็นสิ่งที่คนมักมองข้ามและนึกถึงอีกทีในตอนที่ต้องการหรือหาไม่เจอ บางครั้งก็สายเกินไปที่จะเรียกสิ่งเหล่านั้นกลับมาอีกครั้ง สั้นๆว่า “หายไปแล้ว” เรื่องแบบนี้ไม่ได้เกิดกับธูปแค่สิ่งเดียวแน่นอน

เซียมซี เลขที่ 13 เป็นคำทำนายที่ฉันได้รับมาจากการขอพรใน “วัดป่าพฤกษ์” วัดที่มีตำนานเล่าขานมาตั้งแต่สมัยอยุธยารวมทั้งมีของในประวัติศาสตร์ที่ยังหลงเหลืออยู่จนถึงปัจจุบันก็ได้เก็บรักษาและรวบรวมไว้ในพิพิธภัณฑ์ของวัดแห่งนี้เช่นกัน ทั้งใบลาน จารึกที่บันทึกลงในสมุดไทยสมัยก่อนเยอะแยะเต็มไปหมด เรืออายุนับ 200 ปี เกวียนที่ล้อสูงกว่าความสูงของตัวฉันเอง ครกสีข้าว ครุตีข้าว เครื่องใช้ต่างๆและระฆัง ใช้ทอง 7 ชั่งในสมัยอยุธยาและการจารึกเรื่องราวความเป็นมาอยู่ในนั้นด้วย


ทุกสิ่งบ่งบอกถึงอดีตที่เคยเกิดขึ้น เราอยู่กับปัจจุบันและดำเนินชีวิตไปกับอนาคต เราจะสนใจอะไรนักหนากับอดีตที่ผ่านมาแต่รู้ไหมว่าของหลายสิ่งที่มีในตอนนี้ เขามีมาตั้งแต่อดีตและแทบจะไม่ต่างกันเลยแม้แต่น้อยเพียงแค่ปัจจุบันมีเทคโนโลยีมากกว่าเมื่อก่อน ทำให้สะดวกกว่าที่จะช่วยให้หลายอย่างแพร่กระจายไปได้ไวมากขึ้น เจ้าอาวาสวัดป่าพฤกษ์ได้ทำหลายอย่างขึ้นมาเอง ที่ทำให้อึ้งมากๆน่าจะเป็นหุ่นควายตัวใหญ่ 2 ตัวบนเกวียน ตัวใหญ่มากๆทำเองได้ไง ท่านยังบอกอีกว่า หลายๆอย่างที่วัดท่านก็ทำเอง แม้กระทั่งตะกร้าก็สานเอง ผู้ชายสมัยก่อนส่วนใหญ่จะต้องมีความสามารถในการทำสิ่งเหล่านี้เพื่อให้ฝ่ายหญิงที่จะมาเป็นคู่ชีวิตมั่นใจว่าจะไม่อดตายและสามารถดูแลครอบครัวได้อย่างปลอดภัย ที่คือที่มาความสามารถของท่าน



'แต๊กๆๆๆๆๆๆ'

เสียงรถอะไรไม่มีหลังคา?

อีแต๊กไง!

ยานพาหนะที่ไม่ควรเอาไปเทียบกับรถยนต์ในปัจจุบัน คือ รถอีแต๊กที่กำลังนั่งอยู่ในตอนนี้นี่แหละทุกคน นั่งผ่านบ้านไหน ใครๆก็มองจนนึกว่ามีดาราติดมากับรถพวกเรารึเปล่า การเคลื่อนตัวช้าๆของรถยนต์สมัยเก่าคงทำให้คนสมัยใหม่รำคาญใจไม่น้อย ความช้าของเครื่องยนต์กับความใจร้อนของคนในปัจจุบันมันไปด้วยกันไม่ได้อยู่แล้วแหละ

ทำไมเราไม่ลองมองในอีกมุมดูบ้างล่ะ?

รถล้าสมัยแบบอีแต๊กตะหากที่ทำให้เราได้มองเห็นความเป็นจริงของสองข้างทาง ชีวิตเราต้องเร่งรีบอยู่ตลอดจริงๆหรอ เวลาที่เหมือนมีเจ้าชะตามากำหนดการเคลื่อนไหวของชีวิตเราทุกๆวัน แบบนี้คือชีวิตที่ต้องการ? ฉันเริ่มเข้าใจ คำว่า slow life ที่หลายคนโหยหาแบบจริงจังก็ในตอนนี้แหละ ชีวิตคนเมืองแค่มีเวลาว่างนอนอยู่เฉยๆที่บ้านก็เรียกว่า Slow life แล้วด้วยซ้ำ ถ้าอยากได้มากกว่านี้ อีแต๊ก ที่พวกคุณเห็นว่ามีคุณค่าน้อยนิดนี่แหละ จะทำให้เราสัมผัสกับคำว่า Slow life ได้แบบ Real สุด ๆ เวลาขับผ่านทุ่งนาก็ไม่ต้องรีบมองหรือเสพบรรยากาศตรงหน้าเพราะทุกอย่างจะเคลื่อนตัวไปอย่างช้าๆตามพาหนะที่นั่งอยู่ คุณจะได้มองสิ่งรอบตัวได้เต็มที่โดยที่ไม่รู้สึกกังวลกับคำว่า ‘เวลา’ แม้แต่น้อยและลุงคนขับที่บ้านไผ่ตาพุฒก็จะยิ้มให้คุณเสมอเมื่อหันไปเจอหน้ากัน

วิถีชุมชนบางอย่างก็มีโอกาสที่จะหายไปตามกาลเวลาเพราะไม่มีคนจะมาสืบทอดหรือเดินตามเส้นทางเดิมอีกต่อไป ซึ่งถือเป็นเรื่องที่น่าเสียดายเพราะบางสิ่งก็น่าจะมีเอาไว้ให้คนรุ่นต่อๆไปได้ดูกับตาของตัวเอง แต่คงไม่มีใครไปบังคับใครได้ เพราะขนาดตัวเราเอง เรายังบังคับไม่ได้เลยในหลายๆครั้ง


‘สิ่งที่เป็นแค่อดีตไปแล้ว มันยังคงมีคุณค่าไม่หายไปไหนเพราะคนยังให้คุณค่ากับมัน คนก็เหมือนกันแม้เขาจะตายไปแล้วแต่ถ้าเขาเคยทำสิ่งที่มีค่า ก็จะกลายเป็นตำนานที่ยังมีคนพูดถึงอยู่เสมอ ของบางสิ่งก็มีอยู่ในพื้นที่ทั่วๆไปแต่มีค่าเพราะเราใส่เอกลักษณ์เฉพาะลงไปในนั้นด้วย’ หากทุกคนเคยดูการ์ตูน เรื่อง Coco ความหมายในประโยคของพี่บอยก็คงไม่ต่างจากสิ่งที่การ์ตูนเรื่องนี้จะสื่อออกมา รูปถ่ายที่ได้หายไปของบรรพบุรุษตามเนื้อเรื่องทำให้บุคคลนั้นเลือนหายไปจากความทรงจำตามกาลเวลา น้อยคนที่จะจำได้และยังคงจดจำแบบนั้นเสมอหากเขาไม่ใช่คนสำคัญมากพอ เรื่องราวจะยังคงอยู่หากมีการพูดถึงหรือภาพถ่ายให้เห็น


อย่างที่เขาพูดกัน


‘ถ้าหากไม่มีภาพถ่ายสักใบก็คงจะไม่มีอะไรมาเป็นหลักประกันได้เลยว่า สิ่งนั้นเคยเกิดขึ้นจริง’


-DAY 5-


‘แม่ตื่นเช้าจัง’


‘ตื่นมาทำขนมไงลูก วันนี้มีต้มหน่อไม้ด้วย’


ฉันนั่งริมบันไดหน้าเรือนไทยของแม่ (ผู้ใหญ่ที่นี่มักแทนตัวเองว่า 'แม่')

การขโมยขนมแม่ตรงนี้ทุกวันเป็นกิจวัตรประจำของฉัน

ถ้าแม่เห็นหน้าฉันแม่จะยื่นขนมให้ลองเยอะแยะไปหมด ตอนนี้ก็ด้วย


‘วันนี้แม่ต้องรีบทำขนมที่เขาสั่งไว้ให้เสร็จ หนูจะช่วยทำอีกมั้ยลูก’


ฉันพยักหน้า อยู่ที่นี่ฉันชอบทำทองพับมาก ก่อนจะหยิบออกมาม้วนๆเองเป็นทองม้วน มันดูลุ้นทุกครั้งเวลาเอาออกมาพับนอกเตา ถ้าช้าไปนิดเดียวแป้งก็จะแข็ง ถ้าอยากเร็วก็ต้องทนกับความร้อนที่จะปะทะกับนิ้วมือเรา เพราะงั้นก็ต้องเลือกเอา...


‘ถ้าหนูกลับไปแม่ต้องเหงาแน่ๆเลย’


ประโยคนี้ที่แม่เคยพูด มันวนกลับมาในความคิดของฉันอีกครั้ง จริงสิ.. พรุ่งนี้ฉันต้องกลับกรุงเทพแล้ว

สิ่งหนึ่งที่ฉันกลัวมากๆ ไม่ใช่งูหรือตุ๊กแก แต่เป็น การตื่นมาแล้วสิ่งที่เคยมีอยู่ได้หายไป ถึงแม้ว่าเรื่องราวที่ผ่านมาจะเป็นความทรงจำดีๆที่เกิดขึ้นแต่บางครั้งความคิดถึงก็สามารถทำให้เรารู้สึกเหงาได้ไม่น้อย โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่เราได้เห็นอะไรที่คล้ายสิ่งเดิมที่เคยผ่านเข้ามาแต่ว่าตอนนี้เรื่องราวเหล่านั้นมันเป็นเพียงแค่ ‘สิ่งที่เคยเกิดขึ้น’ ฉันอาจโชคดีที่รู้อยู่แล้วว่ายังไงก็ต้องกลับไป แต่คำว่า 'เจอกันใหม่' ที่คนเรามักใช้เวลาต้องแยกกันไปตามที่ของตัวเองนั้นไม่มีใครรู้เลยว่า เมื่อไหร่ นานแค่ไหนหรือไม่มีเลย.



วันนี้เป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษา รัชกาลที่ 10 ชาวบ้านก็มีกิจกรรมทำบุญตักบาตร ฉันได้ไปเข้าร่วมกิจกรรมดูว่าเขาทำอะไรกันบ้าง ที่นี่มีการตักบาตรถวายเป็นพระราชกุศลให้ รัชกาลที่ 10 ด้วย แม้ว่าจะเป็นเพียงแค่คนกลุ่มไม่ใหญ่มากนัก และถ้าเราไม่ได้มายืนอยู่ตรงนี้เราก็จะไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่ามีกิจกรรมนี้เกิดขึ้นแต่พวกเขาก็ทำด้วยความรู้สึกอยากจะทำ ทำด้วยความเต็มใจแบบไม่ได้รับอะไรตอบแทน


'กินข้าวด้วยกันที่วัดเลย'

เสียงของคุณป้าคนแปลกหน้าสำหรับฉันที่ชวนให้นั่งกินข้าวด้วยกัน ฉันเก้ๆกังๆด้วยความเกรงผสมกับความเกรงใจเพราะไม่รู้จักกันมาก่อน ในทางกลับกัน ป้าๆน้าๆที่นี่กับคุยกับฉันเหมือนสนิทกันมานานมาก ในเมืองใหญ่ทุกที่ถ้าเป็นแบบนี้ เราคงมีความสุขกับการเอ่ยทักทายคนรอบๆตัวที่เพิ่งรู้จักกันมากขึ้น



'กุหลาบป้า ปลาตะเพียนยาย'

ของที่ระลึกในรูปแบบการทำมือของคนในชุมชนบ้านแหลม ก่อนหน้านี้กุหลาบจากใบเตยทำเอาฉันไม่คิดที่จะประดิษฐ์อะไรที่เกี่ยวกับดอกกุหลาบอีก

‘เดี๋ยวให้เวฟทำดอกกุหลาบ’ พี่บอยแกล้ง!!!!

ฉันเริ่มจากการบิด หมุน พับแบบเดิมเป๊ะๆ ต่างแค่เป็นผักตบชวาที่ตากแดดให้แห้งพอดีที่จะพับ จึงทำให้มันง่ายกว่าเมื่อวานเยอะ ท้ายที่สุดฉันก็ได้ดอกกุหลาบ by myself คุณยายตั้งใจสอนมากและยิ้มแย้มอยู่ตลอดเวลา อายุขนาดนี้แล้วทำไมยายยังนั่งสานปลา สานกระเป๋าอยู่อีก คำตอบสั้นๆ ความสุขของยาย เราอาจจะมองว่าลำบากเพราะในมุมเราไม่ได้ถนัดแบบที่ยายทำแต่สำหรับยายนี่เป็นงานง่ายที่สุดที่ยายยังสามารถทำได้ในตอนนี้ เป็นสิ่งที่ทำให้ยายรู้สึกว่าตัวเองยังคงมีคุณค่าในการดำเนินชีวิตในแต่ละวัน



Madu : Where is the dragon from?
Me : In the sky.
Madu : OMG Just kidding?
Me : Sure
Madu : Sure for? In the sky or kidding?
Me : just kidding?
Madu : Why you do that!!!


บทสนทนาเกิดขึ้นระหว่างที่เรากำลังยืนตากแดดเงยหน้ามองมังกรพ่นน้ำที่พิพิธภัณฑ์ลูกหลานพันธุ์มังกร มาดูเรมาอยากรู้ว่ามังกรสำหรับที่นี่มีอยู่จริงไหม ซึ่งแน่นอนว่าไม่มี และที่นี่ก็มีที่มาว่าทำไมเป็นมังกรพ่นน้ำ สถานที่แห่งนี้คงเป็น Land mark สำคัญที่ทุกคนรู้จักโดยที่ฉันแทบจะไม่ต้องเอ่ยปากเล่าหากพูดถึงสุพรรณบุรี มาดูเรมาไม่ได้ตื่นเต้นกับมังกรที่สุดแต่เธอตื่นเต้นกับศาลเจ้าข้างๆแทน ดนตรีแบบจีนผสมกับศิลปะในการตกแต่งผสมผสานความเป็น chinese ได้ดีเยี่ยม



Madu : Sum up, What was the dragon made of?
Me : It was made of clay.
Madu : Do you wanna sleep outside tonight?




การเดินทางเข้าเมืองในวันนี้เป็นการเดินทางครั้งสุดท้ายสำหรับทริปสุพรรณบุรี ฉันยังยืนยันว่าการท่องเที่ยวที่สุพรรณบุรีแบบ one day trip นั่นทำได้ง่ายมาก และหลายคนคงคิดว่าการมาอยู่ 6 วัน 5 คืน คงไม่ได้มีอะไรให้เที่ยวเยอะแยะขนาดนั้น แต่ถ้าหากคุณลองมาท่องเที่ยวในแบบวิถีชุมชน คนในชุมชนจะพาคุณเข้าสู่โลกแห่งวิถีชีวิตชาวบ้าน พาไปทำไร่ เก็บไข่เป็ด กระโดดน้ำ ล่องเรือเก็บขยะ นอนกลางทุ่ง ดูเด็กทอดแห ทำขนม ตื่นเช้าๆมานั่งคุยกับคนเรือนอื่น บลาๆๆๆๆ อีกเยอะมากที่ไม่ได้พูดถึง สิ่งเหล่านี้จะทำให้คุณเข้าใจได้ว่าชีวิตในแบบที่เราพบเจอในทุกๆวันอาจจะไม่ใช่ความสุขแบบที่คุณจะได้พบจริงๆ อยู่ที่นี่คุณจะได้เจอคนยื่นขนมให้กินตลอด ตื่นมาเจอหน้าก็ถามว่าจะกินข้าวรึยัง เลยเวลาอาหารก็มาตาม มาเรียก อยากกินอะไรก็บอกได้ตลอด คุณจะได้รับการดูแลที่อาจจะไม่เคยได้พบ การตื่นมาแล้วเจอรอยยิ้มบ้านๆ หรือเสียงเรียกของแม่ให้ไปทำขนมที่เราชอบคงไม่เกิดขึ้นหากใช้ชีวิตในชุมชนเมือง ชุมชนนี้ได้รับมาตรฐานอาเซียนทั้ง 2 รายการ ได้แก่ มาตรฐานชุมชนการท่องเที่ยวและมาตรฐานโฮมสเตย์ระดับอาเซียน ตอนนี้คงเหลือเวลาอีกไม่ถึง 24 ชั่วโมงสำหรับที่นี่ พรุ่งนี้เช้าก็จากกันแล้ว ฉันก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรเหมือนกัน มันอธิบายไม่ถูกว่าความรู้สึกในวันพรุ่งนี้จะเป็นแบบไหน เป็นความรู้สึกที่ 'มีหลายอย่างที่อยากบอก แต่พูดไม่ออกซักอย่าง '


ที่ผ่านมาฉันชอบเวลาที่ได้นั่งมองแม่น้ำจนสุดสาย ทั้งๆที่เราก็ไม่รู้เลยว่าเส้นทางหลังจากนั้นจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง มันทำให้เราได้จินตนาการและสร้างเรื่องราวเหล่านั้นออกมาในรูปแบบของฉันเอง แน่นอนมันอาจไม่เป็นตามความจริงที่เกิดขึ้นแต่อย่างน้อย ความคิดของฉันก็ทำให้ฉันมีความสุขช่วงระยะเวลาหนึ่งของวัน


TOMORROW IS THE LAST DAY.

สัญญากับตัวเองว่า พรุ่งนี้จะยิ้มให้มากๆ ^^

See you (last) DAY 6.


-DAY 6-

‘นักบินอวกาศหลงรักดวงจันทร์แต่อยู่กับมันตลอดไปไม่ได้’


ประโยคจาก twitter ที่ฉันเลื่อนผ่านคงเข้ากับความรู้สึกของฉันในตอนนี้



ขณะที่รถกำลังเคลื่อนตัวออกจากชุมชนตำบลบ้านแหลม ผู้คนต่างพากันมาโบกมือลา


‘อย่าลืมกันนะ’


คำพูดของพี่ ป้า น้า อา พร้อมการสวมกอดที่แนบแน่น ฉันได้ออกจากที่นี่พร้อมรอยยิ้ม ทุกคนที่นี่ไม่เคยพูดคำว่า ‘ไม่ได้’ ให้ฉันได้ยินเลย ร้องขออะไรไป เขาจะพยายามหามาจนได้ ฉันอยากกินกล้วยเชื่อมมาก ทุกคนก็พยายามหามาจนได้ ทั้งๆที่ถ้ากล้วยมันไม่มี พี่แค่พูดว่า ‘หมด’ เรื่องทุกอย่างก็จบ

ทุกคนที่นี่จะคอยช่วยเหลือกัน เขาจะคิดเสมอว่าทำเพื่อชุมชน ทำเพื่อคนอื่น มันทำให้ฉันรู้สึกถึงคำว่า

‘แบ่งปัน’ เหมือนที่พี่ทัต พี่ที่คอยดูแลฉันและมาดูเรมากล่าว

“เข้าใจคำว่าชุมชนเข้มแข็งจริงๆก็ในทริปนี้แหละ”



สำหรับทริปนี้ฉันต้องขอบคุณหลายๆอย่าง ขอบคุณพี่บอยเจ้าของโฮมสเตย์บ้านไผ่ตาพุฒที่ทำให้ทริปนี้สนุกมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะอะไรที่อยู่นอกแพลน พี่บอย add เข้าไปจนหมด คอยบอกเล่าเรื่องสนุกๆให้ฟัง คอยสอนเรื่องที่พวกเราพลาด


ขอบคุณพี่ทัตองค์รักษ์ประจำตัวฉันและมาดูเรมา พี่คอยดูแลซัพพอตทุกอย่าง ไม่เคยเหวี่ยง เคยดุเลย คุยได้ทุกเรื่อง พี่แชมป์ พี่เอ๋ตากล้องประจำโครงการ ไม่มีพวกพี่พวกหนูคงขาดสีสัน พวกพี่เหมือนคู่หูตัวโจ๊กอ่ะ พวกพี่เป็นคนใจเย็น ทำให้ไม่รู้สึกกดดันเลย ขอบคุณอาจารย์ นักท่องเที่ยวอีกคนหนึ่งที่ได้ไปทำกิจกรรมร่วมกันมากมายและพร้อมซัพพอตพวกเราอยู่เสมอ ขอบคุณทุกๆคนที่ฉันคงจะเอ่ยไม่หมดในบทความนี้เพราะเยอะมากแต่ฉันจำได้หมดทุกอย่างที่ได้รับมาจากพวกเขา



การมาอยู่กับมาดูเรมาในครั้งนี้ทำให้ฉันเรียนรู้การใช้ชีวิตที่ต่างออกไปจากเดิมหลายอย่าง ฉันกับมาดูเติบโตขึ้นมาในพื้นที่แตกต่างกัน วัฒนธรรมจึงต่างกันออกไป ซึ่งบางอย่างที่มาดูเรมาทำ ก็ทำให้ฉันอึ้งๆอยู่ไม่น้อย เขาใช้ชีวิตกันแบบนี้หรอ เป็นคำถามที่ผุดขึ้นมาในความคิด แต่แล้วก็ทำให้ฉันเข้าใจว่าการอยู่ในสังคมแบบมีความสุขได้ คือ การอยู่กับคนอื่นในแบบที่เป็นเราจริงๆ คนส่วนใหญ่มัก ตัดสิน คนอื่นจากความคิดและค่านิยมของตัวเอง เมื่อไหร่ก็ตามที่เราก้าวออกไปในโลกที่เปิดกว้างมากยิ่งขึ้น คุณจะรู้ว่า สิ่งที่คนเขา Judge คุณ คนอื่นๆภายนอกก็อาจจะทำเพียงแต่เขาไม่ได้มาตัดสินคุณโดยใช้ค่านิยมของเขาเป็นเกณฑ์


'พี่แคร์ พี่กบ พี่ตา ลุงวัด' บุคคลประจำครัว ถ้าใครได้ไปบ้านไผ่ตาพุฒ ตามหาบุคคลเหล่านี้ซะ รับรองว่าคุณจะไม่ผิดหวังเรื่องปากท้อง!!!
ถ้าเป็นเรื่องขนมไทยต้องยกให้เขาแหละ 'แม่รัต' ทำทุกอย่างเป็นแบบฉบับของตัวเองที่ฉันชอบไปขโมยขนมกินก็เรือนแม่รัตนี่แหละ 'พี่มน' บุคคลที่เป็นทุกอย่างให้เธอแล้ว คนขับ ไกด์นำเที่ยว หมอนวด ครบสูตร อ้อ! พี่มนนวดเก่งมาก แค่ขับไปสุพรรณเพื่อให้พี่มนนวดให้แล้วกินกับข้าวฝีมือลุงวัดและทีมสักหน่อยก็คุ้มแล้ววันนึงอ่ะ


จากที่เคยบอกไว้ วันนี้ฉันเอาภาพมื้ออาหาร ‘เกือบ’ ทุกมื้อมาประมวลให้ดูกัน ไม่ให้เสียเวลา

เรามาเริ่มกันเลยดีกว่า


บันทึกฉบับนี้ จะถูกเก็บไว้เป็นความทรงจำตลอดไป เพราะตัวฉันเองก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่จะมีโอกาสได้มาเจอกันอีก ไม่ใช่แค่คนในชุมชนแต่รวมถึงทุกคนที่ได้มารู้จักกันจากการท่องเที่ยวในครั้งนี้ ฉันเพียงแค่อยากให้ทุกคนลองวางเรื่องเครียดๆของตัวเองลง ออกจาก social media zone ของตัวเอง และเริ่มเดินทางหาความสุขที่แท้จริงในแบบที่ต้องการ แล้วเจอกันในบันทึกฉบับต่อๆไป


ติดตามกันได้ที่ FACEBOOK PAGE : It's me Journey นี่คือบันทึกของฉัน


ปล. หาใครที่อยากตามไปพักที่ บ้านไผ่ตาพุฒโฮมสเตย์ ตำบลบ้านแหลม สุพรรณบุรี

จะกระซิบบอกสักหน่อยว่า ควรโทรไปจองล่วงหน้านะจ๊ะ ตามเบอร์นี้ 0800737397

Facebook : โสภณ พันธุ์ บ้านสวนแผ่นดินแม่ วิถีไทยสายน้ำ หรือ โทรสอบถามก่อนแวะเข้าไปลองชิมอาหารฝีมือครัวบ้านไผ่ตาพุฒก็ได้เช่นเดียวกัน และหากสนใจเมนูไหนเป็นพิเศษจาก Blog นี้ ก็ชี้ให้พี่ๆเขาดูได้เลยเนื่องจากฉันเองก็จำชื่อเมนูเกือบทั้งหมดไม่ได้เหมือนกันจ้ะทุกคนนนนน










เจ้าคลื่นน้อย Chao Kleun Noi

 วันพุธที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2562 เวลา 22.36 น.

ความคิดเห็น