เมื่อสถานที่มีเรื่องราว และเรื่องราวเหล่านั้นมีความหมายที่ทำให้เราอยากจะใช้ชีวิตเพื่อค้นหามัน...

เปิดซิงครั้งแรกของการใช้ชีวิตกินอยู่แบบชาวประมง และเป็นครั้งแรกอีกเช่นกันกับการเดินทางมายังสตูล จังหวัดที่อาจจะไม่เด่นดังสู้จังหวัดอื่นๆในภาคใต้ แต่หลังจากที่มาเหยียบที่นี่แล้ว กลับทำให้ค้นพบว่านี่แหละ The hidden Gems Thailand แค่ 6 วัน 5 คืนมันไม่พอกับการที่เราจะศึกษาเพชรเม็ดนี้ด้วยซ้ำ




Day 1 : The story of Satun's food

กรุงเทพ - สนามบินหาดใหญ่ - ร้านคนเหล็ก - ทุ่งหว้าโฮมสเตย์โกดอน

เราบินมาจากกรุงเทพถึงสนามบินหาดใหญ่ด้วย Thaismile airway

สายการบินที่ทำให้เรายิ้มได้ตลอดทางจนเครื่องลงเลย :-)


พุ่งมาเปิดมื้อแรกกันที่ ร้านคนเหล็ก อยู่ระหว่างทางผ่านจากสนามบินหาดใหญ่ไปจังหวัดสตูล ร้านนี้เคยเปิดเป็นร้านกาแฟมาก่อน ต่อมาขยับขยายไปขายอาหารคาว มีทั้งกับข้าว และอาหารตามสั่งให้เลือก อร่อยทุกอย่างโดยเฉพาะน้ำบูดู ! ที่สำคัญน้ำพริกที่นี่ให้ฟรีนะจ้ะ ซึ่งหมดนี้กินกันแค่สองคน แต่บอกเลยว่าเกลี้ยง


ช่วงนี้เป็นหน้าฝน จากแพลนตอนแรกที่จะไปวัดชมภูนิมิตร เลยต้องล้มเปลี่ยนไปเข้าที่พักกันก่อนเลยที่ ทุ่งหว้าโฮมสเตย์โกดอน ซึ่งได้รับมาตราฐานโฮมสเตย์ไทยสามปีซ้อน พอเราไปถึงที่พักกันแล้ว หมดคำถามเลยว่าทำไม


ห้องนอนมีทั้งขนาดเล็ก และใหญ่ เราได้พักกันที่ห้องใหญ่ มีทั้งหมด 4 เตียง นอนได้ถึง 8 คน พร้อมห้องน้ำอีกสองห้อง สะดวกสบายมาก กว้างขวาง สะอาดสุดๆ


ที่โฮมสเตย์นี้ มีคุณลุงกับคุณป้าเป็นเจ้าของ และคนดูแล ทั้งสองท่านแทนตัวเองว่าพ่อกับแม่ ให้ความเป็นกันเอง และดูแลเราเหมือนคนในครอบครัวจริงๆ ซึ่งแม่ หรือ พี่แป้น เป็นแม่ครัวของที่นี่ คอยทำอาหารให้เราได้กินกันเกือบทุกมื้อ ซึ่งมื้อแรก เราก็มาช่วยแม่ทำอาหารด้วย หน้าตาแม่ดูเป็นกังวลเล็กน้อย แต่เราก็มั่นใจในฝีมือเราอยู่นะ เลยทำออกมาเมนูเดียว คือ ผัดคะน้าน้ำมันหอย (ขำ)

แม่ทำอาหารให้เยอะมากทุกมื้อ อาหารทุกอย่างจะเป็นรสชาติใต้แท้ๆ อร่อย เข้มข้น เผ็ดถึงใจทุกจาน โดยเฉพาะแกงส้มใต้ ต่างจากที่เคยที่กรุงเทพเยอะมาก มันเผ็ดกว่า แต่หอมกว่า และปลาสดมากกก หมดวันแรกไปแบบฟินๆกันเลยทีเดียว




Day 2 : The story of Finding heart

ตลาดเช้า - วัดชมภูนิมิตร - Geopark - ถ้ำเล สเตโกดอน


เริ่มจากที่แรก ตลาดเช้า ซึ่งเป็นตลาดกลางชุมชน มีทั้งผัก อาหารสด และผลไม้ขาย โดยในอดีตชาวจีน และชาวปีนังได้อพยพมาที่นี่ พร้อมกับเอาของมาขาย เช่น พริกไทย ทำให้การตกแต่งของตึกแถวนี้จะมีลักษณะเหมือนปีนังจนได้ชื่อว่า "ปีนังน้อย"

ที่ตลาดแห่งนี้ทุกคนจะมาหาซื้อข้าวเช้ากินกัน ซึ่งไก่ทอดข้าวเหนียวคืออาหารเช้ายอดฮิตของที่นี่ รวมไปถึงการกินข้าวเหนียวปิ้ง พร้อมชาร้อนด้วย แต่ข้าวเหนียวปิ้งที่นี่ไม่เหมือนที่กรุงเทพนะ ! เราลองไส้กุ้ง มันเผ็ดกว่า เข้มข้นกว่าด้วย (ฟินแต่เช้า)


เราย่อยอาหารด้วยการเดินจากตลาดชุมชนไปวัดชมภูนิมิตร ซึ่งห่างกันแค่ 5 นาทีเท่านั้น วัดที่นี่เป็นวัดประจำชุมชน ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่ และศักดิ์สิทธิ์มาก โดยมีหลวงพ่อแก่นจันทร์ซึ่งเป็นหลวงพ่อที่ทุกคนในชุมชนจะมากราบไว้ขอพรกัน เมื่อมีเรื่องทุกข์ร้อนใจ และต่างๆ ภายในวัดตกแต่งลวดลายสวยงาม ถ่ายรูปได้ทุกมุมเลยทีเดียว



หลังจากไหว้พระเสร็จเรามาต่อกันที่ Geopark ซึ่งเป็นพิพิทภัณฑ์ช้างดึกดำบรรพ์ ทุกฟอสซิลที่นี่คือถูกค้นพบที่สตูล ซึ่งจะแบ่งเป็นฟอสซิลต่างๆในแต่ละยุค พร้อมมีเจ้าหน้าที่คอยอธิบาย และให้ความรู้ต่างๆมากกมาย พอเดินออกมาอีกหน่อย เราจะเจอกับอีกตึกหนึ่ง ซึ่งจะมีประวัติของช้างสเตโกดอน ซึ่งเป็นฟอสซิลช้างที่พบที่ถ้ำเล สเตโกดอน โดยลักษณะของช้างสเตโกดอนจะมีงายาว สองข้างชี้ออกจากตัว เลยทำให้มันตายเร็วกว่าช้างพันธุ์อื่น เพราะมันไม่สามารถปกป้องตัวเองได้


หลังจากเสร็จที่พิพิทธภันฑ์นี้ ก็ทำให้เข้าใจว่า ชุมชนทุ่งหว้า ในอีกชื่อก็คือ Geopark ซึ่งแปลว่าอุทยานธรณี มันไม่ใช่เฉพาะแค่ซากฟอสซิลเท่านั้น แต่มันคือทุกอย่างในโลก ไม่ว่าจะเป็นหิน ดิน ทราย วัฒนธรรม อาหาร ที่มีความโดดเด่น จนได้รับการรับรองจากยูเนสโกด้วย


แต่ แต่ แต่ !! ไฮไลท์เด็ดของที่นี่ก็คือ

ต้นปาล์มข้างมิวเซียมนั่นเอง ขอบอกเลยว่าถ่ายรูปสวยสุดๆ ห้ามพลาดกันนะ

หลังจากถ่ายรูปกันเสร็จ เราก็กลับมาฝากท้องกันที่โฮมสเตย์ของเรานั่นเอง ระหว่างนั่งรถกลับบ้าน เราก็พบเผ่ามานิก หรือ เงาะป่า ซึ่งเป็นชาติพันธ์เก่าแก่ของที่จังหวัดสตูล เราเลยขอแชะภาพกับเด็กๆสักหน่อย


กลับมาที่โฮมสเตย์ มื้อกลางวันนี้ แม่ให้พวกเราโชว์ฝีมือตำน้ำพริกกะปิครั้งแรกในชีวิต !!

หลังจากที่ลองทำเสร็จ ขอบอกเลยว่าช็อกมาก น้ำพริกกะปิทำง่ายกว่าที่คิด แถมออกมาอร่อยสุดๆ หรือเป็นเพราะกะปิของสตูลเค้าเด็ดกันนะ ต้องจัดกลับไปฝากคนที่บ้านซะละ


กินข้าวกลางวันกันเสร็จ เราก็ผจญภัยกันที่ ถ้ำเล สเตโกดอน ก่อนเราไปเข้าถ้ำ ก็แวะกรีดยางกับถ่ายรูปเก๋ๆหน้าทางเข้ากันสักหน่อย มีแต่อะไรที่เพิ่งเคยทำครั้งแรกในชีวิตทั้งนั้นเลย

ต่อมา เราก็มาพบกับครั้งแรก(อีกแล้ว)ของการพายเรือเข้าถ้ำเลที่มีความยาวที่สุดในประเทศไทย !! ใช้เวลาทั้งหมด 3 ชั่วโมงงงง แต่ไม่ต้องกลัว ที่นี่จะมีเจ้าหน้าที่พายเรือให้เรานั่งไป ขอบอกว่าอากาศข้างในดีสุดๆ มีหลากหลายอารมณ์ ทั้งได้แอดเวนเจอร์ไปจนถึงได้นั่งสมาธิ เป็นประสบการณ์แปลกใหม่ที่อยากให้ทุกคนมาลองจริงๆ

โดยลักษณะของการล่องเรือเข้าไปในถ้ำคือ จะเป็นเหมือนการที่เราเข้าไปในตัวช้างสเตโกดอน เริ่มจากหัวช้าง > ปากช้าง > ผ่านตัวช้างไปสู่หัวใจ และปอดช้าง โดยไฮไลท์อยู่ที่เราจะต้องตามหาหัวใจที่ปลายอุโมงค์ให้เจอเราถึงจะออกไปได้

ในที่สุดเราก็เจอหัวใจดวงนั้น <3 Finally, I found the heart.

พอออกมาจากทำเราก็จะมาเจอกลับป่าโกงกาง ซึ่งเราก็จะสามารถพายเรือคายัคชมวิวต่อไปได้เรื่อยๆ เพื่อไปขึ้นเรือหางยาว เพื่อจะไปขึ้นฝั่งอีกที


กว่าจะลอดถ้ำออกมาได้ ก็เย็นพอดี เราเลยรีบกลับไปอาบน้ำ แล้วออกไปหาอะไรกันที่ร้านสุดที่รัก ร้านนี้อาหารอร่อยทุกจาน ให้เยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นใบเหลียงผัดไข่ ต้มยำกุ้งสูตรเด็ด คะน้าผัดปลาเค็ม และปลาทูสไตล์สตูล !


กินคาวต้องกินหวาน เราเลยมาต่อกันที่ ร้านชาสุไหงอุเป ร้านชาชื่อดังของชุมชนนี้ ร้านนี้มีโรตีให้เลือกหลายสิบแบบ ให้ลองกันได้ไม่รู้จบ แถมตกจานละ 15-20 บาทเท่านั้น แถมคุณพี่เจ้าของร้านยังใจดีเปิดโอกาสให้เราได้ลองทำโรตีอีกด้วย ฝันหวานกันไปเลยคืนนี้




Day3 : The story of dragon

เกาะสี่หอ - สันหลังมังกร - เปิปแกงเป็ด - ทำขนมบุหงาบุดะ ขนมผูกรัก - ทำผ้ามัดย้อม - ถักสร้อยข้อมือ


วันที่สามของการใช้ชีวิตกับชุมชน วันนี้เราจะเน้นกิจกรรมทางน้ำกันกับการพิชิตสันหลังมังกร เริ่มจากเราตื่นแต่เช้ารีบไปขึ้นเรือหางยาวที่ท่าเรือท่าอ้อย เพื่อที่จะไปตะลุยเกาะกัน


หลังจากนั่งเรือมาประมาณครึ่งชั่วโมง เราก็มาหยุดพักกันที่เกาะสี่หอ ซึ่งเป็นเกาะที่มีธรรมชาติอุดมสมบูรณ์มาก ทั้งป่าชายเลน หอยหวาน และปูก้ามดาบ ซึ่งตัวหาดจะทอดยาวให้เดินไปได้รอบจนถึงป่าชายเลนเลย


มากไปกว่านั้น ขอบอกเลยว่าเกาะนี้ถ่ายรูปเพลินมาก !


ไฮไลท์ของที่นี่คือต้องถ่ายรูปสะท้อนกับน้ำ


หลังจากถ่ายรูปกันหน่ำใจเรานั่งเรือต่อกันมาเพื่อพิชิต หาดสันหลังมังกร ซึ่งตัวหาดทรายจะทอดยาวมีลวดลายคล้ายกับหลังของมังกร แต่เราต้องมาให้ตรงเวลาเท่านั้น ไม่งั้นน้ำจะขึ้น แล้วเราจะอดพิชิตมัน ที่นี่จะมีให้พายเรือคายัคเที่ยวชมรอบๆ เพราะรอบๆสันหลังมังกรจะมีเกาะเล็กๆให้เราไปเที่ยวชม เล่นทราย นอนอาบแดดได้สบายๆเลย เพราะที่นี่ธรรมชาติอุดมสมบูรณ์มากๆ



เย้ ถึงแล้ว !!




หลังจากถ่ายรูป กินโรตีพร้อมขนมนมเนยที่ไกด์ และคนเรือพกมาให้จนสบายใจบนเกาะเสร็จ เราก็นั่งเรือหางยาวกลับฝั่งไปทานอาหารกลางวันกัน ซึ่งไฮไลท์เด็ดอีก 1 อย่าง ย้ำว่าห้ามพลาดเด็ดขาดคือ นั่งแพ เป็นแพที่ผูกกับตัวเรือหางยาวที่เรานั่งมาอีกที ขอบอกเลยว่าฟิน เย็นฉ่ำไปถึงใจกันเลย


อาหารกลางวันของเราบนฝั่งวันนี้คือ ข้าวเหนียวหมก แกงเป็ด ขอบอกเลยว่าอร่อยมากๆ แปดสิบล้านตัว !! ที่สำคัญเมนูนี้เขาใช้มือเปิปนะจ้ะ


หลังจากอิ่มข้าวเหนียวหมกกันเสร็จ เราก็มาต่อกันที่กิจกรรมแม่บ้านเก๋ๆ คือการทำขนมบุหงาบุดะ และขนมผูกรัก ซึ่งขนมบุหงาบุดะ คือ การร่อนแป้งลงบนกะทะที่ร้อนๆก่อน จากนั้นค่อยใส่ไส้มะพร้าวสีสันต่างๆลงไป สิ่งที่ยากที่สุดคือการพับแป้งแข่งกับเวลา


ส่วนขนมผูกรักนั้น คือการนำไส้ต่างๆเช่น กุ้ง ปลา มะพร้าว มาใส่ลงบนแป้งปอเปี๊ย แล้วผูกเป็นโบว์จากนั้นก็นำไปทอด ขอบอกเลยว่าทางเราถนัดขนมผูกรักมากกว่าเยอะ


กิจกรรมโปรดที่เฝ้ารอมานานอันต่อมาก็คือ การทำผ้ามัดย้อม กิจกรรมเปิดซิงอีกแล้ว สีที่ใช้ทำผ้ามัดย้อมนี้ได้มาจากต้นตะบูน พันธุ์ไม้ป่าชายเลน เรามาทำกันที่บ้านชาวบ้านที่ทำเสื้อ และผ้ามัดย้อมขายกับมาอย่างยาวนาน เขาสอนทุกขั้นตอน และกระบวนการอย่างละเอียดเลย

ผลจากต้นตะบูนพันธุ์ไม้ป่าชายเลนของที่นี่ นิยมนำมาทำผ้ามัดย้อม

เมื่อทำเสร็จก็สามารถมารับได้ในอีก 2วัน ดังนั้นแนะนำให้ไปทำผ้ามัดย้อมกันตั้งแต่วันแรกๆเลยนะจ้ะ


เหนื่อยกันมาทั้งวัน ก็มาปิดท้ายมื้ออร่อยๆที่โฮมสเตย์กันอีกเช่นเคย


หลังจากกินข้าวกันเสร็จ ก็ได้เวลาถักสร้อยข้อมือเองครั้งแรก ! ซึ่งเป็นสร้อยข้อมือเชือกเทียน ตอนเริ่มทำคิดว่าต้องยากแน่ๆ แต่พอทำแล้วไม่ยากเลย สนุกมาก แม่แป้นสอนอย่างใจเย็นสุดๆ เลยทำมาได้ทั้งหมด 5 เส้น สร้อยข้อมือ สร้อยข้อเท้า และสร้อยคอ !

สร้อยข้อมือจากเชือกเทียนสามสี



Day4 : The story of being fisherman

ขนมจีนน้ำยา - Little penung - บ้านสวนพริกไทย - ท่าเรือสุไหงอุเป - เกาะสะบัน


เช้าวันที่ 4 นี้ ตื่นมาด้วยความฟินกับเมนูขนมจีนน้ำยา ด้วยน้ำยาสารพัด มีให้เลือกถึงสามแบบ ตั้งแต่แบบเผ็ด แบบกะทิกลมกล่อม และแบบหวาน ยืนเลือกตั้งนานไม่ได้สักที แม่แป้นเลยแนะนำให้เราราดทั้ง 3 แบบ ไปเลย


ท้องอิ่มแล้ว ก็เดินออกไปเติมพลังสมองกันบ้าง ที่ตลาดชุมชนที่เดิม

ที่นี่เราพบกับโกมุด ซึ่งเป็นปลัดชุมชนคอยให้ความรู้เกี่ยวกับสถาปัตยกรรมของชุมชนทุ่งหว้าที่ได้รับอิทธิพลการสร้างมาตั้งแต่สมัยปีนัง สมัยที่ชาวปีนังมาค้าขายที่นี่ เขาก็มาขนพวกปูน กระเบื้องมาด้วย ทำให้ที่บ้านแถวตลาดชุมชนแห่งนี้ถูกขนานนามว่า ปีนังน้อย หรือ Little penung นั่นเอง บ้านที่นี่จะหน้าแคบ แต่ตัวบ้านจะยาว เพื่อเป็นการเลี่ยงภาษีนั่นเอง เดินชมเมืองไปถ่ายรูปไป ได้รูปเก๋ๆเพียบ!


เราไปพักร้อนเติมหวานกันด้วยชาเย็นหวานน้อย

และต่อด้วยบ้านพริกไทย เพื่อเปิดซิงการทำคุกกี้พริกไทยครั้งแรกในชีวิต

เริ่มด้วยการไปตะลุยสวนพริกไทยของชุมชนกันก่อนเลย


เริ่มต้นการทำขนมคุกกี้พริกไทยด้วยการเจียวหอมต่างๆ แล้วเอาแป้งไปผสมกับน้ำตาลทราย เนยเทียม ถึงเอาไปปั่นรวมกัน หลังจากนั้นก็เอาไส้ที่ทำจากพริกไทยดำมาม้วนเข้ากับแป้งให้ได้ที แล้วแช่เย็นจนมันแข็ง ก็เอาออกมาหั่นเป็นชิ้นเล็ก เตรียมอบได้เลย

หน้าตาของคุกกี้พริกไทย รสชาติเผ็ดพริกไทยนิดๆ กรอบ มีกลิ่นหอมเจียว กินเพลินมาก

ต่อกันที่อาหารกลางวันของวันนี้ เด็ดสุดๆด้วย น้ำพริกมันปู จิ้มกับผักต้นเผือก บอกเลยกินกันมันมาก ข้าวหมดจานโดยไม่รู้ตัว


ต่อมาเราออกมาสร้างเรื่องราวไฮไลท์กันอีกเรื่อง คือ เรื่องประมง ด้วยความที่วันนี้เราปลอมตัวกันเป็นชาวบ้านทุ่งหว้าแล้ว เราเลยขอมาสวมรอยเป็นชาวประมงออกไปหาปลาด้วยซะเลย โดยเรามาขึ้นเรือหางยาวกันที่ บ้านท่าเรือ สุไหงอุเป เพื่อออกเรือไปที่เกาะสะบัน หาหอย หาปลา สำหรับอาหารเย็นนี้กัน




เราแพลนกันแวะไปที่ เกาะสะบัน เพื่อไปขุดหิน หาหอยตีเตบกันก่อน ขอบอกเลยว่าหอยหาง่ายมากๆ หลับตาขุดก็ยังเจอเลย แถมเราได้ชิมหอยกันสดๆอีกด้วย พร้อมน้ำจิ้มซีฟู้ดรสเด็ด !


เราขับเรือออกมาจากเกาะ เพื่อไปดักจับปลากัน ซึ่งชาวประมงจะต้องทอดแหกลางทะเลประมาณ 300 - 500 เมตร ก่อน แล้วทิ้งไว้ประมาณชั่วโมงกว่า เพื่อให้ปลาติดแห


ระหว่างรอปลา พี่ๆไกด์ก็ชวนเรามาร้องเพลง เล่นระบำกันอย่างสนุกสนาน


มองไปรอบๆเรือ วิวสวยมาก เพิ่งเคยมาดูพระอาทิตย์ตก บนเรือครั้งแรก :)


ระหว่างนั้นพี่ประมงก็พาเราไปดูค้าคาวแม่ไก่กัน เราเจอค้างคาวแม่ไก่อาศัยอยู่ที่เกาะสะบัน เต็มไปหมด มันออกหากินตอนกลางคืน มันกินพวกผลไม้ ค้างคาวพวกนี้รสชาติคล้ายกวาง คนสมัยก่อนเลยจับเอามาย่างกิน !


ตอนแรกที่เราตัดสินใจพกอาหารมากินกันบนเรือ พร้อมดูพระอาทิตย์ตกดินไปด้วย ก็เกิดเปลี่ยนใจกันขึ้นมา เพราะเรือโคลงมาก เพราะคลื่นลมแรง แต่ขอบอกว่า ต้องลองดูสักครั้งในชีวิตนะ น่าจะฟินมากๆๆ

ระหว่างเราเดินทางกลับ เราแวะมาดึงแหขึ้นก่อน วันนี้เราได้ปลาทูมาทั้งหมด 4 กิโลกว่าจ้าาา แต่ประมงบอกว่า ปกติได้มาเป็น ร้อยๆโลกันเลยนะ


นอนชมดาวบนเรือระหว่างทางนั่งเรือกลับฝั่ง


เราเอาข้าวที่เตรียมไปบนเรือกลับมากินกันที่บ้านชาวประมง จัดเต็ม จัดแน่น ซีฟู้ดล้นจานกันเลย ส่วนปลาทูเราเอามาทำต้มส้มกัน ปลาทูสดมากๆ แถมน้ำซุปต้มส้มก็อร่อยจนซดหมดถ้วย นอนหลับฝันดีพุงกางกันเลยคืนนี้ :)




Day5 l The story of cooling

ตักบาตร - โกปี๊ - ฉิม - หม้อข้าวหม้อแกงลิง - กล้วยไม้รองเท้านารี - น้ำตกธารปลิว


ตอนเช้าเราตื่นกันตั้งแต่ 6 โมง นุ่งผ้าถุงมาตักบาตรกันก่อนที่ตลาดชุมชน รวมถึงร่วมถวายพระพรให้กับ ร.10 อีกด้วย ซึ่งเราก็ได้การต้อนรับจากท่านนายอำเภอทุ่งหว้าเป็นอย่างดี


ระหว่างทางไปร้าน เราเลยแอบแวะดูชาวบ้านสาธิตการตากปลาแดดเดียวกันสักหน่อย


หลังจากนั้นเราก็ตรงไปทานข้าวเช้ากันที่ร้านโกปี๊ ร้านเก่าแก่ของชุมชนทุ่งหว้าที่ท่าเรือสุไหงอุเป


และนี่คือข้าวคลุกกะปิ ที่อร่อยที่สุดที่เคยกินมาในชีวิต มันหอมทั้งกะปิ ทั้งรสชาติที่เข้มข้น ที่นี่ก็มีเมนูให้เลือกหลากหลาย ทั้งขนมปังปิ้ง ข้าวยำ และพวกชานมโกโก้ต่างๆ


อิ่มหนำกันแล้ว เราก็มาต่อกันที่ร้าน ฉิม ร้านเมลอนสายพันธุ์คิโมจิ ที่เขาการันตีความหวานไว้ที่ระดับ 15 ซึ่งจะหวานกว่าเมลอนทั่วไป โดยร้านนี้เมนูเด็ด คือเมลอนกาแฟ นอกจากเมลอนกาแฟ ก็ยังมีแยมเมลอน และไวน์เมลอนอีกด้วย !! ซึ่งไฮไลท์เด็ดของร้านนี้คือ เราสามารถเพนท์รูปลงบนเมลอนได้ โดยใช้เหล็กขูดลงไปที่เมลอน ตอนที่ผลมีอายุ 10-15 วัน หลังจากผสมพันธุ์เสร็จ


นอกจากนี้เรายังได้ลองตัดเมลอนสดๆจากสวน พร้อมทั้งผ่าชิมกันตรงนั้นเลย ขอบอกว่า หอม หวานมาก



กิจกรรมต่อมาของเราก็คือ การทำขนมหม้อข้าวหม้อแกงลิง ซึ่งขนมนี้ทำง่ายมาก เราเอากระเปาะของมันมาทำเป็นขนม โดยยัดไส้ข้าวเหนียวผสมกับน้ำตาล เกลือนิดหน่อย และน้ำดอกอัญชัญลงไป จากน้ำเอาไปนึ่งประมาณ 10 นาที เราก็จะได้ขนมหม้อข้าวหม้อแกงลิงมา


เรามาปิดท้ายกิจกรรมตอนบ่ายกันด้วย การทำกล้วยไม้รองเท้านารี ซึ่งวิธีการทำนั่นไม่ยากเลย ขอแค่มือเบาๆก็พอ เราเริ่มจากการนวดแป้งโดว์ก่อน แล้วหลังจากนั้นก็เอาแป้งเข้าเครื่องรีด พอออกมาใช้ตัวปั้มกดให้เป็นทรงกลีบดอกไม้ 4 ดอก คอยดัดๆให้มันเป็นทรง หลังจากนั้นใช้ไม้จิ้มฟันจุดเป็นสีๆลงบนกลีบดอกไม้


ซึ่งมื้อกลางวัน เราขอจัดอาหารกลางวันกันที่นี่


ตอนบ่ายเรามาเติมความเย็นกันที่น้ำตกธารปลิว น้ำตกที่นี่สะอาดมาก แถมหินก็ปีนง่ายมากๆ สนุกสนาน น้ำเย็น จากที่ง่วงๆ ยามบ่าย ก็สะดุ้งตื่นเลยทีเดียว



มื้อเย็นเรามีงานเลี้ยงฉลองส่งท้ายกันที่โฮมสเตย์ ชาวบ้านจัดงานเลี้ยงให้พวกเราอลังการมาก แถมยังได้ดูโชว์มโนราห์ กับเต้นแอโรบิคสไตล์ชาวสตูลด้วย ! ปิดท้ายด้วยการกล่าวขอบคุณ พร้อมความในใจที่ต่อชาวทุ่งหว้า




Day6 : The story of saying goodbye

กุหลาบใบเตย - ถ้ำอุไรทอง - เดินทางกลับกรุงเทพ


วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่เราจะอยู่ที่ชุมชนทุ่งหว้าแล้ว แอบใจหายเหมือนกันนะ หลังจากกินข้าวเหนียวไก่เสร็จ เราก็มาทำกุหลาบจากใบเตยกัน หลังจากพยายามไปหลายดอก ในที่สุดก็ได้ดอกนี้ออกมา


ได้เวลาร่ำลาพ่อสัมฤทธิ์ และแม่แป้นที่ทุ่งหว้าโฮมสเตย์โกดอน ไว้หนูจะกลับมาเยี่ยมอีกนะคะ


เรานั่งรถกันมาที่ถ้ำอุไรทองเป็นที่สุดท้ายของทริปก่อนไปสนามบิน ที่นี่เป็นอีกหนึ่งท่องเที่ยวอุทยานธรณีโลกอีกแห่งหนึ่งของจังหวัดสตูล ข้างในมีทางเดินขึ้นไปยังจุดชมวิวที่สวยงาม ลึกลับ และน่าค้นหาสุดๆ




สุดท้ายนี้ถือโอกาสนี้ขอร่ำลาทุกคนด้วยเลยนะคะ เหล่าไกด์ของเรา ชาวบ้าน และทุกๆคนที่ชุมชนทุ่งหว้า

ทุกคนเป็นกันมาก คอยสอน และดูแลพวกเราเป็นอย่างดีมากๆตลอด 6 วัน 5 คืน

ดีใจมากที่ได้มาที่นี่ ครั้งแรกในชีวิตที่ได้มาสัมผัสความเป็นชาวประมง

ได้ลองใช้ชีวิตเป็นชาวทุ่งหว้า ได้ทำอะไรหลายๆอย่างครั้งแรกในชีวิตที่ไม่เคยคิดว่าจะได้ทำ

ทำให้รู้ว่าความสุขมันหาได้ง่ายๆจากเรื่องราวรอบๆตัวนี้เอง

และนี่คือ "The story that unforgettable" จริงๆ :)



ลาก่อนชุมชนทุ่งหว้า สัญญาว่าจะกลับมาอีกแน่นอน :)


Let's go around

 วันเสาร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2562 เวลา 02.45 น.

ความคิดเห็น