ถ้าพูดถึงร้านเค้กแล้ว มีอยู่ร้านนึงที่ผมอยากจะไปลิ้มลองรสชาติมากๆ เพราะหลายต่อหลายปาก หลายต่อหลายลิ้น ต่างก็บอกว่าของร้านนี้เค้าทีเด็ดจริง และที่สำคัญทางร้านเค้ายังมีบริการแบบบุฟเฟต์อีกด้วยครับ



แต่จนแล้วจนรอดเวลาผ่านไปนานนับปีผมก็ยังไม่ได้มีโอกาสไปลิ้มลองซักที จนในที่สุดวันนี้ก็มาถึงครับ เมื่อวันที่ร้านนี้ได้มาเปิดสาขาอยู่ใกล้ๆ บ้านผม.......ใช่แล้วครับ วันนี้ผมจะพาทุกท่านไปพบกับการรีวิวร้าน “Bake a wish" สาขา The Crystal SB ราชพฤกษ์ครับ



จะว่าไปจริงๆ แล้ว Bake a wish สาขา The Crystal SB ราชพฤกษ์นี้ก็เปิดบริการมาได้เกือบปีแล้วมั้งครับ แต่ผมก็ไม่ได้มีโอกาสทานซักที มีก็แต่เฉียดไปเฉียดมา เพราะด้วยความเข้าใจว่าร้านนี้มีบริการบุฟเฟ่ต์เฉพาะวันธรรมดาเท่านั้น จนกระทั่งได้โทรไปสอบถามทางร้านถึงรู้ว่าที่สาขานี้ตอนนี้มีบริการแบบบุฟเฟต์ทุกวัน โดยในวันจันทร์-พฤหัส จะราคา 300 บาท/คน และวันศุกร์-อาทิตย์ จะราคา 350 บาท/คน มีเวลารับประทาน 90 นาทีและรับออเดอร์สุดท้ายตอนประมาณ 19.30 น. ครับ



เอาล่ะครับ เมื่อทราบแบบนี้แล้ว ผมก็จัดสิครับ จะรออะไร!! ผมรีบอาบน้ำแต่งตัวออกจากบ้านตรงดิ่งไปที่ร้านทันที และเพื่อความปลอดภัย ผมก็ทำการโทรจองที่นั่งไว้ก่อนเลย จะได้ไม่เสียเวลายืนรอที่หน้าร้านครับ



สำหรับร้าน Bake a wish สาขานี้จะตั้งอยู่ที่ชั้น 3 ของ The Crystal SB ราชพฤกษ์ หรือชั้นเดียวกับโรงหนัง SF นั่นเอง ร้านจะตั้งอยู่บริเวณหัวมุมครับ เรียกได้ว่าหาไม่ยากแน่นอน



หน้าตาหน้าร้านก็ตามแบบนี้ครับ



ร้านตกแต่งสวยงามแนวไม้ๆ ออกวินเทจหน่อยครับ มีโต๊ะทั้งหมดประมาณ 10 โต๊ะ จุคนได้ประมาณ 40-50 คนได้ และที่หน้าร้านจะมีป้ายไฟแสดงรูปเมนูอาหารชนิดที่ยั่วน้ำลายมากๆ ตั้งอยู่แบบนี้ครับ



สำหรับร้าน Bake a wish นั้นเป็นร้านขายเค้กและขนมหวานไสตล์ญี่ปุ่น สูตรเมืองโกเบครับ (Japanese Homemade Cake and Bakeries – Kobe recipes) โดยเปิดทำการมาตั้งแต่เดือนธันวาคม 2545 มีสาขาแรกตั้งอยู่ที่ซอยสุขสวัสดิ์ 19 และปัจจุบันก็ได้มีการขยายสาขาออกไปมากมายเลยครับ



ลักษณะการขายของร้านจะแบ่งออกเป็น 3 อย่าง คือ แบบบริการเป็นจาน (a la carte), แบบบุฟเฟต์ และก็แบบซื้อกลับบ้าน (take home) ครับ โดยจากที่ผมหาข้อมูลมาพบว่าสาขาที่ให้บริการแบบบุฟเฟต์นั้นมีเพียง 3 สาขาเท่านั้นได้แก่

1. สาขา สุขสวัสดิ์ 19

2. สาขา The Avenue Major รัชโยธิน

3. สาขา The Crystal SB ราชพฤกษ์

โดยที่สาขาสุขสวัสดิ์ 19 นั้น จะมีทีเด็ดที่สุดคือ นอกจากจะบริการอาหารหวานแล้ว ยังมีบริการอาหารคาวอีกด้วยครับ!!



เอาล่ะครับ เกริ่นมายาวนานแล้ว เรามาลุยไปพร้อมๆ กันดีกว่าครับ เตรียมท้องของคุณให้พร้อมแล้วไปอ้วนด้วยกัน!!



วันที่รับประทาน : วันอาทิตย์ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2559

ช่วงเวลา : 18.07-19.37 น.

สาขา : The Crystal SB ราชพฤกษ์

จำนวน : 2 คน



เมื่อผมเข้าไปในร้าน ก็ได้ทำการแจ้งพนักงานว่าจองไว้ จากนั้นพนักงานก็พาเดินไปที่โต๊ะครับ โดยวันนี้ผมได้โต๊ะหมายเลข 2 ครับ ข้างๆ ป้ายหมายเลขก็ได้มีป้ายกำกับว่า “Buffet" ไว้ด้วยครับ



จากนั้นพนักงานก็ได้เข้ามาแนะนำกติกามารยาทในการทานครับ ว่าเราจะมีเวลาในการรับประทาน 90 นาที และมีอาหารที่ให้บริการทั้งหมดอยู่ 3 ประเภทได้แก่


- Party Dish เป็นประเภทของหวานจัดเป็นจาน มีผลไม้ ของหวาน ทอปปิ้งประดับมากมาย โดยส่วนใหญ่แล้วจะเป็นเมนูที่ทางร้านต้องทำใหม่หรือใช้เวลาจัดกว่าจะนำเสิร์ฟได้

- Dessert เป็นประเภทเบเกอรี่ต่างๆ ที่ทางร้านทำไว้แล้ว เช่น เค้ก ชูครีม เป็นต้น

- Drink ประเภทเครื่องดื่ม

วิธีการสั่งก็ง่ายๆ ครับ แค่ทำการเขียนหมายเลขโต๊ะของเราในใบรายการที่อยู่บนโต๊ะ พร้อมทั้งเชียนจำนวนที่หน้ารายการที่ทางเราต้องการครับ



โดยในส่วนของเค้กทางร้านแนะนำให้เราเดินไปดูของจริงที่ตู้ก่อนว่าหน้าตาเป็นอย่างไร ขนาดใหญ่หรือเล็กแค่ไหน จะได้ตัดสินใจในการเลือกทานได้ง่ายขึ้น ส่วนเครื่องดื่มนั้นสามารถสั่งได้กี่แก้วก็ได้ แต่ต้องสั่งทีละแก้วต่อคน และจะสั่งแก้วใหม่ได้ก็ต่อเมื่อทานแก้วก่อนหน้านั้นหมดแล้วครับ



และก่อนที่พนักงานจะเดินจากไป ทางพนักงานได้บอกผมเพิ่มอีกนิดนึงว่า เนื่องจากวันนี้เป็นวันวาเลนไทน์ มีคนมาใช้บริการก่อนหน้าที่ผมจะเข้ามาเป็นจำนวนมาก ทำให้พวกทอปปิ้งผลไม้บางอย่างอาจจะหมดไปได้ ดังนั้นหน้าตาอาจจะไม่เหมือนในเมนูบ้าง



เอาล่ะครับเมื่อพนักงานอธิบายเสร็จทีนี้ก็ถึงเวลาที่ผมจะเลือกเมนูที่ต้องการจะทานกันแล้ว ผมเริ่มจากการหยิบใบรายการอาหารออกมาวางเรียงที่ด้านหน้าก่อนทั้งหมด 4 แผ่น (รายการเครื่องดื่มจะมี 2 แผ่นครับ) โดยใบรายการกระดาษนี้จะใช้คู่กับเมนูสวยๆ ที่มีรูปภาพครับ เรียกได้ว่าดูรูป ดูหน้าตาในใบใหญ่ๆ จากนั้นจำหมายเลขรหัสไว้แล้วก็มากรอกในใบรายการกระดาษครับ



ใบแรกสุดเริ่มที่ Party Dish ครับ รายการอาหารประเภทนี้จะมีเมนูที่เป็นภาพอยู่ 2 แผ่น แต่มีใบรายการที่เป็นกระดาษแผ่นเดียวนะครับ เพราะว่าแต่ละเมนูใช้พื้นที่ภาพค่อนข้างเยอะครับ



ต่อกันด้วย Dessert ครับ รายการประเภทนี้ต้องเดินไปดูของจริงที่ตู้เอาเองครับ



และสุดท้ายเครื่องดื่มครับ รายการประเภทนี้มีเมนูที่เป็นภาพ 2 แผ่น และก็ใบรายการกระดาษ 2 แผ่นครับ โดยประเภทของเครื่องดื่มก็มีหลากหลายมากครับ และชื่อแต่ละอันก็น่ากินมากๆ ครับ



หลังจากที่ผมกับภรรยาพิจารณาเสร็จ เราก็ทำการสั่งอาหารรอบแรกมาตามนี้ครับ


- I love Brownie

- Uji Matcha Crepes Cake (เครปเค้กชาเขียว)

- Two Become One

- Crispy Chou Puff รสคัสตาร์ด และ รสชาเขียว

- Cookie Chou Puff รสคัสตาร์ด

- Super Lemon Honey Smoothie

- Lychee Aloe Vera Yogurt Smoothie



เมื่อพนักงานรับออเดอร์เสร็จแล้วผมก็ถ่ายรูปในร้านเล่นไปเรื่อยๆ เริ่มตั้งแต่ป้ายกติกา



หมายเหตุ : สำหรับรายละเอียดในป้ายผมว่าบางอย่างก็อาจจะไม่ตรงกับสถานการณ์จริงเท่าไหร่ เพราะเข้าใจว่าทางร้านคงมีการปรับโปรโมชั่นไปมา แต่ที่อยากให้ระวังไว้ก่อนสั่งก็คือเรื่องค่าปรับในกรณีที่กินเหลือนะครับ



ที่รองจานครับ ลายมันน่ารักดีนะครับ



อันนี้โคมไฟประดับในร้านครับ



จากนั้นผมก็เดินเตร็ดเตร่ในร้าน แว้บไปดูเค้กในตู้ และพบว่าแต่ละรายการนั้นน่ากินมากๆ ครับ



จริงๆ มีเมนูเยอะกว่านี้นะครับ แต่ผมไม่ได้ถ่ายมาครับ



แล้วก็ตู้ไอศรีมครับ จะอยู่ข้างๆ ตู้เค้กเลย มีหลายรสชาติมากเลยและเราสามารถซื้อกลับบ้านได้นะครับ ราคาลูกละ 65 บาท



หลังจากเวลาผ่านไปราวๆ 15 นาที เมนูแรกก็มาเสิร์ฟครับ นั่นคือ ชูครีมนั่นเองครับ โดยลูกใหญ่ๆ ที่เห็นก็คือ Crispy Chou Puff รสคัสตาร์ด และ รสชาเขียว ครับ จะเป็นชูครีมที่แป้งจะนิ่มๆ หน่อยครับ ขนาดใหญ่เลยทีเดียว ใหญ่กว่ากำปั้นผมซะอีกครับ



ส่วนลูกเล็กก็จะเป็น Cookie Chou Puff รสคัสตาร์ด หรือชูครีมที่แป้งจะกรอบๆ แข็งๆ หน่อยครับ แบบนี้จะขนาดเล็กกว่าแบบแรกเยอะครับ



เอาล่ะครับ เมื่อพร้อมแล้ว เรามาเริ่มชำแหละไปพร้อมๆ กันครับ เริ่มจากชูครีมแบบนิ่มรสคัสตาร์ดครับ เมนูนี้ อร่อยเลยครับ ไส้ทะลัก ความหวานกำลังพอดีครับ



ต่อมาก็เป็นรสชาเขียวครับ ไส้แอบน้อยกว่ารสคัสตาร์ดเมื่อกี้นิดนึง ส่วนรสชาติอร่อยดีครับ ติดขมเล็กน้อย ถ้าทานทีเดียวอาจจะไม่ไหว ต้องค่อยๆ ทานสลับกับอย่างอื่นครับ



ส่วนชูครีมแบบแข็งที่เป็นคุกกี้ผมไม่ได้ถ่ายรูปมาครับ แต่โดยรสชาติแล้วไส้ในรสชาติเหมือนกับนิ่ม ต่างกันที่แป้งที่แบบนี้จะแข็งและกรอบกว่า ซึ่งโดยส่วนตัวผมชอบแบบนิ่ม (Puff) มากกว่าครับ



ปล. เปิดจานแรกด้วยชูครีมยักษ์ 2 ลูกนี่แอบตัดกำลังไปพอดูเลย - -“



มาต่อกันที่จานถัดไปครับ I love Brownie ครับ


เมนูนี้เป็นการเอาไอศครีมช็อคโกแลตไปประกบกับบราวนี่ที่ขนาดค่อนข้างใหญ่ทั้งด้านบนและด้านล่าง และมีทอปปิ้งเป็นผลไม้ประกอบหลายประเภทเลยครับทั้งสตรอเบอรี่ กล้วย ส้ม กีวี่



อ้อ นอกจากนี้ยังมีไอศรีมวานิลาวางมาข้างๆ ด้วยอีก 1 ลูกนะครับ



เรื่องรสชาติต้องบอกว่าอร่อยมากครับ โดยเฉพาะบราวนี่ ส่วนผลไม้ก็สดอร่อยดีครับ ไม่ได้เป็นผลไม้แช่แข็งครับ สำหรับไอศครีมรสวานิลานั้นรสชาติกลางๆ ค่อนไปทางดี ส่วนไอศครีมช็อคโกแลตนั้นในฐานะที่ผมไม่ค่อยชอบทานรสนี้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ทานทีไรก็รู้สึกว่ามันขมเกินไป และวันนี้ก็เช่นกันครับ ขมสำหรับผมเช่นเคย - -“



แต่จากลิ้นภรรยาผมที่เธอชอบทานช็อคโกแลตเธอบอกว่าสอบผ่าน อร่อยดีครับ



จานถัดมาคือ Uji Matcha Crepes Cake หรือ เครปเค้กชาเขียว ครับ


จานนี้จะประกอบไปด้วยเครปเค้กชาเขียว ผงชาเขียว ครีมชาเขียว ไอศครีมรสแมคคาดาเมีย บราวนี่ แล้วก็ทอปปิ้งผลไม้ครับ



เรื่องรสชาติของบราวนี่กับทอปปิ้งผลไม้ ผมข้ามไปนะครับ เพราะว่าสอบผ่านตั้งแต่เมนูที่แล้วแล้ว สำหรับจานนี้ที่ผมชอบมากที่สุดก็คือไอศรีมรสแมคคาดาเมียครับ อร่อยมาก!!



ส่วนเครปเค้กรสชาติดีครับ ทานได้เรื่อยๆ ไม่หวาน ไม่เลี่ยนจนเกินไป และยังมีผงชาเขียวกับครีมชาเขียวไว้เป็นตัวปรุงรสตัดเลี่ยน แต่ระวังผงชาเขียวนิดนึงนะครับ ใครที่ไม่ชอบทานอย่าพยายามไปโรยเยอะเพราะอาจจะทำให้ขมเกินไปได้ครับ



เมนูถัดมาครับ Two Become One


เมนูนี้หน้าตาแตกต่างจากภาพในเมนูค่อนข้างเยอะเลย คาดว่าเพราะทอปปิ้งผลไม้ของทางร้านเริ่มหมด ก็เลยเอาบราวนี่กับขนมปังบางๆ กรอบๆ มาใส่แทน - -“



รสชาติโดยรวมๆ ถือว่าโอเคครับ เพราะไอศครีมที่ใส่มาคือแมคคาดาเมีย ส่วนบราวนี่นี่สอบผ่านอยู่แล้ว และตัวขนมปังบางๆ กรอบๆ ที่ใส่มาก็อร่อยดีครับ



ตอนนี้เมนูที่ผมสั่งมารอบแรกก็หมดลงแล้ว ผมก็เลยสั่งเพิ่มอีก 2 รายการ ได้แก่


Lava Cheese

Honey Toast with Matcha & Strawberry



ปล. จริงๆ แล้วสั่งไป 3 เมนู อีกเมนูคือ Chocolate Lava แต่รายการนี้หมดครับ



ระหว่างที่รอทางร้านทำอาหาร เรามาสำรวจเมนูเครื่องดื่มที่พวกผมสั่งมาดีกว่าครับ

แก้วเรกคือ Super Lemon Honey Smoothie หรือน้ำผึ้งมะนาวปั่นนั่นเองครับ แต่มันไม่ใช่น้ำผึ้งมะนาวปั่นแบบทั่วๆ ไปนะครับเพราะว่าทางร้านจัดทอปปิ้งมาเต็มเลยทั้งวิปครีม ชีสเค้ก ครัมเบิ้ล แล้วก็เยลลี่ครับ



สำหรับรสชาติ อร่อย สอบผ่าน และเป็นการใส่ทอปปิ้งที่ผมว่าค่อนข้างแปลก ไม่สามารถหาทานได้บ่อยๆ ครับ



แก้วที่สอง แก้วนี้ของผมเองครับ Lychee Aloe Vera Yogurt Smoothie หรือน้ำโยเกิร์ตลิ้นจี่ใส่ว่านหางจรเข้ครับ



รสชาติโดยรวมๆ อร่อยดีเช่นกันครับ ผสมมาลงตัวดีครับ



หลังจากเวลาผ่านไปราวๆ 20 นาทีจากที่อาหารชุดแรกได้หมดลง พนักงานก็ได้นำเมนูที่สั่งไปเพิ่มมาเสิร์ฟครับ นั่นก็คือ Lava Cheese (ลาวาชีส) ครับ



จานนี้ขนาดค่อนข้างใหญ่เลยครับ เส้นผ่าศูนย์กลางของจานประมาณ 1 คืบครึ่งได้ครับ ในจานจะประกอบไปด้วยไอศครีมพร้อมวิปครีม 1 ลูก ราดด้วยทอปปิ้งอย่างสตรอเบอรี่ อัลมอนด์สไลด์ และไฮไลท์ที่สุดก็คือแผ่นเครปขนาดใหญ่ที่อยู่ล้อมรอบไอศครีม โดยที่ภายใต้แผ่นเครปนั้นเต็มไปด้วยชีส!!



จานนี้อร่อยมาก คนรักชีสห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวง!! แต่ข้อควรระวังที่สำคัญคือจานมันค่อนข้างใหญ่ ไปกันหลายคนอาจจะไม่ใช่ปัญหาเพราะแย่งกันคนละคำสองคำก็อาจจะแป้บเดียวหมด แต่ถ้าไปสองคนแบบผมอาจจะเกิดปัญหาการทานชีสมากไปจนเลี่ยนได้ @_@ ซึ่งในจานนี้ได้ส่งตัวช่วยมาตัดเลี่ยนได้ดีมากอยู่ 1 อย่างนั่นก็คือสตรอเบอรี่ที่มีรสชาติค่อนข้างเปรี้ยวครับ เรียกได้ว่าช่วยได้เยอะเลยครับ



และทีนี้ก็มาถึงจานสุดท้ายของวันนี้กันแล้วครับ เรียกได้ว่ามาถึงตรงนี้ท้องของผมสองสามีภรรยาก็บวมเต่งใกล้จะแตกแล้ว และก็รู้สึกโชคดีมากๆ อยู่ในใจที่ Chocolate Lava ที่สั่งไปนั้นหมดครับ ไม่อย่างนั้นมื้อนี้เราสองคนต้องทานไม่หมดและโดนปรับแน่ๆ ครับ @_@



มาดูหน้าตาเมนูสุดท้ายกันครับ Honey Toast with Matcha & Strawberry เมนูของหวานที่ขึ้นชื่อมากๆ ของญี่ปุ่นครับ จานนี้ก็มาเสิร์ฟแบบค่อนข้างใหญ่อีกแล้ว ไม่เชื่อลองเทียบดูขนาดกับเจ้าดันโบะดูสิครับ



สำหรับเจ้าฮันนี่โทสจานนี้ ประกอบไปด้วยขนมปังร้อนๆ หอมๆ ก้อนใหญ่มาก 1 ก้อนโดยทำการผ่าเป็นแนวให้ตัดง่ายๆ มาเรียบร้อยแล้ว และก็มีไอศครีม 2 ลูกได้แก่ สตรอเบอรี่และชาเชียว ราดทอปปิ้งด้วยวิปครีมและผลไม้ และที่ขาดไม่ได้ก็คือเหยือกใส่น้ำผึ้งขนาดเล็กๆ ครับ



เมื่อสำรวจหน้าตากันครบแล้วก็ได้เวลาราดน้ำผึ้งและชิมกันครับ



รสชาติโดยรวมๆ ต้องบอกว่าอร่อยมากครับ ตัวขนมปัง นุ่ม หอม กำลังดีครับ เรียกได้ว่าใครที่ชอบแมนูนี้เป็นทุนเดิมอยู่แล้วสั่งจานนี้มา ไม่ผิดหวังแน่นอนครับ



เมื่อผมทานเจ้าฮันนี่โทสหมดก็ครบเวลา 90 นาทีแบบพอดิบพอดีจริงๆ เรียกได้ว่าพยายามยัดจนนาทีสุดท้ายเลย เนื่องจากแต่ละจานมันแอบใหญ่กว่าที่ผมคาดคิดไว้มาก T___T



เอาล่ะครับ ทีนี้ก็ถึงเวลาเช็คบิลครับ ค่าเสียหายสำหรับมื้อนี้ทั้งหมดก็ 700 บาท โดยทางร้านจะนำบิลมาวางไว้ที่โต๊ะเราตั้งแต่เริ่มทานพร้อมทั้งบอกเรื่องช่วงเวลาที่สามารถทานได้ด้วยครับ สำหรับการสรุปข้อมูลของร้านนี้ ผมขอแยกเป็นข้อๆ ตามเดิมนะครับ



รสชาติอาหาร : ทุกเมนูที่ผมทานวันนี้เรียกได้ว่ามีแต่อร่อยและอร่อยมากครับ ไม่มีอะไรที่ไม่ถูกปากครับ (ไม่นับช็อคโกแลตนะครับ อันนั้นผมไม่ชอบทานเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว) หลายๆ เมนูประทับใจมาก เช่น บราวนี่, ไอศรีมแมคคาดาเมีย รวมถึงคุณภาพของทอปปิ้งผลไม้ต่างๆ ครับ



ความหลากหลายของอาหาร : ถึงสาขานี้จะบริการเฉพาะของหวานอย่างเดียวไม่มีของคาว แต่เท่าๆ ที่ผมดูแล้ว เมนูของทางร้านรวมๆ กันแล้วน่าจะเกือบ 90 เมนูได้ครับ แบ่งเป็นพวกของหวานประมาณ 50 รายการและก็เครื่องดื่มอีกประมาณ 40 รายการครับ เรียกได้ว่าถ้าอยากจะทานให้หมดให้ครบนี่หากไม่ไปลองกันหลายรอบก็ต้องพาแก๊งค์ใหญ่ซัก 10 คนขึ้นไปเข้าไปลองพร้อมๆ กันแหละครับถึงจะสามารถชิมได้หมดครับ และของหวานก็มีหลายประเภทครับทั้งที่เป็นเค้ก ชูครีม เครป หรือไอศครีมครับ



ความสะอาดของร้าน : สะอาด ดูดี ตกแต่งสวยงาม ไม่มีอะไรต้องติครับ



การบริการของพนักงาน : ถือว่าดีครับ ตอนแรกที่พาผมไปที่โต๊ะก็อธิบายดีครับ บอกรายละเอียดหลายอย่าง โดยเฉพาะกติกาและก็เรื่องทอปปิ้งผลไม้ที่วันนี้มีเหลือน้อยกว่าปกติ ส่วนเรื่องเวลาการทำอาหารอยู่ในเกณฑ์พอประมาณค่อนไปทางช้านิดนึงเพราะตอนที่ผมไปใช้บริการก็มีโต๊ะอื่นๆ อีกประมาณ 30-40% ของร้านได้ครับ



ความสะดวกของการเดินทาง : สำหรับสาขา The Crystal SB ราชพฤกษ์นั้น เป็นสาขาที่น่าจะเหมาะกับคนที่มีรถเป็นหลักครับ มีสถานที่จอดรถค่อนข้างมากค โดยหากใครไม่สะดวกทานที่สาขานี้ก็ยังมีอีกหลายสาขาที่เปิดให้บริการครับ และบางสาขาก็สามารถเดินทางด้วยรถไฟฟ้าได้ครับ เช่น สาขา Central World



ความคุ้มค่า : กับราคา 350 บาท/คน และรสชาติที่ได้แบบนี้ ผมถือว่าเป็นร้านที่คุ้มค่ามากครับ และหากไปทานในวันจันทร์ถึงพฤหัสที่ราคา 300 บาท/คนแล้ว ยิ่งคุ้มค่าไปกันใหญ่ครับ แต่ทั้งนี้ต้องขอย้ำและขอเตือนนะครับว่าเมนูของทางร้านจะเน้นเฉพาะเค้กและของหวาน ดังนั้นใครที่ไม่ใช่สายนี้ เลี่ยนไว ไม่ทานหวาน อาจจะไม่ชอบและก็ทานได้น้อยครับ ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นอาจจะต้องเลือกเป็นการทานแบบ a la carte แทนครับ



สรุป : Bake a wish เป็นหนึ่งในร้านขายของหวานและขนมเค้กที่ผมว่าค่อนข้างจะลงตัวและเหมาะกับผมมากเลยนอกจากรสชาติจะดีแล้ว หน้าตายังสวย เมนูยังหลากหลายด้วยครับ ที่สำคัญราคาแบบบุฟเฟต์ก็อยู่ในเกณฑ์ที่ไม่สูงเกินไป โดยส่วนตัวผมคิดว่าร้านนี้เหมาะสำหรับทั้งคู่รักไปนั่งทาน หรือแก๊งเพื่อนยกก๊วนไปปาร์ตี้ไปเฮฮา แต่ทั้งนี้ต้องลองประเมินกันก่อนว่าตัวเองสามารถทานอาหารประเภทนี้ได้เยอะแค่ไหนครับ หากไม่สามารถทานได้มากผมแนะนำให้สั่งเป็น A la carte จะดีกว่า แต่ถ้าคิดว่าตัวเองสายแข็งสามารถทานได้เยอะ กินหมดแน่นอนไม่กลัวโดนปรับก็จัดบุฟเฟต์ได้เลยครับ…….......อ้อ เท่าที่ผมสอบถามทางร้านมา สำหรับการทานแบบบุฟเฟต์นั้นหากเราคิดว่าเราไม่สามารถทานได้เยอะแต่อยากทานหลายๆ เมนู เราสามารถขอให้ทางร้านทำอาหารจานเล็กกว่าปกติได้ครับ และนอกจากนี้ยังสามารถเปลี่ยนรสชาติไอศครีมเป็นรสที่เราต้องการได้ด้วยนะครับ



สำหรับเรื่องเวลาที่ทางร้านให้มา 90 นาทีนั้น ผมคิดว่ามันแอบน้อยไปหน่อยครับ เพราะหลายๆ เมนูทางร้านใช้เวลาทำค่อนข้างนาน และหากคนนั่งเต็มร้านอาจจะทำให้เราสูญเสียเวลากับการนั่งรอนานเกินไป ดังนั้นหากวันไหนที่ดูท่าทางแล้วการสั่ง Party Dish จะใช้เวลานาน เราสามารถไปเลือกเค้กและขนมที่อยู่ในตู้มาทานก่อนได้ครับ เพราะเมนูพวกนี้ทางร้านทำไว้เสร็จอยู่แล้วใช้เวลาในการจัดเสิร์ฟไม่นานครับ



ก็จบลงแล้วสำหรับรีวิวนี้นะครับ หากขาดตกบกพร่องประการใดต้องขออภัยด้วยนะครับ และการรีวิวนี้เป็นเพียงความเห็นส่วนตัวของผมจากวันที่ไปใช้บริการเท่านั้นครับ แต่ละท่านที่ได้มีโอกาสไปใช้บริการอาจจะได้รับการบริการหรือรสชาติที่แตกต่างจากนี้ออกไปครับ และหากใครชอบการรีวิวของผม สามารถไปติดตามหรือแนะนำเพิ่มเติมได้ที่นี่เลยครับ https://www.facebook.com/amazingcouples



ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านจนจบ แล้วพบกันใหม่ในรีวิวหน้า ขอให้ทุกท่านมีความสุขกับการกิน ไม่ตก ไม่หล่นเวลาเข้าร้านอาหารนะครับ



ภรรยาหา สามีใช้

 วันพุธที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2559 เวลา 21.23 น.

ความคิดเห็น